ติดเชื้อเอชไอวี = ผอมซูบ ผิวคล้ำ?

ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีจำเป็นต้องเป็นคนผอมซูบหรือผิวคล้ำหรือไม่?

หลายคนอาจจะเคยมีภาพจำของผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีว่าอาจจะมีลักษณะที่ผอมซูบ ผิวคล้ำ บางรายมีตุ่มพุพองตามตัว หรือแม้กระทั่งนอนติดเตียง จนนำไปพูดเมื่อเจอเพื่อนที่มีลักษณะผอมซูบ หรือผิวคล้ำว่าอาจจะเป็นโรคเอดส์รึเปล่า? แต่แท้ที่จริงแล้วผู้ที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีจำเป็นต้องมีลักษณะนี้ไหม แล้วระยะเวลาของอาการที่ทำให้เป็นแบบนั้นต้องใช้มากน้อยแค่ไหน กว่าจะเป็นแบบที่ทุกคนเห็น บทความนี้มีคำตอบมาให้อานกัน

สำหรับภาพลักษณ์ที่ว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีต้องผอมซูบ นอนติดเตียง ผิวคล้ำ และมีตุ่มพอง เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเลย ในปัจจุบันผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมด้วยยาต้านไวรัส สามารถมีชีวิตที่ปกติและสุขภาพดีได้ และในการรักษาด้วยยาต้านนั้นสามารถช่วยควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน และป้องกันการพัฒนาไปสู่ระยะเอดส์ ซึ่งอาการที่กลายเป็นภาพจำในอดีตนั้น มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาหรือได้รับการรักษาไม่ต่อเนื่อง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรง 

แล้วถ้าถามว่าทำไมถึงเกิดภาพจำแบบนั้นขึ้น แท้ที่จริงแล้วเกิดจากหลายปัจจัย อันประกอบไปด้วย 

  • การรับรู้ในอดีต : ในช่วงแรกของการระบาดของเอชไอวี/เอดส์ ผู้ป่วยมักแสดงอาการรุนแรง เนื่องจากยังไม่มีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้สังคมจดจำภาพลักษณ์ของผู้ป่วยในลักษณะดังกล่าว
  • การนำเสนอของสื่อ : สื่อมวลชนในอดีตมักนำเสนอภาพผู้ป่วยเอชไอวี/เอดส์ในสภาพที่รุนแรง เพื่อสร้างความตระหนักรู้ แต่กลับส่งผลให้เกิดการตีตราและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อ
  • การขาดความรู้และความเข้าใจ : ประชาชนทั่วไปอาจขาดข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ ทำให้เกิดความกลัวและอคติ ส่งผลให้ภาพลักษณ์เชิงลบถูกส่งต่อในสังคม

แต่ในปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมสามารถมีชีวิตที่ปกติและสุขภาพดีได้ การให้ความรู้ที่ถูกต้องและการนำเสนอภาพลักษณ์เชิงบวกของผู้ติดเชื้อในสื่อ สามารถช่วยลดการตีตราและความเข้าใจผิดในสังคมได้ ดังนั้น สำหรับผู้ที่ยังไม่พบเชื้อเอชไอวีนั้น การตรวจหาเชื้อเอชไอวีแต่เนิ่น ๆ และการรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอหลังจากที่พบเชื้อเอชไอวีนั้น เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเราได้

อย่างไรก็ดี อาการผอมซูบ ผิวคล้ำ และนอนติดเตียงในผู้ป่วยเอดส์มักเกิดขึ้นเมื่อการติดเชื้อเอชไอวีพัฒนาเข้าสู่ระยะสุดท้ายหรือระยะเอดส์ หากไม่ได้รับการรักษา ซึ่งการติดเชื้อเอชไอวีอาจใช้เวลาประมาณ 10 ปีในการพัฒนาไปสู่ระยะเอดส์ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลานี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น สุขภาพทั่วไปของผู้ป่วยและการติดเชื้อร่วมอื่น ๆ การรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอสามารถชะลอการพัฒนาไปสู่ระยะเอดส์และลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงเหล่านี้ได้นั่นเอง


แหล่งอ้างอิง

  • ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • โรงพยาบาลเมดพาร์ค
  • คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

กิน PrEP แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ถุง?

จริงหรือไม่ที่การกิน PrEP สามารถป้องกันเอชไอวีได้ แล้วไม่ต้องใส่ถุง?

