Digital Enlightenment Series ที่ clazy cafe

กิจกรรม

สวัสดีครับ วันนี้แอดมินขอนำเนื้อหาสรุปงานแรกของโปรเจ็ค Digital Enlightenment Series ที่ clazy cafe ได้ร่วมมือกับ Cofact โคแฟค กับงาน “เรื่องเล่า อำนาจ โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อคน….1%”
โดย
คุณฉัตรชัย พุ่มพวง Co-founder เพจพูด
คุณชูเวช เดชดิษฐรักษ์ เจ้าหน้าที่กระบวนกร Actlab
ขอสรุปประเด็นและสาระสำคัญของงานเป็นข้อๆ ให้ชาว Clazy Cafe ทุกๆ ท่านนะครับ

1 “โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)” คือ รูปแบบการสื่อสารที่มีเป้าหมายหลักเพื่อโน้มน้าวให้ผู้รับสารปฏิบัติตามที่ผู้ผลิตสื่อต้องการ เพื่อผลักดันเป้าหมายทางการเมือง ซึ่งอาจไม่เป็นความจริง ซึ่งโฆษณาชวนเชื่อนั้น อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด อาจแทรกได้อยู่ทั้งกับสินค้า ธุรกิจ บริการต่างๆ สื่อต่างๆ ไปจนถึงการปลูกฝังทัศนคติ วัฒธรรมและการรับรู้ทางการเมืองด้วย
ลักษณะของโฆษณาชวนเชื่อมีดังนี้ครับ
1

  • สิ่งที่ได้ไม่ตรงปก
  • ไม่เห็นผลตามที่โฆษณาไว้
  • ทำไม่ได้ตามที่หาเสียง
  • มีความจริงแค่บางส่วน
  • พูดให้เข้าใจผิด
  • พูดแต่ด้านดีๆ
    -แฝงแรงจูงใจทางธุรกิจและการเมือง
  • มีอคติ เป็นต้น

2 เทคนิคโฆษณาชวนเชื่อมีมากถึง 14 แบบ สรุปสั้นๆ คือ

  • การใช้คำขวัญ (Slogans) ใช้คำขวัญสั้น ๆ ที่จำง่าย เพื่อสื่อสารข้อความ
  • การใช้สัญลักษณ์ (Symbols and Imagery) ใช้สัญลักษณ์ที่มีความหมายเชิงบวกหรือเชิงลบเพื่อสร้างความเชื่อ
  • เกาะกระแส (Bandwagon) ชักชวนให้ ผู้คนเข้าร่วมกับสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยม เพื่อสร้างความรู้สึกว่าทุกคนกำลังทำสิ่งนี้
  • การใช้เหตุผลแบบเข้าข้างตัวเอง (Card Stacking) นำเสนอข้อมูลที่มีแต่ด้านบวกของฝ่ายตน
  • การกล่าวหาฝ่ายตรงข้าม (Name Calling) ใช้คำที่มีความหมายเชิงลบ เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามดูแย่
  • การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง (Testimonials) ใช้คำพูดหรือการสนับสนุนจากบุคคลที่มีชื่อเสียงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • การใช้คำพูดที่มีความหมายเชิงบวก (Glittering Generalities)โดยไม่มีรายละเอียด เพื่อทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีและสนับสนุน
  • การใช้ความหวาดกลัว (Fear) สร้างความกลัวเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนทำตามที่ต้องการ
  • การใช้ข้อมูลที่บิดเบือน (Disinformation) การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อสร้างความเชื่อที่ผิดพลาด
  • การใช้การซ้ำ (Repetition) นำเสนอข้อความเดียวกันซ้ำๆ เพื่อทำให้ข้อความนั้นฝังอยู่ในความคิดของผู้ฟัง
  • การสร้างความเป็นทางเลือกเดียว (False Dilemma) การนำเสนอว่าเหลือเพียงทางเลือกเดียว เพื่อบังคับให้ผู้คนเลือกสิ่งที่ต้องการ
  • การใช้ความเป็นบุคคลธรรมดา (Plain Folks) ทำให้ดูเหมือนว่าข้อความนั้นมาจากบุคคลธรรมดา เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับผู้ฟัง
  • การโยกย้ายความหมาย (Transfer) ใช้ความเชื่อหรืออารมณ์ที่เกี่ยวข้องมาสื่อถึงสิ่งอื่นเพื่อสร้างความเชื่อมโยง
  • การทำให้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ (Scarcity) ชักจูงให้เชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างมีจำนวนจำกัด เพื่อกระตุ้นความต้องการ

3 องค์ประกอบสำหรับวิเคราะห์โฆษณาชวนเชื่อ
การรู้เท่าทันสื่อนั้นมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เราไม่ถูกตกเป็นเครื่องมือของการชักจูงผ่านโฆษญาชวนเชื่อทั้งกับตัวเราเองและกับผู้คนรอบๆ ตัว เพราะฉะนั้นเราควรพิจารณาสื่อที่ได้รับ โดยวิเคราะห์องค์ประกอบ ดังนี้
Sender : ผู้จ้างผลิต หรือ ผู้เผยแพร่
Message : เนื้อหาเป็นอย่างไร และใครได้ประโยชน์หรือ ผู้เสียประโยชน์จากเนื้อหาดังกล่าว
Channel : วิธีการรับรู้ + ช่องทาง + เทคนิคโฆษณาชวนเชื่อ (เรารับสารจากช่องทางใด และผู้ผลิตใช้เทคนิคโฆษณาชวนเชื่อแบบใด)
Receiver : กลุ่มเป้าหมาย + พฤติกรรมที่คาดหวัง + ผลกระทบที่เกิดขึ้น (ใครคือกลุ่มเป้าหมายและผู้ผลิตคาดหวังอะไรและอาจมีผลกระทบอย่างไร)

หากมีข้อสงสัยสามารถคอมเมนต์สอบถามใต้โพสต์นี้ได้เลยนะครับ แอดมินฝากกดไลก์และแชร์บทความนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนที่คุณห่วงใยนะคร้าบ

ที่มาข้อมูล

https://www.facebook.com/share/p/psaCudDXqxkfE7c4/?mibextid=qi2Omg


มองกระแส ‘เกลียดกลัวอิสลาม’ ลดได้ เริ่มจากแยกแยะระหว่าง‘ศาสนา-ผู้นับถือ’ บวกรู้เท่าทัน ‘สื่อ-ใจตนเอง’

Editors’ Picks

เข้าสู่เดือนกันยายนของทุกปี หนึ่งในเหตุการณ์ที่มีการรำลึกถึงคือ “9/11” ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ กลางมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 ซึ่งนอกจากจะนำความสูญเสียของผู้คนจำนวนมากในเหตุการณ์นั้นแล้ว ยังทำให้กระแส “เกลียดกลัวอิสลาม (Islamophobia)” เกิดขึ้นและลุกลามไปทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ที่หลังจากนั้นอีก 3 ปี ก็เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส) ที่ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน และทำให้ชาวมุสลิมถูกมองอย่างเหมารวมว่านิยมความรุนแรง

รายการ “Cofact Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2567 ชวนพูดคุยกับ กิติพัฒน์ ชื่นสุขจิตต์ ผู้สื่อข่าวภาคภาษาอังกฤษ จาก Thai PBS World ในประเด็น “Disinfo & Islamophobia: Do facts overcome fear? Then whats else?” กันที่ “มัสยิดฮารูณ” ย่านบางรัก-เจริญกรุง หนึ่งในมัสยิดเก่าแก่ในกรุงเทพฯ

