อึ้ง ! คนไทย 36 ล้านคน ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์ ถูกหลอกให้ซื้อสินค้า-โอนเงิน-กู้เงิน       ไตรมาสแรก ปี 67 เกิดความเสียหายมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท พบ ผู้สูงอายุโดนหลอกพุ่ง 22%

กิจกรรม

สสส. สานพลัง โคแฟค-ภาคี เปิดเวทีนักคิดดิจิทัลครั้งที่ 28 มุ่งยกระดับนิเวศสื่อสุขภาวะ เตรียมความพร้อมประชาชนในการรับมือมิจฉาชีพออนไลน์ทางการเงิน

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 ต.ค. 2567 ที่ ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมกับโคแฟค (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายจัดเวทีนักคิดดิจิทัล Digital Thinkers Forum ครั้งที่ 28 ภายใต้หัวข้อ Next levels to counter fraud & deepfake: What’s else should we actยกระดับรับมือมิจจี้ภัยการเงิน จากพลเมืองเท่าทันสู่นโยบายสาธารณะในยุคดีพเฟค” พร้อมระดมความคิดจากนักวิชาการและวิทยากรหลากหลายสาขา ร่วมกันถกปัญหา และหาทางออกด้านการรับมือและป้องกันภัยมิจฉาชีพการเงินออนไลน์

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า  ข้อมูลจาก We Are Social ดิจิทัลเอเจนซีระดับโลก ระบุว่า คนไทยใช้งานอินเทอร์เน็ตมากกว่า 63 ล้านคน คิดเป็น 88% เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ในรอบ10 ปี และมีผู้ใช้บัญชีโซเชียลมีเดียมากกว่า 49ล้านคน หรือราว 68.3% เมื่อมีมือถืออยู่กับตัว ทำให้เป็นโอกาสทองของมิจฉาชีพ ที่สามารถเข้าถึงตัวได้ทุกที่ทุกเวลา สอดคล้องกับรายงานสถานการณ์การถูกหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ ภายใต้โครงการศึกษาสถานการณ์ภัยคุกคามทางออนไลน์ ปี 2567 โดย สสส. และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า คนไทยกว่า 36 ล้านคน ถูกหลอกลวงออนไลน์และตกเป็นผู้เสียหาย 18.37 ล้านคน โดยผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อเพิ่มสูงขึ้น 22% สาเหตุมาจากผู้สูงอายุไม่เข้าใจกลโกงเหล่านี้ จึงสูญเสียทรัพย์สินเงินทองให้กับมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังได้รับผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น ปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ปัญหาขาดความเชื่อมั่นต่อการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ และปัญหาสุขภาพจิต

“เวทีนักคิดดิจิทัลฯ ที่ สสส. และภาคีเครือข่ายจัดขึ้นครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญ คือ การผนึกกำลังภาคีทุกภาคส่วนยกระดับนิเวศสื่อสุขภาวะ เสริมทักษะให้ทุกคนเป็นพลเมืองเท่าทันสื่อ รวมถึงขับเคลื่อนให้มีมาตรการทางกฎหมายที่ต้องมาควบคุมกำกับดูแล มีบทลงโทษที่ชัดเจน มีมาตรการทางสังคม และมาตรการเยียวยาความเสียหายให้กับผู้บริโภค ซึ่งคนทุกวัยต้องช่วยกันดูแล โดยเฉพาะผู้สูงอายุไม่ให้ถูกหลอกลวงและตกเป็นเหยื่อของมิจจี้ หรือ มิจฉาชีพ อีกต่อไป”ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

ดร.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากข้อมูลของศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไตรมาสที่ 1 เดือน ปี 2567 พบว่าประชาชนแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ จำนวนไม่น้อยกว่า 400,000 ราย มูลค่าความเสียหายสูงกว่า 60,000 ล้านบาท สูงสุด 3 ประเภทที่มักโดนหลอก ได้แก่ 1.ถูกหลอกให้ซื้อสินค้าหรือบริการ 41.94% 2.หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน12.85% 3.หลอกให้กู้เงิน 10.95% บางคนเงินออมที่เก็บมาทั้งชีวิตต้องสูญไป ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงต้องจับมือแก้ไขปัญหาร่วมกัน ที่ผ่านมาทาง ธปท.และสถาบันการเงินได้ยกระดับการป้องกันภัยออนไลน์ผ่านมาตรการต่างๆ ด้วยการใช้นวัตกรรมในแก้ปัญหาให้รวดเร็ว รัดกุม และมีความเท่าทันภัยการเงินที่หลากหลาย แต่ปราการสำคัญอีกส่วนหนึ่ง คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนตื่นตัวและรู้เท่าทันกลลวงของมิจฉาชีพ ซึ่ง ธปท. สสส. โคแฟค และภาคีเครือข่ายได้มาร่วมกันเป็นกระบอกเสียงและผลักดันให้การสร้างภูมิคุ้มกันภัยการเงินเป็นนโยบายที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค(ประเทศไทย) กล่าวว่า รายงานสถานการณ์การหลอกลวงจากมิจฉาชีพในประเทศไทยประจำปี 2567 โดยบริษัท โกโกลุก (Gogolook) ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Whoscall ร่วมกับองค์กรต่อต้านกลโกงระดับโลก (GASA) และ ScamAdviser  พบว่าคนไทย 1 ใน 3 หรือราว 39% สูญเสียเงินให้มิจฉาชีพภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพ และมีเพียง 2% ที่ได้ทรัพย์สินคืนทั้งหมดหลังจากถูกหลอก  ถือว่าเป็นการถูกหลอกลวงบ่อยขึ้น มิจฉาชีพหลอกลวงสำเร็จในเวลาสั้น และโอกาสได้เงินคืนน้อยลง ตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา พบรูปแบบการหลอกลวงที่เปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อคนไทย หลายภาคส่วนจึงต้องร่วมมือกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด เพื่อลดความเสียหาย โดยบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง และสิ่งสำคัญคือ การกระตุ้นให้ประชาชนมีความพร้อมในการรับมือภัยมิจฉาชีพในยุคดีพเฟค

“รายงานความเสี่ยงโลก 2024 (Global Risk Report 2024) ระบุว่า ผลกระทบจากการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จและข่าวลวงจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นความเสี่ยงสำคัญอันดับหนึ่งในอีก 2 ปีข้างหน้า และไปถึงอีก 10 ปี (ปี 2577) โดยทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากการสร้างเนื้อหาหรือตัดต่อภาพที่อาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน และนำไปสู่รอยร้าวทางสังคมหรือความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกคนตรวจสอบข่าวก่อนแชร์ ป้องกันการถูกหลอกลวง สามารถเข้าใช้งานได้ ที่เว็บไซต์ cofact.org  และทาง Line แชตบอทโคแฟค @cofact ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” น.ส.สุภิญญา กล่าว

นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค(สภาผู้บริโภค) กล่าวว่า สภาผู้บริโภคมีข้อเสนอแนะต่อสถาบันการเงินและหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้มีมาตรการป้องกันและการชดเชยเยียวยาความเสียหายให้กับผู้บริโภคที่เผชิญปัญหาภัยออนไลน์เพิ่มขึ้น ได้แก่ การจัดให้มีมาตรการหน่วงเงิน (Delay Transaction) เพื่อให้ผู้บริโภคมีระยะเวลาในการตรวจสอบการโอนเงิน การออกมาตรการให้ธนาคารคืนเงินผู้เสียหายที่ประสบเหตุภัยอาชญากรรมทางการเงินที่รวดเร็วและเต็มจำนวนเงินที่สูญเสีย เพื่อคืนความรับผิดชอบกลับไปยังธนาคารในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพผู้รับฝากเงินซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงจากภัยอาชญากรรมการหลอกลวงทางการเงิน และสุดท้าย คือ ภาครัฐจะต้องจัดทำแพลตฟอร์มแจ้งเตือนภัยเบอร์ต้องสงสัยที่เข้าข่ายภัยมิจฉาชีพเพื่อให้ประชาชนไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์โดยเร็ว


‘AI’กับข้อมูลข่าวสาร! ‘โอกาส-ภัยคุกคาม’ ทางออกอยู่ที่‘สื่อ-บริษัทเทคฯ’ต้องชัดเรื่อง‘จริยธรรม’

กิจกรรม

3 ต.ค. 2567 สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ร่วมกับ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาหัวข้อ กฎบัตรปารีสเรื่องจริยธรรมสื่อในยุค AI และบริบทของไทย ที่สถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ ชั้น 34 ตึก SM Tower กรุงเทพฯ พร้อมถ่ายทอดสดทางเพจ “Cofact โคแฟค”  สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และ The Reporter 

ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและระบบสุขภาพวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เหมือนกับเหรียญ 2 ด้าน ด้านหนึ่ง AI ถูกสร้างมาเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่สุขภาพ แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการสร้างและเผยแพร่ข้อมูลปลอม รวมถึงการรุกรานทางไซเบอร์ ซึ่ง AI เข้ามาทวีความรุนแรงของปัญหา

เรื่องของข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) หรือเรื่องข่าวลวงต่างๆ ทั้งคนไทยและคนทั่วโลกจะถูกคุกคามด้วยปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง โดยรายงานความเสี่ยงโลก (Global Risk Report 2024) ระบุว่า Disinformation จะเป็นความเสี่ยงอันดับ 1 ใน 2 ปีข้างหน้า แล้วก็จะยืนยาวต่อเนื่องไปอีก 10 ปีข้างหน้า ผอ.สำนักสร้างเสริมระบบสื่อและระบบสุขภาพวะทางปัญญา สสส. กล่าว

ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2567 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 27 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ ทั้งสื่อมวลชนและนักวิชาการมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ว่าจะใช้ AI ในหน่วยงานสื่อมวลชนโดยไม่ละเมิดจริยธรรมได้อย่างไร ซึ่งจริงๆ แล้วก็พอจะรู้แนวทางกันอยู่บ้าง เช่น การใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI) ในการสร้างภาพประกอบ 