หลายคนคงหาวิธีการป้องกันเอชไอวีอยู่อย่างแน่นอน และวิธีการหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ คือการรับประทาน PrEP เพื่อป้องกันเอชไอวี ซึ่งปัจจุบันมีผู้คนเดินทางเข้าไปรับยาชนิดนี้กันเป็นจำนวนมาก คำถามที่หลายคนย้อนกลับมาถามคือมันป้องกันได้จริงๆ ใช่ไหม? แล้วเราจะสามารถไม่ใส่ถุงยางอนามัยเพื่อมีเพศสัมพันธ์ได้เลยไหม หากทานยาชนิดนี้อยู่แล้ว บทความนี้จะพาไปไขคำตอบกัน

ก่อนอื่น คงต้องแนะนำว่า PrEP หรือชื่อเต็มคือ Pre-Exposure Prophylaxis มันคือการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีโดยผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากการสัมผัสที่มีความเสี่ยง การรับประทานยา PrEP อย่างสม่ำเสมอสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน PrEP แบ่งออกตามชนิดการรับประทาน ดังนี้

  • การรับประทาน PrEP ทุกวัน (Daily PrEP) : โดยต้องรับประทานยา PrEP วันละ 1 เม็ด ทุกวัน ในช่วงที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ซึ่งต้องทานให้ครบ 7 วันก่อนถึงจะมีเพศสัมพันธ์ได้ โดยเหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ควรรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและตรงเวลา เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
  • การรับประทาน PrEP ตามความต้องการ (On-Demand PrEP) : มีวิธีรับประทานยา PrEP คือ ทาน 2 เม็ด ก่อนมีเพศสัมพันธ์ 2-24 ชั่วโมง และทานอีก 2 เม็ด โดย 1 เม็ดแรกให้ทานหลังมีเพศสัมพันธ์ 24 ชั่วโมง และ 1 เม็ดหลังให้ทานหลังมีเพศสัมพันธ์ 48 ชั่วโมง วิธีการนี้จะเหมาะสำหรับผู้ที่สามารถวางแผนการมีเพศสัมพันธ์ล่วงหน้าได้

สำหรับการรับประทานยา PrEP หากทานอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง จะสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) พบว่า PrEP สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์ได้ประมาณ 99% และลดความเสี่ยงจากการใช้สารเสพติดด้วยวิธีฉีดได้อย่างน้อย 74% 

ซึ่งประสิทธิภาพของ PrEP ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการรับประทานยาและการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ที่สำคัญต้องทานยาให้ตรงเวลาทุกวันเฉกเช่นกับผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีนั่นเอง

แน่นอนว่าการรับประทานยา PrEP อย่างสม่ำเสมอสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ PrEP ก็ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น หนองในเทียม ซิฟิลิส หรือเริมที่อวัยวะเพศ ดังนั้น การใช้ถุงยางอนามัยร่วมกับการรับประทาน PrEP จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันทั้งเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ รวมถึงการไปตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งรัฐให้สิทธิ์ในการตรวจปีละ 2 ครั้งฟรีไว้ด้วย ฉะนั้นใส่ถุงยางอนามัย ทาน PrEP ตรวจเลือด และดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วยจะดีที่สุด


แหล่งอ้างอิง

  • มูลนิธิเพื่อรัก
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC)
  • โรงพยาบาลสมิติเวช
  • PULSE CLINIC

ถาม-ตอบ สธ. กรณี “ต่างด้าวแห่คลอดลูกในไทย-ใช้สิทธิรักษาฟรี”

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ระบุ คนต่างด้าวคลอดบุตรในไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายตามที่โรงพยาบาลกำหนด เว้นแต่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิใน “กองทุนประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าว” หรือ “กองทุนให้บริการด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ” พร้อมกับเปิดตัวเลขคนเมียนมารับบริการหลังคลอดที่หน่วยบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ 9,933 ครั้ง ฝากครรภ์ 148,391 ครั้ง ในปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566-กันยายน 2567)

โคแฟคสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลคนต่างด้าวจากกองเศรษฐกิจสุขภาพฯ ซึ่งดูแลการให้บริการสาธารณสุขแก่คนต่างด้าว แรงงานต่างด้าว และบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ หลังจากที่เพจเฟซบุ๊ก “Drama-addict” โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2567 อ้างข้อมูลจาก “ลูกเพจที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์แถวชายแดน” ใจความโดยสรุปว่า โรงพยาบาลบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา กำลังประสบปัญหาชาวเมียนมาเดินทางมาคลอดบุตรและรักษาพยาบาลในฝั่งไทยโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพราะใช้สิทธิตามกองทุนให้บริการด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “กองทุนสิทธิ ท.99” และหลังจากคลอดลูกแล้ว คนต่างด้าวจะไปขอใบรับรองการเกิดของเด็กเพื่อทำสิทธิรักษาฟรีในไทย

