บทบาท‘AI’ในอุตสาหกรรมสื่อ ‘ความถูกต้องของข้อมูล’ เรื่องน่ากังวลสูงสุด ‘ลิขสิทธิ์’ยังเป็นข้อถกเถียง

กิจกรรม

25 ก.ย. 2567 สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส จัดเสวนาหัวข้อ เทคโนโลยี AI กับความรับผิดชอบทางจริยธรรมในงานสื่อ” ถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Thai PBS” อัปเดตความก้าวหน้า ความสามารถของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Gen AI) ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสื่อ แลกเปลี่ยนมุมมองความเห็นต่อการนำ Gen AI มาใช้ในการทำงาน รวมถึงแนวทางของกรอบจริยธรรมการใช้ AI ในงานสื่อ

Screenshot

ณัฐกร เวียงอินทร์ Head of Content & Branding of Future Trends กล่าวว่า เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะมีอยู่ 3 เรื่องที่เกี่ยวข้อง คือ 1.การใช้ AI อย่างรับผิดชอบ (Responsible AI) ปัญญาประดิษฐ์นั้นเหมือนกับเหรียญสองด้าน คือเป็นได้ทั้งผู้ช่วยและมิจฉาชีพ นำไปสู่ความพยายามให้เกิดการรู้เท่าทัน AI (AI Literacy) และใช้อย่างรับผิดชอบ  ตัวอย่างที่น่าสนใจและน่าเป็นห่วงไปทั่วโลก เช่น ที่เกาะฮ่องกง มีคนตกเป็นเหยื่อถูกหลอกให้โอนเงิน เพราะมิจฉาชีพใช้เทคโนโลยี ดีพเฟค (Deepfake)” ปลอมแปลงให้หลงเชื่อ มูลค่าความเสียหายสูงถึง 900 ล้านบาท โดยองค์กรที่เกิดเหตุเป็นบริษัทข้ามชาติและใช้การประชุมออนไลน์ ก่อนการประชุมมีอีเมลแปลกๆ เข้ามาเพื่อนัดประชุม ซึ่งพนักงานกลัวว่าจะเป็นมิจฉาชีพ  แต่ในที่สุดได้มีการประชุมขึ้นมา   และในที่ประชุมอ้างว่าเป็น CFO บอกให้ช่วยโอนเงิน พนักงานได้โอนเงินไป ก่อนจะมารู้ภายหลังว่าถูกหลอกแล้ว และทุกคนที่เห็นในที่ประชุมผ่านหน้าจอเป็นมิจฉาชีพทั้งกลุ่ม ดังนั้น AI  ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเพราะช่วงไม่กี่เดือนมานี้มีข่าวบรรดาบุคคลที่มีชื่อเสียง ถูกนำใบหน้าและเสียงปลอมด้วย Deepfake เพื่อหลอกลวงเหยื่อ ซึ่งระดับการรู้เท่าทันของแต่ละคนไม่เท่ากัน คนหนึ่งอาจสังเกตว่าการขยับปากกับเสียงไม่สอดคล้องกัน แต่ยังถูกหลอกด้วยการส่งข้อความทางไลน์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์

แม้กระทั่งวงการสื่อ ในอดีตสื่อต้องต่อสู้กับข่าวลวง (Fake News) แต่ทุกวันนี้ต้องสู้กับข่าวลวงที่ใช้ดีพเฟคทำขึ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา มีประชาชนได้รับโทรศัพท์บอกว่าอย่าออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งเสียงนั้นคล้ายกับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันมาก หรือในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่มีภาพดีพเฟคโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น จับมือกับกลุ่มนักระบาดวิทยา ทั้งที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีเรื่องขัดแย้งกัน ดังนั้นภาพที่ถูกทำขึ้นก็เพื่อหวังผลทางการเมือง

ดังนั้น หลายมลรัฐในสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะออกกฎหมายต่อต้านการใช้ดีพเฟค ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่นานนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะได้เห็นภูมิทัศน์ (Landscape) ที่ไม่ดีหลายๆ อย่าง ในการนำดีพเฟคไปใช้ในทางที่ผิด หรือเรื่องของแอปพลิเคชั่นหาคู่ที่มิจฉาชีพใช้ AI ปลอมประวัติ หรือที่เกาหลีใต้ มีการนำภาพผู้หญิงไปทำดีพเฟคในลักษณะลามกอนาจารโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม ยังมีกรณี AI ทำงานผิดพลาดไม่รับสมัครงาน เพราะเรียนรู้จากฐานข้อมูลในอดีตที่ผู้หญิงมีโอกาสได้งานน้อยกว่าผู้ชาย เป็นต้น

2.จากแชทบทสู่เจ้าหน้าที่ AI (From Chatbot to AI Agent) ปัจจุบันมีการนำ AI มาช่วยอำนวยความสะเดวก เช่น การจัดการประขุม การขับขี่ยานพาหนะ เตือนความจำผู้สูงอายุ ฯลฯ และ 3.การขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม AI (AI Talent Shortage) ซึ่งปัจจุบันมีคอร์สอบรมเกี่ยวกับ AI มากมายและไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น Amazon Web Services (AWS) ลงทุน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ สนับสนุนนักพัฒนา (Developer) หรือไมโครซอฟต์ ประกาศฝึกทักษะ AI สำหรับ 2.5 ล้านคนในอาเซียน ภายในปี 2568

ปัจจุบันนี้สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ AI Literacy (การรู้เท่าทันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หลายๆ ประเทศพยายามใส่คอร์สออนไลน์เพื่อให้คนในประเทศได้เรียนรู้ เช่น สิงคโปร์ มีหลักสูตรที่เรียกว่า Skill Future (ทักษะแห่งอนาคต) ซึ่งเป็นสวัสดิการของสิงคโปร์ที่ให้เช็คไปซื้อคอร์สเรียนเพื่อเปลี่ยนอาชีพ  หรือมีบางหมวดที่เป็นคอร์สฟรี เช่น Digital Literacy (การรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล) เป็นการสอนให้คนในประเทศเขารู้ว่าการใช้ดิจิทัลที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ณัฐกร กล่าว

Screenshot

กนกพร ประสิทธิ์ผล กรรมการบริหาร และ ผู้อำนวยการสำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในอุตสาหกรรมสื่อ แบ่งได้ 2 ด้านใหญ่ๆ คือ 1.ด้านการผลิตเนื้อหา เช่น ผู้ประกาศหรือผู้บรรยายที่เป็น AI การทำภาพหรือคลิปวีดีโอประกอบ การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนเข้ากระบวนการผลิตเนื้อหา การแปลภาษา การเปลี่ยนรูปแบบสารจากตัวอักษรเป็นเสียงหรือวีดีโอ เป็นต้น 

2.ด้านการตลาดหรือการหารายได้ เช่น นำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มาให้ AI ช่วยจำแนกกลุ่มผู้รับสารว่าเข้ามาติดตามได้อย่างไร ชอบเนื้อหาแบบไหน ฯลฯ เพื่อให้เนื้อหาถูกส่งไปอย่างตรงใจผู้รับสารมากขึ้น ขณะที่ ผลกระทบจากการใช้ AI ในอุตสาหกรรมสื่อ แบ่งได้เป็น ด้านบวกเช่น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เข้าถึงผู้รับสารได้มากขึ้น สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้มากขึ้น สร้างความเป็นแบรนด์นวัตกรรมให้กับองค์กร 

แต่ก็มี ด้านลบ เช่น การสูญเสียงาน อคติในการนำเสนอข้อมูล ยังมีความเสี่ยงในเรื่องความถูกต้องแม่นยำของข้อมูล หรือแม้แต่การพึ่งพา AI มากเกินไปจนขาดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ทั้งนี้ มีข้อมูลซึ่งพบว่า ในแต่ละปีที่ผ่านไป คนที่สนใจเรื่อง AI มีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีความกังวลเรื่องจริยธรรม เรื่องความถูกต้องเพิ่มขึ้นมากด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่ Chat GPT เริ่มเข้ามา เพราะการใช้ AI ไม่ได้อยู่แต่ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อีกต่อไป แต่เผยแพร่สู่คนทั่วไปด้วย

Screenshot

รศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล นักวิชาการอิสระfounder Spectrum Podcast กล่าวว่า หากถามว่า AI ประเทศไทยอยู่ในระดับไหน โดยส่วนตัวยังคิดว่าเป็นเพียงผู้ใช้งาน (User) คือไปนำโปรแกรมสำเร็จรูปจากต่างประเทศมาใช้ ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่เป็นกระแสความน่ากังวลในยุคนี้คือปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Gen AI) ที่มนุษย์สร้างข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตไม่ว่าเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ กลายเป็นฐานข้อมูลที่ถูกนำเข้าไปใช้ในกระบวนการเรียนรู้ของ AI เพื่อใช้ตอบคำถามต่างๆ ที่ถูกป้อนเข้าไปภายหลังจากนั้นได้ 

ดังนั้นเมื่อพูดถึง AI จึงมีหลายแบบ ทั้งที่เป็นอัลกอริทึม ทั้งที่อยู่ใน Internet of Things อยู่ในสิ่งของต่างๆ ที่สามารถเรียนรู้เพื่อทำนายหรือควบคุมการเข้าถึงการทำงานได้ แต่สิ่งที่กำลังตื่นตูมกันในวงการข่าว คือ Gen AI เพราะปัญญาประดิษฐ์สามารถสร้างได้ทั้งภาพและตัวอักษร แน่นอนว่าย่อมกระทบกับอุตสาหกรรมสื่ออย่างชัดเจน เช่น ข้อมูลลวง เพราะมีเทคโนโลยีอย่างดีพเฟคเกิดขึ้น คือนำใบหน้าของคนมีชื่อเสียงมาตัดต่อการขยับปาก เหมือนกับบุคคลนั้นมาพูดกับเรา ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวล

Screenshot

ประการต่อมาคือ รายได้ขององค์กรสื่อ เพราะ AI เชื่อมกับอัลกอริทึม เช่น คนเปิดเพจใหม่แทบไม่มีคนติดตาม หรือคนที่เปิดเพจมานาน วันหนึ่งก็พบว่าเนื้อหาที่ตั้งใจผลิตแทบไม่มีใครมองเห็นเลยเพราะอัลกอริทึมเปลี่ยนไปแล้ว อย่างในสหภาพยุโรป(EU) มีการตั้งทีมงานเพื่อดูเรื่องอัลกอริทึมโดยเฉพาะ  เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการผูกขาด เช่น ผู้รับสารจะได้เห็นโฆษณาชุดใด  เนื้อหาใดจะเข้ามาหาผู้บริโภค การควบคุมอัลกอริทึมทำให้ไม่เกิดความหลากหลายให้กับเนื้อหาต่อผู้รับสารด้วย

อีกประการหนึ่งคือเรื่องของลิขสิทธิ์ (Copyright) เพราะ AI ใช้งานโดยการป้อนข้อมูลเข้าไป ซึ่งปัจจุบันหลายบริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ AI เช่น Chat GPT หรือ Gemini สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ต้องการคือข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อไม่ให้ AI ของบริษัทตนเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แต่สำหรับองค์กรสื่อเรื่องนี้นอกจากข้อกังวลแล้วยังมีโอกาสอยู่ด้วย เช่นในต่างประเทศที่บริษัทผู้พัฒนา AI มักถูกสำนักข่าวฟ้อง นำไปสู่การเจรจากันระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย โดยสำนักข่าวที่มีข้อมูลดีๆ ก็สามารถขายลิขสิทธิ์การใช้ข้อมูลให้บริษัทผู้พัฒนา AI นำไปใช้ได้