เคยมีตัวอย่างที่มีสำนักข่าวมีการทดลองสร้างรูปประกอบโดยใช้ AI ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่ามีกฎเกณฑ์ทำอย่างไร ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจาก AI สร้างมาแบบไม่สมบูรณ์ มีจุดที่ทำให้สามารถจับผิดได้ง่าย รู้ว่าไม่ใช่ภาพจริง จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าสร้างภาพนี้โดยสร้างขึ้นจาก AI  แต่ไม่บอกผู้ชม-ผู้ฟัง ซึ่งเป็นประเด็นที่เคยพูดคุยกัน ชวรงค์ กล่าว

อาเธอร์ กริมองพองต์ (Arthur Grimonpont) ผู้แทนองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) กล่าวว่า ตนเป็นหัวหน้าฝ่าย AI และความท้าทายระดับโลกของ RSF ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นกำลังหลักในการเผยแพร่ข้อมูลทั่วโลก จากอัลกอริทึมที่คอยจับความสนใจของแต่ละคนแล้วป้อนเนื้อหาที่น่าสนใจเหล่านั้น ซึ่งหมายถึงแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ต่างๆ เช่น Youtube Facebook Instagram TikTok และ X ที่แม้หน้าตาจะแตกต่างกัน แต่การออกแบบภายในกลับคล้ายกัน

ทั้งหมดนี้เพื่อดึงความสนใจของผู้คน และเปลี่ยนความสนใจนั้นให้กลายเป็นรายได้จากโฆษณา แพลตฟอร์มเหล่านี้จึงกลายเป็นความท้าทายของสำนักข่าวต่างๆ โดยช่วงปลายปี 2565 – ปลายปี 2566 Meta (บริษัทเจ้าของ Facebook) ได้ลดการเข้าถึงข่าวของสำนักข่าวใน Facebook ลงครึ่งหนึ่ง โดยที่ยังไม่มีใครบังคับให้ Meta รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ ที่ยิ่งกว่านั้น AI อาจมีบทบาทมากขึ้นในการผลิตข้อมูลข่าวสารอีกด้วย 

การมาของ AI แบบสร้างสรรค์ มาพร้อมกับโอกาสหลายอย่าง แต่ก็มาพร้อมกับภัยคุกคามที่สำคัญเช่นกัน ในด้านโอกาส ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการใช้งานพื้นฐาน เช่น การแปลงเสียงเป็นข้อความ การแปลงข้อความเป็นเสียง หรือเป็นการใช้งาน AI ที่ฉลาดขึ้นอีก เช่น ในการทำข่าวสืบสวน อย่างการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม หรือการสกัดข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) 

แต่พร้อมกับโอกาสเฉพาะทางเหล่านี้ แต่มีภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน เพราะจากการสำรวจครั้งใหญ่ของนักวิทยาศาสตร์ AI ก็พบข้อมูลบิดเบือนและข้อมูลเท็จ ถือเป็นภัยคุกคามอันดับ 1 ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งภัยคุกคามของ AI แบบสร้างสรรค์ คือการทำให้แยกแยะได้ยากระหว่างเนื้อหาที่เป็นจริงกับเนื้อหาที่ปัญญาประดิษฐ์สร้างขึ้น และเมื่อถึงจุดหนึ่งคนจะไม่เชื่อ ในขณะที่ความท้าทายของสื่อคือการรักษาระดับความไว้วางใจของผู้รับสาร

ยังมีเรื่องของความหลากหลายและความเป็นอิสระในการเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งแชทบอทอาจกลายเป็นช่องทางเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญในอีกไม่ช้า เหมือนสื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน เช่น เมื่อ OpenAI (บริษัทผู้พัฒนาแชทบอท ChatGPT) เข้าเป็นพันธมิตรกับสื่อต่างๆ  จึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าคำตอบจาก ChatGPT ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารจะมีความน่าเชื่อถือและถูกต้องเพียงพอ นั่นคือปัญหาที่เราควรสนใจ

รวมถึงภัยคุกคามทางเศรษฐกิจ  ซึ่งไม่สามารถรับประกันเรื่องรายได้จากข้อตกลงระหว่างสื่อกับแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งนี้ ในทางทฤษฎีอาจป้องกันภัยคุกคามเหล่านี้ได้ผ่านการใช้กฎหมายและกฎข้อบังคับ แต่น่าเสียดายที่กฎข้อบังคับเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ออกมาช้าเกินไป ในขณะที่บริษัทที่ให้บริการ AI ซึ่งมักจะเป็นเจ้าของสื่อสังคมออนไลน์ด้วยนั้นมักจะอยู่ในกลุ่มที่มีอำนาจในการล็อบบี้สูงมาก ทั้งในสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐอเมริกา

ที่ผ่านมาสื่อมวลชนถูกกำกับด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลกันเอง ดังนั้นสื่อมวลชนจึงมีโอกาสในการทำงานร่วมกันได้อย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าสื่อมวลชนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบฝ่ายเดียวเท่านั้น เพราะจำเป็นต้องกำกับดูแลผู้ให้บริการ AI และ Social Media ด้วยเช่นกัน แต่สำนักข่าวยังทำหน้าที่ของตัวเองได้และดำเนินการในฝั่งของตนได้จึงเป็นเหตุผลที่ RSF ได้ริเริ่มกฎบัตรปารีสว่าด้วย AI และงานข่าวและสื่อสารมวลชน ผู้แทน RSFกล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า จากการบรรยายของผู้แทน RSF มีประเด็นน่าสนใจ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ทำให้มนุษย์สามารถผลิตภาพได้มหาศาลกว่าเมื่อ 150 ปีก่อน เราอยู่ในมหาสมุทรของข้อมูลทั้งภาพ เสียงและตัวอักษร ที่บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นหลักสำคัญของสื่อมวลชนจริงๆ คือกลับไปที่หลักจริยธรรมที่สื่อยึดถือ 

แต่เมื่อมีเรื่องของ AI เข้ามา ก็จะมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทเทคโนโลยี แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์และองค์กรสื่อ ซึ่งต้องรวมพลังกัน นอกจากจะมีแนวปฏิบัติของตนเองแล้ว ยังต้องสร้างอำนาจต่อรองด้วย เช่น นักข่าวภาคสนามไปลงพื้นที่ หรือบทความที่นักข่าวเขียนขึ้น เมื่อถูกนำไปให้ AI สร้างอะไรขึ้นมา ก็ควรมีการเจรจาเรื่องต้นทุนร่วมกับบริษัทเทคโนโลยี

จากเมื่อก่อนที่เราต้องเจรจาเรื่องการเข้าถึงของอัลกอริทึม ดูเหมือนว่าเราก็จะถูกรุกคืบเรื่อยๆ ก็เป็นเรื่องที่เขาบอกว่าทำไมสื่อแต่ละสื่อไม่สามารถมาทำอะไรด้วยตัวเอง เราถึงต้องรวมตัวกันเพื่อจะสร้างพลังและอำนาจต่อรอง แล้วก็สร้างแนวปฏิบัติเพื่อความอยู่รอดขององค์กรสื่อเองด้วย และเพื่อรับผิดชอบต่อสังคมด้วย สุภิญญา กล่าว

ผศ.ดร.เอกพล เธียรถาวร คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า กฎบัตรปารีสเหมือนกับกติกากว้างๆ ออกแบบมาให้ครอบคลุมหลายๆ ด้านในการใช้ AI ในงานสื่อสารมวลชน แต่รายละเอียดอาจต้องดูที่สื่อแต่ละแห่งหรือแต่ละบริบทต้องไปปรับใช้ ซึ่งสิ่งที่เห็นด้วยอย่างมากคือการต้องย้อนกลับมาดูว่าจริยธรรมเดิมของวิชาชีพเป็นอย่างไรและนำมาใช้เป็นแกนหลักในการทำงานไม่ว่าจะเป็น AI หรือเทคโนโลยีอื่นๆ รวมถึงให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ในการทำงานสื่อ

มีคนถามผมว่าต้องใช้อย่างไรดี เรื่อง AI มันใหม่มาก   ผมคุยกับนักศึกษาว่า ย้อนกลับไปว่าใช้วิธีคิดเหมือนเดิมเลย เวลาจะสื่อเนื้อหาอะไรออกไป โดยเฉพาะเรื่องโศกนาฏกรรม ใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน คือประโยชน์สูงสุดและความเสียหายหรือผลกระทบน้อยที่สุด ยังเป็นหลักเกณฑ์เดิมแค่ใช้เครื่องมือใหม่ ผศ.ดร.เอกพล กล่าว

ชุตินธรา วัฒนกุล บรรณาธิการบริหารข่าวออนไลน์ ไทยพีบีเอส กล่าวว่า จริงๆ วันนี้ทุกประเทศในโลกค่อนข้างกังวลและตื่นตัวกับการมาของปัญญาประดิษฐ์ แต่จากการสำรวจข้อมูลหลายๆ ที่ ก็พบว่ายังอยู่ในขั้นทดลองใช้ ยังเป็นการลองผิดลองถูก รวมถึงบริษัทผู้พัฒนา AI ก็เช่นกัน วันนี้ AI จึงเหมือนกับไม่เก่งแต่ดันทุรัง คนที่จะนำสิ่งที่ AI สร้างขึ้นไปใช้ก็ต้องตรวจสอบซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่าถูกหรือผิด 

หากเป็นคนที่ศึกษามาจะรู้ว่าไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด แต่ผู้รับสารทั่วๆ ไป โอกาสที่เขาจะรู้คือแทบไม่มีปัจจุบันจึงยังอยู่ในส่วนของการรู้เท่าทัน และจะใช้เครื่องมือหรือแนวทางใดในการตีกรอบ แต่ไม่อยากให้กรอบแคบจนเกินไปเพราะอาจไปทำลายความคิดสร้างสรรค์ให้หายไป ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยกับเรื่องการคุยกับต้นทาง หมายถึงหากสื่อนานาประเทศสามารถรวมคัวกันได้แล้วไปคุยกับบริษัทผู้พัฒนา AI ว่าต้องให้ความสำคัญกับจริยธรรมด้วย

สำหรับการทำงานของสื่อมวลชน อาจจะต้องมีข้อกำหนดอะไรบางอย่างว่า AI ไม่ควรจะสร้างอะไรที่นอกเหนือจากสิ่งที่เขาหาไม่ได้  ึ่งจะเป็นการช่วยงานสื่อเบื้องต้น กาเป็นสื่อมวลชนต้องนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นหลักการที่ก็ยึดหลักปฏิบัติมานานแล้วไม่ว่าจะใช้หรือไม่ใช้ AI การนำเสนอข้อเท็จจริงจะช่วยทำให้สื่อมีความน่าเชื่อถือ ชุตินธรา กล่าว