กิติพัฒน์ เริ่มต้นด้วยการเล่าประวัติศาสตร์ของมัสยิดฮารูณ ซึ่งก่อตั้งโดย โต๊ะฮารูณ บาฟาเดน อพยพมาจากดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งในยุคที่ยังเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก มีผู้คนบนเกาะต่างๆ บริเวณนั้น เช่น ชวา สุมาตรา อพยพเข้ามาอยู่ในกรุงรัตนโกสินทร์เป็นจำนวนมาก มัสยิดหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 (ปี 2371) ในยุคแรกเป็นอาคารไม้ ต่อมาบุตรชายของโต๊ะฮารูณ เห็นว่าอาคารเริ่มทรุดโทรม จึงก่อสร้างอาคารหลังใหม่ทำจากปูน ซึ่งเป็นอาคารที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน นี่จึงเป็นหลักฐานว่า ประเทศไทยอยู่กันแบบสงบสุขในสังคมพหุวัฒนธรรมมาหลายร้อยปีแล้ว

ด้วยความที่มีพื้นเพเป็นมุสลิมและเติบโตในกรุงเทพฯ กิติพัฒน์ เล่าว่า ชีวิตวัยเด็กถือว่าโชคดีที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์ความเกลียดกลัวอิสลามจากเพื่อนนักเรียนด้วยกัน โดยตั้งแต่ช่วงประถม – ม.ต้น เรียนในโรงเรียนของชาวคริสต์ ขณะที่  ม.ปลาย เรียนที่โรงเรียนวัดของชาวพุทธ แต่สุดท้ายก็มาเจอในช่วงมหาวิทยาลัย ซึ่งเรียนหลักสูตรนานาชาติ ได้พบกับเพื่อนนักศึกษาจากหลากหลายประเทศ โดยเฉพาะปฏิกิริยาจากนักศึกษาที่มาจากยุโรป ซึ่งไม่เข้าใจอิสลามและมองว่าอิสลามไม่เป็นมิตร

“สมมติคุณอยู่ที่สนามบิน แล้ววิทยุก็แจ้งเข้ามาว่ามีคนน่าสงสัยเข้ามา ต้องระวัง แล้วขณะเดียวกันก็มีคน 3 คนเดินเข้ามา คนแรกเป็นฝรั่งตะวันตกเดินถือกระเป๋าใหญ่เข้ามา คนที่สองหน้าจีนๆ เลย เอเชียเดินถือกระเป๋าใหญ่เข้ามา คนที่สามหน้าอาหรับมาเลย มีหนวดเครา เดินถือกระเป๋าใหญ่เข้ามา อันนี้คุณจะกลัวใคร? คนที่มีความรู้เท่าทันเรื่องนี้อยู่แล้วเขาก็อาจแยกแยะได้ แต่ต้องยอมรับว่าอีกหลายๆ คนเขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจตรงนี้ เขายังติดภาพจำกับมุสลิมหัวรุนแรงที่ถูกสร้างภาพลักษณ์จากข่าวที่มันเผยแพร่ในโลกออนไลน์” กิติพัฒน์ ยกตัวอย่าง

อย่างไรก็ตาม กระแสเกลียดกลัวอิสลามไม่ได้เพิ่งมาเกิดหลังเหตุการณ์ 9/11 แต่สามารถย้อนไปได้ไกลถึงยุค “สงครามครูเสด” ความขัดแย้งระหว่างชาวคริสต์และชาวมุสลิมเมื่อเกือบ 1,000 ปีก่อน ถึงกระนั้น อยากให้ทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างคำว่า “อิสลาม” ที่เป็นชื่อของศาสนา กับคำว่า “มุสลิม” ที่หมายถึงผู้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่ง “คำสอนในศาสนาอิสลามนั้นดีอยู่แล้ว..แต่ไม่ได้หมายความว่ามุสลิมทุกคนจะเป็นตัวอย่างที่ดี” แต่คนทั่วไปไม่ค่อยเข้าถึงสื่อที่อธิบายในลักษณะนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของศาสนาอิสลามถูกนำไปเชื่อมโยงกับความรุนแรง

และแม้ประเทศไทยจะไม่ได้มีกระแสเกลียดกลัวอิสลามรุนแรงเท่าโลกตะวันตกที่มีประวัติศาสตร์ร่วมตั้งแต่สงครามครูเสดมาจนถึงเหตุการณ์ 9/11 แต่ชาวไทยก็ต้องรู้เท่าทันตนเอง รู้ทันเหตุการณ์ที่จะมากระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก (Trigger) แต่ความท้าทายคือ “แม้จะเป็นเรื่องที่มีข้อเท็จจริงชัดเจนแล้ว..แต่คนก็ยังเลือกเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ” สำหรับตนเองในฐานะคนทำงานสื่อ ทำได้เพียงทำหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วยการค้นหาข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ เป็นเรื่องน่ายินดีที่โคแฟคเข้าไปทำงานกับชุมชนมากขึ้น เพื่อให้การรู้เท่าทันสื่อลงไปถึงระดับชาวบ้าน ที่เข้าไม่ถึงข้อมูลขาวสารที่ถูกตรวจสอบแล้ว” 

หนึ่งในตัวอย่างข่าวลือ-ข่าวลวง ที่เกี่ยวข้องกับกระแสหวาดกลัวอิสลามในประเทศไทย คือ “ในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี มีการแชร์ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ นับถือศาสนาอิสลาม แล้วกลายเป็นกระแสขึ้นมา” ซึ่งเรื่องนี้มุมหนึ่งเข้าใจได้ว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยอยากได้ผู้นำประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ แต่อีกมุมหนึ่ง ชาวพุทธและชาวมุสลิมในประวัติศาสตร์ไทย อยู่ร่วมกันมายาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุรัตนโกสินทร์ อีกทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยก็ไม่เคยมีนโยบายกีดกันชาวมุสลิม 

“ในมุมสื่อมวลชน เราก็อยากเห็นสังคมไทยมีการรู้เท่าทันสื่อที่มากขึ้น เราต้องทำต่อไป ให้เขารู้ต่อๆ ไปเรื่อยๆ ในข้อมูลเดิมๆ ที่เราอยากจะให้เขารู้ ผมค่อนข้างเปิดกว้างมากในการรับฟังข้อมูลของทุกคน เวลาผมไปสัมภาษณ์ คนที่ไม่ชอบมุสลิมก็มี ผมก็ไม่ได้เกลียดเขานะ เพราะในฐานะสื่อมวลชน เราเปิดใจฟังทุกคนอยู่แล้ว ทุกคนมีความคิดของเขาอยู่แล้ว อย่างมีกลุ่มพุทธที่เขาไม่เอาอิสลามเลย ก็เป็นกลุ่มที่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นมุสลิม เราก็เปิดใจฟังสิ่งที่เขาคิด ในขณะที่เราก็ต้องนำเสนอความจริงต่อไปแม้ว่าเขาจะมีอคติ ซึ่งผมบอกว่าต่อให้เป็นมุสลิมก็ไม่แปลกอะไร เพราะมุสลิมที่เป็นระดับผู้นำในสยาม ก็มีมาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราชแล้ว” กิติพัฒน์ กล่าว

กิติพัฒน์ ย้ำว่า “มุสลิมอยู่ในสังคมไทยมาตลอดและไม่เคยมีการแบ่งแยก แต่เกิดจากกลุ่มที่มีแนวคิดเกลียดและกลัวอิสลาม เข้าใจว่ามาจากความกลัว เช่น กลัวว่าประเทศไทยจะหันไปใช้ระบบกฎหมายชารีอะห์ (กฎหมายอิสลาม) หรือมีภาพจำผูกติดระหว่างศาสนาอิสลามกับกลุ่มติดอาวุธในตะวันออกกลาง อาทิ อัลกออิดะห์ ฮิสบอลเลาะห์ ไอซิส กลุ่มเหล่านี้สามารถถูกยกขึ้นมาปั่นกระแสเกลียดกลัวอิสลามได้ตลอดเวลา แต่ก็ต้องย้ำเรื่องการแยกแยะระหว่างศาสนาอิสลามกับชาวมุสลิม”

