‘ข่าวลวง-ภัยออนไลน์’เทคโนโลยีทำให้ซับซ้อนขึ้น แต่‘อารมณ์-อคติ’ยังเป็นตัวแปรสำคัญของการตกเป็นเหยื่อ

กิจกรรม

ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) เข้าร่วมกับ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์สำนักข่าวไทย อสมท. จัดเสวนาหัวข้อ “Cybersecurity at the Age of Fake News : Are You Ready for the Next Threat?” ที่ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “NSTFair Thailand” ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTFair Thailand)” ระหว่างวันที่ 16-25 ส.ค. 2567

พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติกล่าวว่า งานของ สกมช. มี 2 ส่วน คือ 1.ป้องกันไม่ให้ระบบถูกโจมตี ดูแลระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า ธนาคาร อินเตอร์เน็ต แต่ในขณะเดียวกันคนแต่ละคนก็ต้องให้ความสำคัญกับการระมัดระวังด้วย เช่น การตั้งรหัสผ่านในแพลตฟอร์มต่างๆ การไม่ติดตั้งโปรแกรมเถื่อน เป็นต้น

2.ป้องกันไม่ให้คนถูกหลอก เพราะปัจจุบันคนสัมผัสกับข้อมูลข่าวสารจำนวนมากจึงเสี่ยงถูกหลอกลวงได้ แต่โจทย์ที่ยากคือ ความจริงมีหลายชุดและตรวจสอบไม่ง่าย เช่น หากวันนี้ลองค้นหาข่าวคนขับรถตู้ข่มขืนเด็กอายุ 13 ปี ก็ยังปรากฏข่าวนั้นอยู่ แม้ในห้วงเวลาที่เหตุปรากฏเป็นข่าว อีก 3 วันหลังจากนั้นจะมีข่าวที่ให้ข้อมูลใหม่เพิ่มเติม คือเด็กอายุ 13 ปี สารภาพว่าสร้างเรื่องขึ้นมาเองไม่ได้มีการข่มขืนเกิดขึ้นจริง แต่ข่าวแรกที่คนขับรถตู้ข่มขืนเด็กอายุ 13 ปี ยังคงอยู่บนโลกออนไลน์ ไม่ได้ถูกลบออกไปแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีเรื่อง อคติ ใครชอบสิ่งใดก็จะค้นหาแต่สิ่งนั้น  

สิ่งที่สำคัญคือ การคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) เห็นอะไรก็อย่าเพิ่งรีบเชื่อ แต่ให้ลองฝึกคิดแบบมองมุมต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาด้วยตัวอย่างกรณีประเทศกัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันกีฬาซีเกมส์ มีข่าวปรากฏทุกช่องทางว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่มีงบประมาณจึงต้องเปิดเว็บไซต์รับบริจาค ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ การเปิดรับบริจาคดังกล่าวทำเพื่อระดมเงินอัดฉีดนักกีฬาซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการจัดการแข่งขัน 

แต่สื่อที่เผยแพร่นั้นรู้ว่าผู้รับสารจะไม่สืบค้นข้อมูลไม่สงสัยและเชื่อโดยง่าย ประกอบกับปัจจุบันการแข่งขันในวงการสื่อนั้นรุนแรงมาก ในอดีตมีคำว่า Clickbait ที่หมายถึงการพาดหัวข่าวล่อให้เข้าไปดูแต่ระยะหลังๆ หันมาใช้การพาดหัวแบบยั่วให้โมโห เพราะได้ในเชิงกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก (Feeling) มากกว่า เช่น หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดหัวข่าวว่ากีฬาประสบความล้มเหลวในการแข่งขัน แต่กลับทำให้ยอดขายหนังสือพิมพ์ที่ขายได้น้อยลงกลับพุ่งขึ้นมา นี่คือตัวอย่างของการพาดหัวข่าวแบบยั่วโมโหแต่คนก็ตะครุบเหยื่อนั้นไป

กรณีการตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพประเภท หลอกให้รัก (Romance Scam)” เช่น ต้องการหาเหยื่อเป็นผู้หญิง คนร้ายมักจะสร้างบัญชีปลอมในสื่อสังคมออนไลน์ เป็นฝรั่งผิวขาวหน้าตาดี อ้างว่าเป็นทหารหรือแพทย์ เมื่อเหยื่อเริ่มตกหลุมรักก็บอกว่าเดือดร้อนต่างๆ นานา เริ่มให้โอนเงินไปให้จากจำนวนน้อยๆ จนถึงครั้งที่จะลงมือโดยหวังเป้าหมายใหญ่ ด้วยการอ้างว่าเพิ่งได้รับมรดกก้อนโตและต้องการมาใช้ชีวิตในประเทศไทยแต่ติดปัญหาบางอย่างทำให้ทรัพย์สินมีค่านั้นติดค้างที่สนามบิน ต้องขอให้โอนเงินไป

หากเหยื่อเป็นผู้ชาย คนร้ายมักจะสร้างบัญชีปลอมโดยใช้ภาพของหญิงสาวหน้าตาดี เมื่อเริ่มพูดคุยกันคนร้ายก็จะส่งคลิปวีดีโอที่มีเนื้อหาล่อแหลมมาให้โดยอ้างว่าเป็นคลิปของตนเอง   พร้อมชักชวนให้เหยื่อถ่ายคลิปวีดีโอแนวล่อแหลมของตนเองส่งกลับไปให้ดูบ้าง โดยอ้างว่าเดี๋ยวจะส่งคลิปที่เด็ดกว่านั้นให้ดูอีกเป็นการแลกเปลี่ยน เมื่อเหยื่อเกิดหน้ามืดหลงเชื่อถ่ายแล้วส่งกลับไปก็จะถูกนำไปใช้ขู่กรรโชกทรัพย์ (Blackmail) และยิ่งเหยื่อโอนไปเพราะกลัวถูกเผยแพร่คลิป คนร้ายก็จะยิ่งเรียกเงินจำนวนมากขึ้น