มีภาพที่ได้รางวัลจากการใช้ AI สร้างขึ้น เจ้าของภาพที่ Gen AI จะอ้างลิขสิทธิ์เวลาที่มีการนำไปใช้    อันนี้อ้างไม่ได้เพราะศาลสหรัฐอเมริกาบอกว่า Too much Machine , Less Human คือแปลว่าใช้เครื่องจักรเยอะกว่าสมองคน คนไม่ค่อยทำอะไรแล้วจะมาอ้างเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพได้อย่างไร อันนี้เป็นเรื่องของลิขสิทธิ์ที่ยังสู้กันอยู่ว่าท้ายสุด Input (ข้อมูลที่ถูกป้อน) เข้าโปรแกรม AI ใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสำนักข่าว เจ้าของลายส้นภาพการตูนต่างๆ Output (ข้อมูลผ่านการผลิตออกมา) เมื่อ Gen AI แล้วใครเป็นเจ้าของ คนที่ทำขึ้นมา หรือบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มที่ทำให้เกิดการ Gen AI แล้วได้เงินจากการเอาภาพนี้ไปใช้รศ.พิจิตรา กล่าว

Screenshot

ศิริลักษณ์ รุ่งเรืองกุลดิษฐ์ นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการ กองลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญากล่าวว่า กฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป เพิ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2567 มีการแบ่งความเสี่ยงออกเป็น 4 ระดับ ตั้งแต่ 1.ความเสี่ยงที่ยอมรับไมได้ หมายถึงห้ามใช้ AI ในเรื่องเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง เช่น การให้คะแนนทางสังคม (Social Scoring) 2.ความเสี่ยงสูง ต้องมีการประเมินโดยบุคคลที่ 3 ที่เป็นกลางและได้รับการรับรอง เช่น การใช้ AI ที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภค การศึกษา การจ้างงาน 3.ความเสี่ยงจำกัด ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล   เช่น โปรแกรมแชตบอทต่าง ๆ ซึ่งอ้างอิงลิขสิทธิ์ของเจ้าของข้อมูลนั้น และ 4.ความเสี่ยงน้อยที่สุด ไม่มีข้อห้ามหรือข้อจำกัด เช่น AI ในเกม ขณะที่ในประเทศจีน มีกรณีศึกษาที่มีคนใช้ AI สร้างภาพขึ้นมาแล้วศาลตัดสินให้เจ้าตัวเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพนั้น โดยอธิบายว่าผู้ใช้ AI คนดังกล่าวมีการปรับถ้อยคำที่ใช้เป็นคำสั่งให้ AI สร้างภาพขึ้นมาอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสดงถึงการเลือกอย่างมีสุนทรียศาสตร์และมาจากวิจารณญาณส่วนตัวของผู้ใช้ AI เอง

ด้านสหรัฐฯ สำนักงานลิขสิทธิ์ (USCO) เผยแพร่Guidance on Copyright registration involving made crafted by Artificial Intelligence” เป็นแนวทางการจดแจ้งลิขสิทธิ์ที่เกิดจาการสร้างสรรค์ของ AI หมายถึง             ณ ปัจจุบันงานที่ใช้ AI ทำขึ้นยังไม่สามารถจดแจ้งลิขสิทธิ์ได้ แต่หากเป็นงานที่ใช้ทั้ง AI และมนุษย์ทำขึ้นก็ต้องระบุให้ชัดก่อนจดแจ้งลิขสิทธิ์ โดยจะรับจดแจ้งเฉพาะในส่วนที่ใช้ AI ทำเท่านั้น ส่วนกฎหมายลิขสิทธิ์ของไทย คือ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ก็จะอ้างอิงแนวทางของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ งานอันมีลิขสิทธิ์ 9 ประเภท ได้แก่ 1.วรรณกรรม หนังสือ บทความ บทกลอน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ 2.นาฏกรรม ท่าเต้น ท่ารำ ที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราว 3.ศิลปกรรม ภาพวาด ภาพถ่าย 4.ดนตรีกรรม บทเพลง (เนื้อร้อง-ทำนอง) 5.โสตทัศน์วัสดุ คลิปวีดีโอต่างๆ 6.ภาพยนตร์ 7.สิ่งบันทึกเสียง 8.งานแพร่เสียง-แพร่ภาพ เช่น รายการโทรทัศน์-วิทยุ และ 9.งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์หรือแผนกศิลปะ เช่น รอยสักและกฎหมายของไทย ยังตีความว่าผู้ทำหรือผู้ก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นงานอันเป็นลิขสิทธิ์ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น

โดยผลงานที่มนุษย์ทำ เช่น ผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่น เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ได้เพราะเป็นผู้เขียน Source Code โปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นขึ้นมา แต่ผลงานที่ AI ทำขึ้นปัจจุบันยังไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ เพราะการเขียน Prompt (ข้อความอธิบายให้ AI ทำงาน) เพียง 2-3 ประโยค แล้วให้ AI สร้างรูปภาพขึ้นมา ยังไม่มีความวิริยะอุตสาหะระดับการสร้างสรรค์ 

แต่เหตุการณ์นี้จะเปลี่ยนไปหากเขียน Prompt ด้วยความวิริยะอุตสาหะ และมีการแสดงออก และเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ 9 ประเภท โดยเขียน Promptเพื่อสร้างเป็นบทความ เพลง หนังสือ ภาพวาด อาจจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ได้เช่นกัน การนำ AI มาใช้ยังไม่สามารถตอบได้หมดว่าได้ลิขสิทธิ์หรือไม่ ต้องดูเหตุการณ์และเรื่องราวหลายๆ อย่างประกอบทั้งหมด ศิริลักษณ์ กล่าว

Screenshot

สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) ที่ผลักดันเสรีภาพสื่อและการสร้างมาตรฐานความน่าเชื่อถือของสื่อมายาวนาน ร่วมกับพันธมิตรรวม 16 แห่ง ได้เผยแพร่ กฎบัตรปารีส ซึ่งเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมสากลฉบับแรกที่เกี่ยวข้องปัญญาประดิษฐ์และงานข่าวและสื่อสารมวลชน มีหลัก 10 ประการ 

โดยสาระสำคัญคือ จริยธรรมของงานข่าวและสื่อมวลชต้องเป็นแนวทางของสื่อในการใช้เทคโนโลยี หมายถึงจริยธรรมดั้งเดิม เช่น ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ความเป็นธรรม-เป็นกลาง ฯลฯ ยังเป็นเรื่องสำคัญแม้จะนำ AI มาใช้ นอกจากนั้น การผลิตเนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบต้องมีมนุษย์ทำด้วยทุกขั้นตอน โดยมี AI เป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ เห็นสำนักข่าวอัลจาซีรารายงานข่าวเพจเจอร์ระเบิดที่เลบานอน แม้จะใช้ AI ช่วยทำภาพประกอบ แต่ก็มีการระบุไว้ด้วยว่าข่าวชิ้นนี้มีใครทำหน้าที่อะไรในขั้นตอนใดบ้าง จะเป็นตัวอย่างหรือแนวปฏิบัติได้

ระบบ AI ที่ใช้ในงานสื่อต้องประเมินอย่างเป็นอิสระก่อนใช้งาน และสื่อต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่เผยแพร่เสมอ  จะบอกว่าเป็น AI ทำขึ้นไม่ได้ แต่เรื่องนี้ก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เช่น คลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอ หากเป็นของจริงก็อาจถูกอ้างว่าใช้ AI ทำขึ้น ในทางกลับกันหากใช้ AI ทำขึ้นก็อาจถูกนำไปอ้างว่าเป็นของจริง แล้วสื่อจะพิสูจน์อย่างไร ใครจะเป็นคนตัดสิน สื่อก็จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ได้ว่าสามารถรายงานบนฐานที่คนเชื่อถือได้

รับรองแหล่งที่มาของเนื้อหา งานข่าวสื่อมวลชนจะต้องมีการวิเคราะห์อย่างชัดเจน หลักๆ คือสื่อมวลชนต้องมีส่วนร่วมในการดูแล AI เพราะเป็นหลักการที่รู้อยู่แล้วแต่เอามาเขียนย้ำอีกทีหนึ่ง ซึ่งใน 10 ข้อนี้เราน่าจะใช้เป็นเกณฑ์ ไทยพีบีเอส สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ มาใช้เป็นหลัก โดยเป็นแนวปฏิบัติว่าแต่ละหัวข้อจะมีวิธีปฏิบัติอย่างไร สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

Screenshot
Screenshot
Screenshot
Screenshot

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 28 กันยายน 2567

เตือนอีก 5 วันเกิดไต้ฝุ่น แรงกว่า “ยางิ” อาจทำ กทม. ท่วมหนักกว่าปี 54 สองเท่า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/b9d6zn7vlqmg


น้ำลดฮวบทะเลสาบสงขลา หวั่นเกิดสึนามิ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2d5dekh4n225n


สารส้มผสมน้ำใช้ล้างตาช่วยรักษาโรคตาแดง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3so7x4pzbi6so#_=_


ย้อมสีผมบ่อย เสี่ยงก่อโรคมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/32jf2hvci12qo


ผลิตภัณฑ์กลูต้าไธโอนรับประทาน 2 อาทิตย์กระจ่างใสขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/14uwblzheaaih#_=_


อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ประกาศปิดการท่องเที่ยวน้ำตกแก่งโสภาเป็นการชั่วคราว

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3q74uvfr60l8u


ผู้ประสบภัยน้ำท่วมทำบัตรประชาชนหาย ทำใหม่ได้ฟรี ภายใน 15 วัน นับจากวันประกาศพื้นที่สาธารณภัย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3rafmrvg6odpi#_=_


ครม. ขยายเวลาคงอัตรา VAT 7% ต่อไปอีก 1 ปี ถึง 30 ก.ย. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/latfy4ekf2hw#_=_


 หากลืมรับประทานยา สามารถทานรวมกับมื้อถัดไปได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2g2x8x7hm5z64


5 ข้อชวนคิดจาก “ลลิตา หาญวงษ์” ว่าด้วยมายาคติและไวรัลปั่นความเกลียดชังแรงงานเมียนมา

บทความ

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

ในช่วงเวลาเพียงสองเดือนกว่า ๆ ระหว่างกรกฎาคมถึงกันยายน 2567 ปรากฏเนื้อหาที่ปลุกปั่นความเกลียดชังแรงงานเมียนมาจนเป็น “ไวรัล” ออนไลน์อย่างน้อย 3 กรณี ซึ่งมากเพียงพอที่จะทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าการโหมกระพือความเกลียดชังระลอกนี้จะทำลายการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติระหว่างคนไทยกับแรงงานข้ามชาติ

ไวรัล #1 “บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย” หรือ “บัตรสีชมพู” ที่กรมการปกครองออกให้ผู้ไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้อยู่และมีถิ่นพำนักในประเทศเกิน 6 เดือน ซึ่งรวมถึงแรงงานสัญชาติเมียนมา ถูกนำมาบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นการเปิดช่องให้มีการ “ฟอกสัญชาติ” และ “ชุบตัวต่างด้าว” ให้มีสิทธิเลือกตั้งและถือครองที่ดินในประเทศไทย