นอกจากนั้นต้องรู้เท่าทันผู้เผยแพร่ข้อมูลแต่ละแหล่งด้วยว่ามีแนวคิดอย่างไร เช่น การทำข่าวความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ จะสามารถสัมภาษณ์นักวิชาการฝั่งใดฝั่งหนึ่งเพียงฝั่งเดียวก็ไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นการบอกเล่าเพียงด้านเดียว (One Sided Story) และทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ เพราะข่าวที่เกี่ยวกับความขัดแย้งควรต้องถูกทำให้รอบด้านและกลมกล่อมในเรื่องเดียว  หรือหากทำให้รอบด้านในเรื่องเดียวไม่ได้ก็ต้องทำอีกเรื่องเสริมขึ้นมาเพื่ออธิบายเพิ่มเติม การพูดคุยกับคนก็เช่นกัน เมื่อเรารู้ว่าคนที่เราคุยด้วยมีแนวคิดอย่างไรแล้ว เราก็ควรที่จะอยากจะรู้ข้อมูลในอีกมุมหนึ่งที่ต่างออกไปด้วย หรือก็คือการรู้จักรับข้อมูลให้รอบด้าน 

หรือแม้แต่สื่อมวลชน จะบอกว่าสื่อเป็นกลางทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะสื่อเลือกข้างก็มีอยู่ ซึ่งไม่ตัดสินว่าผิดหรือถูก เพราะแต่ละสื่อมีอิสระในการเลือกทำสื่อของตนเอง จึงต้องอยู่ที่ผู้รับสารที่จะต้องรู้ว่าสื่อสำนักไหนมีแนวคิดแบบใด “ปัญหาคือ ผู้รับสารมักเชื่อแต่สื่อที่นำเสนอในตนเองอยากฟัง โดยไม่คิดจะเข้าไปหาข้อมูลอีกด้านหนึ่ง” จึงอยากเน้นย้ำความสำคัญเรื่องของการมองให้รอบด้าน ซึ่งในทางกลับกันในหมู่ชาวมุสลิมก็มีกลุ่มที่เกลียดกลัวโลกตะวันตกอย่างไม่มีเหตุผลเช่นกัน”

“อัลกอริทึมของสื่อสังคมออนไลน์ ยังทำให้ผู้คนติดกับดักห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber)” หมายถึงปรากฏการณ์ของห้องที่เมื่อเราอยู่ในนั้นแล้วพูดอะไรออกไปก็จะได้ยินสิ่งที่พูดสะท้อนกลับมา ก็เหมือนกับการข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ ที่แต่ละแพลตฟอร์มจะมีอัลกอริทึมคอยจดจำว่าเราค้นหาหรืออยากรู้เรื่องอะไร แล้วนำเสนอสิ่งเหล่านั้นเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องจนเราเชื่อว่าสิ่งนั้นจริงหรือถูกต้องแล้ว “แต่ปรากฏการณ์นี้ก็สามารถเกิดได้จากสังคมออฟไลน์เช่นกัน” หากเลือกพูดคุยเฉพาะแต่กับคนที่คิดเหมือนกันเท่านั้น

หมายเหตุ : ยังมีการสนทนาที่น่าสนใจอีกหลายประเด็น ซึ่งสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/1049142393290054/?locale=th_TH


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 14 กันยายน 2567

ธ.ออมสินออกสินเชื่อใหม่ จะได้รับเชิญผ่านแอป mymo เท่านั้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/101yvja1qf1nr


คณะกรรมการ ป.ป.ง. เร่งออกกฎหมายใหม่ คืนเงินจากแก๊งคอลเซนเตอร์ ติดต่อขอเงินคืนผ่านเฟซบุ๊ก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2h3600jzkb9n


กินวิตามินซีพร้อมกุ้ง ทำให้ตายเฉียบพลันจากสารหนู…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/353wsveouiq58


CDS ผสมกับน้ำเกลือ 50cc ใช้หยอดตา ช่วยทำให้ฝ้าขาวในตาหาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1sntzg8uy7ipz


พอกผิวด้วยฟักทอง ช่วยบำรุงให้ผิวขาวขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3u9k7286hr7eb


การทดสอบ PCR เป็นการสร้างความเสียหายต่อสมอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1bf20ha11coep


แนะนำเจ้าหน้าที่ให้บริการด้านการลงทุน SET THAILAND รับรองโดย ก.ล.ต….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/qfk4aj7qdxs1


งดการเข้าเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนชั่วคราว เนื่องจากน้ำท่วมหนัก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2nifv1glpzp4o


ดื่มกาแฟดำหลังอาหาร ลดการดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็ก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ghclnzlrvu7v


มีคลิปเสียงที่ออกมาพูดว่า มิจฉาชีพมาในรูปแบบของ Tiktok ที่สามารถดูดเงินเราได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3igvzlb5g89q8


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 7กันยายน 2567

งดใช้ตู้ ATM ที่ไม่มีไฟกะพริบตรงที่เสียบบัตร เสี่ยงโดนแฮกข้อมูล…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ql2xar7ybn47


ส้มโออันตราย ทำให้เกือบเสียชีวิตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ju2wochuer05


เตือนภัยประชาชนเตรียมรับมือมวลน้ำที่จะไหลลงสู่พื้นที่ลุ่มน้ำป่าสักตอนบน จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื่องจากมีฝนตกหนักนานต่อเนื่อง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1qv41kpnb88yf


 ตักอุจจาระแมวโดยไม่สวมถุงมือ เสี่ยงเป็นฝีในสมอง

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/14r4hwi3gtwff


คนไทยจะได้ใช้ระบบแจ้งเตือนฉุกเฉินผ่านมือถือในปี 2568

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/kxi3atfftm9d


จีนตรวจพบทุเรียนไทยปนเปื้อนแคดเมียม

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2l24wdrmkfudb


การรถไฟฯ ปรับลดค่าบริการจอดรถชั้นใต้ดินสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ถึง 15 ก.พ. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3g3u37s88a6ac


ไอ เจ็บคอ เป็นไข้ หายได้ด้วยการประคบเย็น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3dins9c4eknwe


เข้าใจ‘การทำงานของสมอง’ รู้ทัน‘อคติทางความคิด’ ปรับวิธี‘ฟัง-พูด’ลดอุณหภูมิความรุนแรงด้วยสื่อสารสร้างสันติ

กิจกรรม

1 ก.ย. 2567 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับเพจเฟซบุ๊ก “Understand : ห้องนั่งเล่นของหัวใจ”และ Clazy Cafe’ จัดกิจกรรมอบรม Workshop “ไขปริศนาสมอง: รู้ทันกลไกความคิด พิชิตการสื่อสาร”ณ ห้อง Connext A ชั้น 3 อาคาร The Season Mallสนามเป้า กรุงเทพฯ ชวนทำความเข้าใจการทำงานของสมอง ซึ่งมีผลต่อคำพูดและการกระทำที่แสดงออกของตัวเราว่าจะนำไปสู่การสื่อสารที่กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงหรือช่วยสร้างสันติ โดยคณะวิทยากรจากเพจ “Understand : ห้องนั่งเล่นของหัวใจ” ซึ่งมีทั้งจิตแพทย์ นักจิตวิทยาให้คำปรึกษา และนักกิจกรรมที่สนใจประเด็นด้านสุขภาพจิต

