สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 12 ตุลาคม 2567

งดทัศนศึกษาทั่วประเทศ หากโรงเรียนใดฝ่าฝืนปรับ 20,000,000 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/9sn4fc066vqq


เม็ดชาไข่มุกทําให้เป็นมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2kin0jqnce8ue#_=_


น้ำทะเลชายฝั่ง จ.สงขลา และ จ.สุราษฎร์ธานี ลดลงเป็นระยะ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/6sndn2dligu3


กัญชารักษาโรคซึมเศร้าได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3nd3u65rx8wmu


เงินเดือนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจาก 600 บาท เป็น 1,000 บาท เริ่มต้นเดือนตุลาคมนี้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/7nxgvn2mc3vx


 30 บาทรักษาทุกที่ เจ็บป่วยเล็กน้อยสามารถขอรับยาฟรี 32 อาการได้ที่ร้านยา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1qdfozm3vyo0p


 กทม. เปิดฉีดวัคซีนและฝังไมโครชิปสัตว์เลี้ยงฟรี ตลอดเดือน ต.ค. 67 นี้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1i1gtlkpnqqby


กทม. เตรียมรับน้ำ เตือนชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยายกของขึ้นที่สูงเนื่องจากระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2jmimc2tjkijt


 เตือน! ภัยร้ายจากแอปพลิเคชันหาคู่ เสี่ยงเจอมิจฉาชีพ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2eqn3uy90ivn8#_=_


มองจุดแข็ง-จุดอ่อนสังคมไทย รับมือ‘โจรออนไลน์’แม้ระบบกฎหมายยังต้องปรับ แต่‘วิธีคิดของคน’ ย่อมสำคัญ

กิจกรรม

9 ต.ค. 2567 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สภาองค์กรของผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และเครือข่าย จัดเวทีนักคิดดิจิทัล Digital Thinkers Forum ครั้งที่ 28 “Next levels to counter fraud & deepfake: What’s else should we act? ยกระดับรับมือมิจจี้ภัยการเงิน จากพลเมืองเท่าทันสู่นโยบายสาธารณะในยุคดีพเฟค ที่ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ และถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก ไทยพีบีเอส และCofact โคแฟค

ดร.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และ โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวว่า หากอ้างอิงข้อมูลจากทางตำรวจ สถิตินับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2565 – ก.ค. 2567 คดีความเฉพาะที่เกี่ยวกับการหลอกลวงเพียงอย่างเดียว ไม่นับรวมเรื่องการซื้อของแล้วไม่ได้ของ มีมากถึง 3 แสนคดี มูลค่าความเสียหายสูงถึง 6.5 หมื่นล้านบาท ถือเป็นจำนวนที่สูงมากหากเทียบกับจำนวนประชากรและรายได้ ซึ่ง ธปท. มองว่า การที่ประเทศไทยจะก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล ย่อมไม่อาจปล่อยให้ประชาชนอยู่กับความเสี่ยงและความกังวลในการทำธุรกรรมทางการเงินด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลแบบนี้ได้ จึงต้องมีการออกมาตรการต่างๆ มาดูแล แต่ความยากคือในขณะที่เราอยู่ในที่สว่างในขณะที่มิจฉาชีพอยู่ในที่มืด เมื่อมีมาตรการใดๆ ออกมาก็จะหาทางหลบเลี่ยงและคิดอุบายใหม่ๆ ออกมาเพื่อหลอกลวงอยู่เสมอ

มาตรการที่ ธปท. ดำเนินการร่วมกับธนาคารต่างๆ เพื่อสกัดกั้นมิจฉาชีพ เช่น ยุติการส่งข้อความสั้น (SMS) ในลักษณะที่เป็นการแนบ Link ให้คลิก เนื่องจากที่ผ่านมาได้กลายเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพส่ง Link ปลอม แอบอ้างเป็นธนาคารหลอกให้เหยื่อคลิกเพื่อติดตั้งแอปพลิเคชั่นควบคุมโทรศัพท์แล้วดึงเงินออกไปจากบัญชีของเหยื่อ หรือ แอปฯ ดูดเงิน การกำหนดให้การโอนเงินเกินครั้งละ 5 หมื่นบาท หรือเกินวันละ 2 แสนบาท ต้องสแกนใบหน้า เพราะพบว่ามิจฉาชีพโอนเงินออกจากบัญชีของเหยื่อโดยไม่รู้ตัว

เมื่อ ธปท. ออกมาตรการข้างต้น มิจฉาชีพได้ไปใช้อุบายอื่นๆ เช่น โทรศัพท์หลอกเหยื่อ อ้างเป็นหน่วยงานภาครัฐ หรือบริษัทเอกชน แล้วพูดคุยหาทางให้เหยื่อโอนเงิน ซึ่งความยาก คือเหยื่อเป็นคนโอนเงินไปให้เขาเอง กลายเป็นความรับผิดชอบที่เหยื่อต้องแบกรับด้วย ซึ่ง ธปท. ไม่อยากให้เกิดขึ้น ดังนั้นการตระหนักรู้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

แม้จะมาตรการใดๆ ออกมา แต่ถ้าเราโอนเงินและอนุญาตด้วยตัวของเราเอง ถือเป็นความยากและเมื่อเงินออกจากบัญชแล้ว ต้องใช้เวลานานมากและไม่มีสามารถรู้ได้ว่าเหยื่อจะได้เงินกลับมาคืนมาหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลยดร.ชญาวดี กล่าว 

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า มิจฉาชีพไม่เคยหยุดพัฒนา เปลี่ยนรูปแบบไปได้ทุกวัน ดังนั้นเราต้องรู้เท่าทัน ด้วยปัจจัยทางเทคโนโลยี ที่ทำให้มิจฉาชีพเข้าถึงตัวเราได้อย่างง่ายได้  ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา  คนไทยเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากขึ้นถึง 3 เท่า และสามารถใช้งานได้ทุกที่ ข้อดี คือ ทุกคนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย แต่อีกด้านหนึ่งมิจฉาชีพก็ใช้ช่องทางนี้เข้าถึงเหยื่อเช่นกัน

ทั้งนี้ มีผลการศึกษาที่ สสส. ทำร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า หากคนไทยมี 70 ล้านคน ในจำนวนนี้ 36 ล้านคน มีประสบการณ์ถูกคุกคามออนไลน์ และใน 36 ล้านคนนี้ครึ่งหนึ่งเคยถูกหลอกได้รับความเสียหาย หากหารเฉลี่ยจะตกอยู่ที่ 36,000 บาทต่อคน แต่ในความเป็นจริงแต่ละคนจะเสียหายไม่เท่ากัน บางคนเป็นหลักสิบบาท แต่บางคนก็อาจสูงถึงหลักล้านบาท อีกทั้งเมื่อพลาดแล้วการสูญเสียเงินจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากและตามกลับเงินคืนมาได้ยาก โดยได้กลับมาเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น

นี่เป็นเพียงข้อมูลปัจจุบัน หากมีการพัฒนาเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) ี่มีความเหมือนจริงมาก ยิ่งทำให้พวกเราถูกหลอกได้มากขึ้นโดยแทบจะไม่รู้ตัว โอนเงินถูกหลอกไปด้วยความยินยอมพร้อมใจ AI มีข้อดีมากมาย  แต่มีข้อที่พึงระวังในการใช้ด้วยเช่นกัน  ดังนั้นองค์กรทั้งหลายต้องมาร่วมกันทำงานเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว

จากนั้นเป็นการบรรยายโดย ดร.โจชัว เจมส์ (Dr. Joshua James) Regional Counter-Cybercrime Coordinator United Nations Office on Drugs and Crime (UNODC) กล่าวว่า ประเทศไทยมีสถานการณ์ที่มีปัจจัยหลายอย่างมารวมกันและเอื้อต่อการเกิดเรื่องร้ายๆ อย่างกรณีของมิจฉาชีพออนไลน์ ประเทศไทยมีปัจจัย คือ 1.การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่เติบโตอย่างรวดเร็วและสามารถใช้งานจากที่ไหนก็ได้ ทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ทุกที่ 2.ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง กลายเป็นแรงกดดันให้ต้องดิ้นรนหาเงิน และอาจตกเป็นเหยื่ออุบายที่อ้างว่ามีวิธีหาเงินได้ง่ายและได้ผลตอบแทนสูง (Easy Money) 3.การโอนเงินทำได้ง่ายแม้กระทั่งการโอนข้ามประเทศ ทุกอย่างทำได้โดยโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว 4.การมาของสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทำได้ง่าย ซึ่งหมายถึงการโกงทำได้ง่ายขึ้นด้วย 5.กฎหมายตามไม่ทันเทคโนโลยี กว่ากฎหมายสักฉบับจะออกมาบังคับใช้ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาทั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ซึ่งใช้เวลานาน ในขณะที่เทคโนโลยีใหม่ๆ อาจเกิดขึ้นได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน นอกจากนั้น ในขณะที่รัฐบาลดูแลเพียงในอาณาเขตประเทศ แต่มิจฉาชีพมองหาโอกาสจากทั่วโลก เช่น มิจฉาชีพอยู่ในประเทศหนึ่งแต่คิดหาทางหลอกเอาเงินจากคนที่อยู่ในประเทศที่อยู่ไกลออกไปคนละซีกโลก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่หลายหน่วยงานต้องทำงานร่วมกัน ทั้งองค์กรด้านการเงิน ด้านการบังคับใช้กฎหมายด้านการศึกษา

ทุกวันนี้ประเทศไทยพัฒนาขึ้นมากแล้ว ถึงแม้จะยังมีการหลอกอยู่เยอะ มีเหยื่อที่โดนหลอกเป็นหมื่นเป็นแสนคน แต่จากสถิติของสหประชาชาติ จากที่ได้ร่วมงานกับตำรวจไซเบอร์ ประเทศไทยมีการพัฒนามากขึ้นแล้วในการรับมือภัยออนไลน์ ฉะนั้นเราต้องพัฒนาต่อไป อย่าให้แพ้มิจฉาชีพที่เขาก็พัฒนาอย่างไม่หยุดเหมือนกัน ดร.โจชัว กล่าว