ไวรัล #2 คลิปเด็กนักเรียนร้องเพลงชาติไทยตามด้วยเพลงชาติเมียนมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริงแต่ถูกนำมาใส่ข้อความที่สร้างความเกลียดชังและปลุกปั่นความคิดชาตินิยม ถูกเผยแพร่และสร้างเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทำให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานีประกาศปิดศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ บางกุ้ง ตำบลบางกุ้ง อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2567 ทำให้ลูกหลานแรงงานข้ามชาตินับพันคน ต้องหยุดเรียนกลางคันและสั่งให้ตรวจเข้มศูนย์การเรียนสำหรับเด็กข้ามชาติในจังหวัดสุราษฎร์ธานีทุกแห่ง

ไวรัล #3 ช่วงหนึ่งของการอภิปรายเรื่องสิทธิแรงงานข้ามชาติในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2567 น.ส. ธิษะณา ชุณหะวัณ ส.ส. พรรคประชาชน กล่าวถึงการปิดศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะและเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดูแลชาวเมียนมาที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาในประเทศ ต่อมามีผู้ใช้โซเชียลมีเดียตัดบางช่วงบางตอนของการอภิปรายมาโจมตี ส.ส.ธิษะณาและพรรคประชาชนว่าห่วงคนเมียนมามากกว่าคนไทย พร้อมทั้งเกิดแฮชแท็ก #พรรคประชาชนเมียนมา  

ท่ามกลางการโหมกระพือความเกลียดชังที่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะยุติลงเมื่อไหร่ และจะมีไวรัลอื่น ๆ ตามมาอีกหรือไม่ โคแฟคชวน ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ จากภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และที่ปรึกษากรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร มาพูดคุยในหัวข้อ “จากมายาคติต่อแรงงานข้ามชาติสู่ไวรัลปั่นความเกลียดชังออนไลน์” ทางเฟซบุ๊กไลฟ์ Cofact Live Talk เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2567 ต่อไปนี้คือ 5 ประเด็นที่ อ.ลลิตาฝากไว้ให้สังคมไทยคิดและทำความเข้าใจ ก่อนที่การสร้างความเกลียดชังในโลกออนไลน์จะกลายเป็นความหวาดระแวงต่อกันจนถึงจุดที่ยากจะเยียวยา

1. ทำไมแรงงานเมียนมาตกเป็นเป้าของการสร้างความเกลียดชัง

เหตุที่แรงงานเมียนมาตกเป็นเป้าของการสร้างความหวาดกลัวเกลียดชังมากกว่าแรงงานจากลาวหรือกัมพูชา นอกจากจะเป็นเพราะแรงงานเมียนมามีจำนวนมากถึง 6-7 ล้านคน (ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ) แล้ว อ.ลลิตามองว่าประวัติศาสตร์และรากทางวัฒนธรรมก็มีส่วน กล่าวคือ คนไทยในจังหวัดชายแดนภาคอีสานจะรู้สึกเป็นพวกเดียวกันกับแรงงานที่มาจากลาวและกัมพูชาเพราะพูดภาษาลาวหรือภาษาเขมรเหมือนกัน ต่างจากคนไทยที่อยู่ชายแดนไทย-เมียนมา ที่มองว่าคนกะเหรี่ยงหรือเมียนมาเป็นคนต่างเชื้อชาติ แม้จะอยู่ร่วมกันมายาวนานแต่ก็ยังรู้สึกถึงความเป็นอื่น นอกจากนี้อคติต่อแรงงานข้ามชาติยังมีเชื้อมาจากทัศนคติของสังคมไทยที่ไม่ชอบเพื่อนบ้านมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจด้อยกว่าเรา ส่วนประวัติศาสตร์สงครามเสียกรุงหรือสงครามไทย-พม่ายุคจารีตที่รัฐไทยมักหยิบมาปลุกชาตินิยม อ.ลลิตาวิเคราะห์ว่าไม่มีผลต่อทัศนคติของคนรุ่นใหม่ต่อแรงงานเมียนมามากเท่าประเด็นทางเศรษฐกิจและสาธารณสุข เห็นได้จากความไม่พอใจที่ภาษีของคนไทยถูกใช้ไปในการดูแลคนเมียนมา

2. คนไทย-คนเมียนมาอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ แต่ “ไอโอ” ทำให้ไขว้เขว

คนไทยมีขันติธรรมในเรื่องของเชื้อชาติประมาณหนึ่ง เพราะบรรพบุรุษเราก็เสื่อผืนหมอนใบมาจากจีน หลายชุมชนในลุ่มน้ำเจ้าพระยาก็มีเชื้อสายมอญ คนอีสานอาจจะมีบรรพบุรุษเป็นคนเวียดนามหรือลาวที่อพยพมาเป็นแรงงานหรือหนีสงครามมา” อ.ลลิตากล่าว ดังนั้นความหลากหลายทางเชื้อชาติจึงเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย แม้ว่าจะคนไทยบางส่วนจะมีอคติต่อแรงงานข้ามชาติ แต่คนส่วนใหญ่ในสังคมเข้าใจดีว่าประเทศไทยต้องพึ่งพาคนเหล่านี้ ผู้ประกอบการก็อยากได้แรงงานมาขับเคลื่อนกิจการของเขาและเห็นตรงกันว่า แรงงานเมียนมานั้นคุ้มค่าเพราะค่าแรงถูกและทำงานหนัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีแต่เป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้แรงงานเมียนมาเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการไทย

แต่ขณะเดียวกันก็มีคนกลุ่มหนึ่ง เช่น กลุ่มปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ) หรือกลุ่มที่มีเป้าหมายทางการเมือง พยายามจุดประเด็นเรื่องแรงงานเมียนมา กระพือให้คนหวาดกลัวซึ่งนำไปสู่ความเกลียดชัง เช่น การเผยแพร่รูปแผงค้าขายของชาวเมียนมาบนสะพานลอยที่สำโรง ภาพตลาดแม่สอดที่เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าชาวเมียนมา พร้อมบรรยายว่าเมียนมาครองเมือง คนไทยกำลังไม่มีแผ่นดินจะอยู่และจะกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง หรือตัดตอนคำอภิปรายของ ส.ส.พรรคประชาชนมาบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิด ดิสเครดิตพรรคด้วยแฮชแท็ก #พรรคประชาชนเมียนมา เป็นต้น เนื้อหาที่ปลุกปั่นความเกลียดชังต่อแรงงานเมียนมามีทั้งที่เป็นข้อมูลเท็จและข้อมูลจริงแต่ใส่ทัศนคติและความเกลียดชังลงไป “จริง ๆ คนส่วนใหญ่ในสังคมเข้าใจเรื่องนี้ แต่พอมีการปั่นแบบนี้ ก็ทำให้สังคมเกิดความไขว้เขว เกิดความ ‘เอ๊ะ’ขึ้นมาว่าหรือคนเหล่านี้เป็นภัยคุกคามจริง ๆ” อ.ลลิตากล่าว

3. ชาตินิยมที่ล้นเกิน สุดท้ายจะทำร้ายคนในชาติ

ความหวาดกลัวและเกลียดชังแรงงานเมียนมาเป็นปัญหาของทัศนคติและแนวคิดแบบชาตินิยม เกิดจากความคิดว่าในประเทศไทย คนไทยต้องมาก่อน เราเป็นคนจ่ายภาษี เพราะฉะนั้นสิทธิประโยชน์ใด ๆ เราต้องได้ก่อน

“คุณมีทัศนคติชาตินิยมได้มั้ย ได้ ความรักชาติเป็นเรื่องปกติ…แต่ถ้าคุณรักชาติแบบล้นเกินจนไม่ได้มองว่าสถานการณ์จริง ๆ ในประเทศเราเป็นยังไง ท้ายสุดมันทำให้ประเทศชาติของเราเดือดร้อน ไม่ได้เดือดร้อนแค่ตัวคุณคนเดียว แต่เดือดร้อนถึงพ่อแม่พี่น้องร่วมชาติที่เป็นคนไทยแท้ ๆ ด้วย”

อ.ลลิตาหยิบยกกรณีคลิปเด็กเมียนมาร้องเพลงชาติเมียนมาที่ศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ จ.สุราษฎร์ธานี มาขยายความประเด็นนี้ว่า การปลุกปั่นในโลกออกไลน์จนนำมาสู่การปิดศูนย์การเรียนของเด็กข้ามชาติอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่และรุนแรงกว่าที่หลายคนคิด เพราะเมื่อลูกหลานแรงงานเหล่านี้ต้องเคว้งคว้าง ไม่มีที่เรียนหนังสือ พ่อแม่ดูแลไม่ได้เพราะต้องทำงาน เด็กเหล่านี้อาจต้องกลายเป็นแรงงานเด็กในอุตสาหกรรมประมง การใช้แรงงานเด็กในอุตสาหกรรมประมงอาจทำให้ไทยถูกสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำ ทำให้ผู้ประกอบการประมงไทยส่งออกกุ้งไปขายในสหรัฐฯ ไม่ได้ เศรษฐกิจไทยก็จะเสียหาย

“เราจะรัก เราจะโกรธ เราจะเกลียดอะไรได้หมด แต่ต้องมีความยั้งคิด มองให้เป็นระบบว่า ฉันเกลียดคนนี้เพราะอะไร เพราะโดนไอโอหลอกหรือเปล่า คนเมียนมาทำอะไรผิด ถ้าเราสนับสนุนให้ปิดศูนย์การเรียนฯ เด็กกลุ่มนี้จะถูกลอยแพ จะกลายเป็นแรงงานเด็กนอกระบบ…ต้องคิดหลาย ๆ ชั้น คิดให้ลึกลงไปก็จะเห็นว่าคนที่ได้รับผลกระทบ [จากการปิดศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ] ก็คือสังคมไทยโดยรวม มันเป็นปัญหาความมั่นคงในองค์รวม ไม่ใช่แค่ชุมชนคนเมียนมา”

เจ้าหน้าที่นำประกาศสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานีเรื่องให้ศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะบางกุ้งยุติการดำเนินการไปติดตั้งที่หน้าศูนย์การเรียน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อาคารเรียนเดิมของวิทยาลัยเทคโนโลยีบางกุ้ง

4. กฎหมาย-มาตรการของรัฐ ไม่ใช่การให้อภิสิทธิ์คนเมียนมา

ในโลกออนไลน์มักมีการแชร์เนื้อหาที่สร้างความเข้าใจผิดว่า การขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติหรือการออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยให้คนต่างด้าวเป็นการให้อภิสิทธิ์แรงงานข้ามชาติในไทย