ชนิดา จันทเลิศลักษณ์ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์กล่าวว่า สนับสนุนกฎบัตรปารีสในเรื่องการให้อำนาจของมนุษย์ที่อยู่เหนือ AI เพราะการทำงานของกองบรรณาธิการ สุดท้ายการตัดสินใจหรือการกำหนดวาระข่าวยังเป็นเรื่องของบรรณาธิการที่มีทั้งประสบการณ์และมีความมั่นใจในการหยิบแหล่งข้อมูลแรก (First Source Data) มาใช้ก่อนที่จะใช้ AIมาช่วยสนับสนุน จึงเห็นว่าเป็นโอกาสดี เมื่อมี AI เข้ามา ซึ่งเป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนการทำงาน อำนาจของมนุษย์ไม่ว่าบรรณาธิการหรือนักข่าวจะมีความสำคัญมากขึ้น

First Source Data (แหล่งข้อมูลแรกมีความสำคัญมาก อย่างไม่นานนี้ Open AI ก็ถูก New York Times ฟ้องในเรื่องของการละเมิด คือเขาเชื่อว่ามีการหยิบเอาเนื้อหาบางส่วนเพื่อมาให้ AI เรียน แต่สุดท้ายแล้ว Open AI ก็กลับกลับไปซื้อข้อมูลของ Times  สะท้อนให้เห็นความสำคัญของ First Source Data ในงานข่าวและสื่อสารมวลชน ดังนั้นยิ่งตอกย้ำให้มีความมั่นใจยิ่งขึ้นว่าการแยกระหว่างเนื้อที่เป็น First Source Data ที่มีการตรวจสอบแล้ว ค่อยใช้เครื่องมือมาสร้าง หรือช่วยในการเล่าเรื่องชนิดา กล่าว

สุวิตา จรัญวงศ์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท เทลสกอร์ จำกัด กล่าวว่า ในกลุ่มผู้ผลิตเนื้อหา (Content Creator) ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ เพราะเป็นกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับเทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ มีความว่องไวเป็นทุนเดิม แต่ปัจจุบันถึงจุดที่ต้องกังวลความไวด้วย เพราะ Content Creator เกิดมาในสิ่งแวดล้อมที่เป็นชุมชน (Community) มักจะผลิตเนื้อหาเพื่อชุมชนกลุ่มเล็กๆ วิธีคิดและแนวปฏิบัติจะเป็นแบบกลุ่มเล็กๆ แต่เมื่อเครื่องมือดิจิทัล โดยเฉพาะ AI เข้ามา ก็ต้องรับเอาหลักการสื่อสารมวลชนมาใช้ให้มากขึ้น

จริงๆ ผู้ผลิตเบอร์ต้นๆ เคยมารวมตัวกันเพื่อคุยในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งกลุ่มผู้ผลิตเนื้อหา จริยธรรมเรายังไม่แม่นเลย เนื่องจากเดิมทีแนวปฏิบัติด้านจริยธรรมในกลุ่มผู้ผลิตเนื้อหาไม่ได้มีสมาคมหรือหน่วยงานใดให้การรับรอง ถ้าจริยธรรมในส่วนของสื่อสังคมออนไลน์กับผู้ผลิตเนื้อหา อาจต้องมีการลงลึกว่าตัวอย่างหรือกรณีศึกษาเป็นอย่างไร สุวิตากล่าว

รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากที่อ่านกฎบัตรปารีส พบว่าไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากยุคก่อนที่จะมีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งหลักการของวารสารศาสตร์ก็ยังอยู่ ส่วน AI ก็เหมือนกับเป็นพนักงานใหม่ที่ยังไม่รู้ดีเท่ากับเรา แต่ก็เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่กล้าทำแม้บางครั้งจะยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน 

ทั้งนี้ โดยส่วนตัวมองว่าประเทศไทยหรือสื่อไทยยังไม่มีความพร้อม อีกทั้ง Big Data ที่จะมาให้ AI ใช้ก็ยังไม่มี เคยไปอบรมการใช้ AI เข้ามาช่วยงานอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อลองใส่คำสั่งลงไปก็พบว่า AI ทำออกมาผิดค่อนข้างมาก ดังนั้นหากคนที่ใช้งาน AI เชื่อทั้งหมดจะมีโอกาสผิดพลาดสูง   อย่างตนเคยเป็นบรรณาธิการ มีประสบการณ์จะรู้ว่าข้อมูลนั้นถูกหรือผิด   แต่คนรุ่นใหม่ๆ ที่ยังสะสมข้อมูลมาน้อยแล้วนำ AI มาใช้ ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นอย่างมากซึ่งปัจจุบันจะมีคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เป็นนักข่าวหรือผู้ผลิตเนื้อหา พบว่าใช้และเชื่อ AI อย่างมาก โดยไม่รู้ด้วยว่าจะได้รับข้อมูลผิดๆ 

ดังนั้นสำหรับตัวเอง ตั้งคำถาม 2 คำถามว่า 1.วันนี้ที่มาคุยกันเราจะใช้กฎบัตรนี้เป็นตัวตั้งแล้วเรามาวิพากษ์ว่าควรใช้อย่างไรให้สอดคล้องกับบริบทของไทย วัฒนธรรมสื่อไทย และความพร้อม2.โดยส่วนตัวคิดว่ายังไม่พร้อม เอาง่ายๆ โคแฟคเล่นเรื่องข้อมูลบิดเบือน เราทำกันตั้งแต่ปี 2562จนถึงวันนี้มีสำนักข่าวกี่สำนักที่มีฝ่ายตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Checker) รศ.ดร.วิไลวรรณ กล่าว

หมายเหตุ : สามารถอ่าน กฎบัตรปารีสว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และงานข่าวและสื่อสารมวลชน ได้ที่นี่ https://blog.cofact.org/paris-charter23/

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ขอบคุณภาพงานจาก The Reporter

🎈🌏 Are we ready for the next level?เวทีนักคิดดิจิทัล Digital Thinkers Forum#28[9ตค.67] Next levels to counter fraud & deepfake: What’s else should we act?ยกระดับรับมือมิจจี้ภัยการเงิน จากพลเมืองเท่าทันสู่นโยบายสาธารณะในยุคดีพเฟค

กิจกรรม

วันพุธ ที่ 9 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2567 เวลา 09.30 – 15.00 น. ณ ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ลานกิจกรรมชั้น 1)

09.30 – 10.00 น. ลงทะเบียน


10.00 – 10.20 น. กล่าวต้อนรับโดย ดร.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และ โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย
กล่าวเปิดงานโดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

10.20 – 10.30 น. ร้องเล่าประสบการณ์ผู้ประสบภัยการเงินออนไลน์ โดย พิชิตชัย สีจุลลา หมอลำอีสานโคแฟค

10.30 – 11.00 น. Keynote Next levels to counter fraud & deepfake: What’s else should we act? โดย Dr. Joshua James Regional Counter-Cybercrime Coordinator United Nations Office on Drugs and Crime

11.30 – 12.30 น. เสวนานักคิดดิจิทัลในหัวข้อ “ Next levels to counter fraud & deepfake: What’s else should we act? ยกระดับรับมือมิจจี้ภัยการเงิน จากพลเมืองเท่าทันสู่นโยบายสาธารณะในยุคดีพเฟค” โดย

คุณภิญโญ ตรีเพชราภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงภาพรวม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)


พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)


นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการ สภาองค์กรของผู้บริโภค


คุณสุวิตา จรัญวงศ์ ผู้ก่อตั้งและ CEO บริษัท เทลสกอร์ จำกัด (Tellscore)


คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท
ดำเนินรายการโดย คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย)

12.30 – 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน

13.30 – 14.30 น. Workshop โดย ทีมสกมช. และ Cofact

15.00 น. กล่าวปิดงานโดย คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย)
🖼


ถ่ายทอดสดผ่านเพจ ThaiPBS และ Cofact
หมายเหตุ: กำหนดการอาจเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม


อย่าเพิ่งเชื่อ

อย่าเพิ่งโอน

❌️❌️❌️

จาก‘6ตุลา’ถึง ‘ชายแดนใต้’ ผลกระทบ‘ข้อมูลลวง’เรื่องที่ทั้ง‘รัฐ-สื่ออาชีพ-ชาวโซเชียล’พึงตระหนัก

กิจกรรม

รายการ “Cofact Live Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย)วันที่ 5 ต.ค. 2567 ชวนพูดคุยกับ ผศ.ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล อาจารย์ประจำคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในหัวข้อ ทบทวนบทบาทสื่อสันติภาพในการรับมือสงครามข้อมูล จาก ตุลา 19 ถึง ยุคปัญญาประดิษฐ์รู้สร้าง” ณ เดอะเบคเฮาส์ @ปัตตานี เนื่องในโอกาส วันครูโลก (World Teachers’ Day) 5 ตุลาคม ของทุกปี

ผศ.ดร.วลักษณ์กมล เริ่มต้นด้วยการเล่าก่อนว่า มีโอกาสได้ไปศึกษาเรื่อง วารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ (Peace Journalism)” การที่อยู่ในจังหวัดปัตตานี ทำให้ในต่างประเทศที่ได้ไปสมัครเรียนมองว่าที่นี่มีเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะที่ในแวดวงวิชาการตั้งแต่เมื่อราวๆ 10 กว่าปีก่อน เริ่มมีงานวิจัยเรื่องการสื่อสารเพื่อสันติภาพออกมา และเมื่อได้อ่านก็มองว่าน่าจะเข้ากับสถานการณ์ชายแดนใต้ จึงเลือกเรื่องนี้มาทำเป็นวิทยานิพนธ์

จริงๆ แล้วสิ่งหนึ่งที่ทุกคนน่าจะรู้เลยว่าสื่อมีบทบาทสำคัญมากๆ ในการสร้างสันติภาพหรือทำให้ไม่เกิดสันติภาพก็ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างที่เราเห็น แล้วจริงๆ เราก็พูดถึงกันเยอะ บทบาทสื่อ เรื่องข่าวสืบสวน-สอบสวนอะไรต่างๆ แต่พอมันลงลึกในประเด็นเฉพาะซึ่งเป็นเรื่องของความขัดแย้ง Peace Journalism ก็บอกว่าเราจะไม่ได้เรียนหรือรู้แค่แนวปฏิบัติของการทำข่าวเท่านั้น แต่เราต้องรู้บริบทของพื้นที่ที่เราไปทำข่าว และที่สำคัญเราต้องรู้ทฤษฎีเรื่องความขัดแย้งและสันติภาพ