จากนั้นเป็นวงเสวนาที่ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) มีวิทยากร 5 ท่าน โดย พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมทกล่าวว่า ประเทศไทยปรับตัวรับมือได้รวดเร็ว โดยหากย้อนไปสัก 4 ปีก่อน สถานการณ์แย่กว่านี้มาก แต่เมื่อทุกหน่วยงานมาร่วมกันทำงานในบทบาทของตนเองก็ทำให้หลายๆ อย่างถูกแก้ไข แต่จุดอ่อนคือจากที่เคยได้ยินในหลายเวทีซึ่งไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่ คือหน่วยงานต่างๆ ยังทำงานร่วมกันได้ไม่ดีนัก แต่หากทุกหน่วยงานร่วมกันแก้ไขสร้างความตื่นตัวในเรื่องนี้  และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว 

ปัญหาของคนที่ทำงานด้านการตรวจสอบและรับมือข้อมูลลวพบ คือ บางครั้งประชาชนเลือกเชื่อโดยไม่สนใจข้อเท็จจริง  เขาอาจไม่ได้ตั้งคำถามว่าตกลงเรื่องจริงคืออะไร? เขามักจะไปตั้งคำถามในเรื่องที่อยากตั้งคำถาม แต่เรื่องที่เขาไม่อยากตั้งคำถามเขาก็ไม่ตั้งคำถาม ด้วยวิธีคิดแบบนี้กลายเป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพเข้ามาทำอะไรกบแต่ละบุคคลได้มากขึ้น ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องหนึ่งที่ประชาชนน่าจะยกระดับและตั้งคำถาม-ตั้งข้อสงสัยเสมอ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท. กล่าว 

สุวิตา จรัญวงศ์ ผู้ก่อตั้งและ CEO บริษัท เทลสกอร์ จำกัด (Tellscore) กล่าวว่า เทลสกอร์ทำงานกับผู้ผลิตเนื้อหา (Content Creator) ตลอดจนภาคประชาสังคม จุดแข็งสำคัญของสังคมไทยคือยังมีความเป็นครอบครัว แม้จะไม่ใช่ครอบครัวใหญ่อย่างในอดีตแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นโดดเดี่ยว อย่างที่เรามักเตือนผู้สูงอายุว่าได้รับข้อมูลอะไรมาให้ไหว้วานลูกหลานช่วยตรวจสอบก่อน วิธีนี้ใช้กับสังคมตะวันตกไม่ได้เพราะผู้สูงอายุในโลกตะวันตกมักอยู่คนเดียวหรืออยู่กับสองคนตา-ยาย แต่ข้อเสียของคนไทย คือ เชื่อง่าย โอนง่าย โอนไว

แล้วพอมีคนมาทำร้ายมักจะไม่ฟ้องใคร ไม่รายงานใครด้วย เก็บเอาไว้คนเดียวเพราะว่าอาย อยากให้ประชาชนรู้ในคุณค่าของตนเอง แล้วก็ลุกขึ้นมารายงานให้มากกว่านี้ เพราะเป็นประโยชน์กับหน่วยงานมากๆ เลย รวมถึงในฐานะที่เราเป็นสื่อเราเป็นผู้ผลิตเนื้อหาก็จริงแต่ก็ร่วมงานกับสื่อมวลชนอยู่เยอะ ึ่งบทบาทของสื่อก็อาจช่วยเหลือหน่วยงานได้อีกแรงหนึ่ง ก็จะเห็นเรื่องของความร่วมมือ ปวารณาตัวเลยว่าถ้าต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลหรือมีการต้องร่วมงานกัน ยินดีมากและรู้สึกว่าเราต้องทำร่วมกันมากกว่านี้ สุวิตา กล่าว

อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการ สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า ในขณะที่เราบอกว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ น่าคิดว่าเราเป็นพุทธไม่เต็มที่หรือไม่เพราะเมื่อดูคำสอนของพระพุทธเจ้า 1.อย่ามีชีวิตบนความประมาท 2.อย่าเชื่อสิ่งใดง่ายๆ โดยไม่ตรวจสอบแม้จะเป็นคำของตถาคต และ 3.ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เหล่านี้เป็นคำสอนตั้งแต่เมื่อกว่า 2,500 ปีก่อน แสดงว่ามีบริบทบางอย่างที่ซ้ำกันตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เพียงแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือรูปแบบตามความทันสมัยของเทคโนโลยี เหล่านี้เราได้รับรู้แต่ก็วางไว้ไม่ได้ยึดถือเป็นที่ตั้งในการดำรงชีวิต

แต่คำสอนบางข้อบางประการ ให้อภัย เป็นเรื่องกรรมเวร ปล่อยให้เป็นเรื่องบุญกรรมเพราะชาติก่อนเราอาจจะไปทำมา จุดอ่อนตรงนี้เราต้องกลับมาตรวจสอบบริบทของพลเมืองของเราทั้งหมดว่าสถานการณ์ประชาชนยังเป็นแบบนี้อยู่ ฉะนั้นตัวระบบของรัฐผมคิดว่ายังต้องการความแข็งแรงเป็นพิเศษ เหมือนกับที่ผมเคยพูดทุกเวที สถานการณ์ตอนนี้ถ้าเรามีคนใกล้ตัวบอกว่าโดนเหมือนกัน อาการถึงขั้นเป็นโรคระบาด รัฐต้องออกมาประกาศเป็นวิกฤติของชาติ แล้วต้องมีมาตรการพิเศษ จะใช้วิถีแบบเดิมปกติ อำนวยความสะดวก เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกิจ คงจะใช้มาตรการแบบนั้นในเวลาแบบนี้อาจจะใช่หรือไม่? อิฐบูรณ์ กล่าว

พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กล่าวว่า ในขณะที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ในเรื่องการทำให้เจ้าของระบบมีความพร้อมรับมือแฮ็กเกอร์ โดยล่าสุดขยับจากอันดับ 44 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 7 แต่อีกด้านหนึ่ง สกมช. ยังมีงานที่ต้องช่วยให้คนถูกหลอกน้อยลงด้วย ซึ่งสำหรับสังคมไทยนั้นมีจุดแข็งคือราคาการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตค่อนข้างเหมาะสม สัญญาณระดับ 5G ครอบคลุมอย่างทั่วถึง

นอกจากนั้น ระบบการโอนเงินออนไลน์ (Mobile Banking) ใช้งานได้สะดวก ถึงขนาดติด 1 ใน 10 ประเทศที่ใช้บริการโอนเงินออนไลน์มากที่สุดในโลก แต่นอกจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแล้วประเทศไทยค่อนข้างมีเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การปิดกั้นทำได้ยากและมักถูกต่อต้านอยู่เสมอ เมื่อเทคโนโลยีเข้าถึงง่ายในราคาที่จับต้องได้บวกกับมีเสรีภาพในการเข้าถึง ทุกคนก็มีโอกาสเจอทั้งสิ่งดีและไม่ดี

อนี่ง สกมช. เคยทำงานร่วมกับภาคีโคแฟค สอนเทคนิคการสังเกตคลิปวีดีโอที่อาจเข้าข่ายใช้เทคโนโลยีดีพเฟค (Deepfake) โดยยกตัวอย่างคลิปวีดีโอดาราดังโชว์ท่าเต้นแบบสุดเหวี่ยงบนแพลตฟอร์มติ๊กต๊อก (Tiktok) ให้ช่วยกันดูว่าเป็นของจริงหรือใช้ดีพเฟคปลอมขึ้น เช่น ปากขยับอย่างไร ตาเป็นแบบไหน  แต่จริงๆ อยากให้ลองคิดว่าอยู่ดีๆ คนระดับนั้นจะมาเต้นโชว์ลงติ๊กต๊อกทำไม หรือหากมีคนเข้ามาทักบอกว่ามีวิธีลงทุนน้อยแต่ได้เงินมากๆ แต่เป็นความลับและมีคนจำนวนน้อยที่ได้รู้ อยากให้ลองคิดดูว่าหากมีจริงๆ รัฐบาลคงเชิญไปช่วยกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศแล้ว เป็นต้น

เวลาที่จะขายข่าวมี 2 แบบ 1.Clickbait (พาดหัวล่อเป้า) ทำแล้วยั่วให้เข้าไปอ่าน ตรงนี้เราจะเจอเยอะมาก เจอข้อความสั้นๆ ข่าวดูแย่มากเลย แต่พอจะดูรายละเอียดต้องเข้าไปคลิก แต่เท่านั้นยังไม่พอ ตอนนี้ยังกระตุ้นให้เป็น 2.Ragebait (พาดหัวยั่วให้โกรธ) คือ ยั่วให้โมโห ใส่เข้าไปยั่วให้มาด่ามาโกรธ อันนี้จะเห็นเยอะขึ้นและบางครั้งเราเองก็ตกเป็นเหยื่อ แบบนี้ถึงจะมองว่าสุดท้ายไม่ได้เสียเงิน แต่มันเป็นชุดความคิดเดียวกัน ถ้าเราเชื่ออะไรแบบนี้ง่ายๆ มองเห็นอะไรปุ๊บแล้วด่วนตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ปกติเราจะไม่ทำ เขามายั่วเราถึงทำ พอไปถึงตอนที่เราถูกหลอก ชุดความคิดแบบเดียวกันที่เราไม่ได้คิดวิเคราะห์ มันก็ตามไปด้วย พล.อ.ต.อมร กล่าว

ภิญโญ ตรีเพชราภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงภาพรวม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ย้อนไปก่อนหน้านี้ กฎหมายคือจุดอ่อนเพราะไม่มีกฎหมาย แต่ปัจจุบันมี พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 และมีมาตรการต่างๆ ออกมา เช่น การเปิดบัญชีม้ามีโทษรุนแรงขึ้น ธนาคารสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ ออกมาตรการลดความเสี่ยงจากการโอนเงินทางออนไลน์ มีการตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาทำงานร่วมกัน เกิดเป็นศูนย์ AOC แบบ One Stop Service ในการแก้ไขปัญหาหลอกลวงออนไลน์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในด้านกฎหมายก็ยังมีจุดที่ต้องปรับให้แข็งขึ้น เช่น การเยียวยาความเสียหาย การควบคุมไปถึงสกุลเงินดิจิทัล หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลจะทำได้ดีขึ้นกว่านี้ได้หรือไม่ แต่อีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ยังคงเป็นจุดอ่อนเสมอคือเรื่องของคน เช่น หากเราเป็นผู้สูงอายุอาจมีความใจอ่อน ใครโทรศัพท์มาอ้างเป็นเพื่อนหรือญาติก็อาจโอนเงินให้เขาไป หรือหากเราเป็นคนเหงาๆ อยู่คนเดียว อาจถูกหลอกให้รักแล้วโอนเงิน (Romance Scam) หรือคนที่มีเงินและกำลังอยากหารายได้เพิ่ม ก็อาจถูกหลอกให้ลงทุนได้ 