บทเรียนแรก คือ การทำงานของระบบประสาท1.การรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส (Sensory) 2.การประมวลผลของสมอง (Process หรือ Integrate) และ 3.การแสดงออกหรือพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งก็คล้ายกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ ที่มีการป้อนข้อมูล (Input) ประมวลผล (Process) และออกมาเป็นผลลัพธ์ (Output)

แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากคอมพิวเตอร์ คือ มีกระบวนการบางอย่างที่ทำให้การตีความ (Perception) ของสมองต่อสิ่งที่ประสาทสัมผัสได้รับรู้มาผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง โดยสมองมีการทำงานที่เรียกว่า การประมวลผลจากบนลงล่าง (Top-Down Process)” หมายถึง สมองมีชุดข้อมูลบางอย่างเตรียมไว้แล้วว่าจะตีความสิ่งที่ได้รับรู้นั้นอย่างไร ซึ่งช่วยให้การทำงานของสมองรวดเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง โดยชุดข้อมูลที่สมองเตรียมไว้ล่วงหน้านั้นก็มาจาก ประสบการณ์ ที่แต่ละคนที่พบเจอมาในชีวิต หรือ ความเชื่อ-คุณค่า ที่คนนั้นยึดถือ

และเมื่อดูโครงสร้างการทำงานของสมองมนุษย์พบว่าส่วนใหญ่อยู่กับ ระบบอัตโนมัติ คือ สมองของสัตว์เลื้อยคลาน (Reptilian Brain) เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณ กับสมองส่วนลิมบิก (Limbic Brain) เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก เพื่อให้มนุษย์ตัดสินใจได้รวดเร็วในสถานการณ์ที่ต้องเอาชีวิตรอด ในขณะที่สมองอีก 1 ส่วนที่เหลือ คือ สมองส่วนนีโอคอร์เท็กซ์ (Neocortex Brain) เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์ ซึ่งสมองสวนนี้ก็ยังทำงานผิดพลาดได้ 

ดังนั้น มนุษย์ก็ต้องรู้เท่าทันว่าตนเองกำลังรับรู้และกำลังคิดอะไร (Metacognition)” หมายถึงการตั้งสติ ถอยกลับมามองการทำงานของสมองว่าเหตุใดเราจึงคิดหรือเชื่อเช่นนั้น ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังคือ อคติเชิงความคิด (Cognitive Bias)” ที่มีเป็นจำนวนมาก โดยในกิจกรรมนี้ยกตัวอย่างมาเพียงบางรูปแบบที่พบได้บ่อยๆ คือ 1.มองอะไรแบบสุดโต่งไม่มีตรงกลาง (Black & White หรือ  All or Nothing Thinking) เช่น คำพูดว่า หากไม่ทำให้ดีที่สุดก็อย่าทำเสียเลยดีกว่า หรือหากสอบเข้าคณะนี้ไม่ได้ชีวิตก็หมดความหมาย เป็นต้น

2.เหมารวม (Over Generalization) เช่น อกหักจากคนคนหนึ่งแล้วก็บอกว่าชาตินี้คงไม่มีใครมารักมาชอบตนเองอีกแล้ว หรือเห็นคนไทยคนหนึ่งแซงคิวก็สรุปเอาว่าคนไทยเป็นชนชาติที่ไร้ระเบียบวินัย3.เลือกมองเพียงบางสิ่งจนละเลยภาพรวม (Mental Filter) เช่น แม้ผลการเรียนในภาพรวมจะอยู่ในเกณฑ์ดีมากแต่จิตใจก็เอาแต่คิดวนเวียนอยู่กับ 1-2 วิชาที่ไม่ได้เกรด A จนรู้สึกเครียดหรือซึมเศร้า หรือไปพูดต่อหน้าคนหมู่มาก แม้ผู้ฟังส่วนใหญ่จะตั้งใจฟังแต่ใจก็ไปจดจ่ออยู่กับคนเพียง 1-2 คนที่นั่งหลับ แล้วก็คิดว่าตนเองนำเสนอได้ไม่ดี

4.บิดเนื้อหาจากเชิงบวกหรือกลางๆ เป็นเชิงลบ (Disqualify Positive) เช่น วันหนึ่งจำเป็นต้องลางาน มีเพื่อนร่วมงานโทรศัพท์มาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็คิดไปว่าคงแค่ถามไปตามหน้าที่ ไม่มีใครห่วงใยตัวเราจริงๆ 5.ขยายความเรื่องราวให้ใหญ่เกินจริง (Magnification) หรือตื่นตระหนกวิตกกังวลมากเกินไป เช่น มีผื่นขึ้นที่แขนได้เพียง 3 วัน ก็คิดไปก่อนแล้วว่าต้องเป็นโรคมะเร็งผิวหนังแน่ๆ

6.มองเรื่องราวเล็กกว่าความเป็นจริง (Minimization) ซึ่งตรงกันข้ามกับ Magnificationโดยการคิดแบบ Minimization นี้มักพบในผู้ที่มีปัญหาการใช้ยาเสพติด เช่น คิดว่าใช้แค่นิดเดียวไม่เห็นเป็นอะไร แต่ก็ทำให้เกิดพฤติกรรมการใช้ยาเสพติดซ้ำๆ 7.คิดไปเองราวกับสามารถอ่านใจคนอื่นได้ (Mind Reading) เช่น ส่งข้อความในกลุ่มไลน์แล้วไม่มีคนตอบก็คิดว่าคนอื่นๆ คงรำคาญตนเอง หรือนั่งเรียนอยู่แล้วอาจารย์มองหน้าก็คิดไปว่าอาจารย์คงกำลังดูถูกว่าเราโง่แน่ๆ ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายคิดกับเราแบบนั้นจริงหรือไม่แต่ก็ตัดสินไปแล้ว

8.คาดเดาไปก่อนว่าสถานการณ์ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ โดยที่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ (Fortune Telling) เช่น เชื่อมั่นว่าหาเอาเงินไปซื้อล็อตเตอรี่งวดนี้จะได้รวยเป็นเศรษฐีแน่นอน หรือเข้าไปเรียนได้เพียงวันแรกก็คิดแล้วว่าตนเองไม่มีทางเรียนจบ ทั้งนี้ ข้อแตกต่างระหว่าง Fortune Telling กับ Mind Readingคืออย่างแรกเป็นการด่วนสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ ส่วนอย่างหลังเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 

และ 9.ใช้อารมณ์นำก่อนแล้วค่อยหาเหตุผลมารองรับ (Emotional Reasoning) เช่น ใจอยากได้สิ่งของสักอย่างหนึ่งแล้วสมองค่อยหาเหตุผลต่างๆ นานา ทำให้ตนเองเชื่อว่าจำเป็นต้องซื้อสิ่งนั้น หรือมองคนหนึ่งว่าต้องเป็นคนไม่ดีแน่ๆ เพราะคนนั้นเคยทำให้ตนเองโกรธ ทั้งนี้ ต้องย้ำว่า “Cognitive Bias หรืออคติเชิงความคิด ไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือไม่ดี แต่ต้องมีให้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์” เพราะการทำงานของ Cognitive Bias นั่นเกี่ยวข้องกับการเอาชีวิตรอด เช่น ในสถานการณ์ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง

การฝึกตนเองให้รู้เท่าทันความคิดเพื่อลดการตัดสินใจแบบมีอคติหรือด่วนสรุป สามารถสรุปเป็น 4 ข้อ ตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ “F.A.S.T.ประกอบด้วย 1.Fact เรื่องที่คิดอยู่นั้นตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่? 2.Alternative เรื่องที่คิดอยู่นั้นมองได้เพียงด้านเดียว หรือยังมองในแง่มุมอื่นๆ ได้อีก? 3.So What เรื่องที่คิดอยู่นั้นเป็นประโยชน์หรือไม่? และ 4.Toll เรื่องที่คิดอยู่นั้นจะส่งผลเสียอย่างไรบ้าง? 