หากให้อธิบาย วารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ หมายถึง แนวปฏิบัติการทำงานของสื่อที่ต้องหาข้อมูลอย่างรอบด้าน หรือการค้นหาความจริงในทุกแง่มุมไม่ใช่เฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง โดยมีเป้าหมายไปสู่ทางออกของปัญหาอย่างสร้างสรรค์และสันติภาพ อย่างไรก็ตาม ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปกระบวนการทำงานก็ย่อมแตกต่างจากเดิม เช่น ในอดีตการค้นหาข้อมูลทำได้จากการลงพื้นที่หรือการสัมภาษณ์บุคคลที่หลากหลายเพื่อรวบรวมความคิดเห็นมาประกอบ แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยได้มาก

แม้จะมีเครื่องมือมากขึ้นในปัจจุบัน แต่หากเราประเมินข้อมูลไม่เป็นอาจกลายเป็นเรื่องยากได้ ในส่วนของหลักสูตรที่เกี่ยวกับวิชาชีพสื่อจึงต้องปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย อาทิ มีการนำความรู้เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เรื่องการทำข่าวด้วยการใช้ข้อมูล (Data Journalism) และล่าสุดคือปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามา ซึ่งคนทำสื่อต้องไม่เพียงใช้งานได้ แต่ต้องใช้อย่างชาญฉลาดด้วย 

ในยุคที่ทุกคนเป็นสื่อได้ผ่านการใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) สิ่งที่ต้องตระหนักไว้เสมอคือตราบใดที่เป็นการสื่อสารกับสาธารณะก็ต้องมีความรับผิดชอบ และสื่อสังคมออนไลน์ก็ไม่เหมือนกับการเขียนบันทึกหรือพูดอะไรในพื้นที่ส่วนตัว ส่วนประเด็นการมาของ AI นั้นมองว่าเป็นโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้พัฒนาผลงานได้ดีขึ้น รวมถึงขยายศักยภาพของคน 

แต่ยอมรับว่า เป็นห่วงเรื่องความเป็นมืออาชีพของสื่อ ตั้งแต่ความแน่วแน่ในบทบาทของตนเอง เพราะบางที่เมื่อเราอยู่ในยุคสื่อสังคมออนไลน์ก็ทำให้หลงลืมบทบาทของตนเองไปว่าการเป็นสื่อควรนำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้าน หรือการใช้ AI เข้ามาช่วยในงานสื่อก็ใช้เพื่อทำงานแทนตนเองไปเลย ไม่ได้ใช้เพื่อตรวจสอบหรือเพื่อขยายศักยภาพของตนเอง ซึ่งก็ไม่เป็นธรรมต่อผู้รับสาร แต่ระยะหลังๆ องค์กรสื่อก็จะให้ความสำคัญกับเรื่อง AI เห็นได้จากการเปิดเวทีสัมมนาเรื่องนี้มากขึ้น

ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์  6 ตุลา ผศ.ดร.วลักษณ์กมล กล่าวว่า ปรากฏการณ์ของการสื่อสาร เมื่อย้อนมองไปในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แล้วมาเทียบกับปัจจุบันจะพบทั้งความเหมือนและความต่าง” โดยสิ่งที่เหมือนคือการใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (Malinformation) เพื่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ แต่สิ่งที่แตกต่างคือในอดีตการเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้จะทำผ่านสื่อมวลชนจึงมีข้อจำกัด เช่น หากเผยแพร่ผ่านวิทยุก็ไปถึงเฉพาะผู้รับสารที่ฟังวิทยุ แต่ปัจจุบันช่องทางการเผยแพร่มีมากกว่า ทำให้ข้อมูลแพร่กระจายได้กว้างขวางและรวดเร็วกว่า

อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันคนยุคปัจจุบันอาจมีความรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสารมากกว่าคนในอดีตและมีช่องทางในการตรวจสอบข้อมูลได้ง่ายกว่า แตกต่างจากคนในอดีตที่เมื่อได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง กว่าจะรู้ข้อเท็จจริงก็อาจผ่านไปแล้วเป็นปีหรือหลายปี ทั้งนี้ ในฐานะนักนิเทศศาสตร์ ตนยืนยันเรื่องสิทธิเสรีภาพในการสื่อสารและการแสดงความคิดเห็น แต่สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือจริยธรรม รัฐต้องมีจริยธรรมในการกำกับสิทธิเสรีภาพของสื่อ แต่สื่อ (หรือใครก็ตามที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร) ก็ต้องมีจริยธรรมด้านความรับผิดชอบด้วยเช่นกัน

ขณะที่ประเด็นสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยความที่กระบวนการเจรจาสันติภาพไม่คืบหน้า ทำให้แม้เหตุความรุนแรงจะลดลงแต่คนในพื้นที่ก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย ส่วนเรื่องข่าวลวง-ข่าวปลอม ซึ่งในบริบทของพื้นที่นี้มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงหรือเรื่องศาสนา เพราะมาจากทั้งฝ่ายที่โจมตีรัฐและฝ่ายที่โจมตีกลุ่มผู้ก่อการ หรือเรียกว่าเป็น สงครามข้อมูลข่าวสาร ที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตไม่ว่าบนเว็บไซต์หรือในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ มองว่าคนมีความรู้เท่าทันมากขึ้น

พอเราพูดเรื่องสันติภาพ เรื่องความขัดแย้ง การที่จะไปสื่อสารเรื่องนั้นได้เราก็ต้องมีความรู้ด้วยเกี่ยวกับทฤษฎีความขัดแย้งหรือทฤษฎีความรุนแรง ซึ่งก็มีหลายระดับ ความรุนแรงเชิงกายภาพ เชิงวัฒนธรรม บางสังคมที่เราไม่เห็นความรุนแรงเชิงกายภาพไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความรุนแรง ฉะนั้นถ้านักข่าวหรือนักวารสารศาสตร์ไม่รู้ตรงนี้จะมองข้ามไป เช่น ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความรุนแรงที่ซ่อนอยู่เยอะแยะไปหมดที่ไม่ใช่เชิงกายภาพ ถ้าเราไม่ได้เรียนทฤษฎีเหล่านี้มาจะไม่รู้ ไม่มีการยิงกันก็น่าจะสงบแล้วไหม? แต่จริงๆ ยังมีปัญหาสังคมหลายอย่าง

ผศ.ดร.วลักษณ์กมล ขยายความเรื่องปัญหาสังคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ปัญหาแม่หม้าย-เด็กกำพร้า ปัญหาความยากจนที่เชื่อมโยงกับความสูญเสียซึ่งเกิดจากเหตุความรุนแรง ส่วนข้อเสนอแนะถึงรัฐบาล อยากให้มีนโยบายที่ชัดเจนเรื่องกระบวนการสันติภาพ เรื่องการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันในสังคม ความปรองดองและการอยู่ร่วมกันในบริบทของสังคม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เห็นนโยบายเรื่องเหล่านี้ที่ชัดเจน อีกทั้งเมื่อไม่มีข่าวเหตุความรุนแรงคนก็มักจะลืม ทั้งที่ในพื้นที่ก็ยังมีปัญหาอยู่

ส่วนประเด็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในมุมมองของคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ผศ.ดร.วลักษณ์กมล เล่าว่า เด็กรุ่นใหม่หลายคนไม่รู้จักเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ (วันที่ 28 เม.ย. 2547) โดยนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ณ ปัจจุบัน จะเป็นเด็กที่เกิดในช่วงปี 2544-2547 เด็กกลุ่มที่เห็นในมหาวิทยาลัยจึงไม่ค่อยมีความรู้สึกเจ็บช้ำที่แฝงอยู่ คนรุ่นใหม่ในพื้นที่จึงให้ความสำคัญกับการอยู่ดีกินดี เช่น มองว่าสันติภาพคือการมีชีวิตที่กินดีอยู่ดีและสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างปลอดภัย

แต่ถึงคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเติบโตมากับการเห็นเจ้าหน้าที่ตั้งด่านความมั่นคงจนคุ้นชิน ก็ยังคาดหวังว่าสักวันหนึ่งคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีชีวิตปกติเหมือนคนในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย ขณะที่ก็จะเห็นความพยายามของคนรุ่นใหม่ในการสร้างย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น มีร้านอาหาร-ร้านกาแฟที่ตกแต่งอย่างสวยงาม มีพื้นที่แสดงผลงานศิลปะ ให้พบเห็นมากกว่าช่วงก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ปัญหาที่ยังคงมีอยู่ก็ต้องแก้ไขกันต่อไป

“มันก็ช่วยทำให้คนมีชีวิตชีวาขึ้น ทำให้เมืองมันเป็นเมืองที่น่าเที่ยว ฉะนั้นมันเป็นสิ่งที่ดี แต่ในขณะเดียวกัน  ยังมีปัญหาโครงสร้างอยู่ที่ต้องช่วยแก้ด้วย อย่าเห็นแต่ความโรแมนติกของปัตตานี แต่ให้เห็นด้วยว่าปัตตานียังต้องการการแก้ไขปัญหาหลายอย่าง จริงๆ ยะลาก็คึกคักนะ แล้วนราธิวาสช่วงหลังๆ ก็มีกิจกรรมอะไรต่างๆ เกิดขึ้นเยอะเหมือนกันในแง่กิจกรรมที่สร้างสรรค์”

ส่วนบทบาทการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในท้องถิ่น ผศ.ดร.วลักษณ์กมล กล่าวว่า ปัจจุบันไม่ค่อยเห็นสื่อท้องถิ่นที่มีลักษณะเป็นองค์กรแล้ว แต่กลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ผลิตเนื้อหาเผยแพร่บนโลกออนไลน์ซึ่งมักจะเกี่ยวกับการท่องเที่ยวหรือวิถีชีวิต ไม่ใช่เรื่องการเมือง ที่ยังมีคือองค์กรสื่อส่วนกลางส่งนักข่าวมาประจำในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือไม่ก็เป็นคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทำงานข่าวให้องค์กรสื่อส่วนกลาง  