“สิ่งที่เราต้องทำคู่กันไป ทั้งงานหลักคือ  ทำอย่างไรไม่ให้ระบบถูกแฮ็ก มาตอนนี้ทำอย่างไรให้เกิดการสร้างวัฒนธรรมความตระหนักเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Human Firewall) ต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง  ไม่ใช่มีการเตือนภัยไซเบอร์เฉพาะเวลาที่เสียหายแล้วเท่านั้น  แต่ต้องมีการบอกกล่าวในห้วงเวลาที่เหมาะสมและสอดแทรกไปอย่างสม่ำเสมอ” พล.อ.ต.อมร กล่าว

พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท. กล่าวว่า การทำงานตรวจสอบข้อมูลของศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ จะอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญหรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อเผยแพร่ออกไปบางครั้งก็ไม่ตรงใจกับความคิดของคน เช่น เมื่อบอกว่าผลไม้ชนิดหนึ่งไม่ได้มีสรรพคุณดีเลิศตามที่ได้ยินมา ก็จะถูกโจมตีโดยกลุ่มคนขายผลไม้ กล่าวหาว่าไม่เปิดโอกาสให้ผลไม้ไทยบ้าง เป็นทาสนายทุนบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้นผ่านการตรวจสอบมาก่อนพูดหรือไม่

ความยากจึงเป็นการที่เราอยู่ในโลกที่มีข้อเท็จจริงหลายชุดและแต่ละคนมีข้อเท็จจริงที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นทุกคนพร้อมเปิดรับข้อเท็จจริงที่ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงก็ได้ แต่ขอให้รู้สึกว่าชอบหรือใช่ก็พอ จึงกลายเป็นโอกาสที่จะถูกหลอกด้วยเรื่องที่ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ เพราะการสร้างเรื่องจริงจากเรื่องที่ไม่จริงสามารถทำได้ง่าย อย่างไรก็ตาม การทำงานของสื่อมวลชนในการตรวจสอบว่าเรื่องใดจริง-ไม่จริง เป็นการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า หากจะแก้ปัญหาแบบยั่งยืนการศึกษาน่าจะเป็นคำตอบในระยะยาว

การศึกษาในที่นี้ หมายถึง เราจะทำอย่างไรให้คนทั้งประเทศหรือคนจำนวนมากๆ สามารถจะเรียนรู้ ไม่ใช่ได้รู้ข่าวใหม่ พรุ่งนี้ก็ลืมข่าวเมื่อวานซืนไปแล้ว แต่ต้องให้ความรู้ฝังอยู่กับทุกคน  สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ตรงนี้ก็เป็นโจทย์ที่ท้าทายในบทบาทสื่อ ทุกวันนี้มีสื่อที่ทำบทบาทเหล่านี้ เป็การสร้างความรู้ความเข้าใจ ทักษะการตระหนักรู้ต่างๆ พีรพล กล่าว

ดร.ชนินทร์ สุริยกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการกองสื่อสารวิทยาศาสตร์ อพวช. กล่าวว่า ในฐานะนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ พบว่า ยิ่งนำเสนอความทันสมัยของวิทยาศาสตร์มากเท่าใด ด้านหนึ่งประชาชนในสังคมได้ความรู้ในการใช้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้มิจฉาชีพรู้วิธีใช้เครื่องมือนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งความท้าทายคือประชาชนคนสุจริตทั่วไปเป็นคนกลุ่มใหญ่มีความสนใจที่หลากหลาย ในขณะที่มิจฉาชีพนั้นแม้จะมีจำนวนน้อยกว่าแต่มีเป้าหมายชัดเจน มีท่อน้ำเลี้ยงที่ดีและพร้อมจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อก่อเหตุ ประชาชนจึงต้องมีทุนในการรับมือ  

ซึ่งสิ่งที่ อพวช. พยายามทำคือการสร้างทุนทางวิทยาศาสตร์ เชื่อมวิทยาศาสตร์เข้ากับสังคม เพราะหากคนในสังคมมีทุนนี้มากขึ้น อันประกอบด้วยความรู้ ความคิด ทัศนคติและพฤติกรรม ก็จะใช้หลักเหตุผลและวิจารณญาณในการตัดสินใจมากขึ้นแต่ก็ยอมรับว่ายังแพ้มิจฉาชีพเพราะสู้ไม่ได้เรื่องเทคนิคการสื่อสาร กลายเป็นว่าต้องเรียนรู้จากมิจฉาชีพไปด้วย  

มีครั้งหนึ่งเจอโฆษณาผลิตภัณฑ์รักษาดูแลหัวเข่า มีแหล่งอ้างอิง มีรูปถ่าย มีอ้างชื่อบุคคลและสถาบันที่มีชื่อเสียง แบบนี้หากเป็นคนทั่วไปเห็นแล้วก็คงเชื่อ แต่เมื่อลองค้นหาข้อมูลย้อนกลับไป แม้แต่ชื่อบุคคลที่ถูกอ้างถึงจะมีอยู่จริงแต่ไม่ได้เป็นแพทย์ อีกทั้งภาพถ่ายยังไม่ตรงกับภาพของบุคคลที่นำมาใช้โฆษณา และตนเชื่อว่ายังมีโฆษณาลักษณะนี้อีกมาก ทั้งนี้ ภารกิจหลักของ อพวช. ไม่ใช่การมุ่งสร้างคนให้เป็นนักวิทยาศาสตร์เพราะเป็นเรื่องยากมาก แต่มีหน้าที่หนึ่งที่อธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ คือทำให้คนได้รับทุนทางวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ดำเนินชีวิตประจำวัน ผ่านการพัฒนาสื่อทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะต้องพิจารณาความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและเรื่องที่เกิดขึ้น