“อย่าคิดว่ากฎหมายหรือร่างกฎหมายหลายฉบับที่พยายามเปลี่ยนแปลงเรื่องการให้ใบอนุญาตแรงงานคือการให้อภิสิทธิ์คนเมียนมา แต่ต้องคิดว่านี่คือการแก้ปัญหาที่ทำให้รัฐไทยสามารถบริหารจัดการแรงงานเมียนมาได้ดีขึ้น” อ.ลลิตากล่าว “ถ้าเราทำให้แรงงานเมียนมาในไทยเข้ามาอยู่ในระบบได้มากที่สุด จะสามารถจัดการได้หลายอย่าง ดีทั้งกับนายจ้าง แรงงาน และสังคมไทยโดยรวม” ส่วนความกังวลว่ารัฐบาลไทยใช้เงินภาษีของคนไทยไปดูแลแรงงานเมียนมา เช่น การรักษาพยาบาลนั้น อ.ลลิตายอมรับว่าอาจต้องใช้งบประมาณของไทยบางส่วน แต่ส่วนใหญ่เป็นเงินจากองค์กรต่างประเทศที่เข้ามาช่วย และคนไทยไม่ควรคิดว่าแรงงานเมียนมาไม่ได้จ่ายภาษี เพราะเมื่อเขาจ่ายเงินซื้อสินค้า ซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ก็เท่ากับว่าเขาจ่ายภาษี เท่ากับว่าเขามีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วย

5. หยุดคิดและตั้งสติก่อนเชื่อ-ชัง-แชร์

ประเด็นสุดท้ายที่ อ.ลลิตาชวนให้คิดคือ ขณะนี้ประเทศไทยขาดแรงงานเมียนมาไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาแรงงานกลุ่มนี้ ตราบใดที่เขาอยู่ที่นี่ ทำงานที่นี่ เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย และหากคิดดูให้ดีก็จะพบว่าจริง ๆ แล้ว แรงงานเมียนมาไม่ได้สร้างผลกระทบหรือความเดือดร้อนในชีวิตประจำวันของเรา ยกเว้นคนบางกลุ่มอย่างเช่นพ่อค้าแม่ค้าที่อาจได้รับผลกระทบด้านอาชีพบ้าง

ดังนั้นเมื่อพบเห็นเนื้อหาในโซเชียลมีเดียที่กระตุ้นให้เกิดความหวาดกลัว เกลียดชังหรือมีอคติกับแรงงานข้ามชาติ อ.ลลิตาแนะนำว่าให้หยุดคิด อย่าเพิ่งอ่อนไหวไปกับกระแสสังคมหรือดรามา ถามตัวเองว่าเรากำลังถูกชักจูงให้เกิดความเกลียดชังหรือเปล่า

“หลายคนรับสารมา อ่านยังไม่ทันจบก็แชร์แล้ว นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคนไทยถึงโดนมิจฉาชีพหลอกเยอะ เพราะเราเชื่อง่าย ไม่ตรวจสอบข้อมูล…ขอให้คิดอย่างมีเหตุผล อยู่บนฐานข้อเท็จจริง อย่ารีบโพสต์ อย่ารีบแชร์”

การเชื่อหรือแชร์ข้อมูลต่อโดยขาดความยั้งคิดหรือไม่ตรวจสอบความถูกต้อง หากเป็นการหลอกลวงทางการเงินก็อาจนำไปสู่การสูญเสียทรัยพ์สิน หากเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวทางสังคมอย่างเรื่องแรงงานข้ามชาติ อาจทำให้เหตุการณ์บานปลายกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้

“เราอยากให้สังคมของเราไปถึงจุดนั้นหรือ ทุกวันนี้ เราอยู่ในสังคมที่มีขันติธรรมต่อคนต่างเชื้อชาติประมาณหนึ่ง แต่ถ้าความเกลียดชัง หรือปฏิบัติการไอโอไปในระดับที่รุนแรงมากขึ้น สังคมเราก็เป๋ได้เหมือนกัน” อ.ลลิตาทิ้งท้าย

อ่านเรื่องอื่นที่น่าสนใจ

แรงงานข้ามชาติ-เชื้อชาติแตกต่าง’สังคมไทยรับได้และเข้าใจเสมอมา แต่ห่วง‘ปั่นกระแส’ทำไขว้เขวสู่ความเกลียดชัง

กิจกรรม

23 ก.ย. 2567 รายการ “Cofact Live Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค ชวนพูดคุยในหัวข้อ ‘Myths & Migrant workers: From Disinfo to Discrimination? จากมายาคติต่อแรงงานข้ามชาติสู่ไวรัลปั่นความเกลียดชังออนไลน์” กับวิทยากร ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมี สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) เป็นผู้ดำเนินรายการ

อาจารย์ลลิตา อธิบายรากเหง้าของปัญหาอคติ (หรือมายาคติ) ที่พลเมืองในประเทศมีต่อแรงงานข้ามชาติ ซึ่งก็มาจากทัศนคติแบบชาตินิยม โดยมองเรื่องสิทธิประโยชน์ของคนไทยต้องมาก่อนในฐานะเป็นคนจ่ายภาษี  แต่จริงๆ แล้ว ไม่ว่าใครที่อยู่ในประเทศไทยล้วนจ่ายภาษีและมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจับจ่ายใช้สอย ขณะเดียวกัน เมื่อมองการเข้ามาของชาวต่างชาติก็ต้องแยกเป็นหลายส่วน อาทิ แรงงานที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมาย แรงงานที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย 

รวมไปถึงชนชั้นกลางที่ต้องการแสวงหาโอกาสในประเทศที่มีความสงบมากกว่า เช่น ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเมียนมา ที่ผ่านไป 3 ปีกว่าแล้วยังคงได้รับผลจากการรัฐประหารเมื่อปี 2564  จะพบว่าย่านสุขุมวิทมีชาวเมียนมาจำนวนมาก มีร้านอาหารเมียนมาที่เป็นผู้ประกอบการทั่วไปไม่ใช่ร้านแฟรนไชส์เกิดขึ้นหลายแห่ง ยังไม่ต้องนับเมืองหรือจังหวัดที่อยู่ติดชายแดน หรือที่มีข่าวว่าชาวเมียนมาเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ในตลาดคอนโดมิเนียมของไทย  

ดังนั้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในมิตินี้จริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนจ่ายภาษี ตราบใดที่เขาเดินไปซื้อของตามร้านทั่วๆ ไป เขาก็ต้องจ่ายภาษี ซึ่งแรงงานเมียนมาที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยยาวนานหลายสิบปีมาแล้ว เพราะสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศของเขาไม่ค่อยมีความสงบ ครั้งใหญ่ที่สุดก็คือหลังปี 2531 (1988) พอเกิดเหตุการณ์ประท้วงใหญ่ๆ ในประเทศของเขา ประชาชนก็จะเข้ามาในประเทศไทย” 

เมื่อมองย้อนไปในยุคหลายสิบปีก่อน สังคมไทยยังไม่ได้เปิดกว้างขนาดให้มีชนชั้นกลางจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงาน ดังนั้นชาวเมียนมาที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นแรงงานประเภททักษะน้อย ทำงานโรงงานบ้าง อุตสาหกรรมประมงบ้าง อาทิย่านมหาชัย ใน จ.สมุทรสาคร เป็นพื้นที่ที่แรงงานชาวเมียนมาอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นที่ตั้งของโรงงานแปรรูปอาหารทะเล จนมีองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ที่เข้าไปดูแลด้านสิทธิและสวัสดิการต่างๆ ของแรงงานชาวเมียนมาในย่านดังกล่าวโดยเฉพาะ

ช่วงที่ อองซานซูจี ผู้นำรัฐบาลพลเรือนเมียนมา มาเยือนประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน ยังได้ไปพบปะกับแรงงานชาวเมียนมาในย่านมหาชัย สะท้อนถึงความสำคัญของแรงงานชาวเมียนมาต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน หากไม่มีแรงงานชาวเมียนมา ย่านมหาชัยคงกลายเป็นเมืองร้าง และไม่รู้ว่าจะหาแรงงานที่ไหนมาทดแทนในอุตสาหกรรมประมงได้ที่ผ่านมาอาจมีความเชื่อว่าชาวเมียนมาเข้ามาแย่งงานคนไทย แต่ในความเป็นจริงคือคนเหล่านี้เข้ามาทำงานที่คนไทยไม่ทำ ซึ่งก็มีปัจจัยเรื่อง ทัศนคติของนายจ้าง อยู่ด้วย

นั่นคือ แรงงานข้ามชาติยอมรับการทำงานหนักแต่ได้ค่าแรงน้อยได้ พบว่าแรงงานเมียนมามีอัตราการลาออกเพราะไม่พอใจนายจ้างค่อนข้างน้อยกว่าแรงงานไทย รวมถึงแรงงานเมียนมาได้ค่าจ้างในอัตราน้อยกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ หรือแม้กระทั่งในกลุ่มแรงงานทักษะสูง ชาวเมียนมาเรียกร้องขอเงินเดือนต่ำกว่าชาวไทยที่เรียนจบมาในสาขาเดียวกันและต้องการสมัครงานในตำแหน่งเดียวกัน

เราลองไปดูตามกลุ่มหางานของคนเมียนมาในไทย เราจะพบว่าคนที่เป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ ภาษาอังกฤษคล่องมาก ขอเงินเดือน 15,000 เราจะเห็นคนที่เป็นวิชาชีพที่แบบเข้มๆ ในระดับที่ในประเทศไทยต้องเงินเดือน 5-7 หมื่น เขาขอ 15,000 หรือ 12,000 เสียด้วยซ้ำไปในบางเคส กราฟิกดีไซเนอร์เก่งๆ หมื่นกว่าบาท ขอแค่ตรงนี้ ทำอย่างไรก็ได้ให้มาอยู่ในประเทศไทย นี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

อาจารย์ลลิตา กล่าวต่อไปถึงกฎหมายใหม่ที่ออกโดยรัฐบาลรัฐประหารของเมียนมา กำหนดให้ชาวเมียนมาที่ไปทำงานต่างประเทศ ต้องจ่ายภาษีร้อยละ 25 ของรายได้ที่ส่งกลับมาให้ญาติพี่น้องในเมียนมา เนื่องจากผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของเมียนมา จากเงินที่ชาวเมียนมาที่กระจายกันไปทำงานในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ถือว่าเป็นสัดส่วนที่ใหญ่มาก อย่างในประเทศไทย ตัวเลขอย่างเป็นทางการของแรงงานชาวเมียนมาจะอยู่ประมาณ 2-3 ล้านคน แต่หากเป็นตัวเลขไม่เป็นทางการอาจจะสูงราว 6-7 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหากสถานการณ์ในเมียนมายังไม่สงบ 

ทั้งนี้ สังคมไทยค่อนข้างมีขันติธรรมในเรื่องเชื้อชาติพอสมควร เพราะหลายคนก็มีบรรพบุรุษมาจากต่างแดน เช่น จีน มอญ ลาว เวียดนาม ไม่ว่ามาเป็นแรงงานแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจหรือหนีภัยสงคราม เนื่องจากประเทศไทยค่อนข้างสงบกว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน แม้จะมีความขัดแย้งแต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นสงครามขนาดใหญ่ เช่น พื้นที่สู้รบในสงครามเวียดนาม หรือประเทศกัมพูชาที่เคยมีสงครามกลางเมือง เป็นต้น 

 ส่วนประเด็น การปั่นกระแสสร้างความเกลียดชังบนโลกออนไลน์ ต้องบอกว่า ในความเป็นจริงสังคมไทยเข้าใจว่าเราต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติผู้ประกอบการก็ต้องการแรงงานชาวเมียนมาไปช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ แต่มีคนบางส่วนต้องการปั่นกระแสโดยพยายามทำให้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง

เราไม่ได้หมายถึงพรรคการเมืองต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง แต่อย่างในยุโรปหรืออเมริกา ประเด็นเรื่องเชื้อชาติ เรื่องผู้อพยพลี้ภัยเป็นเรื่องใหญ่ การที่ฝ่ายการเมืองไม่คัดกรองแต่ออกมาพูดถึงเรื่องนี้  ทำให้กลายไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายต่อต้านที่อาจจะหยิบยกข้อความมา 2-3 คำ แล้วนำมาขยายความซึ่งทำให้เกิดข้อมูลที่บิดเบือนไปหมด

อาจารย์ลลิตา กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า แม้ตนเองจะไม่ใช่นักวิชาการด้านแรงงานหรือด้านการอพยพย้ายถิ่นโดยตรง แต่จากการทำงานในคณะกรรมาธิการความมั่นคงในสภา ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ แล้วเห็นว่าต้องอธิบายให้สังคมเข้าใจในสิ่งที่สังคมเข้าใจอยู่แล้ว เพียงแต่บางคนอาจจะไขว้เขวไปเพราะได้รับข้อมูลที่มาจากกระแสดรามาที่เกิดขึ้น จึงอยากสื่อสารว่า เชื้อชาติเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สามารถลุกลามไปถึงขั้นเกิดเหตุจลาจลได้ ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วในต่างประเทศ และมีเหตุรุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต เช่น ความขัดแย้งระหว่างคนเชื้อสายพม่ากับเชื้อสายอินเดีย ในยุคที่เมียนมายังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ หรือระหว่างคนเชื้อสายมาเลย์กับเชื้อสายจีนในสิงคโปร์ คำถามคือ เราอยากให้สังคมไทยเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือ? เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีบางประเด็นที่สังคมไทยไม่รับอยู่บ้าง เช่น เรื่องของชาวโรฮิงญา แต่ก็ยังรับได้กับแรงงานข้ามชาติอย่างชาวเมียนมา ซึ่งหากมีการปั่นกระแสด้วยถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ไปในระดับที่รุนแรงมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวล

ด้าน สุภิญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเองมาจากครอบครัวที่อยู่ในภาคใต้ของไทย ซึ่งภาคเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้คือ การทำสวนยางพารา แต่ระยะหลังๆ คนทำงานในสวนยางมีน้อยมากที่จะเป็นคนใต้หรือคนไทย ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานข้ามชาติที่มาอยู่กันเป็นชุมชนและก็อยู่กันด้วยดี ซึ่งแม้แรงงานเหล่านี้จะมีรายได้ไม่สูง แต่ก็ถือว่าเป็นเงินที่มากพอสมควรเมื่อส่งกลับไปให้ญาติพี่น้องที่ประเทศบ้านเกิด ในมุมหนึ่งก็เข้าใจว่าการที่คนเหล่านี้มีความอดทนที่ต้องอยู่ห่างไกลครอบครัวก็เพราะไม่มีทางเลือก ไม่รู้ว่ากลับไปแล้วจะเป็นอย่างไร

จริงๆ คนไทยกับแรงงานข้ามชาติในภาพรวมไม่ได้มีปัญหาอะไร มีความรักคร่กันดี  เพราะเขามาช่วยเราเยอะ   มีแต่คนอยากได้มาทำงาน แต่ก็มีกลุ่มสุดโต่งอยู่ทั้งที่ Organic (เป็นไปเองโดยปัจเจก) และ IO (ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร) ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวว่าตอนนี้อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หากมีอะไรกระตุ้นขึ้นมา  อาจจะก่อปัญหาให้บานปลายก็ได้  จากเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้

หมายเหตุ : ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถรับชมรายการเต็มแบบย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/1046760563583842?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

เปิดวงถก‘SDGs’เป้าหมายสู่โลกที่ดีขึ้น กับความท้าทายในการปฏิบัติและติดตามผลจนบรรลุ

กิจกรรม

21 ก.ย. 2567 มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (มูลนิธิ สกพ.) จัดเสวนา “Bangkok Dialogue City : SDGs เทคโนโลยี ธุรกิจ การศึกษา ศาสนาและสื่อ” ถ่ายทอดสดเผ่นเพจเฟซบุ๊ก “พระมหานภันต์ สกพ. – Ven.Napan IBHAP” และเพจ “มูลนิธิ สกพ. – IBHAP Foundation” โดยมี จณัญญา บารมีชัย ผู้อำนวยการสายปฏิบัติการ บริษัท ฟอร์เวิร์ด ฟรีแลนซ์ จำกัดเป็นผู้ดำเนินรายการ

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากมองโลกตามความเป็นจริง มักเกิดคำถามว่า เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน  (Sustainable Development Goals : SDGs)จะเป็นไปได้หรือ? แต่มนุษย์ก็ต้องมีความหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมลง มีปัญหาความเหลื่อมล้ำมากขึ้น แต่ใช่ว่าเราจะสิ้นหวัง ทั้งนี้จากประสบการณ์ทำงานมา 3 ทศวรรษ ประเทศไทยมีกลไกกฎหมายต่างๆ รวมถึงมีจำนวนสื่อที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นสื่อก็ยังถูกตั้งคำถามว่าทำหน้าที่ได้ดีพอแล้วหรือยัง

หรืออย่างในปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีสถิติเผชิญกับการหลอกลวงของมิจฉาชีพมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย จึงเป็นตัวชี้วัดว่าต้องมีอะไรที่ผิดปกติดังนั้นทางแก้ก็ต้องดูทั้ง 2 ทาง ด้านหนึ่งกลไกกฎหมายมีข้อบกพร่องหรือไม่ เช่น การแพร่หลายของเครื่องมือที่ใช้กระทำผิดอย่างบัญชีม้าหรือซิมบ็อกซ์ เป็น SDGs ในมุมกฎหมายที่ต้องแก้ไขกันต่อไป

แต่อีกด้านหนึ่งที่อาจหลงลืมไปในขณะพยายามผลักดันกลไกกฎหมาย คือมิติทางวัฒนธรรม ซึ่งรวมทั้งสื่อ การศึกษา ศาสนาและจิตวิญญาณ หรือก็คือการยกระดับการเรียนรู้ของคนไปด้วย จึงเป็นที่มาของการขับเคลื่อนภาคีโคแฟค เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในอีกรูปแบบหนึ่ง การคิดวิเคราะห์ การตั้งคำถาม เพื่อ 1.ให้เกิดการรู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ กับ 2.ใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ได้อย่างมีสันติสุขในใจมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่า คนแต่ละกลุ่มจะมีความทุกข์จากการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์แตกต่างกันไป เช่น หากเป็นผู้สูงอายุอาจมีปัญหาถูกหลอกลวงกันมาก ส่วนคนวัยทำงานเจอปัญหาการซื้อสินค้าประเภทได้ของไม่ตรงปก ซึ่งแต่ละปีมีการสูญเสียเม็ดเงินในส่วนนี้เป็นจำนวนมาก ขณะที่เด็กและเยาวชนจะมีปัญหาอีกรูปแบบหนึ่ง คือภาวะซึมเศร้า การถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) จึงรู้สึกว่าหากมาทำเรื่องการส่งเสริมความเข้าอกเข้าใจกันในโลกออนไลน์ ลดถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ซึ่งรวมไปถึงระดับโลกที่ยังอาจมีความไม่เข้าใจกัน ยังมีความเกลียดชังจากความแตกต่างทางเชื้อชาติ-ศาสนา ต้องทำอย่างไรในการรับมือ

จากความพยายามที่ผ่านมา ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงตัวชี้วัดเรื่องการไปสู่สันติภาพ เพราะในโลกจริงยังมีสงครามมีการสู้รบกันอยู่ พอเข้ามาในโลกออนไลน์ก็มีแต่ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง คำถามคือเราจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ทางออกจึงอยู่ทั้ง 2 ด้าน นโยบาย กฎหมาย จนถึงหน้าที่ของแพลตฟอร์มก็ต้องดูแลกันต่อไปว่าต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง แต่ปัจเจกบุคคลก็ต้องช่วยกันสร้างระบบนิเวศของสื่อให้น่าอยู่มากขึ้น

ทั้งนี้ ในรายงาน Global Risk ความเสี่ยงของโลกยุคใหม่ ในเวที World Economic Forum ปี 2567 อันดับ 1 คือเรื่อง Mis & Disinformation (ข้อมูลบิดเบือน-คลาดเคลื่อน) หรือคนถูกหลอกจากข้อมูลลวงในโลกออนไลน์ ยิ่งทำให้กลับมาให้ความสำคัญกับงานของโคแฟคมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทำงานได้โดดเดี่ยวเพราะจะไปไม่ถึงไหน จึงต้องร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งด้านสื่อ ศาสนา การศึกษาและสังคม เพื่อแสวงหาปัญญารวมหมู่ในการรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา

อันดับ 1 คือข้อมูลลวง รองลงมาคือเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Changeและมีอีกเรื่องที่น่าสนใจ เป็นอันดับต้นๆ เหมือนกัน คือ สังคมแบ่งขั้ว (Social Polarization) คือการแบ่งแยกแตกขั้วของคนในสังคม จึงเป็นที่มาของวงที่เราจัดในวันนี้ คือ Bangkok Dialogue City หรือ การเชื่อมต่อ (Interface หรือ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน  (Intercultural จะกลายเป็นงานสำคัญที่จะรับมือกับ Global Risk หรือภัยคุกคามของโลกในยุคนี้ สุภิญญา กล่าว

สุรเสกข์ ยุทธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้ง Toolmorrow กล่าวว่า ระยะเวลาประมาณ 10 ปี ของ Toolmorrow ช่วงแรกๆ เป็นการสร้างความตระหนักในเรื่องความเชื่อหรือความเข้าใจต่างๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เป็นปัญหาของการศึกษา เยาวชนและครอบครัว เมื่อผ่านไประยะหนึ่งก็เริ่มมีคำถามว่า ทำอย่างไรจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ กระทั่งได้มาทำงานร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งตั้งปลายทางไว้ว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้ครอบครัวอบอุ่นมีความสุขมากขึ้น จึงเริ่มไปหาโปรแกรมออกแบบกันในโลกออนไลน์

เมื่อ Toolmorrow ทำงานร่วมกับ สสส. ในชื่อโครงการ คุณเปลี่ยนลูกเปลี่ยน พบว่ามียอดการรับชมถึง 10 ล้านครั้ง มีผู้สนใจสมัครเข้ามาในระบบการเรียนรู้ได้ถึงหลักหมื่นคน เกินเป้าจากที่ตั้งไว้ตอนแรกว่าจะมีผู้สนใจเพียงหลักพันคน แต่ความสำคัญคือคนที่เรียนรู้แล้วยังสามารถกลายเป็นคนสอนต่อไปได้ด้วย และเมื่อเห็นว่าโครงการนี้เป็นต้นแบบที่ดี จึงพยายามสร้างขึ้นมาและกระจายกันใหม่ 

ปัจจุบัน Toolmorrow เปลี่ยนคำขวัญจากแต่ก่อนจะเน้นไปในทางทำลายความเชื่อผิดๆ เป็นจากคนดูสู่ผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง (Turn Viewer to Change Maker) คือคาดหวังมากกว่าการรับรู้ แต่อยากให้มาลงมือทำอะไรบางอย่าง โดย Toolmorrow มีระบบ Learning Management System (LMS – ระบบจัดการการเรียนรู้) ร่วมกับ สสส. ผลิตแพลตฟอร์ม “Share & Care” ขึ้นมาให้องค์กรทางสังคมได้เช่าใช้ และสร้างเครือข่ายเพิ่มขึ้น จากประเด็นครอบครัวขยายสู่เรื่องการเงิน สุขภาพ ฯลฯ 