อนึ่ง แม้การพูดคุยครั้งนี้จะว่าเน้นไปที่บทบาทของสื่อในการสื่อสารเพื่อสร้างสันติภาพหรือไม่ขยายความรุนแรง แต่ปัจจุบันเมื่อทุกคนสื่อสารและแสดงความคิดเห็นได้ผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าโลกออนไลน์มีแต่ความรุนแรง เช่น ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ซึ่ง ผศ.ดร.วลักษณ์กมล ให้ความเห็นว่า ในมุมหนึ่งก็ต้องมีกฎกติกากำกับดูแลกันบ้าง ซึ่งอาจไม่ถึงขั้นต้องระบุความผิดให้มีโทษติดคุกตะราง แต่อาจอยู่ในรูปแบบแนวปฏิบัติหรือคำแนะนำ (Guideline) แต่หากไม่ทำตามก็จะมีมาตรการบางอย่าง

Professionalism (ความเป็นมืออาชีพอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นคือเรื่องของวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ ที่จะเป็นมาตรฐานวิชาชีพของสื่อที่อยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ก็คิดว่ายังต้องมีอยู่ อีกประเด็นหนึ่งก็จะเป็นเรื่องของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าอาจจะต้องมีการทำให้เป็นประเด็นที่เด่นชัดขึ้นมามากขึ้นในสังคม โดยคนที่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหา หรือมีส่วนร่วมเป็น Stakeholders (ผู้มีส่วนได้-ส่วนเสีย) ทั้งหลายให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลที่จะต้องเข้ามาด้วยผศ.ดร.วลักษณ์กมล ฝากทิ้งท้าย

หมายเหตุ :ในช่วงท้ายของรายการ Cofact Talk ครั้งนี้ ยังมีแขกรับเชิญพิเศษคือ พระมหานภันต์ สันติภัทโท ประธานกรรมการมูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (มูลนิธิ สกพ.) และผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร มาร่วมพูดคุยซึ่งผู้สนใจสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/3831596513780870/?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2567

สเปรย์รักษาแผล กำจัดรอยแผลจากการผ่าตัด ไฟไหม้ การบาดเจ็บ แผลเป็นนูน มี อย. รับรอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ks67a88hqtdi#_=_


สังเกตเหตุแผ่นดินไหวได้จากต้นไมยราบ เพราะเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อย ใบของต้นไมยราบจะหุบลง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2rgnm0f5rt0wp


เร่งศึกษาแอปฯ ทางรัฐ ช่วยเตือนภัยพิบัติ พร้อมส่ง SMS แจ้งเตือนภัยพิบัติแก่ประชาชน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/uogcshursbl3


รับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง สามารถลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ 36%

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2b2p7frrbaim1


บริเวณพื้นที่น้ำตกคลองวังเจ้า น้ำตกเต่าดำ และลานกางเต็นท์น้ำตกเต่าดำ เปิดให้บริการการท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 67

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/362znfdpub6dq


ก้มเล่นมือถือมากเกินไปเสี่ยงกระดูกคอเสื่อม

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2n2yrlt2tbya4#_=_


ปปง. จับมือ 2 ธนาคาร คืนเงินเหยื่อจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เปิดให้ลงทะเบียนขอรับเงินคืน ผ่านทางเพจสมาคมเสริมสร้างภัยทางออนไลน์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2gjfq7zttou7g#_=_


คู่มือตรวจสอบข่าวลวง Fact Check Handbook โหลดฟรี!!

Editors’ Picks
คู่มือตรวจสอบข่าวลวง Factcheck Handbook

ชวนดาวน์โหลดคู่มือตรวจสอบข่าวลวง ร่วมจัดทำโดย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มูลนิธิฟรีดิช เนามัน ประเทศไทย และ โคแฟคประเทศไทย…

‘ข่าวลวง’ใครก็อาจเผลอแชร์ได้  แนะวิธีเตือนอย่างไรไม่ทำให้อาย ‘เมตตา’ดีแล้วแต่ต้องรู้เท่าทัน..ลดเสี่ยง‘มิจฉาชีพ’

กิจกรรม

รายการ “Cofact Live Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย)วันที่ 1 ต.ค. 2567 ชวนพูดคุยกับ ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ซาเวียร์, O.S.U ผู้อำนวยการศูนย์อบรมคริสตศาสนธรรมระดับชาติ ในหัวข้อ สูงวัยยุคเอไอ รับมือข้อมูลข่าวสารอย่างไรให้ปลอดภัยและส่งเสริมสันติ ณ ศูนย์อบรมคริสตศาสนธรรมระดับชาติ อ.สามพราน จ.นครปฐม เนื่องในโอกาส วันผู้สูงอายุสากล (International Day of Older Persons)” 1 ตุลาคม ของทุกปี

การพูดคุยเริ่มด้วยเรื่องของ การอยู่ร่วมกันระหว่างคนต่างวัย ซึ่ง ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ กล่าวว่า ในแวดวงของนักบวชก็จะมีคนหลายช่วงวัย ตั้งแต่อายุน้อย อายุกลาง ไปจนถึงสูงอายุ โดยตามธรรมเนียมไทย เราจะคิดถึงกันและกันเสมือนคนในครอบครัว ช่วยเหลือดูแลกัน บางคนอาจไม่เก่งหรือทำไม่ค่อยเป็นในเรื่องเทคโนโลยี รุ่นน้องก็จะช่วยเพื่อให้เท่าทันต่อเหตุการณ์

ถึงแม้จะเป็นนักบวชก็ไม่ใช่ว่าเราต้องไม่ติดตามข่าวสาร ไม่รู้จักเลยว่าอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ทำอะไรกัน หรือระเบิดเพจเจอร์อะไรอย่างนี้ เราก็ต้องมีความรู้ที่จะเข้าใจสถานการณ์โลกว่าไปถึงไหน ก็ต้องติดตามข่าวสาร แล้วก็ในแวดวงของคนที่อายุน้อยก็จะช่วยเหลือพี่ๆ ที่อาจจะช้านิดหน่อย แต่ต้องช่วยเขา แต่พี่ๆ บางคนก็เก่งกว่าอีกนะ    ซิสเตอร์ที่เป็นฝรั่ง ยังคล่องแคล่วที่จะใช้อุปกรณ์อะไรได้เก่ง แต่เดี๋ยวนี้คนไทยก็ใช้ได้

อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตที่พบคือ ผู้สูงอายุมีแนวโน้มถูกหลอกง่ายและหลงเชื่อง่าย ดังนั้นจะทำอย่างไรที่จะให้ผู้สูงอายุรู้เท่าทันไม่ตกเป็นเหยื่อ รวมถึงระมัดระวังก่อนจะแชร์อะไรออกไปในการใช้สื่อออนไลน์ ซึ่งก็มีความท้าทายอยู่ว่า จะเตือนอย่างไรที่จะไม่ทำให้คนที่แชร์อะไรแปลกๆ รู้สึกอาย โดยซิสเตอร์ได้ยกตัวอย่างเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนเก่งมาก หลังเรียนจบก็ไปเป็นครูอยู่ต่างจังหวัด เพื่อนคนนี้ปกติจะระมัดระวังเรื่องการแชร์ข่าวมาก

กระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนคนดังกล่าวได้แชร์ข่าวเข้ามาในกลุ่มไลน์ บอกว่ามีพายุใหญ่ถล่มกรุงปารีสของฝรั่งเศสช่วงก่อนเริ่มการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมีภาพหอไอเฟลสั่นไหว บ้านเรือนถูกลมพัดปลิว ซึ่งตนก็คิดอยู่ในใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ จึงลองตรวจสอบดูว่ามีสำนักข่าวใดบ้างในเวลานั้นที่ลงข่าวพายุถล่มฝรั่งเศส ก็ไม่พบว่ามีแต่อย่างใด มีแต่เพียงข่าวฝนตกเล็กน้อย โดยตอนแรกก็ว่าจะพิมพ์ไปบอกเพื่อนในกลุ่มหลัก แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้เพื่อนอาย จึงเลือกที่จะทักไปบอกในไลน์ส่วนตัวว่าข่าวที่แชร์มาอาจไม่ใช่เรื่องจริง

เพราะเท่าที่ลองค้นหาดู ไม่มีสื่อมวลชนใหญ่ๆ สำนักใดเลยที่นำเสนอข่าวนี้ ทั้งที่ปารีสเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงแถมยังอยู่ในช่วงที่เป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกอีก หากเกิดเหตุการณ์อะไรแรงๆ สื่อต้องนำเสนอข่าวอย่างแน่นอน และเพื่อนของซิสเตอร์ ก็ยอมรับว่าแชร์เรื่องนี้ต่อมาอีกทอดหนึ่งและลบข่าวนั้นที่แชร์ในกลุ่มไลน์หลักออก ซึ่งแม้ข่าวลวงในเรื่องนี้ไม่เกิดผลร้าย แต่ในบางเรื่องก็เป็นอันตรายได้ เช่น มีคนโทรศัพท์มาหลอกว่ามีพัสดุติดค้างบ้าง อ้างว่าญาติไม่สบายให้โอนเงินไปช่วยบ้าง ก็อย่าเพิ่งไปทำตามทันที เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง เช่น ควรโทรศัพท์ไปสอบถามบุคคลที่ถูกอ้างถึงว่าขณะนี้อยู่สุขสบายดีหรือไม่ เพราะเคยมีกรณีนักบวชท่านหนึ่ง ถูกมิจฉาชีพอ้างเป็นญาติบอกว่ามีสมาชิกในครอบครัวป่วยและหลงเชื่อโอนเงินไปให้ กระทั่งมารู้ในภายหลังว่าถูกหลอกเพราะเมื่อติดต่อกลับไปทางบ้านแล้วได้ทราบว่าทุกคนสบายดีไม่มีใครเป็นอะไร หรือบางครั้งเหตุก็เกิดจากความเมตตา อาทิ มิจฉาชีพเปิดรับบริจาคโดยหลอกลวงว่าจะนำไปใช้จัดกิจกรรมค่ายเยาวชนแบบนี้คือข่าวลวงที่ก่อให้เกิดผลร้าย แต่ถึงจะเป็นข่าวลวงที่ไม่ก่อให้เกิดผลร้ายก็ไม่ควรแชร์