ทำอย่างไรให้การสื่อสาร ณ วันนี้ เข้าถึงทุกๆ กลุ่มคน ในการสร้างเกราะป้องกันตัวเอง ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร รูปแบบการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร ทุกคนสามารถที่จะสร้างเกราะป้องกันจุดอ่อนและไม่เป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ” ผอ.ฝ่ายบริหารความเสี่ยงภาพรวม ธปท. กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ดาวน์โหลดเอกสารการบรรยายโดย ดร.โจชัว เจมส์ (Dr. Joshua James) Regional Counter-Cybercrime Coordinator United Nations Office on Drugs and Crime (UNODC) 


อึ้ง ! คนไทย 36 ล้านคน ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์ ถูกหลอกให้ซื้อสินค้า-โอนเงิน-กู้เงิน       ไตรมาสแรก ปี 67 เกิดความเสียหายมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท พบ ผู้สูงอายุโดนหลอกพุ่ง 22%

กิจกรรม

สสส. สานพลัง โคแฟค-ภาคี เปิดเวทีนักคิดดิจิทัลครั้งที่ 28 มุ่งยกระดับนิเวศสื่อสุขภาวะ เตรียมความพร้อมประชาชนในการรับมือมิจฉาชีพออนไลน์ทางการเงิน

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 ต.ค. 2567 ที่ ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมกับโคแฟค (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายจัดเวทีนักคิดดิจิทัล Digital Thinkers Forum ครั้งที่ 28 ภายใต้หัวข้อ Next levels to counter fraud & deepfake: What’s else should we actยกระดับรับมือมิจจี้ภัยการเงิน จากพลเมืองเท่าทันสู่นโยบายสาธารณะในยุคดีพเฟค” พร้อมระดมความคิดจากนักวิชาการและวิทยากรหลากหลายสาขา ร่วมกันถกปัญหา และหาทางออกด้านการรับมือและป้องกันภัยมิจฉาชีพการเงินออนไลน์

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า  ข้อมูลจาก We Are Social ดิจิทัลเอเจนซีระดับโลก ระบุว่า คนไทยใช้งานอินเทอร์เน็ตมากกว่า 63 ล้านคน คิดเป็น 88% เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ในรอบ10 ปี และมีผู้ใช้บัญชีโซเชียลมีเดียมากกว่า 49ล้านคน หรือราว 68.3% เมื่อมีมือถืออยู่กับตัว ทำให้เป็นโอกาสทองของมิจฉาชีพ ที่สามารถเข้าถึงตัวได้ทุกที่ทุกเวลา สอดคล้องกับรายงานสถานการณ์การถูกหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ ภายใต้โครงการศึกษาสถานการณ์ภัยคุกคามทางออนไลน์ ปี 2567 โดย สสส. และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า คนไทยกว่า 36 ล้านคน ถูกหลอกลวงออนไลน์และตกเป็นผู้เสียหาย 18.37 ล้านคน โดยผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อเพิ่มสูงขึ้น 22% สาเหตุมาจากผู้สูงอายุไม่เข้าใจกลโกงเหล่านี้ จึงสูญเสียทรัพย์สินเงินทองให้กับมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังได้รับผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น ปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ปัญหาขาดความเชื่อมั่นต่อการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ และปัญหาสุขภาพจิต

“เวทีนักคิดดิจิทัลฯ ที่ สสส. และภาคีเครือข่ายจัดขึ้นครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญ คือ การผนึกกำลังภาคีทุกภาคส่วนยกระดับนิเวศสื่อสุขภาวะ เสริมทักษะให้ทุกคนเป็นพลเมืองเท่าทันสื่อ รวมถึงขับเคลื่อนให้มีมาตรการทางกฎหมายที่ต้องมาควบคุมกำกับดูแล มีบทลงโทษที่ชัดเจน มีมาตรการทางสังคม และมาตรการเยียวยาความเสียหายให้กับผู้บริโภค ซึ่งคนทุกวัยต้องช่วยกันดูแล โดยเฉพาะผู้สูงอายุไม่ให้ถูกหลอกลวงและตกเป็นเหยื่อของมิจจี้ หรือ มิจฉาชีพ อีกต่อไป”ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

ดร.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากข้อมูลของศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไตรมาสที่ 1 เดือน ปี 2567 พบว่าประชาชนแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ จำนวนไม่น้อยกว่า 400,000 ราย มูลค่าความเสียหายสูงกว่า 60,000 ล้านบาท สูงสุด 3 ประเภทที่มักโดนหลอก ได้แก่ 1.ถูกหลอกให้ซื้อสินค้าหรือบริการ 41.94% 2.หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน12.85% 3.หลอกให้กู้เงิน 10.95% บางคนเงินออมที่เก็บมาทั้งชีวิตต้องสูญไป ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงต้องจับมือแก้ไขปัญหาร่วมกัน ที่ผ่านมาทาง ธปท.และสถาบันการเงินได้ยกระดับการป้องกันภัยออนไลน์ผ่านมาตรการต่างๆ ด้วยการใช้นวัตกรรมในแก้ปัญหาให้รวดเร็ว รัดกุม และมีความเท่าทันภัยการเงินที่หลากหลาย แต่ปราการสำคัญอีกส่วนหนึ่ง คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนตื่นตัวและรู้เท่าทันกลลวงของมิจฉาชีพ ซึ่ง ธปท. สสส. โคแฟค และภาคีเครือข่ายได้มาร่วมกันเป็นกระบอกเสียงและผลักดันให้การสร้างภูมิคุ้มกันภัยการเงินเป็นนโยบายที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค(ประเทศไทย) กล่าวว่า รายงานสถานการณ์การหลอกลวงจากมิจฉาชีพในประเทศไทยประจำปี 2567 โดยบริษัท โกโกลุก (Gogolook) ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Whoscall ร่วมกับองค์กรต่อต้านกลโกงระดับโลก (GASA) และ ScamAdviser  พบว่าคนไทย 1 ใน 3 หรือราว 39% สูญเสียเงินให้มิจฉาชีพภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพ และมีเพียง 2% ที่ได้ทรัพย์สินคืนทั้งหมดหลังจากถูกหลอก  ถือว่าเป็นการถูกหลอกลวงบ่อยขึ้น มิจฉาชีพหลอกลวงสำเร็จในเวลาสั้น และโอกาสได้เงินคืนน้อยลง ตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา พบรูปแบบการหลอกลวงที่เปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อคนไทย หลายภาคส่วนจึงต้องร่วมมือกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด เพื่อลดความเสียหาย โดยบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง และสิ่งสำคัญคือ การกระตุ้นให้ประชาชนมีความพร้อมในการรับมือภัยมิจฉาชีพในยุคดีพเฟค

“รายงานความเสี่ยงโลก 2024 (Global Risk Report 2024) ระบุว่า ผลกระทบจากการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จและข่าวลวงจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นความเสี่ยงสำคัญอันดับหนึ่งในอีก 2 ปีข้างหน้า และไปถึงอีก 10 ปี (ปี 2577) โดยทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากการสร้างเนื้อหาหรือตัดต่อภาพที่อาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน และนำไปสู่รอยร้าวทางสังคมหรือความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกคนตรวจสอบข่าวก่อนแชร์ ป้องกันการถูกหลอกลวง สามารถเข้าใช้งานได้ ที่เว็บไซต์ cofact.org  และทาง Line แชตบอทโคแฟค @cofact ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” น.ส.สุภิญญา กล่าว

นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค(สภาผู้บริโภค) กล่าวว่า สภาผู้บริโภคมีข้อเสนอแนะต่อสถาบันการเงินและหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้มีมาตรการป้องกันและการชดเชยเยียวยาความเสียหายให้กับผู้บริโภคที่เผชิญปัญหาภัยออนไลน์เพิ่มขึ้น ได้แก่ การจัดให้มีมาตรการหน่วงเงิน (Delay Transaction) เพื่อให้ผู้บริโภคมีระยะเวลาในการตรวจสอบการโอนเงิน การออกมาตรการให้ธนาคารคืนเงินผู้เสียหายที่ประสบเหตุภัยอาชญากรรมทางการเงินที่รวดเร็วและเต็มจำนวนเงินที่สูญเสีย เพื่อคืนความรับผิดชอบกลับไปยังธนาคารในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพผู้รับฝากเงินซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงจากภัยอาชญากรรมการหลอกลวงทางการเงิน และสุดท้าย คือ ภาครัฐจะต้องจัดทำแพลตฟอร์มแจ้งเตือนภัยเบอร์ต้องสงสัยที่เข้าข่ายภัยมิจฉาชีพเพื่อให้ประชาชนไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์โดยเร็ว


‘AI’กับข้อมูลข่าวสาร! ‘โอกาส-ภัยคุกคาม’ ทางออกอยู่ที่‘สื่อ-บริษัทเทคฯ’ต้องชัดเรื่อง‘จริยธรรม’

กิจกรรม

3 ต.ค. 2567 สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ร่วมกับ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาหัวข้อ กฎบัตรปารีสเรื่องจริยธรรมสื่อในยุค AI และบริบทของไทย ที่สถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ ชั้น 34 ตึก SM Tower กรุงเทพฯ พร้อมถ่ายทอดสดทางเพจ “Cofact โคแฟค”  สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และ The Reporter 

ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและระบบสุขภาพวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เหมือนกับเหรียญ 2 ด้าน ด้านหนึ่ง AI ถูกสร้างมาเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่สุขภาพ แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการสร้างและเผยแพร่ข้อมูลปลอม รวมถึงการรุกรานทางไซเบอร์ ซึ่ง AI เข้ามาทวีความรุนแรงของปัญหา