ผมเห็นว่าหากมีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งมีความพยายามในการแก้ปัญหาดังกล่าว   อาจจะทำได้เร็ว  แต่ไม่มีความต่อเนื่องในระยะยาวหรือมั่นคงมาก สิ่งสำคัญในวันนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน นอนาคตอันใกล้อาจมีการรวมตัวกันเฉพาะกิจเพื่อที่จะสร้างสื่อหรือกิจกรรมอะไรสักอย่าง เพื่อที่จะทำให้เกิดทุนทางวิทยาศาสตร์และปลูกฝังให้คนในสังคมมีทุนของวิทยาศาสตร์ในการใช้ในการตัดสินใจ ดร.ชนินทร์ กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ดูว่าเส้นแบ่งอะไรจริง-ไม่จริง เป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งยังไม่ต้องพูดถึงการถูกหลอกโดยมิจฉาชีพ ลำพังเพียงข่าวลือต่างๆ ที่ถูกส่งต่อกันมาไม่ว่าการเมือง ศาสนา สุขภาพ ฯลฯ ก็มีชุดข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งบางส่วนอาจเป็นข้อเท็จจริง แต่ก็จะมีส่วนที่ไม่จริงอยู่ด้วย แต่คนก็พร้อมจะเชื่อไปทั้งหมดโดยที่ไม่ได้วิเคราะห์แยกแยะตรวจทาน จนนำไปสู่ความเข้าใจผิดและส่งผลต่อการตัดสินใจ

เช่น หากเป็นเรื่องสุขภาพ แทนที่จะเข้ารับการรักษากับแพทย์ในโรงพยาบาลก็ไปกินสมุนไพรต่างๆ ที่อาจไม่ถูกโรค อย่างไรก็ตาม การทำงานของโคแฟคไม่ได้ไปตำหนิหรือกล่าวโทษคนที่เชื่อเช่นนั้น เพราะเรื่องราวก็ไม่ได้เป็นจริงหรือเท็จทั้งหมด 100% อาทิ การใช้กัญชารักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง หากเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย แพทย์ในโรงพยาบาลไม่รักษาแล้ว โดยแนะนำให้ใช้การประคับประคอง ซึ่งน้ำมันกัญชาอาจช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น แบบนี้ก็เข้าใจได้ แต่ไม่ใช่เป็นผู้ป่วยที่กำลังเข้ากระบวนการเคมีบำบัดแล้วไปใช้ผสมกัน

กระบวนการหาข้อมูลเหล่านี้เป็นเรื่องซับซ้อน ต้องอาศัยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเว็บไซต์ cofact.org จัดทำขึ้นในลักษณะกระดานข่าว (Webboard) ใครสงสัยอะไรก็มาถาม แต่คนที่ตอบต้องมีแหล่งอ้างอิงด้วย ซึ่งเป็นการฝึกทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เรื่องการจะเชื่ออะไรต้องมีข้อมูลสถิติหรือมีคำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญ ไม่ได้มาจากความรู้สึก และนำไปสู่จุดที่มีการยอมรับร่วมกัน 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายก็เป็นทางเลือกของแต่ละคนว่าจะเลือกเชื่ออย่างไรหลังจากได้ข้อมูลแล้ว เป็นเรื่องส่วนบุคคลตราบเท่าที่ความเชื่อนั้นไม่กระทบต่อสาธารณะหรือสังคมโดยรวม แต่อย่างน้อยต้องมีกระบวนการกระตุ้นให้ค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ซึ่งโคแฟคเรียกว่าการหาความจริงร่วม ฝึกให้รู้จักการตั้งคำถามและตรวจสอบ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาโคแฟครณรงค์เรื่องการรับมือ ชีปเฟค (Cheapfake)” หรือข่าวลวงที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน 

ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI) บวกกับคนยุคนี้ใช้เวลากับโทรศัพท์มือถือมากขึ้น ทำให้ยากจะรู้ได้ว่าอะไรจริง-ไม่จริง โดยปัญญาประดิษฐ์จะเรียนรู้จากข้อมูลที่มนุษย์ป้อนเข้าไป ดังนั้นโคแฟคจึงพยายามขยับประเด็น โดยการรับมือข่าวลวงแบบเดิมๆ หรือชีปเฟคยังคงต้องทำต่อไป แต่การหลอกลวงแบบใหม่ๆ เช่น ดีปเฟค (Deepfake)” ที่ใช้เทคโนโลยี AI มาช่วยตัดต่อภาพหรือเสียง ก็เป็นเรื่องที่ต้องหาทางรับมือ 

โดยนับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา โลกได้เข้าสู่ยุคที่ปัญญาประดิษฐ์เรียนรู้จากมนุษย์ ยุคนี้ AI อาจยังไม่ค่อยฉลาดมากนัก แต่ก็จะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2573  จะเป็นยุคที่มนุษย์ต้องทำงานร่วมกับ AI คนที่เป็นวัยทำงานในเวลานั้นคงต้องปรับตัวเข้ากับการมีเพื่อนร่วมงานที่เป็น AI และจะซับซ้อนยิ่งขึ้นหลังปี 2583 เพราะมนุษย์จะต้องใช้ชีวิตร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ ดังนั้นย่อมส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อมนุษย์ในแง่จิตวิญญาณ เช่น ความเหงา ซึมเศร้า และอาจนำไปสู่การค้นหาคุณค่าของชีวิตกลับคืนมา เพราะมนุษย์อย่างไรก็ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง และมีความทุกข์ แต่เทคโนโลยีอาจไม่ได้ตอบโจทย์ในจุดนั้น อาจเป็นยิ่งกว่าการหลอกลวง แต่เป็นการทำให้ต้องตั้งคำถามถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ เรื่องนี้อาจดูไกลตัวสำหรับคนรุ่นที่พูดอยู่ ณ ปัจจุบัน แต่กับคนรุ่นที่กำลังจะเรียนจบซึ่งหลังจากนั้นก็จะต้องมีครอบครัว-มีลูก ซึ่งในยุคนั้นสังคมจะยิ่งมีความท้าทายมากขึ้น         