“ในพระคัมภีร์ พระเจ้าก็บอกว่าเราเป็นหนทาง เป็นความจริง เป็นชีวิต ฉะนั้นสิ่งใดที่มันเป็นเรื่องหลอกลวง ปลอม เท็จ เราก็ไม่ควรที่จะแพร่ขยายให้ออกไปมากๆ มันอาจจะเกิดผลร้ายหรือผลดีแต่ก็ไม่ควรจะแพร่ขยายข่าวลวง มันก็มีวิธีง่ายๆ ที่ศึกษามาจากที่เขาจะแนะนำเรา บทความที่แชร์มามีความน่าเชื่อถือไหม? มีสำนักข่าวรองรับหรือเปล่า? เขียนโดยหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นฉบับนี้ หรือสำนักข่าวระดับชาติ CNN AP รอยเตอร์ AFP หรือมีอะไรที่รองรับ เราถึงจะพอเชื่อได้ว่าเป็นความจริง หรือแม้แต่เดี๋ยวนี้ข่าวลวงพวกนี้ก็พยายามหารองรับนะ เหมือนไปหาเครดิตมาว่าอาจารย์ท่านนี้ท่านโน้น ลงข่าวแบบนี้ ซึ่งมันดูน่าเชื่อถือมากเลย แต่จริงๆ มันเป็นข่าวปลอม”

ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง คือการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเวลานั้นมีการแชร์ข่าวที่อ้างถึงนักวิชาการในต่างประเทศบางท่านออกมาบอกว่าฉีดแล้วจะเป็นอันตรายต่างๆ นานา ก็สอบถามไปยังผู้รู้ จึงได้ทราบว่าจะมีกลุ่มที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนที่คอยยุยงผู้คนให้เห็นว่าวัคซีนเป็นของอันตราย หรือแม้เราจะไม่ใช่คนในแวดวงการแพทย์ ก็สามารถคิดได้ว่าหากวัคซีนไม่ดีเหตุใดรัฐบาลทั่วโลกจึงอนุญาตให้ใช้ได้เพื่อควบคุมโรคระบาด ดังนั้นก็จะต้องตั้งหลักกันว่าเมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารอะไรมาก็จะต้องตรวจสอบและหาความรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ 

อนึ่ง การหลงเชื่อข่าวลวงแล้วแชร์ต่อ หรือตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ มักมาจากอารมณ์ความรู้สึกในใจ เช่น ความอยากได้อยากมี ความกลัว แม้จะมีความพยายามในการสื่อสารแจ้งเตือนให้ระมัดระวังแต่ก็ยังพลาดกันได้   โดย      ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ยกตัวอย่าง การหลอกลวงประเภทโฆษณาชวนเชื่อเรื่องทำงานหรือลงทุนเพียงเล็กน้อยแต่ได้ผลตอบแทนเป็นเงินก้อนโต ซึ่งอยากให้คิดไว้เป็นพื้นฐานก่อนว่า ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรือง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องออกแรง ดังนั้นต้องตั้งหลักให้ดี 

อย่างตนที่เคยทำงานพัฒนาสังคมด้านการส่งเสริมบทบาทสตรี ซึ่งก็จะต้องทำโครงการต่างๆ ทำให้บางครั้งจะมีคนทักมาแนะนำให้ลองติดต่อกับคนนั้นคนนี้โดยระบุว่าบุคคลดังกล่าวพร้อมให้ทุนสนับสนุน และผู้แนะนำก็อ้างว่าเพิ่งได้รับทุนมาเหมือนกันพร้อมกับบอกด้วยว่าซิสเตอร์ศรีพิมพ์อยู่ในรายชื่อด้วย ซึ่งตนก็งงเพราะไม่เคยติดต่อกับแหล่งทุนที่ถูกอ้างถึงนั้นเลย แม้จะอยากได้เงินมาใช้ในโครงการ แต่เมื่อลองคิดให้ดีแล้วเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นความจริง

บางทีคนที่เข้ามาเป็นซิสเตอร์จากออสเตรเลีย ที่เราไม่ติดต่อกันมาตั้งหลายปี บางทีคนพวกนี้ก็ไปแฮ็กแล้วก็ให้เรามาเป็นเพื่อนใหม่ จะเจอสิ่งแปลกๆ เหล่านี้ จนเดี๋ยวนี้เวลามีซิสเตอร์ที่มาขอเป็นเพื่อนอีกครั้ง เรารู้สึกว่าเราก็เคยเป็นเพื่อนไปแล้วทำไมมาขอเป็นเพื่อนอีก ก็คิดว่าน่าจะเป็นอะไรแปลกๆ ก็เลยคิดว่าก็ต้องตั้งหลัก ต้องมีสติ คิดว่าต้องตั้งหลักดีๆ ใครจะมาให้สตางค์เราเปล่าๆ ถ้าเขาไม่มีผลประโยชน์อะไร เราไม่ได้เคยไปเกื้อกูลอะไรเขา จะมาให้เราเปล่าๆ หรือ? หรือถ้าเขาเห็นผลงานเราเขาก็ต้องติดต่อมาอย่างปกติ ไม่ใช่มาอยู่ในออนไลน์อะไรที่แปลกๆ คือถ้าเห็นอะไรแปลกๆ ก็เอ๊ะก่อน อย่าเพิ่งเข้าไปเลย ยอมไปเป็นเหยื่อของเขา

ทั้งนี้ การถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพเกิดได้กับคนทุกวัยและทุกระดับสติปัญญา หรือเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างมีกรณีนักบวชชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ถูกมิจฉาชีพอ้างว่าตกเครื่องบินอยู่ที่กรุงลอนดอนของอังกฤษแถมยังถูกล้วงกระเป๋า ขอให้โอนเงินไปช่วย ท่านก็โอนไปโดยไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดจึงไม่รู้ว่าปลอม อีกทั้ง มิจฉาชีพรู้ว่าจะหลอกได้จากความรู้สึกเมตตาสงสาร โดยคนทุกศาสนาหรือคนไทย มักถูกมองว่าเป็นคนมีเมตตา มีจิตใจอยากช่วยเหลือผู้อื่น ดังนั้นการมีเมตตามีได้ แต่ก็ต้องมีหลักว่าต้องรู้เท่าทัน 

แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากชั่งใจว่าตรวจสอบไม่ได้จริงๆ แต่เงินจำนวนนั้นอาจไม่มากนัก ไม่ถึงกับเดือดร้อน หรือไปพบเห็นซึ่งหน้า มีคนบอกว่าตกรถหรือเจ็บป่วยเข้ามาขอความช่วยเหลือ เป็นเรื่องก้ำกึ่งที่เราไม่ทราบว่าคนคนนั้นจะหลอกหรือไม่ หากคิดว่าช่วยได้ก็ถือว่าเป็นการทำบุญ จะหลอกหรือไม่ก็ถือว่าเราได้บุญแล้วที่ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน บางเรื่องก็อาจไม่ต้องคิดมาก อะไรช่วยได้ก็ช่วยไปเพื่อมนุษยธรรม

หรือในบางกรณี การแจ้งหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบอาจเป็นการช่วยเหลือที่ดีกว่า เช่น มีกรณีขบวนการค้ามนุษย์นำเด็กมานั่งขอทานอยู่ริมถนน เป็นความลำบากใจที่มุมหนึ่งหากให้เงินก็เท่ากับส่งเสริมขบวนการเหล่านี้ แต่หากไม่ให้เงินเด็กก็จะถูกทำร้ายร่างกายเพราะหาเงินไม่ได้ตามเป้า ทางออกคือเมื่อพบเห็นเด็กขอทานควรแจ้งหน่วยงาน เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่ป้องกันการค้ามนุษย์ เพื่อให้นำตัวเด็กไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัย 

ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ยังยกตัวอย่าง การหลอกให้รัก (หรือเชื่อใจ) ทางออนไลน์ ก่อนล่อลวงไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศ เช่น ผู้กระทำผิดใช้ภาพบุคคลอื่นสร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์แล้วทักไปพุดคุย เมื่อเหยื่อเกิดความไว้วางใจก็จะบอกให้ออกมาเจอกัน อย่างมีกรณีนักเรียนหญิงมีคนทักมาทางเฟซบุ๊ก นัดไปเจอกันที่นั่นที่นี่ แต่เด็กสาวยังมีสติ ชวนเพื่อนไปด้วยกัน ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายที่มาหน้าตาไม่เหมือนกับรูปที่ใช้ในเฟซบุ๊ก จึงกลายเป็นประสบการณ์ว่าในโลกออนไลน์ก็มีแบบนี้ คือคุยกันอยู่นานก่อนที่จะรู้ว่าหลอกลวง

แต่ก็มีบางกรณีที่เป็นจริงอยู่เหมือนกัน มีบางคนที่ค่อยๆ มารู้จักกัน แต่ต้องมีการคุยให้พบปะจริงจังแล้วก็มีผู้ที่รู้เห็น หมายความว่าเราไม่ถูกล่อลวงไปโดดเดี่ยวไม่สามารถมีใครช่วยเราได้ คิดว่าต้องมีความระมัดระวังในโลกสื่อออนไลน์ปัจจุบันนี้

หมายเหตุ : ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/1243241216723843/

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

บทบาท‘AI’ในอุตสาหกรรมสื่อ ‘ความถูกต้องของข้อมูล’ เรื่องน่ากังวลสูงสุด ‘ลิขสิทธิ์’ยังเป็นข้อถกเถียง

กิจกรรม

25 ก.ย. 2567 สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส จัดเสวนาหัวข้อ เทคโนโลยี AI กับความรับผิดชอบทางจริยธรรมในงานสื่อ” ถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Thai PBS” อัปเดตความก้าวหน้า ความสามารถของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Gen AI) ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสื่อ แลกเปลี่ยนมุมมองความเห็นต่อการนำ Gen AI มาใช้ในการทำงาน รวมถึงแนวทางของกรอบจริยธรรมการใช้ AI ในงานสื่อ

