Soul Connect Festival “รับมือความเกลียดชังข้อมูลลวงออนไลน์ยุค 4.0 ด้วยปัญญารวมหมู่ Collective Wisdom vs Digital Hate: Navigating the DeepTech Era”

บันทึกเนื้อหาวงเสวนา “รับมือความเกลียดชังข้อมูลลวงออนไลน์ยุค 4.0 ด้วยปัญญารวมหมู่ Collective Wisdom vs Digital Hate: Navigating the DeepTech Era” จัดโดยโคแฟค ประเทศไทย วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์

คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย กล่าวต้อนรับและทักทายผู้ร่วมงานพร้อมกับเกริ่นนำเข้าสู่เวทีเสวนาซึ่งจัดขึ้นในวันที่สามของงาน Soul Connect Fest การเสวนาแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกคุณสุนิตย์ เชรษฐา กรรมการผู้จัดการ ChangeFusion ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรภาคีผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค บรรยายนำในประเด็นสำรวจสถานการณ์การสร้างความเกลียดชังในโลกออนไลน์และมาตรการรับมือของประเทศต่าง ๆ ช่วงที่สองเป็นการเสวนา ดำเนินรายการโดย ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิ ฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย

ช่วงที่ 1: สำรวจสถานการณ์การสร้างความเกลียดชังในโลกออนไลน์และมาตรการรับมือ
คุณสุนิตย์ เชรษฐา กรรมการผู้จัดการ ChangeFusion เริ่มต้นด้วยการหยิบยกงานวิจัยเรื่อง “การกำกับดูแลสื่อที่เผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง” โดย ดร.พิรงรอง รามสูต รณะนันนท์ และคณะ (2556) ที่ระบุว่า “ในพื้นที่ออนไลน์ของไทย…พบว่าฐานความเกลียดชังอันดับแรกคืออุดมการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลือง-เสื้อแดง และพบมากที่สุดในยูทูบ ส่วนความเกลียดชังรองลงมาคือศาสนาและชาติพันธุ์” ซึ่งแม้ว่างานวิจัยนี้จะจัดทำขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ประเด็นความเห็นต่างทางการเมือง ศาสนา และชาติพันธุ์ก็ยังคงเป็นประเด็นหลักของการสร้างความเกลียดชัง (hate speech) ในปัจจุบัน
บทเรียนการรับมือกับ hate speech ของประเทศต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เช่น
เยอรมนี มีการบังคับใช้กฎหมายชื่อ “NetzDG” ตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต้องมีช่องทางการรับแจ้งจากผู้ใช้ หากพบว่าเนื้อหาผิดกฎหมายอย่างชัดเจนจะต้องนำออกจากระบบภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าไม่ดำเนินการจะเสี่ยงต่อการถูกปรับมากถึง 50 ล้านยูโร แต่ก็มีข้อถกเถียงเรื่องเส้นแบ่งระหว่างสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกกับการจัดการ hate speech อย่างไรก็ตามกฎหมายนี้กำลังจะถูกทดแทนด้วยกฎหมาย EU Digital Service Act ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในสหภาพยุโรปเร็ว ๆ นี้
สหราชอาณาจักร ปรับปรุงกฎหมายเดิมเพื่อให้ครอบคลุมการรับมือกับ hate speech ที่น่าสนใจคือภาครัฐทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมในด้านต่าง ๆ เช่น พัฒนาแอปพลิเคชันรายงาน hate speech, การเยียวยาจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบ และจัดกิจกรรมในโรงเรียน
ญี่ปุ่น มีกฎหมายที่ชื่อ Hate Speech Elimination Act ที่วางหลักการ นิยาม หลักปฏิบัติและฐานความผิดเกี่ยวกับ hate speech

คุณสุนิตย์ได้ประมวล “สาเหตุร่วม” การแพร่กระจายของ hate speech ว่ามาจากความกลัว การไม่ยอมรับความแตกต่าง ความขัดแย้งาทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำ การขาดความรู้ความเข้าใจและความเห็นใจของคนที่แตกต่างกัน สาเหตุร่วมอีกประการหนึ่งคือธรรมชาติของดิจิทัลเแพลตฟอร์มที่ผูกขาดและขาดระบบกำกับดูแลที่ดี
ในประเทศไทย เคยมีการศึกษา hate speech ในบริบทของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อปี 2564 พบว่าเนื้อหาส่วนมากเป็นการโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและองค์กรสาธารณะประโยชน์ และมีที่มาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษา hate speech ช่วงการชุมนุมทางการเมืองปี 2563-2564 พบว่ามีการใช้ hate speech เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงของรัฐของรัฐต่อกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง

คุณสุนิตย์สรุปว่า การรับมือกับ hate speechนั้น ความท้าทายสำคัญคือการสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกกับการยุติการสร้างความเกลียดชังออนไลน์ และในขณะที่มาตรการทางการกฎหมายมีความยุ่งยากและข้อจำกัดหลายอย่าง กระดุมเม็ดแรกจึงควรจะเป็นการสร้างความรู้ความเช้าใจ สร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญาให้ชุมชนและผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
ช่วงที่ 2: วงเสวนา ดำเนินรายการโดย ดร. พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิฟรีดริชเนามันฯ
ผู้ร่วมเสวนา 6 ท่านประกอบด้วย นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ประธานกรรมการวิสาหกิจเพื่อสังคม จิตวิทยา สติ, คุณณภัทร ชุ่มจิตตรี นักแสดงและอดีตผู้สมัคร สส., ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ซาเวียร์ ผู้อำนวยการศูนย์อบรมคริสตศาสนธรรมระดับชาติ, คุณอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา, ชมพูนุท เฉลียวบุญ ผู้จัดการโครงการภูมิภาค Westminster Foundation for Democracy (WFD) และคุณวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ กล่าวถึงการสร้างความเกลียดชังใน 2 ประเด็น คือ hate speech กับความรุนแรง และจิตวิทยาของกระบวนการสร้างความเกลียดชัง

ประเด็นแรก นพ.ยงยุทธอธิบายว่าการสร้างความเกลียดชังจะนำไปสู่ความรุนแรง เห็นได้จากเหตุการณ์รุนแรงในประวัติศาสตร์ เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว และเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516และ 6 ตุลา 2519 ในไทย ที่ล้วนแต่มีการกระหน่ำ hate speech เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรง
ประเด็นที่ 2 ในทางจิตวิทยา กระบวนการสร้างความเกลียดชังมี 3 ขั้นตอน คือ 1) การทำให้ความแตกต่างเป็นเรื่องถูกหรือผิด 2) ทำให้ความแตกต่างนั้นเป็นเรื่องดีหรือเลว 3) เมื่อความแตกต่างนั้นเป็นเรื่องผิดและเลว คนกลุ่มนั้นจึงไม่สมควรอยู่คือฆ่าได้
สาเหตุหนึ่งที่ hate speech ถูกส่งต่อกันเยอะเพราะโดยพื้นฐานสภาพจิตของคนเรามีแนวโน้มที่ถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่าย hate speech จึงมักมีลักษณะที่ปลุกเร้าอารมณ์ แต่คนที่มีสติและความสงบจะเร้าอารมณ์ไม่ขึ้น ดังนั้นหากสังคมไทยมีประชาชนที่มีสติรู้จักใคร่ครวญให้มากขึ้น คนกลุ่มนี้จะมีบทบาทในการลด hate speechด้วยการรวมตัวกันเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรณรงค์ในประเด็นที่เป็น “คานงัด” ของสังคม เช่น จริยธรรมนักการเมือง การออกกฎหมายบังคับให้ผู้บริการแพลตฟอร์มต้องรับผิดชอบ และระบบการศึกษา
อีกหนึ่งแนวทางคือ โครงการของกรมสุขภาพจิตในการสร้างทักษะการใช้อินเทอร์เน็ตที่ดีประกอบด้วย “2 ไม่ 1 เตือน” “2 ไม่” คือไม่ผลิตและไม่ส่งต่อเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง “1เตือน” คือการเตือนด้วยความสุภาพเพราะคนส่วนใหญ่ทำไปโดยไม่รู้ถึงผลกระทบว่าทำให้เกิดความรุนแรง
ณภัทร ชุ่มจิตตรี หรือ “คิง ก่อนบ่าย” มาถ่ายทอดประสบการณ์ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากความเห็นของ “ชาวเน็ต” ทั้งชื่นชมและเกลียดชัง เขาเล่าว่าเมื่อครั้งที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคนมาชื่นชมล้นหลามในฐานะดาราที่ออกมา “call out” ต่อรัฐบาล แต่เมื่อเขาตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. สังกัดพรรคพลังประชารัฐ กลับถูก “ทัวร์ลง” อย่างหนักเพียงเพราะเลือกสังกัดพรรคที่ไม่ถูกใจชาวเน็ต แต่คอมเมนต์ที่ทำให้เขาเสียความรู้สึกมากที่สุดคือการดูถูกอาชีพนักแสดงตลกของเขาว่าเป็นอาชีพที่ไม่มีความรู้ความสามารถพอจะเป็นนักการเมือง โดยไม่สนใจว่าเขาเรียนจบอะไรมาหรือมีความสามารถอะไรบ้าง
“ผมเป็นดารา ช่วงหนึ่งสังคมออกมาเรียกร้องให้ดาราออกมาพูดการเมือง แต่พอเราลงการเมืองก็ถูกถามว่าเป็นดารามายุ่งการเมืองทำไม”