ปัญหาที่เจอขององค์กรภาคสังคม คือเวลาสร้างการตระหนักรู้แล้วก็ทำการอบรม ในเชิงพื้นที่ส่วนใหญ่เราจะติดตามลำบากเพราะว่าจะเป็นการอบรมครั้งเดียวแล้วจบ แต่ถ้าเกิดสามารถปรับกระบวนการให้อยู่ในระบบแล้วสามารถติดตามผลได้ หรือสามารถวิเคราะห์ว่าใครจะมีศักยภาพขึ้นมาเป็น Change Maker ได้ เพื่อพัฒนาเขาต่อ จะทำให้คนไม่หายไปจากการอบรม ซึ่งเราลองระบบแบบนี้แล้วพยายามจะทำงานนี้ขึ้นมา ฉะนั้นถามว่า Toolmorrow ทำงานอะไรที่เกี่ยวข้องกับ SDGs บ้าง? ก็คือเรื่องของการศึกษา แล้วเราให้ความรู้เพื่อให้ Well-being (คุณภาพชีวิต) เขาดีขึ้น สุรเสกข์กล่าว

ดร.ณัฐวุฒิ สุขโสมนัส ที่ปรึกษาสมาคมผู้ประเมินมูลค่าทางสังคมไทย กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ (UN) ทำการศึกษาเกี่ยวกับ SDGs โดยสอบถามภาคธุรกิจทั่วโลกว่า 1.รู้จัก SDGs หรือรู้จักคำว่าความยั่งยืน (Sustainability) หรือไม่? พบว่ามีที่รู้ประมาณร้อยละ 60-65 แต่เมื่อถามต่อไปว่า2.ได้กำหนด SDGs เป็นนโยบายขององค์กรหรือไม่? พบว่ามีที่กำหนดอยู่ราวร้อยละ 40 จากนั้น 3.ได้ลงมือทำตามแนวทางของ SDGs หรือไม่? พบว่ามีเพียงร้อยละ 10-15 ขององค์กรทั่วโลกเท่านั้นที่ลงมือทำ

และสุดท้ายถามว่า 4.ลงมือทำแล้วได้ติดตามผลและประกาศต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องหรือไม่? ซึ่งมีองค์กรธุรกิจทั่วโลกเพียงร้อยละ 1-2 เท่านั้นที่ดำเนินการมาถึงขั้นนี้ แม้ภาคธุรกิจต้องทำรายงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Report) แต่ ณ ปัจจุบันยังไม่มีกฎตายตัวชัดเจน ดังนั้นสิ่งที่องค์กรหรือบริษัทดำเนินการจึงเป็นเพียงการบอกว่าได้ไปทำอะไรมาเท่านั้น เช่น บริษัทแห่งหนึ่งทำ CSR เรื่องปลูกป่าทุกปี ก็มีคำถามขึ้นมาว่าเหตุใดบริษัทนี้ต้องปลูกป่าที่เดิมติดต่อกันหลายปีแล้ว ซึ่งก็จะเป็นอย่างที่ทราบกันคือมาถ่ายรูปแล้วก็กลับ แต่ไม่มีใครไปดูหลังจากนั้นว่าแล้วเกิดอะไรขึ้นกับป่าที่ปลูกบ้าง 1 ปีผ่านไปต้นไม้ตายไปเท่าไร? จะแก้ปัญหาอย่างไร? จึงเป็นเพียงการทำซ้ำไปเรื่อยๆ และหากยังเป็นกันแบบนี้ ไม่ต้องคิดถึง 6-7 ปีข้างหน้า เพราะต่อให้ผ่านไปอีก 10 ปีก็แก้ปัญหาไม่ได้ ไม่มีทางไปถึงเป้าหมาย

สมาคมผู้ประเมินมูลค่าทางสังคมไทย เครื่องมือที่เราใช้วัดในการประเมิน เราเรียกว่า SROI (Social return on investment –  ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนซึ่งเป็นเครื่องมือสากล เขาทำมา 20-30 ปีแล้ว ต้นกำเนิอยู่ที่อังกฤษ แล้วตอนนี้มีหลายสิบประเทศทั่วโลกที่ใช้เครื่องมือนี้อยู่ ก็สามารถใช้ประเมินได้เพราะเป็นหลักการที่เขาคิดกันขึ้นมาดร.ณัฐวุฒิ กล่าว

พระมหานภันต์ สันติภัทโท ประธานกรรมการมูลนิธิ สกพ. และผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กล่าวว่า เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SDGs เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2558 ตั้งเป้าบรรลุเป้าหมายไว้ที่ปี 2573 ดังนั้นปัจจุบันถือว่ามาเกินครึ่งทาง เหลืออีก 6 ปีที่จะต้องบรรลุ อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดเหมือนจะมีผลวิจัยออกมาว่าสำเร็จไปเพียงร้อยละ 16 ของเป้าหมายทั้งหมด

ในประเด็นเกี่ยวกับสื่อ สิ่งที่คงจะเห็นตรงกันคือสื่อเป็นผู้คัดกรอง (Gatekeeper) กำหนดเรื่องราวที่จะนำเสนอ (Agenda) แต่โลกยุคปัจจุบันที่ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยี บางครั้งกลับกลายเป็นปัจเจกบุคคลที่เป็นผู้กำหนดเรื่องราวที่จะนำเสนอแล้วสื่อก็มานำไปขยายความต่อ ในมุมนี้อาจยังไม่มีข้อสรุป แต่อยากให้เห็นว่าทุกภาคส่วนสามารถมีส่วนร่วมกับ SDGs ได้ และแม้การวัดของ SDGs เหมือนจะยาก แต่การวัดก็ทำให้รู้สถานการณ์ปัจจุบันว่าเราอยู่ตรงไหน และรู้ว่าเป้าหมายจะไปถึงอะไร 

เรื่องข่าวลวงมีอยู่ในหลายๆ มิติ เช่น เป้าหมายที่ 16  สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันเข้มแข็ง(Peace, Justice and Strong Institutions) จะมีตัวชี้วัดที่สำคัญ ขณะที่การทำงานของทั้งภาคีโคแฟคและ Toolmorrow พบคำสำคัญคือ ความร่วมมือ (Collaborative)” ที่อาจใช้เป็นวลีว่า “Collab before Collapse” หมายถึงควรจะร่วมมือกันก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายลง ทั้งนี้ SDGs เป็นเรื่องใกล้ตัวเราทุกคน เช่น เป้าหมายที่ 4 การศึกษาที่มีคุณภาพ (Quality Education) , เป้าหมายที่ 6 มีน้ำสะอาดและสุขอนามัยที่ดี (Clean Water and Sanitation) 

โดยให้ลองนึกภาพว่าหลายพื้นที่ยังมีคนที่เข้าไม่ถึงโอกาสที่จะมีสิ่งเหล่านี้ ซึ่ง SDGs มีขึ้นมาเพื่อให้ทั้งโลกช่วยทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ส่วนคำถามที่ ดร.ณัฐวุฒิ ยกตัวอย่างมาก็น่าสนใจ เพราะก่อนจะมี SDGs ก็เริ่มมองเห็นแล้วว่าการพัฒนาแบบเดิมๆ เน้นแต่ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ทำให้สิ่งแวดล้อมและสังคมเสื่อมโทรม แต่เมื่อพยายามจะเปลี่ยนก็ยังไม่มีการวัดเป็นรูปธรรม

กระทั่งในปี 2558 จึงเป็น SDGs ขึ้นมา อย่างน้อยก็เพื่อสร้างความตระหนักว่าจะวัดผลอย่างไร ซึ่ง SDGs ทั้ง 17 เป้าหมาย แต่ละเป้าหมายมีตัวชี้วัดที่ค่อนข้างละเอียดพอสมควร แต่ก็ถือเป็นความท้าทาย เช่น มูลนิธิ สกพ. ทำเรื่องความร่วมมือกันเพื่อเป้าหมาย (Partnerships for the Goals – เป้าหมายที่ 17) ไปชวนใครต่อใครมาร่วมมือกัน แต่การสร้างการเปลี่ยนแปลงกับคนไม่ได้มีการติดตาม หรือแม้แต่เมื่อจะติดตามก็แล้วตัวชี้วัดที่ถูกต้องควรเป็นแบบใด

“Social return on investment ชวนว่าในโครงการพัฒนาที่เราคิดทำกันตามปกติ ยกตัวอย่างสมมติว่าเราจะลดการใช้พลาสติก ทำเรื่องของการจัดการขยะ รีไซเคิลขยะ แต่บางทีหากเรามองแต่ภาพของการรีไซเคิลพลาสติก แต่ไม่ได้คิดถึงว่ามีคนที่เป็นกลุ่มเปราะบางกลุ่มหนึ่งที่เขาอาศัยเก็บขวดพลาสติกเลี้ยงชีพ ฉะนั้นเวลาทำโครงการก็ต้องนึกถึง Stakeholders (ผู้มีส่วนได้-ส่วนเสีย) เหล่านี้ด้วย แล้วทำอย่างไรที่ไม่ใช่เราจัดการสิ่งแวดล้อม แต่ว่าเราทำให้คนกลุ่มหนึ่งลำบากกว่าเดิม และทำให้ความลำบากนั้นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทำบางอย่างที่ไม่ดี เพราะไนเมื่อหากินลำบากอาจเป็นมิจฉาชีพไปเลย สามารถเกิดขึ้นได้ พระมหานภันต์กล่าว

สำหรับ SDGs (Sustainable Development Goals) หรือเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เกิดขึ้นจากมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2558 เพื่อให้ประเทศต่างๆ นำไปปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จภายในปี 2573 โดยมีทั้งหมด 17 เป้าหมาย ประกอบด้วย 1.ขจัดความยากจน (No Poverty) 2.ขจัดความหิวโหย (Zero Hunger) 3.สุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี (Good Health and Well-being) 4.การศึกษาที่มีคุณภาพ (Quality Education) 5.ความเท่าเทียมทางเพศ (Gender Equality)6.มีน้ำสะอาดและสุขอนามัยที่ดี (Clean Water and Sanitation) 7.พลังงานสะอาดในราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable and clean energy)8.งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี(Decent Work and Economic Growth)9.อุตสาหกรรม นวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน (Industry, Innovation and Infrastructure) 10.ลดความเหลื่อมล้ำ (Reduced Inequalities) 11. เมืองและชุมชนยั่งยืน (Sustainable Cities and Communities) 12.การบริโภคและการผลิตอย่างรับผิดชอบ (Responsible Consumption and Production) 13.การปฏิบัติการเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) 14.การใช้ทรัพยากรในมหาสมุทรอย่างยั่งยืน (Life Below Water) 15.การใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน (Life on land) 16.สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันเข้มแข็ง (Peace, Justice and Strong Institutions) และ 17.ความร่วมมือกันเพื่อเป้าหมาย (Partnerships for the Goals)

หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/tiknapan/videos/887643456124118/