บทเรียนต่อมาคือ การฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening)” หรือการฟังอย่างใส่ใจ โดยวิทยากรสรุป 4 เรื่องที่คนเรามักเผลอคิด-เผลอทำขณะฟัได้แก่ 1.เผลอแนะนำ หลายคนฟังแล้วก็เผลอคิดไปตามประสบการณ์ของตนเองแล้วก็แนะนำว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง 2.เผลอถามแทรก จริงอยู่ที่เราฟังแล้วก็อยากถามเพื่อให้เข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น แต่ก็ต้องดูจังหวะให้ดีเพราะบางทีอีกฝ่ายกำลังจะพูดอยู่แล้วแต่เราไปถามแทรกเสียก่อน อาจทำให้ข้อมูลที่จะได้รับบิดเบี้ยวไป หรืออีกฝ่ายอาจรู้สึกว่าเราไม่ตั้งใจฟังก็ได้ 

3.เผลอแย่งซี เช่น มีคนกำลังเล่าเรื่องๆ หนึ่ง แต่มีคนอื่นๆ พูดขึ้นมาว่าเหมือนกัน ทำให้คนที่อยากจะสื่อสารไม่ได้สื่อสาร และคนที่อยากรู้ข้อมูลที่คนนั้นจะเล่าก็ไม่ได้รู้ และ 4.เผลอด่วนตัดสิน เพราะ Cognitive Bias ทำให้เราด่วนสรุปไปว่าเรื่องมันต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน โดยทั้ง 4 ข้อนี้ ทำแล้วอาจส่งผลต่อการรับรู้ที่ผิดพลาด นั่นหมายถึงเสียตั้งแต่สมองรับข้อมูลเข้ามาแล้ว ซึ่งส่งผลต่อการประมวลผลหรือตีความ

และบทเรียนที่ 3 ซึ่งเป็นบทเรียนสุดท้ายของกิจกรรมในครั้งนี้คือ การสื่อสารเพื่อสร้างสันติหรือสื่อสารอย่างไรจะลดบรรยากาศที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง โดยเริ่มจากยกตัวอย่างคำพูดที่ทำให้เกิดความรู้สึกเชิงลบ เช่น หัวหน้าบอกลูกน้องว่า คุณทำงานผิดตลอด แก้อีกก็ผิดอีก อย่างนี้เมื่อไรจะเสร็จ ทำไมไม่ดูแผนกอื่นเขาบ้าง ทำให้ดีกว่านี้หน่อย ซึ่งพูดแบบนี้ไปลูกน้องก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าตนเองทำผิดตรงไหนและควรแก้ไขอย่างไรให้ถูก

แต่หากหัวหน้าเปลี่ยนวิธีการพูดโดย 1.สังเกตเช่น บอกลูกน้องว่า ผมเห็นคุณแก้งานบ่อยๆ” โดยที่ไม่ต้องใช้ถ้อยคำในเชิงต่อว่าด่าทอ 2.บอกความรู้สึก เช่น บอกว่า “ผมกังวล แล้วก็อธิบายว่าที่กังวลก็เพราะกลัวงานจะเสร็จไม่ทันกำหนด3.บอกความต้องการ เช่น บอกว่า ผมต้องการให้คุณได้รับการสนับสนุน แทนการใช้ถ้อยคำทำนองชี้นิ้วสั่ง และ 4.ร้องขอ เช่น ในกรณีที่ยังไม่รู้ว่าลูกน้องได้ลองแก้ไขมาแล้วกี่วิธี-อะไรบ้าง หัวหน้าอาจบอกว่า ถ้ามีปัญหาอะไรอยากให้ช่วย ผมอยากให้คุณบอกได้เลยนะ เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อหาทางออก เป็นต้น

 จากการอบรมครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าแม้เราจะได้รับข้อมูลมาเพียงพอและรู้เท่าทันความคิดของตนเองแล้วก็ตาม  แต่หากสื่อสารไม่ถูกย่อมไม่ก่อเกิดประโยชน์กับตนเองและคนรอบข้าง  

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

Raison d’être ของนักข่าวและนักตรวจสอบข้อเท็จจริงในมุมมองของ “สเตฟาน เดลฟูร์” แห่ง AFP

บทความ

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค / แปลและเรียบเรียง

Raison d’être เป็นวลีในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า เหตุผลของการดำรงอยู่ จุดหมายแห่งชีวิต หรือจะแปลว่าพันธกิจขององค์กรก็ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนาระหว่างคุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค และคุณสเตฟาน เดลฟูร์ (Stéphane Delfour) สื่อมวลชนอาวุโสแห่งสำนักข่าว Agence France-Presse (AFP) ในบ่ายวันศุกร์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม 2567 ที่สำนักงาน AFP ใจกลางกรุงเทพฯ

การสนทนาในครั้งนี้เกิดขึ้นในวาระที่คุณสเตฟานอำลาตำแหน่งหัวหน้าสำนักข่าวเอเอฟพีประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (AFP Bureau Chief for Southeast Asia) ที่นำพาเขาให้มาทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยนานถึง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่มีการก่อตั้งโคแฟค ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา คุณสเตฟานและ AFP Fact Check ซึ่งเป็นแผนกตรวจสอบข้อเท็จจริงของเอเอฟพีที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2560 ได้ทำงานร่วมกับโคแฟค องค์กรวิชาชีพสื่อ และสื่อมวลชนไทยหลายสำนักในการพัฒนางานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการรู้เท่าทันข่าวลวงมาอย่างต่อเนื่อง นับว่าคุณสเตฟานและ AFP Fact Check มีส่วนสำคัญในการวางรากฐานและเป็นต้นแบบการทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงในไทย

ก่อนอำลาเมืองไทย โคแฟคชวนคุณสเตฟานมาสนทนาในหัวข้อ “5 ปีแห่งความท้าทาย: บทเรียนและก้าวต่อไปของการตรวจสอบข้อเท็จจริงในไทย” โดยมีการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กโคแฟคเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2567 ซึ่งกองบรรณาธิการโคแฟคได้สรุปความและเรียบเรียงมาไว้ที่นี้

ในบทสนทนาเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม คุณสเตฟานได้เล่าเบื้องหลังการทำงาน ให้ความเห็นและมุมมองที่น่าสนใจตั้งแต่เรื่องภูมิทัศน์สื่อในยุคเอไอ ไปจนถึงเหตุผลในการดำรงอยู่หรือ “raison d’être” ของสื่อมวลชน ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการพูดถึงการเมืองไทยสั้น ๆ จากมุมมองของสื่อต่างชาติ  

จุดเริ่มต้นของ AFP Fact Check ในประเทศไทย

สำนักงานใหญ่เอเอฟพีเปิดแผนกตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือ AFP Fact Check ครั้งแรกเมื่อปี 2560 โดยมีนักตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact checker) หนึ่งคนถ้วน ผมถูกส่งมาไทยในตำแหน่งหัวหน้าสำนักข่าวเอเอฟพีประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2562 และในปี 2563 เราก็ตั้งทีม Fact Check ขึ้นที่สำนักงานในไทย ซึ่งเป็นปีที่โควิด-19 ระบาดและมีการชุมนุมของคนเยาวชนเพื่อเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตย รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงส่วนใหญ่ในช่วงนั้นจึงเป็นเรื่องความเข้าใจผิดหรือข่าวลวงเกี่ยวกับโควิด วัคซีน หน้ากากอนามัย และการชุมนุมประท้วงของเยาวชน