อยากจะให้ทุกภาคส่วนเตรียมการตั้งแต่วันนี้ในการเตรียมสิ่งที่จะรับมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทักษะ เทคโนโลยี การเท่าทันที่มันเป็นเรื่องเชิงปัญญา (Intellectualที่จะรับมือกับปัญญาประดิษฐ์ แต่ที่ลึกซึ้งไปกว่านั้นก็คือการเตรียมความพร้อมจิตใจความเป็นมนุษย์ด้วย ที่เราต้องดูแลให้เยาวชนของเรามีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมกับรับมือกับความเปลี่ยนแปลง แล้วเขาจะต้องเผชิญกับสิ่งที่มันเสมือนจริง จนกลายเป็นความจริงเสมือนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราไม่รู้ว่าผลกระทบในโลกข้างหน้ามันจะเป็นอะไรบ้างสุภิญญา กล่าว

หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถรับชมการเสวนาย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/nstfairTH/videos/376203455498401/?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 24 สิงหาคม 2567

ถอดโคเคนออกจากยาเสพติดให้โทษ ครอบครองได้อย่างถูกกฎหมาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/e69zjkujdley


กินเต้าหู้ถั่วเหลืองทำให้เป็นโรคพาร์กินสัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2w54qicz0oc43


ผักโขมไร้หนาม มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคเบาหวาน และช่วยบำรุงกำลัง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2pzg760a95lg4


กลืนเมล็ดฝรั่งทำให้เป็นไส้ติ่งอักเสบได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1h4nhw96qpi58


อาบน้ำหลัง 6 โมงเย็น จะทำให้ม้ามอ่อนแอ ปวดเข่า ความจำไม่ดี ผมร่วง และเลือดจางได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/vqrunvwkvmnz


 ติดตามสถานการณ์โรคฝีดาษวานรทั่วโลก และเพิ่มมาตรการตรวจคัดกรองสุขภาพ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ucczbbtllwuf


 สทนช. ประกาศเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 17-24 ส.ค. 67

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ebwy88z1sth7


น้ำส้มสายชู เกลือ น้ำยาล้างจาน สามารถใช้ยาฆ่าหญ้าได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/28rebsqxd2esc


 การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดจะช่วยให้สิวหาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/17ucnvlrd72kv


ไม่ควรอาบน้ำหลังรับประทานอาหารเสร็จทันที…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2rsddjojqbf8i


“ไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ” แคมเปญวันแม่ปีนี้จาก Whoscall ที่อยากจะร่วมปกป้องคุณแม่ทุกคนจากมิจฉาชีพ!

กิจกรรม

ข่าวสารจาก Whoscall

2024-08-07 | WhoscallTH

ราอยากชวนทุกคนมาร่วมกันปกป้องคุณแม่จากภัยร้ายที่เราอาจลืมนึกถึง จากข้อมูลที่เราพบว่า มิจฉาชีพมักจะเล็งเป้าไปที่คุณแม่และผู้สูงอายุ อาจเพราะรู้ว่าท่านมีเงินเก็บ เงินออม เงินเกษียณ หรือ เงินบำนาญ และหลายท่านอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับเทคโนโลยีเท่าไหร่ ทำให้กลายเป็นเหยื่อของแก๊งค์มิจฉาชีพได้ง่าย

 #ไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ ‍ Whoscall ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) สร้างแคมเปญพิเศษเพื่อปกป้องคุณแม่จากสายโทรศัพท์และข้อความหลอกลวงต่าง ๆ เพื่อให้แม่ๆรู้ทันมิจฉาชีพ อยากให้ทุกคนช่วยกันบอกต่อ เพื่อป้องกันภัยให้คุณแม่ของทุกคน

มาโหลดแอป Whoscall เพื่อปกป้องคุณแม่กันนะ พิเศษสุดๆ Whoscall ขอมอบพรีเมียม เบสิก ฟรี ให้คุณได้นำไปใช้ปกป้องคนที่คุณรัก ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคมนี้เท่านั้น!

Whoscall พรีเมียม เบสิก มีแล้วดียังไง? วันนี้จะมาบอกให้ทุกคนรู้ถึงข้อดีของ Whoscall พรีเมียม เบสิก ว่ามีดีตรงไหน เมื่อพูดถึงความปลอดภัยที่มาพร้อมกับความสะดวกสบายแล้ว ก็ต้องนึกถึงตัว Whoscall พรีเมียม เบสิก ที่มีการยกระดับคุณสมบัติหลักของ Whoscall ด้วยการอัปเกรดฟีเจอร์ต่างๆให้มีความสะดวกสบายมากขึ้นแก่ผู้ใช้ คือ

1. อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติ แอปพลิเคชันจะอัปเดตฐานข้อมูลใหม่ๆให้อัตโนมัติโดยไม่ต้องเข้าไปกดอัปเดตที่หน้าแอปพลิเคชัน

2. บล็อกสายสแปมอัตโนมัติ Whoscall จะรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกร้องเรียนจากผู้ใช้อยู่บ่อยครั้ง เช่น โทรศัพท์จากบุคคลที่แอบอ้างทางธุรกิจ มิจฉาชีพ การโทรแกล้ง และอื่นๆ เมื่อเปิดใช้งานฟังก์ชันบล็อกสายอัตโนมัติแล้ว ก็ไม่ต้องรับมือกับสายเหล่านั้นให้วุ่นวายใจอีก และที่สำคัญเบอร์โทรศัพท์เหล่านั้นจะไม่ทราบด้วยว่าถูกบล็อกอยู่ ซึ่งสายเหล่านั้นจะถูกตัดสายทันทีที่โทร