Screenshot

ณัฐกร เวียงอินทร์ Head of Content & Branding of Future Trends กล่าวว่า เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะมีอยู่ 3 เรื่องที่เกี่ยวข้อง คือ 1.การใช้ AI อย่างรับผิดชอบ (Responsible AI) ปัญญาประดิษฐ์นั้นเหมือนกับเหรียญสองด้าน คือเป็นได้ทั้งผู้ช่วยและมิจฉาชีพ นำไปสู่ความพยายามให้เกิดการรู้เท่าทัน AI (AI Literacy) และใช้อย่างรับผิดชอบ  ตัวอย่างที่น่าสนใจและน่าเป็นห่วงไปทั่วโลก เช่น ที่เกาะฮ่องกง มีคนตกเป็นเหยื่อถูกหลอกให้โอนเงิน เพราะมิจฉาชีพใช้เทคโนโลยี ดีพเฟค (Deepfake)” ปลอมแปลงให้หลงเชื่อ มูลค่าความเสียหายสูงถึง 900 ล้านบาท โดยองค์กรที่เกิดเหตุเป็นบริษัทข้ามชาติและใช้การประชุมออนไลน์ ก่อนการประชุมมีอีเมลแปลกๆ เข้ามาเพื่อนัดประชุม ซึ่งพนักงานกลัวว่าจะเป็นมิจฉาชีพ  แต่ในที่สุดได้มีการประชุมขึ้นมา   และในที่ประชุมอ้างว่าเป็น CFO บอกให้ช่วยโอนเงิน พนักงานได้โอนเงินไป ก่อนจะมารู้ภายหลังว่าถูกหลอกแล้ว และทุกคนที่เห็นในที่ประชุมผ่านหน้าจอเป็นมิจฉาชีพทั้งกลุ่ม ดังนั้น AI  ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเพราะช่วงไม่กี่เดือนมานี้มีข่าวบรรดาบุคคลที่มีชื่อเสียง ถูกนำใบหน้าและเสียงปลอมด้วย Deepfake เพื่อหลอกลวงเหยื่อ ซึ่งระดับการรู้เท่าทันของแต่ละคนไม่เท่ากัน คนหนึ่งอาจสังเกตว่าการขยับปากกับเสียงไม่สอดคล้องกัน แต่ยังถูกหลอกด้วยการส่งข้อความทางไลน์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์

แม้กระทั่งวงการสื่อ ในอดีตสื่อต้องต่อสู้กับข่าวลวง (Fake News) แต่ทุกวันนี้ต้องสู้กับข่าวลวงที่ใช้ดีพเฟคทำขึ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา มีประชาชนได้รับโทรศัพท์บอกว่าอย่าออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งเสียงนั้นคล้ายกับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันมาก หรือในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่มีภาพดีพเฟคโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น จับมือกับกลุ่มนักระบาดวิทยา ทั้งที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีเรื่องขัดแย้งกัน ดังนั้นภาพที่ถูกทำขึ้นก็เพื่อหวังผลทางการเมือง

ดังนั้น หลายมลรัฐในสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะออกกฎหมายต่อต้านการใช้ดีพเฟค ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่นานนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะได้เห็นภูมิทัศน์ (Landscape) ที่ไม่ดีหลายๆ อย่าง ในการนำดีพเฟคไปใช้ในทางที่ผิด หรือเรื่องของแอปพลิเคชั่นหาคู่ที่มิจฉาชีพใช้ AI ปลอมประวัติ หรือที่เกาหลีใต้ มีการนำภาพผู้หญิงไปทำดีพเฟคในลักษณะลามกอนาจารโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม ยังมีกรณี AI ทำงานผิดพลาดไม่รับสมัครงาน เพราะเรียนรู้จากฐานข้อมูลในอดีตที่ผู้หญิงมีโอกาสได้งานน้อยกว่าผู้ชาย เป็นต้น

2.จากแชทบทสู่เจ้าหน้าที่ AI (From Chatbot to AI Agent) ปัจจุบันมีการนำ AI มาช่วยอำนวยความสะเดวก เช่น การจัดการประขุม การขับขี่ยานพาหนะ เตือนความจำผู้สูงอายุ ฯลฯ และ 3.การขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม AI (AI Talent Shortage) ซึ่งปัจจุบันมีคอร์สอบรมเกี่ยวกับ AI มากมายและไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น Amazon Web Services (AWS) ลงทุน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ สนับสนุนนักพัฒนา (Developer) หรือไมโครซอฟต์ ประกาศฝึกทักษะ AI สำหรับ 2.5 ล้านคนในอาเซียน ภายในปี 2568

ปัจจุบันนี้สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ AI Literacy (การรู้เท่าทันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หลายๆ ประเทศพยายามใส่คอร์สออนไลน์เพื่อให้คนในประเทศได้เรียนรู้ เช่น สิงคโปร์ มีหลักสูตรที่เรียกว่า Skill Future (ทักษะแห่งอนาคต) ซึ่งเป็นสวัสดิการของสิงคโปร์ที่ให้เช็คไปซื้อคอร์สเรียนเพื่อเปลี่ยนอาชีพ  หรือมีบางหมวดที่เป็นคอร์สฟรี เช่น Digital Literacy (การรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล) เป็นการสอนให้คนในประเทศเขารู้ว่าการใช้ดิจิทัลที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ณัฐกร กล่าว

Screenshot

กนกพร ประสิทธิ์ผล กรรมการบริหาร และ ผู้อำนวยการสำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในอุตสาหกรรมสื่อ แบ่งได้ 2 ด้านใหญ่ๆ คือ 1.ด้านการผลิตเนื้อหา เช่น ผู้ประกาศหรือผู้บรรยายที่เป็น AI การทำภาพหรือคลิปวีดีโอประกอบ การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนเข้ากระบวนการผลิตเนื้อหา การแปลภาษา การเปลี่ยนรูปแบบสารจากตัวอักษรเป็นเสียงหรือวีดีโอ เป็นต้น 

2.ด้านการตลาดหรือการหารายได้ เช่น นำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มาให้ AI ช่วยจำแนกกลุ่มผู้รับสารว่าเข้ามาติดตามได้อย่างไร ชอบเนื้อหาแบบไหน ฯลฯ เพื่อให้เนื้อหาถูกส่งไปอย่างตรงใจผู้รับสารมากขึ้น ขณะที่ ผลกระทบจากการใช้ AI ในอุตสาหกรรมสื่อ แบ่งได้เป็น ด้านบวกเช่น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เข้าถึงผู้รับสารได้มากขึ้น สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้มากขึ้น สร้างความเป็นแบรนด์นวัตกรรมให้กับองค์กร 

แต่ก็มี ด้านลบ เช่น การสูญเสียงาน อคติในการนำเสนอข้อมูล ยังมีความเสี่ยงในเรื่องความถูกต้องแม่นยำของข้อมูล หรือแม้แต่การพึ่งพา AI มากเกินไปจนขาดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ทั้งนี้ มีข้อมูลซึ่งพบว่า ในแต่ละปีที่ผ่านไป คนที่สนใจเรื่อง AI มีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีความกังวลเรื่องจริยธรรม เรื่องความถูกต้องเพิ่มขึ้นมากด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่ Chat GPT เริ่มเข้ามา เพราะการใช้ AI ไม่ได้อยู่แต่ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อีกต่อไป แต่เผยแพร่สู่คนทั่วไปด้วย

Screenshot

รศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล นักวิชาการอิสระfounder Spectrum Podcast กล่าวว่า หากถามว่า AI ประเทศไทยอยู่ในระดับไหน โดยส่วนตัวยังคิดว่าเป็นเพียงผู้ใช้งาน (User) คือไปนำโปรแกรมสำเร็จรูปจากต่างประเทศมาใช้ ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่เป็นกระแสความน่ากังวลในยุคนี้คือปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Gen AI) ที่มนุษย์สร้างข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตไม่ว่าเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ กลายเป็นฐานข้อมูลที่ถูกนำเข้าไปใช้ในกระบวนการเรียนรู้ของ AI เพื่อใช้ตอบคำถามต่างๆ ที่ถูกป้อนเข้าไปภายหลังจากนั้นได้ 

ดังนั้นเมื่อพูดถึง AI จึงมีหลายแบบ ทั้งที่เป็นอัลกอริทึม ทั้งที่อยู่ใน Internet of Things อยู่ในสิ่งของต่างๆ ที่สามารถเรียนรู้เพื่อทำนายหรือควบคุมการเข้าถึงการทำงานได้ แต่สิ่งที่กำลังตื่นตูมกันในวงการข่าว คือ Gen AI เพราะปัญญาประดิษฐ์สามารถสร้างได้ทั้งภาพและตัวอักษร แน่นอนว่าย่อมกระทบกับอุตสาหกรรมสื่ออย่างชัดเจน เช่น ข้อมูลลวง เพราะมีเทคโนโลยีอย่างดีพเฟคเกิดขึ้น คือนำใบหน้าของคนมีชื่อเสียงมาตัดต่อการขยับปาก เหมือนกับบุคคลนั้นมาพูดกับเรา ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวล

Screenshot

ประการต่อมาคือ รายได้ขององค์กรสื่อ เพราะ AI เชื่อมกับอัลกอริทึม เช่น คนเปิดเพจใหม่แทบไม่มีคนติดตาม หรือคนที่เปิดเพจมานาน วันหนึ่งก็พบว่าเนื้อหาที่ตั้งใจผลิตแทบไม่มีใครมองเห็นเลยเพราะอัลกอริทึมเปลี่ยนไปแล้ว อย่างในสหภาพยุโรป(EU) มีการตั้งทีมงานเพื่อดูเรื่องอัลกอริทึมโดยเฉพาะ  เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการผูกขาด เช่น ผู้รับสารจะได้เห็นโฆษณาชุดใด  เนื้อหาใดจะเข้ามาหาผู้บริโภค การควบคุมอัลกอริทึมทำให้ไม่เกิดความหลากหลายให้กับเนื้อหาต่อผู้รับสารด้วย

อีกประการหนึ่งคือเรื่องของลิขสิทธิ์ (Copyright) เพราะ AI ใช้งานโดยการป้อนข้อมูลเข้าไป ซึ่งปัจจุบันหลายบริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ AI เช่น Chat GPT หรือ Gemini สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ต้องการคือข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อไม่ให้ AI ของบริษัทตนเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แต่สำหรับองค์กรสื่อเรื่องนี้นอกจากข้อกังวลแล้วยังมีโอกาสอยู่ด้วย เช่นในต่างประเทศที่บริษัทผู้พัฒนา AI มักถูกสำนักข่าวฟ้อง นำไปสู่การเจรจากันระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย โดยสำนักข่าวที่มีข้อมูลดีๆ ก็สามารถขายลิขสิทธิ์การใช้ข้อมูลให้บริษัทผู้พัฒนา AI นำไปใช้ได้