หลังจากนั้นมา เนื้อหาที่เราตรวจสอบก็มักจะเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง เช่น การสู้รบในยูเครนและฉนวนกาซา รวมถึงการเลือกตั้งทั่วไปในไทยเมื่อปี 2566 ผมจำได้ว่าการหักล้างข่าวลวงเรื่องนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่ได้เรียนจบฮาร์วาร์ด เป็นรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้รับความสนใจมากที่สุดชิ้นหนึ่งของเรา

ปัจจุบันแผนก AFP Fact Check ซึ่งได้รับการรับรองจาก เครือข่ายองค์กรตรวจสอบข่าวสากล (International Fact-Checking Network – IFCN) มี fact checker มากกว่า 200 คนใน 150 ประเทศ รวมทั้งไทยซึ่งมี fact checker ประจำอยู่ 3 คน

การตรวจสอบข้อเท็จจริง vs การรายงานข่าว

ผมคิดว่า fact check เป็นรากฐานและเป็นดีเอ็นเอของวิชาชีพสื่อสารมวลชนซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและการสืบหาความจริง พูดได้ว่าเอเอฟพี fact check มาตลอดตั้งแต่สำนักข่าวแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1835 แต่น่าสนใจตรงที่ว่าในโลกยุคนี้ การตรวจสอบข้อเท็จจริงกลับมีความสำคัญมากยิ่งกว่ายุคไหน ผู้สื่อข่าวต้องทำงานหนักมากขึ้นในการตรวจสอบข้อมูล สัมภาษณ์แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ พูดคุยกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด แล้วนำเสนอความจริงต่อสาธารณะ แต่ทักษะที่ fact checker อาจจะมีความถนัดและเชี่ยวชาญมากกว่าผู้สื่อข่าวก็คือทักษะในการสืบค้นและหาหลักฐานทางดิจิทัล วิธีการตรวจสอบความจริงหรือความปลอมของเนื้อหาอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ภาพที่ถูกดัดแปลงหรือวิดีโอที่สร้างด้วยเอไอ และสามารถอธิบายกระบวนการตรวจสอบได้ว่าใช้วิธีอะไรและมีหลักฐานอะไรเป็นข้อพิสูจน์ว่าเนื้อหานั้นส่วนไหนจริง ส่วนไหนเท็จ ผมคิดว่าการเปิดเผยกระบวนการพิสูจน์และการหาข้อเท็จจริงเช่นนี้ ทำให้การทำงานของสื่อมวลชนกลับมาได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจอีกครั้ง หลังจากที่ผู้คนจำนวนมากเริ่มเบื่อหน่ายการเสพข่าว คิดว่าสิ่งที่สื่อนำเสนอนั้นไม่น่าเชื่อถือและเลือกที่จะหาข้อมูลด้วยตัวเอง

ลักษณะของข่าวลวง-เนื้อหาเท็จ

สิ่งที่ผมว่าน่าสนใจเกี่ยวกับข่าวลวงก็คือ มันไม่ได้จริงหรือเท็จทั้งหมด แต่มักจะมีเนื้อหาที่เป็นจริง เช่น ภาพจริง เสียงจริง เหตุการณ์จริงอยู่บางส่วน สิ่งที่นักสร้างข่าวลวงทำก็คือเอาความจริงส่วนเล็ก ๆ นั้นมาขยาย บิดเบือน ใส่บริบทผิด ๆ ตัดต่อ แต่งภาพ เติมโน่นนิดนี่หน่อย ผสมคลุกเคล้าจนได้เนื้อหาอันเป็นเท็จขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ความจริงบางส่วนที่ผสมอยู่นี่เองที่ทำให้คนมักหลงเชื่อว่าเป็นความจริง

อีกข้อสังเกตหนึ่งก็คือ ข่าวลวงไม่ได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ แต่มักจะเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น อาศัยความสนใจของผู้คนต่อเรื่องนั้นเพื่อกระพือข่าวลวงที่เขาสร้างขึ้น เช่น กรณีภาพตัดต่อประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียถือพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นเนื้อหาเท็จที่ถูกเผยแพร่ในช่วงเริ่มต้นของสงครามรัสเซีย-ยูเครน

สงครามอสมมาตร ของความจริงกับความลวง

แม้ว่าทีมตรวจสอบข้อเท็จจริงของเราจะใหญ่ขึ้นและเก่งขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าศึกนี้ไม่ง่ายเลย เรามี fact checker อยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนข่าวลวงที่มีอยู่มากมายมหาศาลและถูกผลิตออกมาไม่หยุด การสร้างและกระจายข่าวลวงมันง่ายมาก ๆ แค่ตัดต่อรูปหรือสั่งให้เอไอสร้างเนื้อหาเท็จขึ้นมา แล้วคนก็มักจะแชร์ต่อกันไปโดยไม่สนใจว่ามันจริงหรือปลอม หรือแชร์ด้วยความสนุกคะนอง ในทางกลับกัน การหักล้างหรือพิสูจน์ความจริงเท็จของเนื้อหาแต่ละชิ้นนั้นกลับต้องใช้ทั้งเวลา ใช้คน ใช้ทรัพยากรมากมาย

เราเคยคุยกันเล่น ๆ ว่างานของเราเหมือนการทำความสะอาดแม่น้ำด้วยการตักน้ำเน่าออกทีละช้อน เรียกว่าเป็น “สงครามอสมมาตร” ก็คงจะไม่ผิดนัก แต่ถึงมันยากเราก็ต้องทำ เพราะถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ แม้จะกำจัดข่าวลวงได้ไม่หมด แต่อย่างน้อยก็ช่วยยับยั้งการแพร่กระจาย การศึกษาของเราพบว่า หลังจากที่เผยแพร่รายงานการหักล้างข่าวลวงชิ้นหนึ่งไป การแพร่กระจายของข่าวนั้นในอินเทอร์เน็ตลดลงถึง 80%

AFP Fact Check ทำงานอย่างไร

ด้วยกำลังคนอันน้อยนิด เราไม่สามารถตรวจสอบเนื้อหาที่ต้องสงสัยว่าเป็นข่าวลวงได้ทุกชิ้น หลัก ๆ แล้ว เราจะเลือกเนื้อหาที่ส่งผลกระทบต่อบุคคลหรือต่อสาธารณะอย่างชัดเจน มีการเผยแพร่ในวงกว้าง และอยู่ในขอบเขตที่เราสามารถพิสูจน์ความจริงเท็จได้ จากนั้นเราก็ตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยหลักการทำงานของสื่อมวลชน คือ ติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นโดยตรงไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ บุคคลที่ถูกกล่าวหา หรือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ ซึ่งพยานที่เห็นเหตุการณ์ที่ดีที่สุดก็คือผู้สื่อข่าวของเราเอง สมมติว่ามีการเผยแพร่เนื้อหาเท็จเกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงของเยาวชน เราก็จะตรวจสอบกับผู้สื่อข่าวหรือช่างภาพของเราที่ทำงานภาคสนามว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่หลายครั้งก็ไม่ง่ายนักที่เราจะเข้าถึงแหล่งข่าวหรือพยานที่จะให้ข้อเท็จจริงกับเราได้ การเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งที่ท้าทายการทำงานของ fact checker มากที่สุดอย่างหนึ่ง หรือหากเป็นประเด็นความขัดแย้งกัน เราก็จะต้องแสวงหาข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน

เมื่อได้ข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ อย่างรอบด้านจนได้ข้อสรุปที่แน่ชัดแล้วว่าเนื้อหานั้นเป็นจริงหรือเท็จ เราก็เขียนเป็นรายงาน ซึ่งจะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยบรรณาธิการหลายคนเพื่อให้แน่ใจในความถูกต้องก่อนจะเผยแพร่

รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เผยแพร่ออกไป ก็ย่อมเป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ เห็นด้วยหรือเห็นต่าง ซึ่งนั้นก็เป็นสิทธิของแต่ละคน เราเคารพทุกความคิดเห็น หน้าที่ของเราคือนำเสนอหลักฐานข้อมูล ข้อพิสูจน์ทุกอย่างที่ได้มา และแจกแจงให้เห็นว่าทำไมเราจึงสรุปว่าเนื้อหานี้จริงหรือปลอม 

AI ตัวช่วยหรือภัยคุกคามของนักข่าวและนักตรวจสอบข้อเท็จจริง?