3. ตัวช่วยจัดการ SMS อัจฉริยะ ที่สามารถจัดข้อความเข้าหมวดหมู่โดยอัตโนมัติ และสามารถแยก SMS ขยะออกไปได้ทันที เพื่อให้คุณไม่พลาดกับข้อความสำคัญ และไม่ต้องกังวลกับข้อความที่มีลิงค์อันตรายอีกต่อไป และสำหรับผู้ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ สามารถใช้ฟังก์ชันพิเศษ “สแกน SMS อันตรายอัตโนมัติ” ที่จะทำการสแกนลิงก์ URL และแจ้งเตือนหากพบลิงก์อันตรายที่แนบมากับ SMS โดยอัตโนมัติ

เท่านี้ผู้ใช้ก็ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นแถมปลอดภัยจากมิจฉาชีพที่ไม่ได้มาแค่สายโทรเข้าอย่างเดียว แต่อาจจะมาในรูปแบบอื่น เช่น SMS หรือ จะเป็นตัวลิงก์ URL ที่มากับตัวข้อความ ซึ่ง Whoscall พรีเมียม เบสิก ตัวนี้ก็จะคอยปกป้องผู้ใช้ให้เรารู้ทันก่อนภัยที่จะมาถึง แค่นี้เราก็รู้เเล้วว่าการใช้ Whoscall พรีเมียม เบสิก ด้วยฟีเจอร์ต่างๆมันดียังไง

สามารถนำรหัส Whoscall พรีเมียม เบสิก มาแลกได้ง่ายๆแค่ทำตามขั้นตอนนี้…

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Whoscall (https://app.adjust.com/1fn7ac5v)

เข้าไปที่เว็บไซต์ https://redeem.whoscall.com/th

ล็อกอินเข้าระบบด้วยบัญชี Facebook หรือ Google ที่สมัครไว้ในแอป Whoscall

กรอกรหัสสำหรับและกดรับสิทธิ์ เมื่อกดรับสิทธิ์แล้วหมายถึงการยอมรับเงื่อนไข Whoscall พรีเมียม เบสิก

หมายเหตุ :รหัส Whoscall พรีเมียม เบสิก สามารถแลกได้ด้วยบัญชีผู้ใช้ที่ยังไม่ได้สมัคร Whoscall พรีเมียมอยู่เท่านั้น โปรดยกเลิกการสมัครหรือรอให้สถานะหมดอายุก่อนที่จะแลกรหัสใหม่

Whoscall ใช้ได้ในระบบ iOS 14 & Whoscall v3.42.0 ขึ้นไป / Android OS 6 & Whoscall 7.20 ขึ้นไป

http://whoscall.com/th/contact หรือ Service Gogolook

เงื่อนไขและข้อกำหนดการรับ Whoscall พรีเมียม เบสิก ในแคมเปญไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ

1. รหัส Whoscall พรีเมียม เบสิก จำนวน 500,000 สิทธิ์ เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมกิจกรรมแคมเปญ “ไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ” โดยรหัสที่ได้รับจะสามารถใช้ Whoscall พรีเมียม เบสิก ได้ระยะเวลา 60 วัน (ปกติราคา 118 บาทต่อ 1 รหัส) และเมื่อครบระยะเวลาใช้งาน Whoscall พรีเมียม เบสิก 60 วัน

ระบบจะปรับเป็น Whoscall แบบใช้ฟรีโดยอัตโนมัติ

2. ผู้ใช้ Whoscall สามารถนำรหัสไปใช้ หรือแนะนำให้คุณแม่ และคนที่ท่านห่วงใยเพื่อใช้งาน Whoscall พรีเมียม เบสิก โดยเข้าไปกรอกรหัสได้

ตั้งแต่วันที่ 7 – 31 สิงหาคม 2567 (หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด)

3. รหัสนี้สามารถแลกได้ด้วยบัญชีผู้ใช้ที่ยังไม่ได้สมัคร Whoscall พรีเมียม หรือ Whoscall พรีเมียม เบสิก อยู่เท่านั้น โปรดยกเลิกการสมัครหรือรอให้สถานะหมดอายุก่อนที่จะแลกรหัสใหม่

4. สิทธิพิเศษนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดหรือโปรโมชั่นอื่นๆและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเงินสดได้

5. บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด และ/หรือเงื่อนไขต่าง ๆ นี้ โดยไม่ต้องแจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้า

6. หากลูกค้าท่านใดมีข้อสงสัย หรือ ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ Whoscall สามารถติดต่อเราได้ที่ติดต่อเราได้ที่ https://whoscall.com/th/contact และอ่านรายละเอียดและเงื่อนไขการให้บริการ Whoscall เพิ่มเติมได้ที่ https://whoscall.com/th/terms

#whoscall

#ไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ

‘กฎหมายคุ้มครองเด็ก’ในยุคโซเชียล เรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องรู้ไว้ป้องกันการกระทำผิด

กิจกรรม

“Cofact Live Talk” โดยภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) รับชมผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ได้รับเกียรติจาก วุฒิชัย​ พุ่มสงวน อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์อัยการคุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและสถาบันครอบครัว เป็นวิทยากรในหัวข้อ “ทบทวนกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในสื่อมวลชน สื่อสังคมออนไลน์ และปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง” 

อัยการวุฒิชัย​ เล่าถึงภารกิจของศูนย์อัยการคุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและสถาบันครอบครัว ซึ่งรับผิดชอบกฎหมายเด็ก มีการประสานงานกับพนักงานสอบสวนและนักสังคมสงเคราะห์ ทำให้รู้ว่าปัญหาความรุนแรงที่เกี่ยวกับเด็กมีอยู่มาก แต่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จากการที่เด็กสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้อย่างไม่จำกัดผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ ผ่านการสนับสนุนของพ่อแม่ผู้ปกครองที่ติดตั้งอินเตอร์เน็ตไร้สายและความเร็วสูง