คุณณภัทรยอมรับว่าการถูกโจมตีทางออนไลน์ทำให้เขา “จิตตก” อย่างมาก จึงใช้วิธีการดูแลตัวเองด้วยการใช้โซเชียลมีเดียให้น้อยลง หากใช้ก็จะเลือกอ่านเนื้อหาที่ให้กำลังใจ ต่อมาจึงมองเห็นว่าโซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ที่คนมาระบายอารมณ์โดยไม่สนใจข้อมูลหรือเนื้อหาสาระ จึงไม่ควรเก็บมาคิดมากจนไม่เป็นสุข
ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ซาเวียร์ กล่าวถึงเนื้อหาเท็จออนไลน์ที่สร้างความสะเทือนใจให้คริสตศาสนิกชนเป็นอย่างมาก คือการเผยแพร่ข่าวเท็จว่าสมเด็จพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ ขณะที่พระองค์ทรงพระประชวรหนักและต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล “เราเสียใจที่มีคนแช่งหรือแสดงความเกลียดชังท่าน แต่ศาสนาเราสอนให้ต่อสู้ความเกลียดด้วยความรัก ถ้าเราเกลียดตอบ”

ซิสเตอร์อ้างข้อความจากพระคัมภีร์ที่เขียนถึงความรักว่า “ความรักอดทนนาน มีใจปราณี ความรักต้องไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอและมีความทรหดอดทนอยู่เสมอ” ข้อความนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เราไม่ตอบโต้คนที่สร้างความเกลียดชัง เพราะถ้าต่อว่าก็จะยิ่งเพิ่มความเกลียดต่อไป “เราไม่ชื่นชมในสิ่งที่เขาทำแต่เราก็ไม่ไปตอบโต้เขา เราสู้กับความเกลียดด้วยความรักและขันติ”

ซิสเตอร์ยังตั้งข้อสังเกตถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนว่าบางสื่อเสนอข่าวไม่เที่ยงธรรม ใส่ความคิดเห็นส่วนตัว ชักจูงให้คนเกลียดชังกันแทนที่จะส่งเสริมให้มีความรักต่อคนต่างเชื้อชาติ
คุณอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมานานกว่า 20 ปี ก่อนจะมาเป็น สว. กล่าวว่าในไทยมีการใส่ร้ายป้ายสีสร้างความเกลียดชังคนที่ทำงานเพื่อสังคม ช่วงที่เธอดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนเป็นช่วงที่โดน hate speech มากที่สุด และกลับมาโดนมากอีกครั้งนับตั้งแต่เข้ามาเป็น สว. หญิง ซึ่งเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังมักจะใช้ประเด็นเรื่องเพศเป็น “อาวุธในการทำลายล้าง” เช่น เมื่อเธอออกมาปกป้องสิทธิของผู้ลี้ภัยหรือคัดค้านโทษประหารชีวิต ก็จะมีคนมาเขียนคอมเมนต์ว่า“ก็เอามันมาเป็นผัวสิ”