โพสต์ดังกล่าวระบุด้วยว่า คนต่างด้าวยังสามารถซื้อบัตร UC หรือบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งจะได้สิทธิการรักษาเทียบเท่ากับบัตรทองของคนไทยทุกอย่าง ทั้งหมดนี้ได้สร้างภาระด้านงบประมาณ เพิ่มงานให้แพทย์-พยาบาล และทำให้คนไทยได้รับบริการล่าช้า ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขไทยที่อาจจะ “ล่มจม” เพราะการมาใช้บริการของคนต่างด้าว

โพสต์นี้มีผู้แชร์ไปแล้วมากกว่า 14,000 ครั้ง (ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2567) มีผู้ให้ความเห็นมากกว่า 3,600 ครั้ง ส่วนใหญ่แสดงความไม่พอใจที่คนไทยต้องแบกรับภาระในการรักษา ทำให้คนไทยที่เป็นผู้เสียภาษีได้รับการรักษาพยาบาลที่ล่าช้า นอกจากนี้เนื้อหาในโพสต์ยังนำไปสู่การปลุกปั่นความไม่พอใจคนต่างด้าวอีกด้วย

ถาม-ตอบ กองเศรษฐกิจสุขภาพฯ  

การดูแลด้านสาธารณสุขของกลุ่มคนต่างด้าว แรงงานต่างด้าว และบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ อยู่ในความรับผิดชอบของกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งบริหารจัดการผ่าน 2 กองทุน คือ

  1. กองทุนประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าว ผู้ที่ใช้สิทธิกองทุนนี้ได้ คือ แรงงานต่างด้าวและบุตรอายุ 7 ปีขึ้นไป ที่ซื้อบัตรประกันสุขภาพในราคา 3,400 บาท และ 3,500 บาทสำหรับแรงงานที่เป็นลูกเรือประมง ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี 6 เดือน
  2. กองทุนให้บริการด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ หรือ กองทุนสิทธิ ท.99 ผู้ที่ใช้สิทธิกองทุนนี้ต้องเป็นบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ตามที่ระบุในมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นผู้ที่มีเลขประจำตัว 13 หลักที่ออกให้โดยกระทรวงมหาดไทย แล้วจึงนำเลขประจำตัวนี้ไปยื่นขอขึ้นทะเบียนที่หน่วยบริการสุขภาพ ซึ่งจะส่งต่อข้อมูลให้กองเศรษฐกิจสุขภาพฯ พิจารณาขึ้นทะเบียนรับสิทธิรักษาพยาบาลภายใต้กองทุนนี้ ปัจจุบันมีผู้ขึ้นทะเบียนกับกองทุน 723,603 คน (ข้อมูลจากรายงานผลการดำเนินงานกองเศรษฐกิจสุขภาพฯ ประจำปีงบประมาณ 2566)

โพสต์ของเพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ได้อ้างถึงปัญหาจากการใช้สิทธิตามกองทุนสิทธิ ท.99 โคแฟคสรุปประเด็นที่กล่าวอ้างในโพสต์และนำไปสอบถามกองเศรษฐกิจสุขภาพฯ สธ. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลการให้บริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานแก่คนต่างด้าว และเรียบเรียงเป็นคำถาม-คำตอบ ดังนี้

ถาม: ชาวเมียนมาเข้ามาคลอดบุตรในไทยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายได้หรือไม่ ?

ตอบ: เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสารหลักฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิในกองทุนใดหรือไม่ หากมีสิทธิในกองทุนใดก็สามารถใช้สิทธิได้ตามที่แต่ละกองทุนกำหนด แต่หากไม่มีเอกสารหลักฐานใด ๆ และไม่มีสิทธิในกองทุนใด ก็ต้องชำระค่าใช้จ่ายตามที่ได้รับบริการด้านสาธารณสุข

ถาม: บุตรของชาวเมียนมาที่คลอดในไทย มารดาสามารถนำไปขอใบรับรองการเกิดเพื่อรับสิทธิรักษาพยาบาลฟรีในประเทศไทยได้ จริงหรือไม่

ตอบ: เด็กที่เกิดในโรงพยาบาลในไทย สามารถขอหนังสือรับรองการเกิดได้ แต่สิทธิด้านการรักษาพยาบาลต้องเป็นไปตามสิทธิของแต่ละบุคคลหรือแต่ละกองทุนที่บุคคลนั้นขึ้นทะเบียน

ถาม: คนต่างด้าวสามารถใช้สิทธิจากกองทุนให้บริการด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ (กองทุนสิทธิ ท.99) ในการรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องจ่ายค่ารักษาได้จริงหรือไม่