ผมว่ามันเป็นได้ทั้งสองอย่าง ในแง่หนึ่ง AI เป็นเครื่องมือที่สำนักข่าวสามารถนำมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในงานบางอย่าง เช่น การถอดเสียงเป็นข้อความ การค้นฐานข้อมูล แต่อีกด้านหนึ่ง AI ก็ถูกนำไปใช้สร้างเนื้อหาเท็จได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แม้ว่าในขณะนี้เนื้อหาเท็จที่สร้างโดย AI ส่วนใหญ่จะมองออกได้ง่าย แต่มีแนวโน้มที่มันจะทำได้เนียนขึ้นเรื่อย ๆ จนแยกแยะเนื้อหาที่เป็นจริงกับเป็นเท็จได้ยา ขณะที่สำนักข่าวก็ต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการอธิบายหรือยืนยันความจริงแท้ของเนื้อหาที่เราเผยแพร่ ตัวอย่างเช่น ภาพชุดนักกีฬาที่เอเอฟพีถ่ายและเผยแพร่ก่อนพิธีเปิดโอลิมปิก 2024 ซึ่งเป็นภาพชุดที่สวยมากจนมีคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นภาพที่สร้างโดย AI เราจึงต้องเขียนอธิบายกระบวนการถ่ายทำและผลิตภาพชุดนั้นออกมาเพื่อยืนยันว่าเป็นภาพที่ช่างภาพของเราถ่ายเองจริง ๆ ในขณะนี้เอเอฟพี ไม่มีนโยบายที่จะใช้ AI ผลิตเนื้อหาใด ๆ ทั้งสิ้น

มองภูมิทัศน์สื่อในยุคนี้อย่างไร

สถานการณ์ที่ผู้คนเบื่อการเสพสื่อ ไม่ชอบฟังข่าวหนัก ๆ และไม่เชื่อถือเนื้อหาที่สื่อมวลชนนำเสนอนั้นเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แต่เฉพาะในประเทศไทย ดังนั้นสื่อจึงต้องพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจกลับคืนมา แนวทางหนึ่งที่เอเอฟพีกำลงทำอยู่คือการเสนอข่าวเชิงหาทางออก (Solution Journalism-SoJo) คือแทนที่เราจะรายงานแต่ปัญหา ผลกระทบ ความเสียหาย อันตราย ภัยพิบัติ เราจะเน้นที่การนำเสนอทางออกต่อเรื่องนั้น   เช่น เมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ นอกจากรายงานสถานการณ์แล้วเราจะต้องนำเสนอทางออกจากผู้รู้หรือแม้แต่วิถีของเล็ก ๆ ที่พยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เราไม่เพียงแค่บอกผู้ชมว่าโลกกำลังจะวิบัติ แต่เสนอว่าเราจะทำอะไรกันได้บ้างเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียไปมากกว่านี้ เราจะเสนอทางออก เรื่องราวที่ให้ความหวังและสร้างแรงบันดาลใจ ผมชื่นชมในความคิดริเริ่มและความทุ่มเทในการทำงานของสื่อไทยหลายคน พวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างดีโดยเฉพาะในการรายงานสดเหตุการณ์สำคัญที่มักจะมีผู้สื่อข่าวไปรายงานผ่านโซเชียลมีเดียอย่างคล่องแคล่ว ขณะเดียวกันก็ยังมีสื่อดั้งเดิมบางแห่งที่ดูเหมือนจะปรับตัวต่อการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลได้ค่อนข้างช้า ซึ่งก็น่าเป็นห่วงว่าสื่อกลุ่มนี้อาจจะอยู่รอดในยุคการเปลี่ยนผ่านของสื่อดิจิทัลได้หรือไม่

ทำไมสื่อสารมวลชนยังมีความจำเป็น

ไม่ว่าภูมิทัศน์สื่อและเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วเช่นไร สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับองค์กรสื่อทุกแห่งก็คือการยึดปรัชญาและหลักการพื้นฐานในการทำงานของเราไว้ให้มั่น นั่นก็คือการแสวงหาข้อเท็จจริงและการตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่กลัวเกรงต่อสิ่งใด ซึ่งเป็นงานที่ไม่ได้ต้องลงทุนหรือใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอะไรเลย แค่ผู้สื่อข่าวทำหน้าที่ของเราเท่านั้น ลงพื้นที่พร้อมด้วยกระดาษ ปากกาและกล้องเพื่อเก็บข้อมูลและบันทึกความจริง เพราะนี่คือ Raison d’être หรือพันธกิจของเรา สื่อต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าทำไมสังคมถึงยังต้องการพวกเรา ทำไมผู้คนต้องรับข้อมูลข่าวสารจากเรา คุณค่าของเราอยู่ตรงไหน จุดขายของเราคืออะไร ทำไมงานที่เราทำถึงมีความจำเป็นต่อชีวิตของผู้คน ซึ่งเป็นคำถามที่ตอบยากยิ่งในยุคที่การเปลี่ยนแปลงถาโถมมารอบด้านเหมือนคลื่นยักษ์สึนามิ

มุมมองต่อโคแฟคและการทำงานร่วมกันในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่พิเศษมากที่องค์กรภาคประชาสังคม วิชาชีพสื่อและนักวิชาการร่วมมือกันก่อตั้งองค์กรภาคประชาชนอย่างโคแฟคเพื่อรณรงค์เรื่องการรู้เท่าทันข่าวลวงและริเริ่มแนวทางการแสวงหาความจริงร่วมเพื่อสกัดการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ผมไม่ค่อยเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในประเทศอื่น และช่วงที่ผ่านมา งานของโคแฟคก็ได้รับความสนใจอย่างมาก เท่าที่ผมสังเกต ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทยกระตือรือร้นในการขุดค้นข้อมูล ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียมากกว่าประเทศอื่น ๆ

ที่ผ่านมาเอเอฟพีได้ทำกิจกรรมร่วมกับโคแฟค สื่อมวลชนไทย และองค์กรวิชาชีพสื่ออยู่บ่อยครั้งเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่แน่นอนว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องทำงานต่อ เช่น การแสวงหาความร่วมมือกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อให้พวกเขามีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาการระบาดของข่าวลวงและข้อมูลเท็จมากกว่านี้ บางแพลตฟอร์มกลายเป็นตลาดขายสินค้ามากกว่าจะเป็นช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือและมีประโยชน์ต่อผู้คน 

นอกจากนี้เรายังจะต้องช่วยกันพัฒนาศักยภาพของผู้สื่อข่าวและนักตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อรับมือกับ AI ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศข้อมูลข่าวสารของเรา