คุณอังคณาเล่าว่าเธอใช้ทุกกลไกทุกช่องทางเพื่อปกป้องสิทธิตนเองจากการถูกโจมตีด้วยเนื้อหาเท็จ เช่น ไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ซึ่งที่นั่นเธอพบว่ามีผู้หญิงหลายคนไปแจ้งความเพราะถูกนำคลิปส่วนตัวไปเผยแพร่ แต่พบว่าเจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ขณะที่ผู้เสียหายจากการทำลายชื่อเสียงต้องเสียสุขภาพจิตแต่กลับไม่มีระบบหรือกลไกเยียวยาผู้ตกเป็นเหยื่อเลย ทั้งที่เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและยาวนาน
การตกถูกใส่ร้ายป้ายสีเพื่อสร้างความเกลียดชังทำให้นักกิจกรรมทางการเมืองและนักสิทธิมนุษยชนหลายต้องเลิกทำงานไปเลย
สำหรับการรับมือนั้น คุณอังคณาเสนอว่านอกจากผู้เสียหายควรรวมตัวกันเพื่อผลักดันให้เกิดกลไกการป้องกันและเยียวยาแล้ว ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียควรจะมีความรับผิดชอบในการจัดการเนื้อหามากกว่านี้
คุณชมพูนุท เฉลียวบุญ ผู้จัดการโครงการภูมิภาค Westminster Foundation for Democracy (WFD) กล่าวว่า WFD ทำงานด้านการสนับสนุนผู้หญิงให้เข้าสู่พื้นที่ทางการเมืองมากขึ้น และผลักดันให้สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงที่เข้ามาทำงานการเมือง

WFD ได้ทำการเก็บข้อมูลการคุกคามทางออนไลน์ต่อนักการเมืองหญิง พบว่ามี “เกรียนคีย์บอร์ด” สร้างความเกลียดชัง ดูหมิ่นดูแคลนนักการเมืองหญิงอย่างต่อเนื่อง การแจ้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดำเนินการ (report) ก็ใช้เวลานานกว่าที่เนื้อหานั้นจะถูกนำออกจากระบบเนื้อหาเหล่านี้จึงถูกปล่อยให้อยู่ในโลกออนไลน์เป็นเวลานาน
การเข้ามาโพสต์เนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังและลดทอนคุณค่าเช่นนี้ นอกจากจะลดทอนคุณค่า ทำลายชื่อเสียงของนักการเมืองแล้ว ยังเป็นการเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่น ทำให้คนไม่สนใจนโยบายที่นักการเมืองนำเสนอ
การเก็บข้อมูลยังพบว่ามีเนื้อหาเชิงข่มขู่ แม้จะมีไม่มากแต่มีความรุนแรง เช่น ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายหรือถึงขั้นเอาชีวิต ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากให้นักการเมืองหญิงที่ต้องลงพื้นที่และปรากฏตัวในที่สาธารณะ นอกจากนี้ยังมีการเอาข้อมูลส่วนตัว เช่น ที่พักอาศัย มาเปิดเผย

“ด้วยความที่ผู้หญิงอยู่ในงานการเมืองน้อยอยู่แล้ว พอเจอความเสี่ยง ความกลัวแบบนี้หลายคนจึงไม่อยากจะทำงานการเมืองต่อ แม้จะเป็นเนื้อหาเท็จ แต่มันก็สร้างความอับอายและต้องใช้เวลามาแก้ไขความเข้าใจผิดนั้น หลายคนได้รับผลกระทบทางจิตใจต่อเนื่องยาวนาน และกระทบกับครอบครัวด้วย”
คุณชมพูนุทกล่าวว่า พรรคการเมืองต้นสังกัดหรือรัฐสภาไม่มีกลไกปกป้องหรือเยียวยาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการสร้างความเกลียดชัง และเห็นด้วยกับคุณอังคณาว่า ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ เช่น พัฒนาเทคโนโลยีในการตรวจจับเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง ไม่ควรผลักความรับผิดชอบให้ผู้ใช้งานในการตรวจสอบ และประเทศไทยควรมีกฎหมายที่ชัดเจนเพื่อกำกับให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมีรับผิดชอบต่อผู้ใช้
คุณวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่าโลกออนไลน์มีประโยชน์ในการสื่อสารและเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน แต่ก็มีพิษภัยอยู่ไม่น้อย ปัญหาข่าวลวงข่าวปลอมมีมากขึ้น เทคโนโลยีเอไอทำให้แยกแยะความลวงความจริงยากขึ้น มีปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ การสร้างความเกลียดชัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวมและต่อปัจเจกบุคคล ในอดีตการปลุกเร้าความเกลียดชังเคยนำมาสู่เหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในกัมพูชาเมื่อปี 2546