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

มาป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้รั่วไหลไปยังมิจฉาชีพ

กิจกรรม

สวัสดีครับ วันนี้แอดมินมาสรุปเนื้อหาของโปรเจค Digital Enlightenment Series ที่ทาง Clazy cafe ร่วมมือกับ Cofact โคแฟค โดยช่วงที่ 2 นั้น มาในหัวข้อ “การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้รั่วไหลไปยังมิจฉาชีพ” โดย พ.ต.ท. มนุพัศ ศรีบุญลือ (โตโต้) – สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางโพงพาง และ Certified Data Protection Officer

Workshop นี้มาในหัวข้อ “การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้รั่วไหลไปยังมิจฉาชีพ” ในยุคปัจจุบันที่มีการใช้งาน AI มากขึ้น มิจฉาชีพเองก็นำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้หลอกลวง ต้มตุ๋นเรา workshop นี้ จะทำให้เราเข้าใจวิธีการของมิจฉาชีพและทำให้เราสามารถรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกต่อไปครับ

สรุปเนื้อหาสำคัญของงาน มีดังนี้เลยครับ

หนึ่งในวิธียอดนิยมของมิจฉาชีพของยุคนี้ คือ “การหลอกลวงด้วยการแสดงตัวเป็นบุคคลอืน” ซึ่งแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้ครับ
1 ส่งข้อความมาหลอกลวงโดยแกล้งเป็นคนรู้จัก หรือปลอมแปลงเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ตำรวจ ไปรษณีย์ เป็นต้น
ปลอมเฟสบุค ไลน์ หรือโซเชียลของคนที่เรารู้จัก ทักมาชวนคุยให้เราเข้าใจผิดว่าเป็นคนที่รู้จักเพื่อขอยืมเงินหรือปลอมตนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ตำรวจ ไปรษณีย์ เป็นต้น และสร้างสถานการณ์ปลอมมาหลอกเราอีกที เช่น คุณได้รับหรือส่งไปรษณีย์ที่มียาเสพติด โดยแอบอ้างชื่อโหลๆ สน.ไกลๆ ที่ต่างจังหวัด ขอย้ำไว้ตรงนี้ไว้เลยว่าอย่าเผลอคล้อยตามเด็ดขาด เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีการอำนวยความสะดวกในการแจ้งความแทน หรือ ขู่เอาทรัพย์สินแน่นอน

2 สร้างใบหน้าเสมือนด้วย Deepfake Technology
การใช้ AI
ถ่ายวีดีโอปลอมแปลงใบหน้าบุคคล เชื่อหรือไม่ว่า แค่เรามีรูปตัวอย่างมา เราก็สามารถใช้เทคโนโลยีปลอมแปลงเป็นบุคคลต้นแบบได้แล้ว นำรูป steve jobs มาใส่ลงในโปรแกรม เราก็เป็น steve jobs ได้ แถมยังมาเป็นวีดีโอ พูดได้ ขยับปากได้ กระพริบตาได้อีกต่างหาก

3 สร้างเสียงเสมือนด้วย Voice Cloning
การพูดคุยกับแก๊งค์ Call center นอกจากจะเสี่ยงในการถูกหลอกลวงแล้ว ยังเสี่ยงในการถูกนำเสียงไปเลียนแบบเพื่อการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์ ปัจจุบัน Generative AI ก็สามารถสร้างเสียงเลียนแบบของบุคคลต่างๆ ได้แล้ว เพียงแค่มีเสียงตัวอย่างที่มีความยาวมากพอ เพราะฉะนั้นหากมีญาติหรือคนรู้จักโทรมาขอยืมเงิน เราควรเช็คเบอร์ที่โทรมาเพิ่มเติมด้วยครับ

4 การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคโดยการค้นหาใน Open Source Intelligence
การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลทั้งชื่อ เลขบัตรประชาชน เบอร์โทร บัญชีธนาคาร และอื่นๆ เป็นข้อมูลที่ถูกมิจฉาชีพนำมาใช้เพื่อการหลอกลวง หากมิจฉาชีพทราบ password ก็เสี่ยงต่อการถูกเข้ารหัสเพื่อโอนย้ายสินทรัพย์อีกด้วย

กรณีศึกษา
เคสที่เกิดขึ้นบ่อย มักจะมาบน Social media เช่นการหลอกขายของราคาถูก โฆษณางานที่ทำจากบ้านรายได้ดี (และมักจะให้แอดไลน์คุยต่อ) การปลอมโปรไฟล์คนรู้จัก การหลอกลวงแบบแชร์ลูกโซ่ (ลงทุนน้อยผลตอบแทนให้มาก) ผ่านช่องทางติดต่อที่เราใช้บ่อยทั้งเฟสบุ๊ค ไลน์ หรือ โทรศัพท์เข้ามาหาเราโดยตรง

แนวทางป้องกัน
หากเราจะซื้อหรือจะขายสินค้าทางโซเชียลมีเดีย แล้วคนที่เราติดต่อให้แอดคุยทางไลน์ ให้เฉลียวใจไว้ก่อนเลยว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพ อย่างไรก็ตาม เรายังสามารถตรวจสอบบัญชีมิจฉาชีพทางhttps://blacklistseller.com/ และ https://chaladohn.com/ ก่อนโอนเงินครับ
หรือหากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรมาหาเราจากสน.ต่างจังหวัด แถมยังเรียกชื่อนามสกุลเราได้อย่างถูกต้อง ก็อย่าพึ่งตกใจครับ และแน่นอนว่าตำรวจเก๊ก็จะมาพร้อมเรื่องราวแปลกๆ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าน่าจะเป็นมิจฉาชีพ อย่าไปหลงเชื่อนะครับ
อย่างไรก็ตาม หากเรารู้ตัวว่า เราได้พลาดโอนเงินให้มิจฉาชีพแล้ว แอดมินมีวิธีการมาแนะนำดังนี้ครับ
ให้รีบติดต่อศูนย์ AOC เบอร์ 1441 จะดำเนินการอายัดบัญชี และติดตามการทำธุรกรรมออนไลน์ต่างๆ


นอกจากนั้น เราควรติดต่อธนาคารของเราโดยตรงเพื่อให้ธนาคารระงับการทำธุรกรรมนั้นไว้ทันที และให้ธนาคารที่รับโอนต่อทุกทอด ระงับการทำธุรกรรมที่รับโอนไว้ด้วย ซึ่งหลังจากนั้น ธนาคารจะแจ้งให้ผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายใน 72 ชั่วโมง ซึ่งเราสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ที่ https://thaipoliceonline.go.th/ หรือสน.ที่เกิดเหตุครับ

หลักการ PDPA และสิทธิ์ในข้อมูลส่วนบุคคลที่ควรรู้

ปัจจุบัน เรามี พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เป็นกฎหมายที่ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล
ก่อนอื่นเราต้องพิจารณาว่าข้อมูลนั้นเข้าข่ายเป็นข้อมูลส่วนบุคคล และอยู่ภายใต้บังคับของ PDPA หรือไม่กันก่อนครับ
ในที่นี้ ข้อมูลแบ่งเป็น 3 ประเภทนะครับ


1 ไม่ใช่ข้อมูลส่วนบุคคล คือ ข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลได้ เช่น แขวง เขต เบอร์ ชื่อบริษัท เป็นต้น
ข้อมูลเหล่าที่ไม่ถูกจัดว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่ถูกกำกับภายใต้ PDPA


2 ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป หรือ Personal Identifiable Information (PII) เช่น ชื่อนามสกุล เบอร์โทรศัพท์ เลขบัตรประชาชน อีเมล เป็นต้น


3 ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว เช่น เชื้อชาติ ศาสนา ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น
ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปและข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวจะถูกกำกับภายใต้ PDPA และต้องมีการให้ความยินยอม (consent)จากเจ้าของข้อมูลในเรื่องการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูล (มาตรา 24 และ 26 ของ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล)
นอกจากนั้น การเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล (มาตรา 21)

หลักการเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถจัดการข้อมูลส่วนบุคคล และรักษาสิทธิ์ของเราภายใต้ PDPA

สำหรับสรุปเนื้อหาของงานนี้ ทางแอดมินและทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ตามอ่านและส่งต่อข้อมูลนี้เพื่อคนใกล้ตัวของคุณด้วยนะครับ

ด้วยความปรารถนาดี
ทีมงาน Clazy Cafe และ ทีมงาน Cofact https://www.facebook.com/share/p/xsb6F4MGMmwsA3ba/?mibextid=qi2Omg

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 21 กันยายน 2567

Up5 Sure Digestion ช่วยรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3sb8ah3w7htz


บัตร 10 ปีที่ต่างด้าวได้รับ ถูกจำหน่ายออกจากระบบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/lkndjuhqxph6


ลุกจากที่นอนกะทันหัน ทำให้กระดูกกะโหลกศีรษะแตก หัวใจหยุดเต้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ofmpk6y9jmeg


รากฟันเทียมฟรี สำหรับคนอายุ 55 ปีขึ้นไป…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/15t8e06q2ush3#_=_


รัฐบาลเยียวยาบ้านที่เสียหายเกิน 70% จากอุทกภัย หลังละ 2.3 แสนบาท

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2vvjqt2c55pht


กยศ. ผ่อนผันชำระหนี้ผู้กู้ยืมที่ประสบอุทกภัยในภาคเหนือ โดยไม่เสียเบี้ยปรับ รวมระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/34zeqc12j1yla#_=_i


ไม่ควรปิดฝาไมโครเวฟทันทีหลังใช้งาน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1rw9fqnl3rxb8#_=_


ดื่มยาดองเหล้าเสี่ยงตาบอด และเสียชีวิต

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/227jzi9oxakkz


 กินมันหวานช่วยให้อายุยืน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2agsiphm4gla1


Cofact Journal : ความจริงความลวงในยุคAI สื่อควรรับมืออย่างไร

1/2567

กฎบัตรปารีสว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และงานข่าวและสื่อสารมวลชน

เผยแพร่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2023 โดยองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) และองค์กรพันธมิตร 16 แห่ง กฎบัตรนี้เป็นมาตรฐานจริยธรรมสากลฉบับแรกที่เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์และงานข่าวและสื่อสารมวลชน

บทนำ

พวกเราในฐานะตัวแทนของชุมชนสื่อและงานข่าวและสื่อสารมวลชนตระหนักถึงผลกระทบที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษยชาติจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) เราสนับสนุนความร่วมมือในระดับโลกเพื่อให้แน่ใจว่า AI รักษาสิทธิมนุษยชน สันติภาพ และประชาธิปไตย รวมถึงสอดคล้องกับความปรารถนาและค่านิยมร่วมของเรา

ประวัติศาสตร์ของข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวพันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี AI ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การทำงานอัตโนมัติขั้นพื้นฐานไปจนถึงระบบการวิเคราะห์และสร้างสรรค์ โดยเป็นตัวแทนของเทคโนโลยีใหม่ที่สอดคล้องกับความคิด ความรู้ และความสร้างสรรค์ของมนุษย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในกระบวนการรวบรวมข้อมูล การค้นหาความจริง การเล่าเรื่อง และการเผยแพร่ความคิด ซึ่ง AI จะสามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขทางเทคนิค เศรษฐกิจ และสังคมของงานข่าวและสื่อสารมวลชนและการปฏิบัติงานด้านบรรณาธิการได้อย่างลึกซึ้ง ระบบ AI อาจมีศักยภาพในการปฏิวัติภูมิทัศน์ของข้อมูลทั่วโลกโดยขึ้นอยู่กับการออกแบบ การกำกับดูแล และการประยุกต์ใช้ อย่างไรก็ตาม ระบบ AI ยังเป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างต่อสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพในการแสวงหา รับ และเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งฝังรากอยู่ในกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) และความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อข้อมูลและประชาธิปไตย(International Partnership for Information and Democracy) สิทธินี้สนับสนุนเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก

บทบาททางสังคมของงานข่าวและสื่อสารมวลชนและสื่อต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่เชื่อถือได้สำหรับสังคมและบุคคล เป็นหลักการสำคัญของประชาธิปไตยและการเสริมสร้างสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลให้แก่ทุกคน ระบบ AI สามารถช่วยสื่อในการทำหน้าที่นี้ได้อย่างมาก ตราบเท่าที่เป็นการใช้งานอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และรับผิดชอบในสภาพแวดล้อมที่ยึดถือจริยธรรมของงานข่าวและสื่อสารมวลชนอย่างเคร่งครัด ในการยืนยันหลักการเหล่านี้ เราขอยืนหยัดสนับสนุนสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล ส่งเสริมงานข่าวและสื่อสารมวลชนอิสระ และมุ่งมั่นที่จะรักษาความเชื่อถือได้ของข่าวสารและสื่อต่างๆ ในยุค AI

หลักการสิบประการ

1. จริยธรรมของงานข่าวและสื่อสารมวลชนต้องเป็นแนวทางของสื่อและนักข่าวในการใช้เทคโนโลยี

สื่อและนักข่าวใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจหลัก นั่นคือการรับรองสิทธิของทุกคนในการเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ การแสวงหาและบรรลุเป้าหมายนี้ควรเป็นแรงขับเคลื่อนการตัดสินใจเกี่ยวกับเครื่องมือเชิงเทคโนโลยี การใช้และพัฒนาระบบ AI ในงานข่าวและสื่อสารมวลชนต้องยึดถือค่านิยมหลักของจริยธรรมงานข่าวและสื่อสารมวลชน เช่น ความจริงและความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความเป็นกลาง ความเป็นอิสระ ไม่ก่อให้เกิดอันตราย ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ความรับผิดชอบ เคารพความเป็นส่วนตัว และการรักษาความลับของแหล่งข่าว

2. สื่อต้องให้ความสำคัญกับอำนาจของมนุษย์

การตัดสินใจของมนุษย์ต้องยังคงมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านยุทธศาสตร์ระยะยาวและการตัดสินใจด้านบรรณาธิการประจำวัน การใช้ระบบ AI ควรมาจากการตัดสินใจของมนุษย์โดยเจตนาและได้รับข้อมูลที่ดี ทีมบรรณาธิการต้องกำหนดเป้าหมาย ขอบเขต และเงื่อนไขการใช้งานสำหรับแต่ละระบบ AI อย่างชัดเจน รวมถึงต้องตรวจสอบผลกระทบของระบบ AI ที่นำมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามกรอบการใช้งาน และมีความสามารถในการปิดการใช้งานระบบได้ทุกเมื่อ

3. ระบบ AI ที่ใช้ในงานข่าวและสื่อสารมวลชนต้องผ่านการประเมินอย่างอิสระก่อนใช้งาน

ระบบ AI ที่ใช้โดยสื่อและนักข่าวควรผ่านการประเมินที่อิสระ ครอบคลุม และละเอียดโดยกลุ่มสนับสนุนงานข่าวและสื่อสารมวลชน การประเมินนี้ต้องพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่าระบบยึดมั่นในค่านิยมหลักของจริยธรรมงานข่าวและสื่อสารมวลชน ระบบเหล่านี้ต้องเคารพความเป็นส่วนตัว กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา และกฎหมายคุ้มครองข้อมูล รวมถึงต้องมีการกำหนดกรอบความรับผิดชอบอย่างชัดเจนหากระบบไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ ควรใช้ระบบที่สามารถทำงานได้ตามความคาดหมายและอธิบายได้ง่าย

4. สื่อต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่เผยแพร่เสมอ

สื่อต้องรับผิดชอบในการทำหน้าที่บรรณาธิการ รวมถึงการใช้ AI ในการรวบรวม ประมวลผล หรือเผยแพร่ข้อมูล สื่อต้องรับผิดชอบต่อทุกเนื้อหาที่เผยแพร่ ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ระบบ AI ควรได้รับการคาดการณ์ วางแผน และมอบหมายให้กับมนุษย์ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบจะยึดมั่นกับจริยธรรมงานข่าวและสื่อสารมวลชนและแนวปฏิบัติด้านบรรณาธิการ

5. สื่อต้องรักษาความโปร่งใสในการใช้ระบบ AI

การใช้ AI ที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการผลิตหรือการเผยแพร่เนื้อหางานข่าวและสื่อสารมวลชนควรได้รับการเปิดเผยและสื่อสารให้ทุกคนที่รับข้อมูลได้รับรู้ ควบคู่กับเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง สื่อควรเก็บบันทึกสาธารณะเกี่ยวกับระบบ AI ที่ใช้และเคยใช้ โดยระบุวัตถุประสงค์ ขอบเขต และเงื่อนไขการใช้งานอย่างละเอียด

6. สื่อต้องรับรองแหล่งที่มาและการสืบทวนแหล่งที่มาของเนื้อหา

สื่อควรใช้เครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อรับรองความถูกต้องและแหล่งที่มาของเนื้อหาที่เผยแพร่ โดยระบุรายละเอียดที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับแหล่งที่มาและการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับเนื้อหา เนื้อหาใดก็ตามที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานความถูกต้องเหล่านี้ควรได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบ เนื่องจากอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้

7. งานข่าวและสื่อสารมวลชนต้องแบ่งระหว่างเนื้อหาจริงกับเนื้อหาสังเคราะห์อย่างชัดเจน

นักข่าวและสื่อต้องพยายามแยกแยะอย่างชัดเจนและเชื่อถือได้ระหว่างเนื้อหาที่ได้จากการบันทึกความเป็นจริง (เช่น ภาพถ่ายและการบันทึกเสียงหรือวิดีโอ) กับเนื้อหาที่สร้างขึ้นหรือถูกดัดแปลงอย่างมากด้วยระบบ AI นักข่าวและสื่อควรเน้นการใช้ภาพและการบันทึกวิดีโอจริงเพื่อสะท้อนเหตุการณ์จริง สื่อต้องหลีกเลี่ยงการทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดจากการใช้เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรหลีกเลี่ยงการสร้างหรือใช้เนื้อหาจาก AI เพื่อเลียนแบบการบันทึกภาพจริงหรือใช้แทนตัวบุคคลจริงอย่างสมจริง

8. การปรับเนื้อหาให้เหมาะกับบุคคลและการแนะนำเนื้อหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ต้องรักษาความหลากหลายและความสมบูรณ์ของข้อมูล

สื่อต้องปฏิบัติตามจริยธรรมงานข่าวและสื่อสารมวลชนในการออกแบบและใช้ระบบ AI เพื่อปรับเนื้อหาให้เหมาะกับบุคคลและแนะนำเนื้อหาโดยอัตโนมัติ ระบบดังกล่าวต้องเคารพในความสมบูรณ์ของข้อมูลและส่งเสริมความเข้าใจร่วมกันในข้อเท็จจริงและมุมมองที่เกี่ยวข้อง ระบบควรนำเสนอมุมมองที่หลากหลายและครอบคลุมในประเด็นต่างๆ เพื่อส่งเสริมการสนทนาที่เปิดกว้างและเป็นประชาธิปไตย การใช้ระบบเหล่านี้ต้องโปร่งใส และผู้ใช้ควรมีตัวเลือกในการปิดใช้งานเพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาบรรณาธิการที่ไม่ผ่านการกรอง

9. นักข่าว สื่อ และกลุ่มสนับสนุนงานข่าวและสื่อสารมวลชนต้องมีส่วนร่วมในการกำกับดูแล AI

ในฐานะผู้พิทักษ์สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล นักข่าว สื่อ และกลุ่มสนับสนุนงานข่าวและสื่อสารมวลชนควรมีบทบาทเชิงรุกในการกำกับดูแลระบบ AI พวกเขาควรมีส่วนร่วมในการกำกับดูแล AI ระดับโลกหรือระดับนานาชาติ และควรรับรองว่าการกำกับดูแล AI เคารพค่านิยมประชาธิปไตย และการพัฒนาของ AI ควรสะท้อนความหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรม พวกเขาต้องคงอยู่ในแนวหน้าของความรู้เกี่ยวกับ AI และมุ่งมั่นที่จะตรวจสอบและรายงานผลกระทบของ AI ด้วยความถูกต้อง ละเอียดอ่อน พร้อมแนวคิดวิพากษ์

10. งานข่าวและสื่อสารมวลชนต้องรักษาพื้นฐานทางจริยธรรมและเศรษฐกิจในการทำงานร่วมกับองค์กร AI

การเข้าถึงเนื้อหางานข่าวและสื่อสารมวลชนโดยระบบ AI ควรอยู่ภายใต้ข้อตกลงอย่างเป็นทางการที่รับรองความยั่งยืนของงานข่าวและสื่อสารมวลชนและคุ้มครองผลประโยชน์ร่วมระยะยาวของสื่อและนักข่าว เจ้าของระบบ AI ต้องให้เครดิตแหล่งที่มา เคารพสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา และจ่ายค่าตอบแทนที่ยุติธรรมให้แก่เจ้าของสิทธิ์ ซึ่งค่าตอบแทนนี้ต้องถูกส่งต่อไปยังนักข่าวผ่านการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรม นอกจากนี้ เจ้าของระบบ AI ต้องเก็บบันทึกที่โปร่งใสและละเอียดของเนื้อหางานข่าวและสื่อสารมวลชนที่ใช้ในการฝึกอบรมระบบของตน ผู้ถือสิทธิ์ต้องสามารถกำหนดเงื่อนไขการนำเนื้อหาของตนไปใช้โดยระบบ AI ให้เคารพความสมบูรณ์ของข้อมูลและหลักการพื้นฐานของจริยธรรมงานข่าวและสื่อสารมวลชน ทั้งหมดนี้เพื่อให้มีการออกแบบและใช้ระบบ AI ในลักษณะที่รับประกันข้อมูลคุณภาพสูง มีความหลากหลาย และน่าเชื่อถือ


องค์กรพันธมิตร

ผู้ริเริ่ม:

Reporters Without Borders (RSF)

พันธมิตร:

Asia-Pacific Broadcasting Union (ABU)

Collaboration on International ICT Policy in East and Southern Africa (CIPESA)

Canadian Journalism Foundation (CJF)

Committee to Protect Journalists (CPJ)

DW Akademie

European Federation of Journalists (EFJ)

European Journalism Centre (EJC)

Ethical Journalism Network (EJN)

Free Press Unlimited (FPU)

Global Investigative Journalism Network (GIJN)

Global Forum for Media Development (GFMD)

International Consortium of Investigative Journalists (ICIJ)

International Press Institute (IPI)

Organized Crime and Corruption Reporting Project (OCCRP)

Pulitzer Centre

Thomson Foundation