เรื่องของข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) หรือเรื่องข่าวลวงต่างๆ ทั้งคนไทยและคนทั่วโลกจะถูกคุกคามด้วยปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง โดยรายงานความเสี่ยงโลก (Global Risk Report 2024) ระบุว่า Disinformation จะเป็นความเสี่ยงอันดับ 1 ใน 2 ปีข้างหน้า แล้วก็จะยืนยาวต่อเนื่องไปอีก 10 ปีข้างหน้า ผอ.สำนักสร้างเสริมระบบสื่อและระบบสุขภาพวะทางปัญญา สสส. กล่าว

ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2567 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 27 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ ทั้งสื่อมวลชนและนักวิชาการมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ว่าจะใช้ AI ในหน่วยงานสื่อมวลชนโดยไม่ละเมิดจริยธรรมได้อย่างไร ซึ่งจริงๆ แล้วก็พอจะรู้แนวทางกันอยู่บ้าง เช่น การใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI) ในการสร้างภาพประกอบ 

เคยมีตัวอย่างที่มีสำนักข่าวมีการทดลองสร้างรูปประกอบโดยใช้ AI ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่ามีกฎเกณฑ์ทำอย่างไร ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจาก AI สร้างมาแบบไม่สมบูรณ์ มีจุดที่ทำให้สามารถจับผิดได้ง่าย รู้ว่าไม่ใช่ภาพจริง จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าสร้างภาพนี้โดยสร้างขึ้นจาก AI  แต่ไม่บอกผู้ชม-ผู้ฟัง ซึ่งเป็นประเด็นที่เคยพูดคุยกัน ชวรงค์ กล่าว

อาเธอร์ กริมองพองต์ (Arthur Grimonpont) ผู้แทนองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) กล่าวว่า ตนเป็นหัวหน้าฝ่าย AI และความท้าทายระดับโลกของ RSF ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นกำลังหลักในการเผยแพร่ข้อมูลทั่วโลก จากอัลกอริทึมที่คอยจับความสนใจของแต่ละคนแล้วป้อนเนื้อหาที่น่าสนใจเหล่านั้น ซึ่งหมายถึงแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ต่างๆ เช่น Youtube Facebook Instagram TikTok และ X ที่แม้หน้าตาจะแตกต่างกัน แต่การออกแบบภายในกลับคล้ายกัน

ทั้งหมดนี้เพื่อดึงความสนใจของผู้คน และเปลี่ยนความสนใจนั้นให้กลายเป็นรายได้จากโฆษณา แพลตฟอร์มเหล่านี้จึงกลายเป็นความท้าทายของสำนักข่าวต่างๆ โดยช่วงปลายปี 2565 – ปลายปี 2566 Meta (บริษัทเจ้าของ Facebook) ได้ลดการเข้าถึงข่าวของสำนักข่าวใน Facebook ลงครึ่งหนึ่ง โดยที่ยังไม่มีใครบังคับให้ Meta รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ ที่ยิ่งกว่านั้น AI อาจมีบทบาทมากขึ้นในการผลิตข้อมูลข่าวสารอีกด้วย 

การมาของ AI แบบสร้างสรรค์ มาพร้อมกับโอกาสหลายอย่าง แต่ก็มาพร้อมกับภัยคุกคามที่สำคัญเช่นกัน ในด้านโอกาส ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการใช้งานพื้นฐาน เช่น การแปลงเสียงเป็นข้อความ การแปลงข้อความเป็นเสียง หรือเป็นการใช้งาน AI ที่ฉลาดขึ้นอีก เช่น ในการทำข่าวสืบสวน อย่างการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม หรือการสกัดข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) 

แต่พร้อมกับโอกาสเฉพาะทางเหล่านี้ แต่มีภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน เพราะจากการสำรวจครั้งใหญ่ของนักวิทยาศาสตร์ AI ก็พบข้อมูลบิดเบือนและข้อมูลเท็จ ถือเป็นภัยคุกคามอันดับ 1 ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งภัยคุกคามของ AI แบบสร้างสรรค์ คือการทำให้แยกแยะได้ยากระหว่างเนื้อหาที่เป็นจริงกับเนื้อหาที่ปัญญาประดิษฐ์สร้างขึ้น และเมื่อถึงจุดหนึ่งคนจะไม่เชื่อ ในขณะที่ความท้าทายของสื่อคือการรักษาระดับความไว้วางใจของผู้รับสาร

ยังมีเรื่องของความหลากหลายและความเป็นอิสระในการเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งแชทบอทอาจกลายเป็นช่องทางเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญในอีกไม่ช้า เหมือนสื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน เช่น เมื่อ OpenAI (บริษัทผู้พัฒนาแชทบอท ChatGPT) เข้าเป็นพันธมิตรกับสื่อต่างๆ  จึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าคำตอบจาก ChatGPT ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารจะมีความน่าเชื่อถือและถูกต้องเพียงพอ นั่นคือปัญหาที่เราควรสนใจ

รวมถึงภัยคุกคามทางเศรษฐกิจ  ซึ่งไม่สามารถรับประกันเรื่องรายได้จากข้อตกลงระหว่างสื่อกับแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งนี้ ในทางทฤษฎีอาจป้องกันภัยคุกคามเหล่านี้ได้ผ่านการใช้กฎหมายและกฎข้อบังคับ แต่น่าเสียดายที่กฎข้อบังคับเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ออกมาช้าเกินไป ในขณะที่บริษัทที่ให้บริการ AI ซึ่งมักจะเป็นเจ้าของสื่อสังคมออนไลน์ด้วยนั้นมักจะอยู่ในกลุ่มที่มีอำนาจในการล็อบบี้สูงมาก ทั้งในสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐอเมริกา

ที่ผ่านมาสื่อมวลชนถูกกำกับด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลกันเอง ดังนั้นสื่อมวลชนจึงมีโอกาสในการทำงานร่วมกันได้อย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าสื่อมวลชนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบฝ่ายเดียวเท่านั้น เพราะจำเป็นต้องกำกับดูแลผู้ให้บริการ AI และ Social Media ด้วยเช่นกัน แต่สำนักข่าวยังทำหน้าที่ของตัวเองได้และดำเนินการในฝั่งของตนได้จึงเป็นเหตุผลที่ RSF ได้ริเริ่มกฎบัตรปารีสว่าด้วย AI และงานข่าวและสื่อสารมวลชน ผู้แทน RSFกล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า จากการบรรยายของผู้แทน RSF มีประเด็นน่าสนใจ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ทำให้มนุษย์สามารถผลิตภาพได้มหาศาลกว่าเมื่อ 150 ปีก่อน เราอยู่ในมหาสมุทรของข้อมูลทั้งภาพ เสียงและตัวอักษร ที่บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นหลักสำคัญของสื่อมวลชนจริงๆ คือกลับไปที่หลักจริยธรรมที่สื่อยึดถือ 

แต่เมื่อมีเรื่องของ AI เข้ามา ก็จะมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทเทคโนโลยี แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์และองค์กรสื่อ ซึ่งต้องรวมพลังกัน นอกจากจะมีแนวปฏิบัติของตนเองแล้ว ยังต้องสร้างอำนาจต่อรองด้วย เช่น นักข่าวภาคสนามไปลงพื้นที่ หรือบทความที่นักข่าวเขียนขึ้น เมื่อถูกนำไปให้ AI สร้างอะไรขึ้นมา ก็ควรมีการเจรจาเรื่องต้นทุนร่วมกับบริษัทเทคโนโลยี

จากเมื่อก่อนที่เราต้องเจรจาเรื่องการเข้าถึงของอัลกอริทึม ดูเหมือนว่าเราก็จะถูกรุกคืบเรื่อยๆ ก็เป็นเรื่องที่เขาบอกว่าทำไมสื่อแต่ละสื่อไม่สามารถมาทำอะไรด้วยตัวเอง เราถึงต้องรวมตัวกันเพื่อจะสร้างพลังและอำนาจต่อรอง แล้วก็สร้างแนวปฏิบัติเพื่อความอยู่รอดขององค์กรสื่อเองด้วย และเพื่อรับผิดชอบต่อสังคมด้วย สุภิญญา กล่าว

ผศ.ดร.เอกพล เธียรถาวร คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า กฎบัตรปารีสเหมือนกับกติกากว้างๆ ออกแบบมาให้ครอบคลุมหลายๆ ด้านในการใช้ AI ในงานสื่อสารมวลชน แต่รายละเอียดอาจต้องดูที่สื่อแต่ละแห่งหรือแต่ละบริบทต้องไปปรับใช้ ซึ่งสิ่งที่เห็นด้วยอย่างมากคือการต้องย้อนกลับมาดูว่าจริยธรรมเดิมของวิชาชีพเป็นอย่างไรและนำมาใช้เป็นแกนหลักในการทำงานไม่ว่าจะเป็น AI หรือเทคโนโลยีอื่นๆ รวมถึงให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ในการทำงานสื่อ

มีคนถามผมว่าต้องใช้อย่างไรดี เรื่อง AI มันใหม่มาก   ผมคุยกับนักศึกษาว่า ย้อนกลับไปว่าใช้วิธีคิดเหมือนเดิมเลย เวลาจะสื่อเนื้อหาอะไรออกไป โดยเฉพาะเรื่องโศกนาฏกรรม ใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน คือประโยชน์สูงสุดและความเสียหายหรือผลกระทบน้อยที่สุด ยังเป็นหลักเกณฑ์เดิมแค่ใช้เครื่องมือใหม่ ผศ.ดร.เอกพล กล่าว

ชุตินธรา วัฒนกุล บรรณาธิการบริหารข่าวออนไลน์ ไทยพีบีเอส กล่าวว่า จริงๆ วันนี้ทุกประเทศในโลกค่อนข้างกังวลและตื่นตัวกับการมาของปัญญาประดิษฐ์ แต่จากการสำรวจข้อมูลหลายๆ ที่ ก็พบว่ายังอยู่ในขั้นทดลองใช้ ยังเป็นการลองผิดลองถูก รวมถึงบริษัทผู้พัฒนา AI ก็เช่นกัน วันนี้ AI จึงเหมือนกับไม่เก่งแต่ดันทุรัง คนที่จะนำสิ่งที่ AI สร้างขึ้นไปใช้ก็ต้องตรวจสอบซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่าถูกหรือผิด 