ตอบ: ผู้ที่จะใช้สิทธิรักษาพยาบาลของกองทุนนี้ได้จะต้องเป็น “ผู้ขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ” เท่านั้น ซึ่งผู้ที่จะขึ้นทะเบียนได้ต้องเป็นบุคคลที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดเลขประจำตัว 13 หลัก และมีคุณสมบัติตามมติ ครม. ว่าด้วยการขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ เมื่อได้เลขประจำตัว 13 หลักจากกระทรวงมหาดไทยแล้ว จะต้องนำเอกสารไปยื่นที่หน่วยบริการรับลงทะเบียนสิทธิประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ หน่วยบริการที่รับลงทะเบียนจะส่งคำร้องมายังกองเศรษฐกิจสุขภาพฯ เพื่อตรวจสอบเอกสารหลักฐานและพิจารณาการให้สิทธิด้านการรักษาพยาบาล

ถาม: สถานะทางการเงินของกองทุนสิทธิ ท.99 ในขณะนี้เป็นอย่างไร

ตอบ: กองทุนฯ มีสถานะทางการเงินปกติ ไม่มียอดค้างชำระหน่วยบริการสาธารณสุข เมื่อหน่วยบริการแจ้งยอดค่าใช้จ่ายมา ทางกองทุนฯ ก็จ่ายคืนตามรอบการเบิกจ่ายปกติ 

ถาม: คนต่างด้าวที่ซื้อบัตรประกับสุขภาพถ้วนหน้า (บัตร UC) ได้สิทธิการรักษาเทียบเท่ากับบัตรทองคนไทยทุกอย่าง จริงหรือไม่

ตอบ: คนต่างด้าวไม่สามารถซื้อบัตร UC ได้ เนื่องจากสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า สามารถใช้ได้เฉพาะบุคคลสัญชาติไทยเท่านั้น

ตัวอย่างโพสต์เฟซบุ๊กที่อาจสร้างความรู้สึกบาดหมางระหว่างคนไทยกับคนเมียนมา หลังจากมีการแชร์โพสต์ของเพจ Drama-addict อย่างกว้างขวาง

เปิดตัวเลขคนเมียนมาฝากครรภ์-คลอดบุตรในไทย

โคแฟคตรวจสอบฐานข้อมูลการใช้บริการสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุข ในปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566-กันยายน 2567) ในพื้นที่ทั้ง 13 เขตบริการสุขภาพ ได้ข้อมูลดังนี้

  • ประชากรต่างด้าว (รวมทุกสัญชาติ) ที่เข้ารับบริการฝากครรภ์  237,976 ครั้ง
  • ประชากรต่างด้าว (สัญชาติเมียนมา) รับบริการฝากครรภ์ 148,391 ครั้ง
    • ส่วนใหญ่อยู่ในเขตสุขภาพที่ 5 (ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์) คือ 47,453 ครั้ง
    • รองลงมาคือเขตสุขภาพที่ 1 (เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน) จำนวน 20,442 ครั้ง
  • ประชากรต่างด้าว (รวมทุกสัญชาติ) รับบริการหลังคลอด 16,702 ครั้ง
  • ประชากรต่างด้าว (สัญชาติเมียนมา) รับบริการหลังคลอด 9,933 ครั้ง
    • อันดับหนึ่ง เขตสุขภาพที่ 5 จำนวน 3,182 ครั้ง
    • อันดับสอง เขตสุขภาพที่ 11 (ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พังงา กระบี่ ภูเก็ต)  2,068 ครั้ง
    • อันดับสาม เขตสุขภาพที่ 2 (พิษณุโลก เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย) 1,358 ครั้ง

ข้อสรุปโคแฟค

โพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “Drama-addict” กล่าวถึงปัญหาเกี่ยวกับระบบการให้บริการสาธารณสุขและการบริหารจัดการคนต่างด้าว/แรงงานข้ามชาติในไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและสะสมมานาน โดยขาดคำชี้แจงหรือคำอธิบายจากกระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง เนื้อหาในโพสต์ดังกล่าวจึงอาจสร้างความเข้าใจผิดและความสับสนเกี่ยวกับสิทธิการรักษาพยาบาลของคนต่างด้าวในไทย โดยเฉพาะชาวเมียนมา อีกทั้งโพสต์นี้ยังถูกแชร์ไปในลักษณะที่ปลุกปั่นความไม่พอใจต่อชาวเมียนมา ทุกฝ่ายจึงควรระมัดระวังในการแชร์โพสต์นี้ในทางที่จะสร้างความเกลียดชังประเทศเพื่อนบ้าน และควรมุ่งประเด็นการถกเถียงในเรื่องของปัญหาการบริหารจัดการระบบสาธารณสุขของไทยมากกว่าการปลุกปั่นความไม่พอใจชาวเมียนมา

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

กินยาไมเกรนพร้อมกับยาต้านเอชไอวี อาจเสียชีวิต?

เราควรกินยาต้านเอชไอวีและ PrEP/PEP พร้อมกับยาไมเกรนได้หรือไม่?