ขณะที่คดีที่เข้ามา  มีทั้งเด็กและเยาวชนเป็นผู้ก่อเรื่องและผู้ถูกกระทำ จากเดิมที่เป็นแบบเจอหน้าตา แต่เมื่อมาอยู่ในลักษณะออนไลน์ ก็ต้องยอมรับความจริงว่าพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ค่อยจะเข้าไปสอดส่องดูแล้วให้บุตรหลานใช้อินเตอร์เน็ตอย่างปลอดภัย โดยหากดูข้อมูลตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา จะพบสถิติเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า ซึ่งเด็กตามกฎหมายคืออายุต่ำกว่า 18 ปี พบการตกเป็นผู้เสียหายจำนวนมาก ตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ อย่างการล่อลวงทางเพศหรือหลอกลวงให้ซื้อสินค้า ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการหลอกให้โอนแต้มในเกม

ที่เจอมากับตัวคือ ด็กดูยูทูบ แล้วเลียนแบบอิฟลูเอนเซอร์ ทุกคนเตือนหมดว่าอย่าไปทำ แต่เด็กไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ทำให้เกิดเรื่องขึ้น

หนึ่งในคำถามที่น่าสนใจคือ การที่ดาราหรือคนดังในสังคมนำเด็ก (ซึ่งโดยมากก็คือลูกของตนเอง) มาทำเนื้อหาต่างๆ เผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ สามารถทำได้หรือไม่? ประเด็นนี้หากมองในแง่กฎหมาย จะมีกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ซึ่งหากไปดูมาตรา 27 ที่ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศประเภทใด ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครอง โดยเจตนาที่จะทให้เกิดความเสียหายแกจิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ ดังตัวอย่าง เมื่อเจอเด็กที่ประพฤติตนไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม สิ่งที่ถูกต้องที่ผู้ใหญ่ต้องทำ คือแจ้งเจ้าหน้าที่ไม่ใช่ไลฟ์สด

อัยการวุฒิชัย ขยายความเรื่องนี้จากความรู้ที่ได้รับจากการทำงานกับนักจิตวิทยา ว่า สมองมนุษย์จะเติบโตอย่างสมบูรณ์จริงๆ ที่อายุ 25 ปี ดังนั้นอายุต่ำกว่า 18 ปี บอกได้เลยว่าทำตามอารมณ์ไม่ได้ตัดสินใจด้วยเหตุผล ประกอบกับสื่อสังคมออนไลน์ที่บางครั้งเรามองว่าเป็นเรื่องสนุกหากนำเด็กมาเต้น มาเล่น แต่ก็เป็นมุมมองส่วนตัวของผู้ใหญ่ที่โพสต์ เพราะเมื่อเผยแพร่บนโลกออนไลน์แล้วย่อมมีมุมมองที่หลากหลาย ในขณะที่หลายคนอาจมองเป็นเรื่องตลกหรือน่ารัก แต่ก็มีคนจำพวกมีรสนิยมใคร่เด็ก (Pedophile) หรือคนที่มองในมุมอื่น ก็ทำให้เกิดผลกระทบได้

ถามว่าคนโพสต์ผิดกฎหมายไหม? ก็คงต้องดูในลักษณะที่เป็นภววิสัย คือเชิงสังคมมองว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดไหม? เช่น คุณแม่ไลฟ์สดอาบน้ำลูก ซึ่งคุณแม่ก็เอ็นดูเด็ก แต่เมื่อไรที่มันขึ้นสู่โลกโซเชียลมีเดีย  จะไม่มีวันลบเลือน มันอยู่ไปได้หลายสิบปีจนเราตาย แล้วลองนึกถึงเด็กคนนี้โตมารู้เรื่อง ประมาณ 10-12 ปี แล้วเกิดมเพื่อนย้อนไปดูคลิปวีดีโอของแม่ในเฟซบุ๊กหรืออะไรต่างๆ แล้วก็เห็นรูปเรากำลังแก้ผ้าอาบน้ำอยู่ แล้วเอามาล้อเลียน อย่างนี้ก็จะเกิดปัญหา เกิดผลกระทบ แต่หากแก้ผ้าอาบน้ำเป็นเด็กทารก ก็อาจไม่ได้มีลักษณะเชิงเสียหาย แต่เด็กได้รับผลกระทบในด้านจิตใจแล้ว

มีเรื่องที่อยากฝากถึงอินฟลูเอนเซอร์ทั้งหลาย ว่าการล่วงละเมิดเด็กในลักษณะไปทำข่าวหรือไปทำข้อมูลซ้ำในทางที่ไม่เหมาะสม เป็นคดีอาญาแผ่นดิน หมายความว่าใครแจ้งความก็ได้  ผมอาจจะให้เป็นแนวคิว่า เด็กไม่ใช่สมบัติของพ่อแม่ แต่เด็กเป็นสมบัติของคนทั้งชาติ เพราะถ้าไม่คิดแบบนี้ก็คงไม่อนุญาตให้ทุกคนแจ้งความพ่อแม่ได้ ดังนั้นเวลาที่เราไปเจอกรณีที่พ่อแม่กระทำ ถึงแม้พ่อแม่จะไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น แต่ลักษณะการกระทำ วิญญูชนคนปกติเขาย่อมเข้าใจได้ว่า การแก้ผ้าลูกอาบน้ำมันเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ลูกอายุขวบสองขวบแล้วไม่ควรทำ อันนี้สามารถแจ้งความดำเนินคดีกับพ่อแม่ได้

อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องนี้อาจเป็นความผิดได้และมีการแจ้งความดำเนินคดี ศาลก็อาจใช้ดุลพินิจลงโทษสถานเบาหรือหนัก แต่ก็ต้องย้ำว่า ไม่สามารถอ้างความยินยอมของเด็กได้แม้จะเป็นลูกตนเอง” เพราะ พ.ร.บ. คุ้มคองเด็ก ให้หลักไว้ว่า 1.เด็กมีอายุต่ำกว่า 18 ปี ถือว่าอายุยังน้อย 2.อยู่กับพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่มีอำนาจโน้มน้าวใจ ส่งผลให้ในทางปฏิบัติอาจจะไม่มีใครกล้าแจ้งความก็ได้ ดังนั้นหากคิดตามหลักเด็กคือสมบัติของชาติไม่ใช่แค่สมบัติของพ่อแม่ องค์กรที่ทำงานด้านสิทธิเด็กก็อาจแจ้งความแทนได้ 

อัยการวุฒิชัย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งหลักฐานคลิปวีดีโอรายการต่างๆ มาปรึกษาว่าแบบนี้ผิดหรือไม่? ซึ่งหลายก็กรณีก็เข้าข่ายกระทำผิด เพียงแต่สังคมไทยเราอาจเคยชินกับการให้อภัย ก็อาจไม่ได้ดำเนินคดี อาศัยการตักเตือนไปก่อนโดยผู้โพสต์ก็รับปากว่าจะไม่ทำอีก แต่ในเวลาต่อมาก็ยังทำแบบเดียวกันซ้ำ ซึ่งหลายเรื่องสังคมก็ต้องช่วยกันดู บางครั้งอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่พ่อแม่ทำกับลูก แต่จริงๆ ไม่ใช่ หากไปเจอคนที่รู้กฎหมายแล้วไปแจ้งความก็จะเป็นคดีขึ้นมา 

เมื่อถามเพิ่มเติมว่า การที่พ่อแม่ขายของออนไลน์แล้วนำลูกมาร่วมในไลฟ์สดด้วยผิดหรือไม่? ประเด็นนี้ต้องบอกว่าเป็น เส้นบางๆ เพราะมุมหนึ่งมองได้ว่าลูกช่วยพ่อแม่หาเงิน ซึ่งหากเป็นลักษณะที่ไม่ได้รับผลกระทบ เช่น ไม่ได้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชุดชั้นใน ดังตัวอย่างเคยมีกรณีเด็ก8 ขวบไปเต้นฮูลาฮุปหาเงินเลี้ยงดูยาย แม้จะมีเจตนาดีแต่การที่เด็กใส่ชุดว่ายน้ำไปเต้นก็ต้องพิจารณาได้ว่าไม่เหมาะสม แต่หากเป็นกรณีไลฟ์สดให้ลูกช่วยขายขนมทั่วๆ ไป แบบนี้ในความเห็นส่วนตัว มองว่าไม่ทำให้เด็กได้รับผลกระทบ แต่คนที่จะบอกได้ดีที่สุดคือนักจิตวิทยาเด็ก

โดยคนที่ทำงานด้านนี้จะมีมาตรฐานว่าเด็กแต่ละวัยจะมีพัฒนาการด้านจิตใจอย่างไรบ้าง และหากต่ำกว่ามาตรฐานก็อาจเป็นความผิดได้ ซึ่งหากไปดู กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแล พ.ศ. 2549 มีการกล่าวถึง พัฒนาการที่สมวัย ก็มีประเด็นต้องระวัง เช่น พ่อแม่ไลฟ์สดขายของหลังเวลา 22.00 น. ลากยาวไปถึง 02.00-03.00 น. แล้วนำลูกมาช่วยขายของด้วย ทั้งที่เวลานั้นควรเป็นเวลาพักผ่อนของเด็ก หากจิตแพทย์ประเมินว่าส่งผลกระทบต่อสมองเด็ก ก็อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายได้

อัยการวุฒิชัย อธิบายเพิ่มเติมในส่วนของ “สื่อลามกอนาจาร” ว่าหมายถึงการเห็นหัวนมหรืออวัยวะเพศ และมีลักษณะส่อไปในทางเพศ ซึ่ง “ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287/1” ระบุว่า (วรรคหนึ่ง) ผู้ใดครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (วรรคสอง) ถ้าผู้กระทำความผิดดังกล่าวส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หรือสรุปได้ว่า มีสื่อลามกเด็กในครอบครอง อาจถูกโทษจำคุกได้สูงสุด 5 ปี แต่หากส่งต่อให้บุคคลอื่น โทษจะหนักขึ้นเป็นจำคุกได้สูงสุดถึง 7 ปีนอกจากนั้น หากนำไปเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ต ยังจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ในส่วนของ มาตรา 14 (4) ที่ระบุว่า ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ (นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพิ่มอีกข้อหาหนึ่ง ทั้งนี้ คำว่า ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ รวมถึงช่องทางที่ต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงด้วย

กรณี การใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างสื่อลามกอนาจาร จะมีความผิดหรือไม่?อัยการวุฒิชัย กล่าวว่า บางครั้งการสร้างจะใช้คำสั่งผนวกระหว่างรูปภาพหนึ่งกับอีกรูปภาพที่มีความเซ็กซี่ (Sexy) แต่คำว่าเซ็กซี่ในระบบคอมพิวเตอร์บางทีก็ไม่เหมือนกัน เช่น ใส่ชุดว่ายน้ำ ใส่ชุดนักเรียน ไปจนถึงใส่ชุดชั้นในแบบจี-สตริง หรือชุดชั้นในแบบบางๆ ก็ต้องบอกว่า หาก AI สร้างผลงานเองก็ไม่มีความผิด แต่หากมีคนกำหนดคำสั่งคนคนนั้นก็อาจมีความผิดได้ อาทิ นำภาพบุคคลหนึ่งไปสวมทับกับเรือนร่างของอีกบุคคลหนึ่งที่มีลักษณะเซ็กซี่