หากเป็นคนที่ศึกษามาจะรู้ว่าไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด แต่ผู้รับสารทั่วๆ ไป โอกาสที่เขาจะรู้คือแทบไม่มีปัจจุบันจึงยังอยู่ในส่วนของการรู้เท่าทัน และจะใช้เครื่องมือหรือแนวทางใดในการตีกรอบ แต่ไม่อยากให้กรอบแคบจนเกินไปเพราะอาจไปทำลายความคิดสร้างสรรค์ให้หายไป ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยกับเรื่องการคุยกับต้นทาง หมายถึงหากสื่อนานาประเทศสามารถรวมคัวกันได้แล้วไปคุยกับบริษัทผู้พัฒนา AI ว่าต้องให้ความสำคัญกับจริยธรรมด้วย

สำหรับการทำงานของสื่อมวลชน อาจจะต้องมีข้อกำหนดอะไรบางอย่างว่า AI ไม่ควรจะสร้างอะไรที่นอกเหนือจากสิ่งที่เขาหาไม่ได้  ึ่งจะเป็นการช่วยงานสื่อเบื้องต้น กาเป็นสื่อมวลชนต้องนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นหลักการที่ก็ยึดหลักปฏิบัติมานานแล้วไม่ว่าจะใช้หรือไม่ใช้ AI การนำเสนอข้อเท็จจริงจะช่วยทำให้สื่อมีความน่าเชื่อถือ ชุตินธรา กล่าว

ชนิดา จันทเลิศลักษณ์ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์กล่าวว่า สนับสนุนกฎบัตรปารีสในเรื่องการให้อำนาจของมนุษย์ที่อยู่เหนือ AI เพราะการทำงานของกองบรรณาธิการ สุดท้ายการตัดสินใจหรือการกำหนดวาระข่าวยังเป็นเรื่องของบรรณาธิการที่มีทั้งประสบการณ์และมีความมั่นใจในการหยิบแหล่งข้อมูลแรก (First Source Data) มาใช้ก่อนที่จะใช้ AIมาช่วยสนับสนุน จึงเห็นว่าเป็นโอกาสดี เมื่อมี AI เข้ามา ซึ่งเป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนการทำงาน อำนาจของมนุษย์ไม่ว่าบรรณาธิการหรือนักข่าวจะมีความสำคัญมากขึ้น

First Source Data (แหล่งข้อมูลแรกมีความสำคัญมาก อย่างไม่นานนี้ Open AI ก็ถูก New York Times ฟ้องในเรื่องของการละเมิด คือเขาเชื่อว่ามีการหยิบเอาเนื้อหาบางส่วนเพื่อมาให้ AI เรียน แต่สุดท้ายแล้ว Open AI ก็กลับกลับไปซื้อข้อมูลของ Times  สะท้อนให้เห็นความสำคัญของ First Source Data ในงานข่าวและสื่อสารมวลชน ดังนั้นยิ่งตอกย้ำให้มีความมั่นใจยิ่งขึ้นว่าการแยกระหว่างเนื้อที่เป็น First Source Data ที่มีการตรวจสอบแล้ว ค่อยใช้เครื่องมือมาสร้าง หรือช่วยในการเล่าเรื่องชนิดา กล่าว

สุวิตา จรัญวงศ์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท เทลสกอร์ จำกัด กล่าวว่า ในกลุ่มผู้ผลิตเนื้อหา (Content Creator) ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ เพราะเป็นกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับเทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ มีความว่องไวเป็นทุนเดิม แต่ปัจจุบันถึงจุดที่ต้องกังวลความไวด้วย เพราะ Content Creator เกิดมาในสิ่งแวดล้อมที่เป็นชุมชน (Community) มักจะผลิตเนื้อหาเพื่อชุมชนกลุ่มเล็กๆ วิธีคิดและแนวปฏิบัติจะเป็นแบบกลุ่มเล็กๆ แต่เมื่อเครื่องมือดิจิทัล โดยเฉพาะ AI เข้ามา ก็ต้องรับเอาหลักการสื่อสารมวลชนมาใช้ให้มากขึ้น

จริงๆ ผู้ผลิตเบอร์ต้นๆ เคยมารวมตัวกันเพื่อคุยในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งกลุ่มผู้ผลิตเนื้อหา จริยธรรมเรายังไม่แม่นเลย เนื่องจากเดิมทีแนวปฏิบัติด้านจริยธรรมในกลุ่มผู้ผลิตเนื้อหาไม่ได้มีสมาคมหรือหน่วยงานใดให้การรับรอง ถ้าจริยธรรมในส่วนของสื่อสังคมออนไลน์กับผู้ผลิตเนื้อหา อาจต้องมีการลงลึกว่าตัวอย่างหรือกรณีศึกษาเป็นอย่างไร สุวิตากล่าว

รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากที่อ่านกฎบัตรปารีส พบว่าไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากยุคก่อนที่จะมีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งหลักการของวารสารศาสตร์ก็ยังอยู่ ส่วน AI ก็เหมือนกับเป็นพนักงานใหม่ที่ยังไม่รู้ดีเท่ากับเรา แต่ก็เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่กล้าทำแม้บางครั้งจะยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน 

ทั้งนี้ โดยส่วนตัวมองว่าประเทศไทยหรือสื่อไทยยังไม่มีความพร้อม อีกทั้ง Big Data ที่จะมาให้ AI ใช้ก็ยังไม่มี เคยไปอบรมการใช้ AI เข้ามาช่วยงานอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อลองใส่คำสั่งลงไปก็พบว่า AI ทำออกมาผิดค่อนข้างมาก ดังนั้นหากคนที่ใช้งาน AI เชื่อทั้งหมดจะมีโอกาสผิดพลาดสูง   อย่างตนเคยเป็นบรรณาธิการ มีประสบการณ์จะรู้ว่าข้อมูลนั้นถูกหรือผิด   แต่คนรุ่นใหม่ๆ ที่ยังสะสมข้อมูลมาน้อยแล้วนำ AI มาใช้ ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นอย่างมากซึ่งปัจจุบันจะมีคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เป็นนักข่าวหรือผู้ผลิตเนื้อหา พบว่าใช้และเชื่อ AI อย่างมาก โดยไม่รู้ด้วยว่าจะได้รับข้อมูลผิดๆ 

ดังนั้นสำหรับตัวเอง ตั้งคำถาม 2 คำถามว่า 1.วันนี้ที่มาคุยกันเราจะใช้กฎบัตรนี้เป็นตัวตั้งแล้วเรามาวิพากษ์ว่าควรใช้อย่างไรให้สอดคล้องกับบริบทของไทย วัฒนธรรมสื่อไทย และความพร้อม2.โดยส่วนตัวคิดว่ายังไม่พร้อม เอาง่ายๆ โคแฟคเล่นเรื่องข้อมูลบิดเบือน เราทำกันตั้งแต่ปี 2562จนถึงวันนี้มีสำนักข่าวกี่สำนักที่มีฝ่ายตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Checker) รศ.ดร.วิไลวรรณ กล่าว

หมายเหตุ : สามารถอ่าน กฎบัตรปารีสว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และงานข่าวและสื่อสารมวลชน ได้ที่นี่ https://blog.cofact.org/paris-charter23/

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ขอบคุณภาพงานจาก The Reporter

🎈🌏 Are we ready for the next level?เวทีนักคิดดิจิทัล Digital Thinkers Forum#28[9ตค.67] Next levels to counter fraud & deepfake: What’s else should we act?ยกระดับรับมือมิจจี้ภัยการเงิน จากพลเมืองเท่าทันสู่นโยบายสาธารณะในยุคดีพเฟค

กิจกรรม

วันพุธ ที่ 9 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2567 เวลา 09.30 – 15.00 น. ณ ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ลานกิจกรรมชั้น 1)

09.30 – 10.00 น. ลงทะเบียน


10.00 – 10.20 น. กล่าวต้อนรับโดย ดร.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และ โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย
กล่าวเปิดงานโดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

10.20 – 10.30 น. ร้องเล่าประสบการณ์ผู้ประสบภัยการเงินออนไลน์ โดย พิชิตชัย สีจุลลา หมอลำอีสานโคแฟค

10.30 – 11.00 น. Keynote Next levels to counter fraud & deepfake: What’s else should we act? โดย Dr. Joshua James Regional Counter-Cybercrime Coordinator United Nations Office on Drugs and Crime

11.30 – 12.30 น. เสวนานักคิดดิจิทัลในหัวข้อ “ Next levels to counter fraud & deepfake: What’s else should we act? ยกระดับรับมือมิจจี้ภัยการเงิน จากพลเมืองเท่าทันสู่นโยบายสาธารณะในยุคดีพเฟค” โดย

คุณภิญโญ ตรีเพชราภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงภาพรวม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)


พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)


นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการ สภาองค์กรของผู้บริโภค


คุณสุวิตา จรัญวงศ์ ผู้ก่อตั้งและ CEO บริษัท เทลสกอร์ จำกัด (Tellscore)


คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท
ดำเนินรายการโดย คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย)

12.30 – 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน

13.30 – 14.30 น. Workshop โดย ทีมสกมช. และ Cofact

15.00 น. กล่าวปิดงานโดย คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย)
🖼


ถ่ายทอดสดผ่านเพจ ThaiPBS และ Cofact
หมายเหตุ: กำหนดการอาจเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม


อย่าเพิ่งเชื่อ

อย่าเพิ่งโอน

❌❌❌

จาก‘6ตุลา’ถึง ‘ชายแดนใต้’ ผลกระทบ‘ข้อมูลลวง’เรื่องที่ทั้ง‘รัฐ-สื่ออาชีพ-ชาวโซเชียล’พึงตระหนัก

กิจกรรม

รายการ “Cofact Live Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย)วันที่ 5 ต.ค. 2567 ชวนพูดคุยกับ ผศ.ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล อาจารย์ประจำคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในหัวข้อ ทบทวนบทบาทสื่อสันติภาพในการรับมือสงครามข้อมูล จาก ตุลา 19 ถึง ยุคปัญญาประดิษฐ์รู้สร้าง” ณ เดอะเบคเฮาส์ @ปัตตานี เนื่องในโอกาส วันครูโลก (World Teachers’ Day) 5 ตุลาคม ของทุกปี