ก่อนหน้านี้อาจจะมีข่าวที่ทำให้ประชาชนหลายท่านเกิดความไม่สบายใจและกังวล เมื่อมีข่าวออกมาเกี่ยวกับการทานยาต้านเอชไอวี ทั้งชนิดเพื่อรักษาเอชไอวี และชนิดที่เป็นยาต้านฉุกเฉิน (PEP – Post-Exposure Prophylaxis) และหลังจากนั้นก็ได้ทานยาไมเกรนบางชนิด ทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยงที่ขา หรือบางรายก็ทำให้เกิดการเสียชีวิตหลังจากนั้นทันที แล้วมันจริงหรือไม่ที่ไม่ควรทานยาไมเกรนบางชนิดในขณะที่ทานยาต้านเอชไอวี? บทความนี้มีคำตอบมาให้ติดตาม

สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย ได้ทำการเก็บข้อมูลและรวบรวมสถานการณ์การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาซึ่งก่อให้เกิดอันตรายขั้นรุนแรง ระหว่างยาต้านไวรัสเอชไอวี กลุ่ม Protease Inhibitor กับยากลุ่ม ergotamine ซึ่งพบ 2 เคสแรกที่มีการรายงานขึ้น ได้แก่

กรณีที่ 1 : ผู้ช่วยทันตแพทย์ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี แต่เกิดเหตุโดนเข็มตำ ทำให้ต้องทานยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (PEP) สูตร AZT/3TX/lopinavir/r โดยหลังได้รับประทานยาก็มีอาการปวดศีรษะ จึงได้ไปซื้อยารักษาอาการไมเกรนสูตร ergotamine และ caffeine และได้รับประทานไปหนึ่งเม็ด ต่อมามีอาการปลายมือปลายเท้าเขียว เย็นซีด เพลีย หน้ามืด ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา แพทย์วินิจฉัยพบเกิดปลายอวัยวะขาดเลือดจนมีเนื้อตาย และต้องถูกตัดเท้าสองข้างในที่สุด

กรณีที่ 2 : ผู้ติดเชื้อเอชไอวี รับประทานยาต้านไวรัสสูตร lopinavir/r และได้มาโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดโดยให้ยาชาทางไขสันหลัง หลังจากการผ่าตัดคนไข้เกิดอาการปวดศีรษะ แพทย์ได้จ่ายยาหลายชนิดแต่อาการไม่ดีขึ้น แพทย์จึงสั่งยา Cafergot® ให้ ต่อมาคนไข้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง เพลีย หน้ามืด ความดันโลหิตลดลง ปลายแขนขาเขียวคล้ำ และเสียชีวิตในที่สุด

จากทั้ง 2 เคสนี้ทำให้สมาคมโรดเอดส์แห่งประเทศไทย และบุคลากรทางการแพทย์ได้ดำเนินการวิเคราะห์และสั่งห้ามให้ยาชนิดนี้ร่วมกับยาต้านเอชไอวีเด็ดขาด ซึ่งการรับประทานยาไมเกรนร่วมกับยาต้านไวรัสเอชไอวีบางชนิดอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยาที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะยาต้านไวรัสกลุ่มโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ (Protease Inhibitors) เช่น Lopinavir/Ritonavir เมื่อใช้ร่วมกับยาไมเกรนกลุ่มเออร์กอตามีน (Ergotamine) ปฏิกิริยานี้อาจทำให้ระดับยาเออร์กอตามีนในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดหดตัวรุนแรง (Ergotism) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

ดังนั้น หากคุณกำลังรับประทานยาต้านเอชไอวีและต้องการใช้ยาไมเกรน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้ยาร่วมกันปลอดภัยและไม่มีปฏิกิริยาที่เป็นอันตราย ที่สำคัญที่สุดคืออย่าซื้อยาทานเองเด็ดขาด รวมไปถึงหากต้องไปพบแพทย์ให้แจ้งโรคประจำตัวและยาที่ทานปัจจุบัน เพื่อแพทย์และเภสัชกรสามารถจ่ายยาที่ไม่ขัดกับยาที่ทานอยู่ จนส่งผลเสีย หรือทำให้เกิดการเสียชีวิตได้นั่นเอง


แหล่งอ้างอิง

  • สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย

กินยาต้านแล้ว ต้องเว้นระยะ 2 ชั่วโมงเพื่อกินนม?

ผู้ที่อยู่ร่วมกับเอชไอวี จะสามารถทานยาพร้อมนม หรือแอลกอฮอล์ได้หรือไม่?

ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีหลายคนอาจจะกังวลว่าเราสามารถดื่มนมหรืแอลกอฮอล์พร้อมกับยาต้านเอชไอวีได้หรือไม่? เนื่องจากหลายคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับการทานยาไม่เหมือนกัน บางคนมีหลักการที่จะเว้นการทานยากับนมไว้ บางคนก็คิดว่าอาจจะทานร่วมกันได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าในทางการแพทย์ไม่สามารถทานร่วมกันได้ แต่จะด้วยเหตุผลใดนั้น บทความนี้มีคำตอบ

สำหรับการรับประทานยาต้านเอชไอวีควรพิจารณาเรื่องอาหารและยาที่รับประทานร่วมกัน ดังนี้

  • นมและผลิตภัณฑ์จากนม : ยาต้านเอชไอวีบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับแคลเซียมในนม ทำให้การดูดซึมยาลดลง ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาพร้อมกับนม หรือเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
  • แอลกอฮอล์ : การดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับยาต้านเอชไอวีอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงต่อตับและไต ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์

และเพื่อความปลอดภัย หากต้องทานยาหรืออาหารเสริมอย่างอื่นร่วมด้วย รวมถึงยาประจำตัวของตนเอง ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับอาหารและยาที่รับประทานร่วมกับยาต้านเอชไอวีเสมอ เนื่องจากยาบางตัวมีปฏิกิริยาตอบสนองกับยาต้านเอชไอวี และส่งผลเสียต่อสุขภาพร่วมด้วย

นอกจากนี้ การรับประทานยาต้านเอชไอวีอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมโรคและป้องกันการดื้อยา ซึ่งข้อควรระวังในการรับประทานยาต้านเอชไอวีมีดังนี้

  • รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและตรงเวลา : การรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดช่วยรักษาระดับยาในเลือดให้คงที่และป้องกันการดื้อยา 
  • หลีกเลี่ยงการหยุดยาหรือปรับขนาดยาเอง : หากมีผลข้างเคียงหรือปัญหาใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน ไม่ควรหยุดยาหรือปรับขนาดยาเอง 
  • ระวังปฏิกิริยากับยาอื่น : ยาต้านเอชไอวีอาจมีปฏิกิริยากับยาอื่น ๆ เช่น ยาลดกรด วิตามิน หรือสมุนไพร ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสริม 
  • ติดตามผลข้างเคียง : สังเกตอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ผื่น หรืออาการอื่น ๆ หากพบควรแจ้งแพทย์ทันที
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: เข้ารับการตรวจเลือดและประเมินการทำงานของตับและไตตามที่แพทย์นัดหมาย เพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงและประสิทธิภาพของยา 

แน่นอนว่าการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และการดูแลตนเองอย่างเหมาะสมจะช่วยให้การรักษาด้วยยาต้านเอชไอวีมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามีสุขภาพที่ดี แข็งแรงเฉกเช่นคนที่ไม่มีโรค รวมไปถึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างยืนยาวอีกด้วย


แหล่งอ้างอิง

  • หน่วยคลังข้อมูลยา มหาวิทยาลัยมหิดล
  • คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  • มูลนิธิเพื่อรัก

มีเชื้อเอชไอวีไม่ควรทำอาหาร?

ผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ควรทำอาหารหรือไม่ควรสมัครงานร้านอาหาร

เพราะเอชไอวีจะติดได้จากอาหารที่ทำจากผู้ติดเชื้อจริงเหรอ?

สิ่งหนึ่งที่คนยังไม่ค่อยเข้าใจกับผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี คือการใช้ชีวิตร่วมกัน โดยเฉพาะการสมัครงานหรือการเข้าทำงานในร้านอาหาร เป็นเชฟ หรือเป็นผู้ปรุงอาหาร เพราะยังมีโรงแรมหรือสถานบริการบางแห่งมีนโยบายไม่รับผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีเข้าทำงานในสถานประกอบการ เพราะยังมีความคิดว่าเอชไอวีสามารถติดต่อผ่านการทำอาหารหรือปรุงอาหารได้ เรื่องนี้จริงหรือไม่ เรามีคำตอบให้ในบทความนี้

อันที่จริงแล้ว เชื้อเอชไอวี (HIV) ไม่สามารถแพร่กระจายผ่านการทำอาหารหรือการรับประทานอาหารสด รวมไปถึงการสัมผัสอาหารหรือการปรุงอาหารโดยผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น ซึ่งเชื้อเอชไอวีสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำนมแม่

นอกเหนือจากนี้ ผู้ติดเชื้อเอชไอวียังสามารถปรุงอาหารและทำงานในอุตสาหกรรมอาหารได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย ดังนั้น การทำอาหารหรือเตรียมอาหารโดยผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น และยังปลอดภัยหากปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยทั่วไปในการเตรียมอาหารเฉกเช่นคนที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี เช่น ล้างมือก่อนและหลังการปรุงอาหาร ใช้อุปกรณ์ที่สะอาด และปรุงอาหารให้สุก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคอื่น ๆ