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย และสเตฟาน เดลฟูร์ ถ่ายภาพร่วมกันหลังการสัมภาษณ์ที่สำนักงานเอเอฟพี เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2567

มองการเมืองไทยอย่างไร

ห้าปีที่ผมมาประจำอยู่ที่นี่และได้ติดตามการเมืองไทยค่อนข้างใกล้ชิด ผมคิดว่าการเมืองไทยช่างเย้ายวนชวนให้ติดตาม ซับซ้อน น่าสนใจ เต็มไปด้วยดีลและการเจรจาต่อรอง มีอะไรให้ประหลาดใจอยู่ตลอด หลังจากที่คุณแพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ผมได้ข้อสรุปว่ายิ่งผมสนใจ ติดตาม ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเมืองไทยมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเข้าใจการเมืองไทยน้อยลงเท่านั้น

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Hello International Day of Charity ว่าด้วยเรื่อง “ปล่อยปลาอย่างไรให้ได้บุญ”

Hello International Day of Charity! วันนี้วันทำบุญทำกุศลสากล โคแฟคนำเสนอบทสนทนากับพระอาจารย์มหานภันต์ มูลนิธิ สกพ. แสวงหาความจริงร่วม ว่าด้วยเรื่อง “ปล่อยปลาอย่างไรให้ได้บุญ” มาช่วยทำให้น้องปลาปลอดภัย ดีต่อใจ ดีต่อระบบนิเวศกันนะทุกคน อนุโมทนาสาธุ 🙏💕😇

Digital Enlightenment Series : เรื่องเล่า อำนาจ โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อคน….1%

กิจกรรม

😊สวัสดีครับ วันนี้แอดมินขอนำเนื้อหาสรุปเรื่องราวของเวิร์คช็อปที่เกี่ยวข้องกับสื่อโดยตรงของงาน Cofact Series สำหรับช่วงที่ 1เรื่องเล่า อำนาจ โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อคน….1%
ขอสรุปประเด็นและสาระสำคัญเป็นข้อๆ ให้ชาว Clazy Cafe ทุกๆ ท่านนะครับ

🌟1 “โฆษณาชวนเชื่อ” tเกิดขึ้นใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด อาจแทรกได้อยู่ทั้งกับสินค้า ธุรกิจ บริการต่างๆ ไปจนถึงการปลูกฝังทัศนคติ วัฒธรรมและการรับรู้ทางการเมืองด้วย

คือ รูปแบบของการสื่อสารที่มีเป้าหมายหลัก เพื่อโน้มน้าวให้ผู้รับสารปฏิบัติตามที่ผู้ผลิตสื่อต้องการ เพื่อผลักดันเป้าหมายทางการเมือง ซึ่งอาจไม่เป็นความจริง

🌟3 เทคนิคโฆษณาชวนเชื่อมีมากถึง 14 แบบ สรุปวิธีการและความหมายสั้นๆ คือ

  • การใช้คำขวัญ (Slogans) ใช้คำขวัญสั้น ๆ ที่จำง่าย เพื่อสื่อสารข้อความ
  • การใช้สัญลักษณ์ (Symbols and Imagery) ใช้สัญลักษณ์ที่มีความหมายเชิงบวกหรือเชิงลบเพื่อสร้างความเชื่อ
  • เกาะกระแส (Bandwagon) ชักชวนให้ ผู้คนเข้าร่วมกับสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยม เพื่อสร้างความรู้สึกว่าทุกคนกำลังทำสิ่งนี้
  • การใช้เหตุผลแบบเข้าข้างตัวเอง (Card Stacking) นำเสนอข้อมูลที่มีแต่ด้านบวกของฝ่ายตน
  • การกล่าวหาฝ่ายตรงข้าม (Name Calling) ใช้คำที่มีความหมายเชิงลบ เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามดูแย่
  • การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง (Testimonials) ใช้คำพูดหรือการสนับสนุนจากบุคคลที่มีชื่อเสียงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • การใช้คำพูดที่มีความหมายเชิงบวก (Glittering Generalities)โดยไม่มีรายละเอียด เพื่อทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีและสนับสนุน
  • การใช้ความหวาดกลัว (Fear) สร้างความกลัวเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนทำตามที่ต้องการ
  • การใช้ข้อมูลที่บิดเบือน (Disinformation) การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อสร้างความเชื่อที่ผิดพลาด
  • การใช้การซ้ำ (Repetition) นำเสนอข้อความเดียวกันซ้ำๆ เพื่อทำให้ข้อความนั้นฝังอยู่ในความคิดของผู้ฟัง
  • การสร้างความเป็นทางเลือกเดียว (False Dilemma) การนำเสนอว่าเหลือเพียงทางเลือกเดียว เพื่อบังคับให้ผู้คนเลือกสิ่งที่ต้องการ
  • การใช้ความเป็นบุคคลธรรมดา (Plain Folks) ทำให้ดูเหมือนว่าข้อความนั้นมาจากบุคคลธรรมดา เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับผู้ฟัง
  • การโยกย้ายความหมาย (Transfer) ใช้ความเชื่อหรืออารมณ์ที่เกี่ยวข้องมาสื่อถึงสิ่งอื่นเพื่อสร้างความเชื่อมโยง
  • การทำให้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ (Scarcity) ชักจูงให้เชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างมีจำนวนจำกัด เพื่อกระตุ้นความต้องการ

🌟4 สรุป Canvas สำหรับการวิเคราะห์โฆษณาชวนเชื่อเพื่อคัดกรองสารที่เราจะได้รับ
Sender : ผู้จ้างผลิต หรือ ผู้เผยแพร่
Message : เนื้อหา+ (ผู้ได้ประโยชน์ – ผู้เสียประโยชน์)
Channel : วิธีการรับรู้ + ช่องทาง + เทคนิคโฆษณาชวนเชื่อ
Receiver : กลุ่มเป้าหมาย + พฤติกรรมที่คาดหวัง + ผลกระทบที่เกิดขึ้น

🌟5 การเท่าทันสื่อนั้นมีความสำคัญและจำเป็นมาก เพื่อให้เราไม่ถูกตกเป็นเครื่องมือของการชักจูงผ่านโฆษญาชวนเชื่อ ทั้งกับตัวเราเองและกับผู้คนรอบๆ ตัว

สำรับท่านไหนที่มีข้อสงสัยและต้องการคำตอบถึงข้อความ และ โฆษณาชวนเชื่อต่างๆ สามารถคอมเมนต์ สอบถามหรือจะแชร์ข้อความนนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนที่คุณห่วงใยเลยนะครับ

https://www.facebook.com/share/p/sQdZsst9CFbsK2Kg/?mibextid=qi2Omg

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 31 สิงหาคม 2567

ฟ้าทะลายโจรรักษาไข้หัดแมวได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2lhsufhc14wmr


ทานไข่ลวกดีต่อสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2908mhz4lkgdq


การสูบบุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้เลิกบุหรี่มวลได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2haciuqw0kdlq


เจ้าหน้าที่ PEA แจ้งดำเนินการเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าที่หมุนเร็วผิดปกติ  และเสียเงินค่าเปลี่ยนหม้อดิจิทัล…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3q4nrpxy42cjx


เปิดพัดลมจ่อเด็ก เสี่ยงเป็นปอดอักเสบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ov3rlokyr8zq


กินหมูกระทะเสี่ยงเป็นมะเร็ง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/5yz9gpa704wm


เตือน 10 จังหวัด และกรุงเทพฯ เตรียมขนของขึ้นที่สูง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/24zxa06d5ntkk