ผศ.ดร.วลักษณ์กมล เริ่มต้นด้วยการเล่าก่อนว่า มีโอกาสได้ไปศึกษาเรื่อง วารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ (Peace Journalism)” การที่อยู่ในจังหวัดปัตตานี ทำให้ในต่างประเทศที่ได้ไปสมัครเรียนมองว่าที่นี่มีเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะที่ในแวดวงวิชาการตั้งแต่เมื่อราวๆ 10 กว่าปีก่อน เริ่มมีงานวิจัยเรื่องการสื่อสารเพื่อสันติภาพออกมา และเมื่อได้อ่านก็มองว่าน่าจะเข้ากับสถานการณ์ชายแดนใต้ จึงเลือกเรื่องนี้มาทำเป็นวิทยานิพนธ์

จริงๆ แล้วสิ่งหนึ่งที่ทุกคนน่าจะรู้เลยว่าสื่อมีบทบาทสำคัญมากๆ ในการสร้างสันติภาพหรือทำให้ไม่เกิดสันติภาพก็ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างที่เราเห็น แล้วจริงๆ เราก็พูดถึงกันเยอะ บทบาทสื่อ เรื่องข่าวสืบสวน-สอบสวนอะไรต่างๆ แต่พอมันลงลึกในประเด็นเฉพาะซึ่งเป็นเรื่องของความขัดแย้ง Peace Journalism ก็บอกว่าเราจะไม่ได้เรียนหรือรู้แค่แนวปฏิบัติของการทำข่าวเท่านั้น แต่เราต้องรู้บริบทของพื้นที่ที่เราไปทำข่าว และที่สำคัญเราต้องรู้ทฤษฎีเรื่องความขัดแย้งและสันติภาพ

หากให้อธิบาย วารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ หมายถึง แนวปฏิบัติการทำงานของสื่อที่ต้องหาข้อมูลอย่างรอบด้าน หรือการค้นหาความจริงในทุกแง่มุมไม่ใช่เฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง โดยมีเป้าหมายไปสู่ทางออกของปัญหาอย่างสร้างสรรค์และสันติภาพ อย่างไรก็ตาม ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปกระบวนการทำงานก็ย่อมแตกต่างจากเดิม เช่น ในอดีตการค้นหาข้อมูลทำได้จากการลงพื้นที่หรือการสัมภาษณ์บุคคลที่หลากหลายเพื่อรวบรวมความคิดเห็นมาประกอบ แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยได้มาก

แม้จะมีเครื่องมือมากขึ้นในปัจจุบัน แต่หากเราประเมินข้อมูลไม่เป็นอาจกลายเป็นเรื่องยากได้ ในส่วนของหลักสูตรที่เกี่ยวกับวิชาชีพสื่อจึงต้องปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย อาทิ มีการนำความรู้เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เรื่องการทำข่าวด้วยการใช้ข้อมูล (Data Journalism) และล่าสุดคือปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามา ซึ่งคนทำสื่อต้องไม่เพียงใช้งานได้ แต่ต้องใช้อย่างชาญฉลาดด้วย 

ในยุคที่ทุกคนเป็นสื่อได้ผ่านการใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) สิ่งที่ต้องตระหนักไว้เสมอคือตราบใดที่เป็นการสื่อสารกับสาธารณะก็ต้องมีความรับผิดชอบ และสื่อสังคมออนไลน์ก็ไม่เหมือนกับการเขียนบันทึกหรือพูดอะไรในพื้นที่ส่วนตัว ส่วนประเด็นการมาของ AI นั้นมองว่าเป็นโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้พัฒนาผลงานได้ดีขึ้น รวมถึงขยายศักยภาพของคน 

แต่ยอมรับว่า เป็นห่วงเรื่องความเป็นมืออาชีพของสื่อ ตั้งแต่ความแน่วแน่ในบทบาทของตนเอง เพราะบางที่เมื่อเราอยู่ในยุคสื่อสังคมออนไลน์ก็ทำให้หลงลืมบทบาทของตนเองไปว่าการเป็นสื่อควรนำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้าน หรือการใช้ AI เข้ามาช่วยในงานสื่อก็ใช้เพื่อทำงานแทนตนเองไปเลย ไม่ได้ใช้เพื่อตรวจสอบหรือเพื่อขยายศักยภาพของตนเอง ซึ่งก็ไม่เป็นธรรมต่อผู้รับสาร แต่ระยะหลังๆ องค์กรสื่อก็จะให้ความสำคัญกับเรื่อง AI เห็นได้จากการเปิดเวทีสัมมนาเรื่องนี้มากขึ้น

ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์  6 ตุลา ผศ.ดร.วลักษณ์กมล กล่าวว่า ปรากฏการณ์ของการสื่อสาร เมื่อย้อนมองไปในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แล้วมาเทียบกับปัจจุบันจะพบทั้งความเหมือนและความต่าง” โดยสิ่งที่เหมือนคือการใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (Malinformation) เพื่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ แต่สิ่งที่แตกต่างคือในอดีตการเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้จะทำผ่านสื่อมวลชนจึงมีข้อจำกัด เช่น หากเผยแพร่ผ่านวิทยุก็ไปถึงเฉพาะผู้รับสารที่ฟังวิทยุ แต่ปัจจุบันช่องทางการเผยแพร่มีมากกว่า ทำให้ข้อมูลแพร่กระจายได้กว้างขวางและรวดเร็วกว่า

อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันคนยุคปัจจุบันอาจมีความรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสารมากกว่าคนในอดีตและมีช่องทางในการตรวจสอบข้อมูลได้ง่ายกว่า แตกต่างจากคนในอดีตที่เมื่อได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง กว่าจะรู้ข้อเท็จจริงก็อาจผ่านไปแล้วเป็นปีหรือหลายปี ทั้งนี้ ในฐานะนักนิเทศศาสตร์ ตนยืนยันเรื่องสิทธิเสรีภาพในการสื่อสารและการแสดงความคิดเห็น แต่สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือจริยธรรม รัฐต้องมีจริยธรรมในการกำกับสิทธิเสรีภาพของสื่อ แต่สื่อ (หรือใครก็ตามที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร) ก็ต้องมีจริยธรรมด้านความรับผิดชอบด้วยเช่นกัน

ขณะที่ประเด็นสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยความที่กระบวนการเจรจาสันติภาพไม่คืบหน้า ทำให้แม้เหตุความรุนแรงจะลดลงแต่คนในพื้นที่ก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย ส่วนเรื่องข่าวลวง-ข่าวปลอม ซึ่งในบริบทของพื้นที่นี้มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงหรือเรื่องศาสนา เพราะมาจากทั้งฝ่ายที่โจมตีรัฐและฝ่ายที่โจมตีกลุ่มผู้ก่อการ หรือเรียกว่าเป็น สงครามข้อมูลข่าวสาร ที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตไม่ว่าบนเว็บไซต์หรือในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ มองว่าคนมีความรู้เท่าทันมากขึ้น

พอเราพูดเรื่องสันติภาพ เรื่องความขัดแย้ง การที่จะไปสื่อสารเรื่องนั้นได้เราก็ต้องมีความรู้ด้วยเกี่ยวกับทฤษฎีความขัดแย้งหรือทฤษฎีความรุนแรง ซึ่งก็มีหลายระดับ ความรุนแรงเชิงกายภาพ เชิงวัฒนธรรม บางสังคมที่เราไม่เห็นความรุนแรงเชิงกายภาพไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความรุนแรง ฉะนั้นถ้านักข่าวหรือนักวารสารศาสตร์ไม่รู้ตรงนี้จะมองข้ามไป เช่น ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความรุนแรงที่ซ่อนอยู่เยอะแยะไปหมดที่ไม่ใช่เชิงกายภาพ ถ้าเราไม่ได้เรียนทฤษฎีเหล่านี้มาจะไม่รู้ ไม่มีการยิงกันก็น่าจะสงบแล้วไหม? แต่จริงๆ ยังมีปัญหาสังคมหลายอย่าง

ผศ.ดร.วลักษณ์กมล ขยายความเรื่องปัญหาสังคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ปัญหาแม่หม้าย-เด็กกำพร้า ปัญหาความยากจนที่เชื่อมโยงกับความสูญเสียซึ่งเกิดจากเหตุความรุนแรง ส่วนข้อเสนอแนะถึงรัฐบาล อยากให้มีนโยบายที่ชัดเจนเรื่องกระบวนการสันติภาพ เรื่องการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันในสังคม ความปรองดองและการอยู่ร่วมกันในบริบทของสังคม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เห็นนโยบายเรื่องเหล่านี้ที่ชัดเจน อีกทั้งเมื่อไม่มีข่าวเหตุความรุนแรงคนก็มักจะลืม ทั้งที่ในพื้นที่ก็ยังมีปัญหาอยู่

ส่วนประเด็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในมุมมองของคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ผศ.ดร.วลักษณ์กมล เล่าว่า เด็กรุ่นใหม่หลายคนไม่รู้จักเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ (วันที่ 28 เม.ย. 2547) โดยนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ณ ปัจจุบัน จะเป็นเด็กที่เกิดในช่วงปี 2544-2547 เด็กกลุ่มที่เห็นในมหาวิทยาลัยจึงไม่ค่อยมีความรู้สึกเจ็บช้ำที่แฝงอยู่ คนรุ่นใหม่ในพื้นที่จึงให้ความสำคัญกับการอยู่ดีกินดี เช่น มองว่าสันติภาพคือการมีชีวิตที่กินดีอยู่ดีและสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างปลอดภัย

แต่ถึงคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเติบโตมากับการเห็นเจ้าหน้าที่ตั้งด่านความมั่นคงจนคุ้นชิน ก็ยังคาดหวังว่าสักวันหนึ่งคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีชีวิตปกติเหมือนคนในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย ขณะที่ก็จะเห็นความพยายามของคนรุ่นใหม่ในการสร้างย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น มีร้านอาหาร-ร้านกาแฟที่ตกแต่งอย่างสวยงาม มีพื้นที่แสดงผลงานศิลปะ ให้พบเห็นมากกว่าช่วงก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ปัญหาที่ยังคงมีอยู่ก็ต้องแก้ไขกันต่อไป