ดังนั้น การทำอาหารหรือรับประทานอาหารร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม ควรปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยทั่วไปในการเตรียมและรับประทานอาหาร และผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรดูแลสุขภาพของตนเอง โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และปรุงสุก เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่น ๆ

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันยังคงมีสถานที่ทำงานหลายแห่ง ใช้เกณฑ์การตรวจหาเชื้อเอชไอวีและไม่ยอมรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าทำงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในสถานที่ทำงานประเภทโรงแรมและร้านอาหารที่มักจะมีทัศนคติในด้านลบ เช่น กลัวเอชไอวีจะติดผ่านการทำงาน หรือการที่อาจจะต้องลาหยุดบ่อยๆ เนื่องจากไม่สบาย ซึ่งในปัจจุบันผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อไอวีไม่จำเป็นต้องลาบ่อยๆ อีกแล้ว หากมีร่างกายที่แข็งแรง และเชื้อเอชไอวีก็ไม่ได้ติดกันง่ายๆ อีกแล้วด้วย ดังนั้นสถานที่ทำงานก็ควรให้โอกาสรับผู้ที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีเข้าทำงาน เพื่อให้เขาสามารถพิสูจน์ผลงานผ่านความสามารถและความมุ่งมานะ มากกว่าจะตัดสินไม่รับเพียงเพราะกลัวติดเชื้อเอชไอวี


แหล่งอ้างอิง

  • ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล
  • โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 14 ธันวาคม 2567

วิธีเช็กว่าตับยังแข็งแรง สังเกตได้จากเล็บมือ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/gimmm49bcguf


ผู้เสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถสอบถามรายละเอียดการยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิ์ผ่านเพจ กอ รมน ISOC News…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ld54zb6k96dt


ห้ามกินอาหารจากไมโครเวฟเด็ดขาด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2bbp6066qu0rp


เทน้ำร้อนใส่แอปเปิ้ลสารเคมีจะโชว์ทันที ล้วนเป็นสีสังเคราะห์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/y0llyk2jrolaท


นมผสมฟลูออไรด์อันตรายต่อเด็ก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2awlbanwao4yc


 เตือนภาคใต้เฝ้าระวังแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก จนถึงวันที่ 17 ธ.ค. 67

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3se3snaws3cni


เปิดช่องทางให้ตรวจสอบสิทธิ์ช่วยเหลือชาวนา ผ่านเว็บไซต์ www.efarmer.doae.go.th

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2k77rkef2bx3x


ธอส. แจกเงินให้กับลูกค้า คนละ 1,000 บาท เป็นของขวัญปีใหม่ปี 68 ตามเงื่อนไขที่กำหนด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1f3dbohemqlqv


ตรวจพบน้ำยาดองศพในบุหรี่ไฟฟ้า

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1qffy5m7nbee6


6 สัญญาณเตือนร่างกายกำลังขาดวิตามินซี

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2fa8fqjnocoum


ประกาศเตือนให้แรงงานต่างด้าว และกลุ่ม MOU ขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องก่อนหมดอายุทำงานในวันที่ 13 ก.พ. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2s0nsm4auiejn


HIV = AIDS?

มีเชื้อเอชไอวี เท่ากับเป็นโรคเอดส์จริงเหรอ?

ความกังวลของผู้ที่กำลังมีภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี นอกจากการกล้าไปตรวจแล้วก็คงจะเป็นทัศนคติและมุมมองของตนเอง รวมถึงคนรอบข้าง โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า มีเชื้อเอชไอวีก็เท่ากับเป็นโรคเอดส์ไปแล้ว แต่แท้ที่จริงแล้ว เอชไอวี และ เอดส์ มีความแตกต่างกันมากพอสมควร ซึ่งบทความนี้จะนำท่านมาเรียนรู้กันว่าความแตกต่างของเอชไอวีกับเอดส์เป็นอย่างไรบ้าง

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า เอชไอวี (HIV)  และ เอดส์ (AIDS) มีความแตกต่างกันมากพอสมควร โดย เอชไอวี (HIV) นั้นย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเมื่อได้รับเชื้อเอชไอวี ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง

ในขณะที่ เอดส์ (AIDS) ซึ่งย่อมาจาก Acquired Immunodeficiency Syndrome เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี เมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสและโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ซึ่งหากมีการติดเชื้อเอชไอวีขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเอดส์ทันที ถ้าหากได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพดีได้ 