คุณวสันต์กล่าวว่า hate speech มีทั้งประเด็นเกี่ยวกับศาสนา เชื้อชาติ เพศ ซึ่งขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน กติกาและอนุสัญญาระหว่างประเทศเน้นย้ำเรื่องการไม่เลือกปฏิบัติ สังคมไทยเป็นพหุวัฒนธรรมต้องเคารพความแตกต่างหลากหลายอยู่ด้วยกันอย่างสันติ เข้าใจและให้อภัย
ดร.พิมพ์รภัช ผู้ดำเนินรายการเปิดให้ผู้ฟังซักถาม ซึ่งคุณแฟรงค์ สมิธ ได้สอบถามว่ากรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มักใช้ถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชังชนกลุ่มน้อย ผู้อพยพและสื่อมวลชน วิทยากรมองว่ามันส่งกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร

นพ.ยงยุทธให้ความเห็นว่า ผู้นำไม่ควรแสดง hate speech นายกรัฐมนตรีของไทยคนหนึ่งในยุค คสช. ก็เคยแสดงความเห็นทำนองว่า ถ้าใครที่คิดแบบนี้ก็ไม่ต้องอยู่เมืองไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไม่ควรจะยอมรับได้ สังคมควรมีบรรดทัดฐานในเรื่องการไม่ยอมรับผู้นำ สส. หรือ สว. ที่เผยแพร่ hate speech มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองควรระบุให้ชัดเจนว่าการสร้างความเกลียดชังเป็นการผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง

คุณวสันต์ให้ความเห็นว่า ผู้นำประเทศต้องระมัดระวังคำพูด เพราะคำพูดของผู้นำประเทศย่อมส่งผลกระทบในวงกว้าง ถ้าผู้นำมีทัศนคติไม่ดีหรือใช้คำพูดที่ไม่ดีอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายต่าง ๆ และหากคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง เกิดขึ้นในช่วงที่สังคมมีความเห็นต่างและมีความขัดแย้งก็มีโอกาสที่จะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อกันได้
ด้านคุณอังคณามองว่า ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีที่ประชาชนอเมริกันเลือกเข้ามา และนโยบายต่าง ๆ ที่เขาทำอยู่ในขณะนี้ก็เป็นนโยบายที่เขาหาเสียงไว้ แต่ที่น่าสนใจคือสหรัฐอเมริกามีกลไกที่จะคานอำนาจฝ่ายบริหาร ความเป็นประชาธิปไตยในอเมริกาก็ทำให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้
ช่วงสุดท้ายของเวทีเสวนา โคแฟคในฐานะผู้จัดได้นิมนต์พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.) ซึ่งปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซียกล่าวปิดการเสวนาผ่านทางระบบประชุมออนไลน์
พระมหานภันต์เสนอว่า ภูมิปัญญารวมหมู่เพื่อแก้ปัญหา hate speech ด้วยคำว่า CARE
C คือ Connect เชื่อมโยงมนุษย์เข้าด้วยกันในทางที่ดี
A คือ Aware ตระหนักรู้ถึงเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน และคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างเหมาะสม
R คือ Responsibility การป้องกันและรับมือกับการสร้างความเกลียดชังเป็นความรับผิดชอบของทุกคน
E คือ Energize ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเสริมพลังซึ่งกันและกัน อย่าให้คนที่ทำงานต่อสู้เพื่อสิ่งที่ดีงามและสิทธิมนุษยชนต้องโดดเดี่ยว
“อาตมาเชื่อว่า CARE นี้จะช่วยให้เรารับมือกับความเกลียดชังและเนื้อหาเท็จออนไลน์ที่กำลังเกิดขึ้นได้” พระมหานภันต์กล่าวปิดท้ายเวทีเสวนา.
*********************