“มันก็ช่วยทำให้คนมีชีวิตชีวาขึ้น ทำให้เมืองมันเป็นเมืองที่น่าเที่ยว ฉะนั้นมันเป็นสิ่งที่ดี แต่ในขณะเดียวกัน  ยังมีปัญหาโครงสร้างอยู่ที่ต้องช่วยแก้ด้วย อย่าเห็นแต่ความโรแมนติกของปัตตานี แต่ให้เห็นด้วยว่าปัตตานียังต้องการการแก้ไขปัญหาหลายอย่าง จริงๆ ยะลาก็คึกคักนะ แล้วนราธิวาสช่วงหลังๆ ก็มีกิจกรรมอะไรต่างๆ เกิดขึ้นเยอะเหมือนกันในแง่กิจกรรมที่สร้างสรรค์”

ส่วนบทบาทการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในท้องถิ่น ผศ.ดร.วลักษณ์กมล กล่าวว่า ปัจจุบันไม่ค่อยเห็นสื่อท้องถิ่นที่มีลักษณะเป็นองค์กรแล้ว แต่กลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ผลิตเนื้อหาเผยแพร่บนโลกออนไลน์ซึ่งมักจะเกี่ยวกับการท่องเที่ยวหรือวิถีชีวิต ไม่ใช่เรื่องการเมือง ที่ยังมีคือองค์กรสื่อส่วนกลางส่งนักข่าวมาประจำในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือไม่ก็เป็นคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทำงานข่าวให้องค์กรสื่อส่วนกลาง  

อนึ่ง แม้การพูดคุยครั้งนี้จะว่าเน้นไปที่บทบาทของสื่อในการสื่อสารเพื่อสร้างสันติภาพหรือไม่ขยายความรุนแรง แต่ปัจจุบันเมื่อทุกคนสื่อสารและแสดงความคิดเห็นได้ผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าโลกออนไลน์มีแต่ความรุนแรง เช่น ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ซึ่ง ผศ.ดร.วลักษณ์กมล ให้ความเห็นว่า ในมุมหนึ่งก็ต้องมีกฎกติกากำกับดูแลกันบ้าง ซึ่งอาจไม่ถึงขั้นต้องระบุความผิดให้มีโทษติดคุกตะราง แต่อาจอยู่ในรูปแบบแนวปฏิบัติหรือคำแนะนำ (Guideline) แต่หากไม่ทำตามก็จะมีมาตรการบางอย่าง

Professionalism (ความเป็นมืออาชีพอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นคือเรื่องของวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ ที่จะเป็นมาตรฐานวิชาชีพของสื่อที่อยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ก็คิดว่ายังต้องมีอยู่ อีกประเด็นหนึ่งก็จะเป็นเรื่องของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าอาจจะต้องมีการทำให้เป็นประเด็นที่เด่นชัดขึ้นมามากขึ้นในสังคม โดยคนที่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหา หรือมีส่วนร่วมเป็น Stakeholders (ผู้มีส่วนได้-ส่วนเสีย) ทั้งหลายให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลที่จะต้องเข้ามาด้วยผศ.ดร.วลักษณ์กมล ฝากทิ้งท้าย

หมายเหตุ :ในช่วงท้ายของรายการ Cofact Talk ครั้งนี้ ยังมีแขกรับเชิญพิเศษคือ พระมหานภันต์ สันติภัทโท ประธานกรรมการมูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (มูลนิธิ สกพ.) และผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร มาร่วมพูดคุยซึ่งผู้สนใจสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/3831596513780870/?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2567

สเปรย์รักษาแผล กำจัดรอยแผลจากการผ่าตัด ไฟไหม้ การบาดเจ็บ แผลเป็นนูน มี อย. รับรอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ks67a88hqtdi#_=_


สังเกตเหตุแผ่นดินไหวได้จากต้นไมยราบ เพราะเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อย ใบของต้นไมยราบจะหุบลง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2rgnm0f5rt0wp


เร่งศึกษาแอปฯ ทางรัฐ ช่วยเตือนภัยพิบัติ พร้อมส่ง SMS แจ้งเตือนภัยพิบัติแก่ประชาชน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/uogcshursbl3


รับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง สามารถลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ 36%

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2b2p7frrbaim1


บริเวณพื้นที่น้ำตกคลองวังเจ้า น้ำตกเต่าดำ และลานกางเต็นท์น้ำตกเต่าดำ เปิดให้บริการการท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 67

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/362znfdpub6dq


ก้มเล่นมือถือมากเกินไปเสี่ยงกระดูกคอเสื่อม

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2n2yrlt2tbya4#_=_


ปปง. จับมือ 2 ธนาคาร คืนเงินเหยื่อจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เปิดให้ลงทะเบียนขอรับเงินคืน ผ่านทางเพจสมาคมเสริมสร้างภัยทางออนไลน์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2gjfq7zttou7g#_=_


คู่มือตรวจสอบข่าวลวง Fact Check Handbook โหลดฟรี!!

Editors’ Picks
คู่มือตรวจสอบข่าวลวง Factcheck Handbook

ชวนดาวน์โหลดคู่มือตรวจสอบข่าวลวง ร่วมจัดทำโดย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มูลนิธิฟรีดิช เนามัน ประเทศไทย และ โคแฟคประเทศไทย…

‘ข่าวลวง’ใครก็อาจเผลอแชร์ได้  แนะวิธีเตือนอย่างไรไม่ทำให้อาย ‘เมตตา’ดีแล้วแต่ต้องรู้เท่าทัน..ลดเสี่ยง‘มิจฉาชีพ’

กิจกรรม

รายการ “Cofact Live Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย)วันที่ 1 ต.ค. 2567 ชวนพูดคุยกับ ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ซาเวียร์, O.S.U ผู้อำนวยการศูนย์อบรมคริสตศาสนธรรมระดับชาติ ในหัวข้อ สูงวัยยุคเอไอ รับมือข้อมูลข่าวสารอย่างไรให้ปลอดภัยและส่งเสริมสันติ ณ ศูนย์อบรมคริสตศาสนธรรมระดับชาติ อ.สามพราน จ.นครปฐม เนื่องในโอกาส วันผู้สูงอายุสากล (International Day of Older Persons)” 1 ตุลาคม ของทุกปี

การพูดคุยเริ่มด้วยเรื่องของ การอยู่ร่วมกันระหว่างคนต่างวัย ซึ่ง ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ กล่าวว่า ในแวดวงของนักบวชก็จะมีคนหลายช่วงวัย ตั้งแต่อายุน้อย อายุกลาง ไปจนถึงสูงอายุ โดยตามธรรมเนียมไทย เราจะคิดถึงกันและกันเสมือนคนในครอบครัว ช่วยเหลือดูแลกัน บางคนอาจไม่เก่งหรือทำไม่ค่อยเป็นในเรื่องเทคโนโลยี รุ่นน้องก็จะช่วยเพื่อให้เท่าทันต่อเหตุการณ์

ถึงแม้จะเป็นนักบวชก็ไม่ใช่ว่าเราต้องไม่ติดตามข่าวสาร ไม่รู้จักเลยว่าอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ทำอะไรกัน หรือระเบิดเพจเจอร์อะไรอย่างนี้ เราก็ต้องมีความรู้ที่จะเข้าใจสถานการณ์โลกว่าไปถึงไหน ก็ต้องติดตามข่าวสาร แล้วก็ในแวดวงของคนที่อายุน้อยก็จะช่วยเหลือพี่ๆ ที่อาจจะช้านิดหน่อย แต่ต้องช่วยเขา แต่พี่ๆ บางคนก็เก่งกว่าอีกนะ    ซิสเตอร์ที่เป็นฝรั่ง ยังคล่องแคล่วที่จะใช้อุปกรณ์อะไรได้เก่ง แต่เดี๋ยวนี้คนไทยก็ใช้ได้

อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตที่พบคือ ผู้สูงอายุมีแนวโน้มถูกหลอกง่ายและหลงเชื่อง่าย ดังนั้นจะทำอย่างไรที่จะให้ผู้สูงอายุรู้เท่าทันไม่ตกเป็นเหยื่อ รวมถึงระมัดระวังก่อนจะแชร์อะไรออกไปในการใช้สื่อออนไลน์ ซึ่งก็มีความท้าทายอยู่ว่า จะเตือนอย่างไรที่จะไม่ทำให้คนที่แชร์อะไรแปลกๆ รู้สึกอาย โดยซิสเตอร์ได้ยกตัวอย่างเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนเก่งมาก หลังเรียนจบก็ไปเป็นครูอยู่ต่างจังหวัด เพื่อนคนนี้ปกติจะระมัดระวังเรื่องการแชร์ข่าวมาก

กระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนคนดังกล่าวได้แชร์ข่าวเข้ามาในกลุ่มไลน์ บอกว่ามีพายุใหญ่ถล่มกรุงปารีสของฝรั่งเศสช่วงก่อนเริ่มการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมีภาพหอไอเฟลสั่นไหว บ้านเรือนถูกลมพัดปลิว ซึ่งตนก็คิดอยู่ในใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ จึงลองตรวจสอบดูว่ามีสำนักข่าวใดบ้างในเวลานั้นที่ลงข่าวพายุถล่มฝรั่งเศส ก็ไม่พบว่ามีแต่อย่างใด มีแต่เพียงข่าวฝนตกเล็กน้อย โดยตอนแรกก็ว่าจะพิมพ์ไปบอกเพื่อนในกลุ่มหลัก แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้เพื่อนอาย จึงเลือกที่จะทักไปบอกในไลน์ส่วนตัวว่าข่าวที่แชร์มาอาจไม่ใช่เรื่องจริง