สำหรับเอดส์นั้น ปัจจัยที่บ่งชี้ว่าอาจจะเข้าสู่ภาวะเอดส์ได้นั้น สามารถพิจารณาได้จาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 หากลดลงต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร แสดงว่าระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรง และการเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบในผู้ป่วยนั้น มีหลักๆ ได้แก่ วัณโรค ซึ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ปอด ทำให้มีอาการไอเรื้อรังและหายใจลำบาก, ปอดอักเสบจากเชื้อรา โดยเชื้อราทำให้ปอดอักเสบและบวม อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต, เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อคริปโตคอคคัส โดยเป็นการติดเชื้อราที่ทำให้เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังอักเสบ, การติดเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส ซึ่งทำให้เกิดปัญหาที่ดวงตาและอาจนำไปสู่การตาบอด และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เกิดจากการเกิดเซลล์มะเร็งในต่อมน้ำเหลือง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม

ซึ่งเอดส์ (AIDS) เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เสียชีวิตได้ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยถูกทำลายอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสและโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โรคเหล่านี้อาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพ หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับการวินิจฉัยและเริ่มการรักษาแต่เนิ่น ๆ สามารถชะลอการพัฒนาไปสู่ระยะเอดส์และลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ การรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอและการติดตามสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมโรคและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้นและมีอายุเทียบเท่ากับคนที่ไม่มีโรคได้เลยทีเดียว


แหล่งอ้างอิง

  • ศูนย์วิจัยโรคเอดส์และโรคติดเชื้อ สภากาชาดไทย (คลินิกนิรนาม)
  • โรงพยาบาลศิครินทร์ กรุงเทพ

มีเชื้อเอชไอวี มีลูกไม่ได้?

จริงหรือไม่? มีเชื้อเอชไอวีแล้วจะไม่สามารถมีบุตรได้ หากมีบุตรจะติดเชื้อเอชไอวีด้วย?

หากพูดถึงเรื่องเอชไอวีแล้ว ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อหลายคนก็คงคิดว่าหากมีเชื้อแล้วก็ไม่ควรมีลูก เพราะหากมีลูกก็อาจจะติดเชื้อเอชไอวีตามไปด้วย และอาจจะต้องเจอปัญหาเหมือนกับตนเอง และทำให้ใครหลายๆ คนไม่มั่นใจในการที่จะเริ่มวางแผนครอบครัวแต่อย่างไร แต่เอาเข้าจริงแล้วผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีจะสามารถมีลูกโดยที่ลูกไม่ติดเชื้อเอชไอวีจากเราได้จริงเหรอ?

ข้อมูลจากองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีสามารถมีลูกได้อย่างปลอดภัย โดยมีโอกาสที่ลูกจะไม่ติดเชื้อเอชไอวี หากมีการวางแผนและรับการรักษาอย่างเหมาะสม การรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ และการฝากครรภ์ตั้งแต่ระยะแรกเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก 

โดยจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าอัตราการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกในประเทศไทยลดลงจากร้อยละ 10.3 ในปี 2546 เหลือเพียงร้อยละ 1.68 ในปี 2560 ซึ่งประเทศไทยยังเป็นประเทศแรกในเอเชีย และเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่สามารถยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและซิฟิลิสจากแม่สู่ลูกได้สำเร็จ โดยสามารถลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าร้อยละ 2 ได้ และได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก มาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน

แล้วถ้าผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีจะมีลูกควรทำอย่างไรบ้าง? ซึ่งจากคำแนะนำของแพทย์นั้นได้ให้ข้อมูลไว้ดังต่อไปนี้

  • ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางด้านเอชไอวีและสูตินรีเวช เพื่อประเมินสุขภาพและวางแผนการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย
  • รับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ: การรับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องช่วยลดปริมาณไวรัสในเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อไปยังบุตร 
  • ตรวจสุขภาพประจำ: ตรวจวัดปริมาณไวรัส (Viral Load) และระดับเม็ดเลือดขาว CD4 อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินสถานะภูมิคุ้มกันและความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อ 
  • วางแผนการตั้งครรภ์: เลือกวิธีการตั้งครรภ์ที่เหมาะสม และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งในเรื่องการรับประทานยา การตรวจสุขภาพ และการดูแลตนเองระหว่างตั้งครรภ์

การเตรียมตัวและปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีไปยังบุตร และเพิ่มโอกาสในการมีบุตรที่สุขภาพแข็งแรง แต่แน่นอนว่าต้องเริ่มต้นจากการดูแลตัวเองและคู่ให้มีสุขภาพทั้งกายและใจที่สมบูรณ์ รวมถึงการมีวินัยอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถวางแผนครอบครัวและมีบุตรอย่างปลอดภัยได้แล้ว


แหล่งอ้างอิง

  • กระทรวงสาธารณสุข
  • องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย
  • โรงพยาบาลเวชธานี
  • ภาควิชาสูติ-นรีเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่