มีภาพที่ได้รางวัลจากการใช้ AI สร้างขึ้น เจ้าของภาพที่ Gen AI จะอ้างลิขสิทธิ์เวลาที่มีการนำไปใช้    อันนี้อ้างไม่ได้เพราะศาลสหรัฐอเมริกาบอกว่า Too much Machine , Less Human คือแปลว่าใช้เครื่องจักรเยอะกว่าสมองคน คนไม่ค่อยทำอะไรแล้วจะมาอ้างเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพได้อย่างไร อันนี้เป็นเรื่องของลิขสิทธิ์ที่ยังสู้กันอยู่ว่าท้ายสุด Input (ข้อมูลที่ถูกป้อน) เข้าโปรแกรม AI ใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสำนักข่าว เจ้าของลายส้นภาพการตูนต่างๆ Output (ข้อมูลผ่านการผลิตออกมา) เมื่อ Gen AI แล้วใครเป็นเจ้าของ คนที่ทำขึ้นมา หรือบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มที่ทำให้เกิดการ Gen AI แล้วได้เงินจากการเอาภาพนี้ไปใช้รศ.พิจิตรา กล่าว

Screenshot

ศิริลักษณ์ รุ่งเรืองกุลดิษฐ์ นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการ กองลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญากล่าวว่า กฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป เพิ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2567 มีการแบ่งความเสี่ยงออกเป็น 4 ระดับ ตั้งแต่ 1.ความเสี่ยงที่ยอมรับไมได้ หมายถึงห้ามใช้ AI ในเรื่องเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง เช่น การให้คะแนนทางสังคม (Social Scoring) 2.ความเสี่ยงสูง ต้องมีการประเมินโดยบุคคลที่ 3 ที่เป็นกลางและได้รับการรับรอง เช่น การใช้ AI ที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภค การศึกษา การจ้างงาน 3.ความเสี่ยงจำกัด ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล   เช่น โปรแกรมแชตบอทต่าง ๆ ซึ่งอ้างอิงลิขสิทธิ์ของเจ้าของข้อมูลนั้น และ 4.ความเสี่ยงน้อยที่สุด ไม่มีข้อห้ามหรือข้อจำกัด เช่น AI ในเกม ขณะที่ในประเทศจีน มีกรณีศึกษาที่มีคนใช้ AI สร้างภาพขึ้นมาแล้วศาลตัดสินให้เจ้าตัวเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพนั้น โดยอธิบายว่าผู้ใช้ AI คนดังกล่าวมีการปรับถ้อยคำที่ใช้เป็นคำสั่งให้ AI สร้างภาพขึ้นมาอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสดงถึงการเลือกอย่างมีสุนทรียศาสตร์และมาจากวิจารณญาณส่วนตัวของผู้ใช้ AI เอง

ด้านสหรัฐฯ สำนักงานลิขสิทธิ์ (USCO) เผยแพร่Guidance on Copyright registration involving made crafted by Artificial Intelligence” เป็นแนวทางการจดแจ้งลิขสิทธิ์ที่เกิดจาการสร้างสรรค์ของ AI หมายถึง             ณ ปัจจุบันงานที่ใช้ AI ทำขึ้นยังไม่สามารถจดแจ้งลิขสิทธิ์ได้ แต่หากเป็นงานที่ใช้ทั้ง AI และมนุษย์ทำขึ้นก็ต้องระบุให้ชัดก่อนจดแจ้งลิขสิทธิ์ โดยจะรับจดแจ้งเฉพาะในส่วนที่ใช้ AI ทำเท่านั้น ส่วนกฎหมายลิขสิทธิ์ของไทย คือ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ก็จะอ้างอิงแนวทางของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ งานอันมีลิขสิทธิ์ 9 ประเภท ได้แก่ 1.วรรณกรรม หนังสือ บทความ บทกลอน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ 2.นาฏกรรม ท่าเต้น ท่ารำ ที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราว 3.ศิลปกรรม ภาพวาด ภาพถ่าย 4.ดนตรีกรรม บทเพลง (เนื้อร้อง-ทำนอง) 5.โสตทัศน์วัสดุ คลิปวีดีโอต่างๆ 6.ภาพยนตร์ 7.สิ่งบันทึกเสียง 8.งานแพร่เสียง-แพร่ภาพ เช่น รายการโทรทัศน์-วิทยุ และ 9.งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์หรือแผนกศิลปะ เช่น รอยสักและกฎหมายของไทย ยังตีความว่าผู้ทำหรือผู้ก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นงานอันเป็นลิขสิทธิ์ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น

โดยผลงานที่มนุษย์ทำ เช่น ผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่น เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ได้เพราะเป็นผู้เขียน Source Code โปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นขึ้นมา แต่ผลงานที่ AI ทำขึ้นปัจจุบันยังไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ เพราะการเขียน Prompt (ข้อความอธิบายให้ AI ทำงาน) เพียง 2-3 ประโยค แล้วให้ AI สร้างรูปภาพขึ้นมา ยังไม่มีความวิริยะอุตสาหะระดับการสร้างสรรค์ 

แต่เหตุการณ์นี้จะเปลี่ยนไปหากเขียน Prompt ด้วยความวิริยะอุตสาหะ และมีการแสดงออก และเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ 9 ประเภท โดยเขียน Promptเพื่อสร้างเป็นบทความ เพลง หนังสือ ภาพวาด อาจจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ได้เช่นกัน การนำ AI มาใช้ยังไม่สามารถตอบได้หมดว่าได้ลิขสิทธิ์หรือไม่ ต้องดูเหตุการณ์และเรื่องราวหลายๆ อย่างประกอบทั้งหมด ศิริลักษณ์ กล่าว

Screenshot

สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) ที่ผลักดันเสรีภาพสื่อและการสร้างมาตรฐานความน่าเชื่อถือของสื่อมายาวนาน ร่วมกับพันธมิตรรวม 16 แห่ง ได้เผยแพร่ กฎบัตรปารีส ซึ่งเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมสากลฉบับแรกที่เกี่ยวข้องปัญญาประดิษฐ์และงานข่าวและสื่อสารมวลชน มีหลัก 10 ประการ 

โดยสาระสำคัญคือ จริยธรรมของงานข่าวและสื่อมวลชต้องเป็นแนวทางของสื่อในการใช้เทคโนโลยี หมายถึงจริยธรรมดั้งเดิม เช่น ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ความเป็นธรรม-เป็นกลาง ฯลฯ ยังเป็นเรื่องสำคัญแม้จะนำ AI มาใช้ นอกจากนั้น การผลิตเนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบต้องมีมนุษย์ทำด้วยทุกขั้นตอน โดยมี AI เป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ เห็นสำนักข่าวอัลจาซีรารายงานข่าวเพจเจอร์ระเบิดที่เลบานอน แม้จะใช้ AI ช่วยทำภาพประกอบ แต่ก็มีการระบุไว้ด้วยว่าข่าวชิ้นนี้มีใครทำหน้าที่อะไรในขั้นตอนใดบ้าง จะเป็นตัวอย่างหรือแนวปฏิบัติได้

ระบบ AI ที่ใช้ในงานสื่อต้องประเมินอย่างเป็นอิสระก่อนใช้งาน และสื่อต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่เผยแพร่เสมอ  จะบอกว่าเป็น AI ทำขึ้นไม่ได้ แต่เรื่องนี้ก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เช่น คลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอ หากเป็นของจริงก็อาจถูกอ้างว่าใช้ AI ทำขึ้น ในทางกลับกันหากใช้ AI ทำขึ้นก็อาจถูกนำไปอ้างว่าเป็นของจริง แล้วสื่อจะพิสูจน์อย่างไร ใครจะเป็นคนตัดสิน สื่อก็จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ได้ว่าสามารถรายงานบนฐานที่คนเชื่อถือได้

รับรองแหล่งที่มาของเนื้อหา งานข่าวสื่อมวลชนจะต้องมีการวิเคราะห์อย่างชัดเจน หลักๆ คือสื่อมวลชนต้องมีส่วนร่วมในการดูแล AI เพราะเป็นหลักการที่รู้อยู่แล้วแต่เอามาเขียนย้ำอีกทีหนึ่ง ซึ่งใน 10 ข้อนี้เราน่าจะใช้เป็นเกณฑ์ ไทยพีบีเอส สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มาใช้เป็นหลัก โดยเป็นแนวปฏิบัติว่าแต่ละหัวข้อจะมีวิธีปฏิบัติอย่างไร สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

Screenshot
Screenshot
Screenshot
Screenshot

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 28 กันยายน 2567

เตือนอีก 5 วันเกิดไต้ฝุ่น แรงกว่า “ยางิ” อาจทำ กทม. ท่วมหนักกว่าปี 54 สองเท่า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/b9d6zn7vlqmg


น้ำลดฮวบทะเลสาบสงขลา หวั่นเกิดสึนามิ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2d5dekh4n225n


สารส้มผสมน้ำใช้ล้างตาช่วยรักษาโรคตาแดง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3so7x4pzbi6so#_=_


ย้อมสีผมบ่อย เสี่ยงก่อโรคมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/32jf2hvci12qo


ผลิตภัณฑ์กลูต้าไธโอนรับประทาน 2 อาทิตย์กระจ่างใสขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/14uwblzheaaih#_=_


อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ประกาศปิดการท่องเที่ยวน้ำตกแก่งโสภาเป็นการชั่วคราว

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3q74uvfr60l8u


ผู้ประสบภัยน้ำท่วมทำบัตรประชาชนหาย ทำใหม่ได้ฟรี ภายใน 15 วัน นับจากวันประกาศพื้นที่สาธารณภัย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3rafmrvg6odpi#_=_


ครม. ขยายเวลาคงอัตรา VAT 7% ต่อไปอีก 1 ปี ถึง 30 ก.ย. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/latfy4ekf2hw#_=_


 หากลืมรับประทานยา สามารถทานรวมกับมื้อถัดไปได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2g2x8x7hm5z64