เพราะเท่าที่ลองค้นหาดู ไม่มีสื่อมวลชนใหญ่ๆ สำนักใดเลยที่นำเสนอข่าวนี้ ทั้งที่ปารีสเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงแถมยังอยู่ในช่วงที่เป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกอีก หากเกิดเหตุการณ์อะไรแรงๆ สื่อต้องนำเสนอข่าวอย่างแน่นอน และเพื่อนของซิสเตอร์ ก็ยอมรับว่าแชร์เรื่องนี้ต่อมาอีกทอดหนึ่งและลบข่าวนั้นที่แชร์ในกลุ่มไลน์หลักออก ซึ่งแม้ข่าวลวงในเรื่องนี้ไม่เกิดผลร้าย แต่ในบางเรื่องก็เป็นอันตรายได้ เช่น มีคนโทรศัพท์มาหลอกว่ามีพัสดุติดค้างบ้าง อ้างว่าญาติไม่สบายให้โอนเงินไปช่วยบ้าง ก็อย่าเพิ่งไปทำตามทันที เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง เช่น ควรโทรศัพท์ไปสอบถามบุคคลที่ถูกอ้างถึงว่าขณะนี้อยู่สุขสบายดีหรือไม่ เพราะเคยมีกรณีนักบวชท่านหนึ่ง ถูกมิจฉาชีพอ้างเป็นญาติบอกว่ามีสมาชิกในครอบครัวป่วยและหลงเชื่อโอนเงินไปให้ กระทั่งมารู้ในภายหลังว่าถูกหลอกเพราะเมื่อติดต่อกลับไปทางบ้านแล้วได้ทราบว่าทุกคนสบายดีไม่มีใครเป็นอะไร หรือบางครั้งเหตุก็เกิดจากความเมตตา อาทิ มิจฉาชีพเปิดรับบริจาคโดยหลอกลวงว่าจะนำไปใช้จัดกิจกรรมค่ายเยาวชนแบบนี้คือข่าวลวงที่ก่อให้เกิดผลร้าย แต่ถึงจะเป็นข่าวลวงที่ไม่ก่อให้เกิดผลร้ายก็ไม่ควรแชร์

“ในพระคัมภีร์ พระเจ้าก็บอกว่าเราเป็นหนทาง เป็นความจริง เป็นชีวิต ฉะนั้นสิ่งใดที่มันเป็นเรื่องหลอกลวง ปลอม เท็จ เราก็ไม่ควรที่จะแพร่ขยายให้ออกไปมากๆ มันอาจจะเกิดผลร้ายหรือผลดีแต่ก็ไม่ควรจะแพร่ขยายข่าวลวง มันก็มีวิธีง่ายๆ ที่ศึกษามาจากที่เขาจะแนะนำเรา บทความที่แชร์มามีความน่าเชื่อถือไหม? มีสำนักข่าวรองรับหรือเปล่า? เขียนโดยหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นฉบับนี้ หรือสำนักข่าวระดับชาติ CNN AP รอยเตอร์ AFP หรือมีอะไรที่รองรับ เราถึงจะพอเชื่อได้ว่าเป็นความจริง หรือแม้แต่เดี๋ยวนี้ข่าวลวงพวกนี้ก็พยายามหารองรับนะ เหมือนไปหาเครดิตมาว่าอาจารย์ท่านนี้ท่านโน้น ลงข่าวแบบนี้ ซึ่งมันดูน่าเชื่อถือมากเลย แต่จริงๆ มันเป็นข่าวปลอม”

ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง คือการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเวลานั้นมีการแชร์ข่าวที่อ้างถึงนักวิชาการในต่างประเทศบางท่านออกมาบอกว่าฉีดแล้วจะเป็นอันตรายต่างๆ นานา ก็สอบถามไปยังผู้รู้ จึงได้ทราบว่าจะมีกลุ่มที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนที่คอยยุยงผู้คนให้เห็นว่าวัคซีนเป็นของอันตราย หรือแม้เราจะไม่ใช่คนในแวดวงการแพทย์ ก็สามารถคิดได้ว่าหากวัคซีนไม่ดีเหตุใดรัฐบาลทั่วโลกจึงอนุญาตให้ใช้ได้เพื่อควบคุมโรคระบาด ดังนั้นก็จะต้องตั้งหลักกันว่าเมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารอะไรมาก็จะต้องตรวจสอบและหาความรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ 

อนึ่ง การหลงเชื่อข่าวลวงแล้วแชร์ต่อ หรือตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ มักมาจากอารมณ์ความรู้สึกในใจ เช่น ความอยากได้อยากมี ความกลัว แม้จะมีความพยายามในการสื่อสารแจ้งเตือนให้ระมัดระวังแต่ก็ยังพลาดกันได้   โดย      ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ยกตัวอย่าง การหลอกลวงประเภทโฆษณาชวนเชื่อเรื่องทำงานหรือลงทุนเพียงเล็กน้อยแต่ได้ผลตอบแทนเป็นเงินก้อนโต ซึ่งอยากให้คิดไว้เป็นพื้นฐานก่อนว่า ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรือง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องออกแรง ดังนั้นต้องตั้งหลักให้ดี 

อย่างตนที่เคยทำงานพัฒนาสังคมด้านการส่งเสริมบทบาทสตรี ซึ่งก็จะต้องทำโครงการต่างๆ ทำให้บางครั้งจะมีคนทักมาแนะนำให้ลองติดต่อกับคนนั้นคนนี้โดยระบุว่าบุคคลดังกล่าวพร้อมให้ทุนสนับสนุน และผู้แนะนำก็อ้างว่าเพิ่งได้รับทุนมาเหมือนกันพร้อมกับบอกด้วยว่าซิสเตอร์ศรีพิมพ์อยู่ในรายชื่อด้วย ซึ่งตนก็งงเพราะไม่เคยติดต่อกับแหล่งทุนที่ถูกอ้างถึงนั้นเลย แม้จะอยากได้เงินมาใช้ในโครงการ แต่เมื่อลองคิดให้ดีแล้วเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นความจริง

บางทีคนที่เข้ามาเป็นซิสเตอร์จากออสเตรเลีย ที่เราไม่ติดต่อกันมาตั้งหลายปี บางทีคนพวกนี้ก็ไปแฮ็กแล้วก็ให้เรามาเป็นเพื่อนใหม่ จะเจอสิ่งแปลกๆ เหล่านี้ จนเดี๋ยวนี้เวลามีซิสเตอร์ที่มาขอเป็นเพื่อนอีกครั้ง เรารู้สึกว่าเราก็เคยเป็นเพื่อนไปแล้วทำไมมาขอเป็นเพื่อนอีก ก็คิดว่าน่าจะเป็นอะไรแปลกๆ ก็เลยคิดว่าก็ต้องตั้งหลัก ต้องมีสติ คิดว่าต้องตั้งหลักดีๆ ใครจะมาให้สตางค์เราเปล่าๆ ถ้าเขาไม่มีผลประโยชน์อะไร เราไม่ได้เคยไปเกื้อกูลอะไรเขา จะมาให้เราเปล่าๆ หรือ? หรือถ้าเขาเห็นผลงานเราเขาก็ต้องติดต่อมาอย่างปกติ ไม่ใช่มาอยู่ในออนไลน์อะไรที่แปลกๆ คือถ้าเห็นอะไรแปลกๆ ก็เอ๊ะก่อน อย่าเพิ่งเข้าไปเลย ยอมไปเป็นเหยื่อของเขา

ทั้งนี้ การถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพเกิดได้กับคนทุกวัยและทุกระดับสติปัญญา หรือเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างมีกรณีนักบวชชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ถูกมิจฉาชีพอ้างว่าตกเครื่องบินอยู่ที่กรุงลอนดอนของอังกฤษแถมยังถูกล้วงกระเป๋า ขอให้โอนเงินไปช่วย ท่านก็โอนไปโดยไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดจึงไม่รู้ว่าปลอม อีกทั้ง มิจฉาชีพรู้ว่าจะหลอกได้จากความรู้สึกเมตตาสงสาร โดยคนทุกศาสนาหรือคนไทย มักถูกมองว่าเป็นคนมีเมตตา มีจิตใจอยากช่วยเหลือผู้อื่น ดังนั้นการมีเมตตามีได้ แต่ก็ต้องมีหลักว่าต้องรู้เท่าทัน 

แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากชั่งใจว่าตรวจสอบไม่ได้จริงๆ แต่เงินจำนวนนั้นอาจไม่มากนัก ไม่ถึงกับเดือดร้อน หรือไปพบเห็นซึ่งหน้า มีคนบอกว่าตกรถหรือเจ็บป่วยเข้ามาขอความช่วยเหลือ เป็นเรื่องก้ำกึ่งที่เราไม่ทราบว่าคนคนนั้นจะหลอกหรือไม่ หากคิดว่าช่วยได้ก็ถือว่าเป็นการทำบุญ จะหลอกหรือไม่ก็ถือว่าเราได้บุญแล้วที่ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน บางเรื่องก็อาจไม่ต้องคิดมาก อะไรช่วยได้ก็ช่วยไปเพื่อมนุษยธรรม

หรือในบางกรณี การแจ้งหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบอาจเป็นการช่วยเหลือที่ดีกว่า เช่น มีกรณีขบวนการค้ามนุษย์นำเด็กมานั่งขอทานอยู่ริมถนน เป็นความลำบากใจที่มุมหนึ่งหากให้เงินก็เท่ากับส่งเสริมขบวนการเหล่านี้ แต่หากไม่ให้เงินเด็กก็จะถูกทำร้ายร่างกายเพราะหาเงินไม่ได้ตามเป้า ทางออกคือเมื่อพบเห็นเด็กขอทานควรแจ้งหน่วยงาน เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่ป้องกันการค้ามนุษย์ เพื่อให้นำตัวเด็กไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัย 

ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ยังยกตัวอย่าง การหลอกให้รัก (หรือเชื่อใจ) ทางออนไลน์ ก่อนล่อลวงไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศ เช่น ผู้กระทำผิดใช้ภาพบุคคลอื่นสร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์แล้วทักไปพุดคุย เมื่อเหยื่อเกิดความไว้วางใจก็จะบอกให้ออกมาเจอกัน อย่างมีกรณีนักเรียนหญิงมีคนทักมาทางเฟซบุ๊ก นัดไปเจอกันที่นั่นที่นี่ แต่เด็กสาวยังมีสติ ชวนเพื่อนไปด้วยกัน ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายที่มาหน้าตาไม่เหมือนกับรูปที่ใช้ในเฟซบุ๊ก จึงกลายเป็นประสบการณ์ว่าในโลกออนไลน์ก็มีแบบนี้ คือคุยกันอยู่นานก่อนที่จะรู้ว่าหลอกลวง

แต่ก็มีบางกรณีที่เป็นจริงอยู่เหมือนกัน มีบางคนที่ค่อยๆ มารู้จักกัน แต่ต้องมีการคุยให้พบปะจริงจังแล้วก็มีผู้ที่รู้เห็น หมายความว่าเราไม่ถูกล่อลวงไปโดดเดี่ยวไม่สามารถมีใครช่วยเราได้ คิดว่าต้องมีความระมัดระวังในโลกสื่อออนไลน์ปัจจุบันนี้

หมายเหตุ : ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/1243241216723843/

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-