ต้องเปรียบเทียบก่อน AI ก็เป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง เหมือนเราเอากระดาษสีไปแปะบนหน้าชิ้นนั้นชิ้นนี้ แต่ตอนที่ไปเผยแพร่ คนที่เผยแพร่ก็มีความผิดด้วย แล้วถึงบางทีเราทำเล่นๆ อยู่ที่บ้านแล้วเกิดมันหลุดรั่วออกมา มันก็มีโอกาส บางทีเราลบแล้วมันลบไม่หมด ฉะนั้นตัว AI อาจจะไม่มีความผิด แต่คนที่ออกคำสั่งกับคนที่เอาไปเผยแพร่อันนี้มีความผิด และโทษหนักด้วย” 

อัยการวุฒิชัย กล่าวเพิ่มเติมในประเด็นการสร้างสื่อลามกด้วย AI ว่า กฎหมายที่น่าจะนำมาประยุกต์ใช้ได้ คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 16 ที่ระบุว่า ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท

อย่างไรก็ตาม “AI เป็นเครื่องมือที่ขยายศักยภาพในการก่อเรื่องราว” ซึ่งก็มีทั้งด้านที่เป็นคุณและเป็นโทษ และตนก็เคารพเสรีภาพในการใช้สื่อหรือใช้คอมพิวเตอร์ แต่สิ่งที่ต้องมีคือ “ระบบยืนยันตัวตนว่ามีอายุถึงวัยอันควร” โดยอาจใช้ข้อมูลชีวภาพ เช่น บัตรประชาชนประกอบกับลายนิ้วมือ เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์อายุขั้นต่ำไม่ว่าจะเป็น 18 ปี 20 ปี หรือ 25 ปี ตามที่ผู้พัฒนาประโปรแกรมอนุญาตให้ใช้ จึงต้องทำให้เด็กและเยาวชนได้เติบโตอย่างแท้จริงตรงตามอายุที่ผู้พัฒนาโปรแกรมกำหนดไว้ ไม่ใช่ใส่ข้อมูลได้เองโดยที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง  

หมายเหตุ : ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถรับชมคลิปเต็มย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/2029724844090039/


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 17 สิงหาคม 2567

น้ำกัญชาคั้นสด ป้องกันและรักษาโรคได้ดีกว่าสารสกัดกัญชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1frzav2kjkmin


อายุ 19 ปีขึ้นไป สามารถลงทะเบียนเพื่อรับเงินช่วยเหลือการว่างงานจากรัฐบาล…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3srqp7kucm36q


สำนักงานประกันสังคมประกาศขายข้าวหอมมะลิแท้ผ่านเพจเฟซบุ๊ก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1h73n2bra4h4i


 ‘อียู’ ยกระดับการเตือนภัย ‘ฝีดาษลิง’ เคลด 1 คาดมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/17zc8ic5d6ur5


ใช้ห้องน้ำสาธารณะเสี่ยงติดเชื้อ HPV

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3sopitiki8g72


นั่งรถทัวร์เที่ยวเมืองรองภาคอีสาน – ตะวันออก กับบขส. ลดค่าโดยสาร 20%

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3sgb23z4dlzwp


รัฐบาลลดค่าเช่าตลาดนัด 3 เดือน ช่วยผู้ประกอบการรายเล็ก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/xytu1nazp9mq


รับประทานผลไม้สีสดใส ช่วยขับสารพิษและลดอาการอักเสบ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2f4k74jwjnm45


ห่วง‘ข้อมูลลวง’ระบาดง่ายเหตุเทคโนโลยีทำได้เนียนในราคาถูก แนะรัฐทุ่มทรัพยากรรับมือมิจฉาชีพออนไลน์

กิจกรรม

ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน “Wit in Bangkok 2024” เปิดพื้นที่เพื่อคนรักวิทยาศาสตร์และประชาชน โดย กรุงเทพมหานคร (กทม.) ระหว่างวันที่ 10-11 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา  ณ สวนป่าเบญจ-กิติ ผ่านกิจกรรมเสวนา “อย่าแชร์ก่อนชัวร์” ช่วงเย็นของวันที่ 11 ส.ค. 2567 พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “The Principia”

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า เมื่อพูดถึงคำว่า ข่าวลวงไม่ค่อยอยากให้ใช้คำว่า Fake News” แต่ก็พอรับได้เพราะกลายเป็นคำที่ติดปากไปแล้ว เพราะคำว่า “News” หรือ ข่าว ไม่ควรจะเป็นเรื่องไม่จริง (Fake) อยู่แล้ว เนื่องจากข่าวคือสิ่งที่อยู่บนฐานของข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งในภาพรวมจะเรียกสิ่งนี้ว่า Misinformation (ข้อมูลคลาดเคลื่อน) หรือ Disinformation (ข้อมูลบิดเบือน) หมายถึงข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดซึ่งอาจเป็นได้ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ

ทั้งนี้ ข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในยุคดิจิทัลข้อมูลเหล่านี้ถูกทำให้แพร่กระจายไปเร็วมาก ซึ่งทุกคนกลายเป็นผู้สื่อข่าวในโลกออนไลน์ แต่ด้วยทั้งความเร็วและปริมาณก็ทำให้รับมือไม่ไหว หลายอย่างจึงไปไกลมาก และเมื่อคนเชื่อไปแล้วก็ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ไม่ว่าการเมือง สุขภาพ ไปจนถึงการตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ อีกทั้งปัญหายังซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยด้านเทคโนโลยี

เมื่อดูสถานการณ์ในประเทศไทย ฮูสคอลล์ (Whoscall) แพลตฟอร์มระบุตัวตนสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จักและป้องกันสแปม ระบุว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา พบคนไทยถูกมิจฉาชีพหลอกลวงผ่านการโทรศัพท์ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) หรือการส่งข้อความ(แนบ Link) มากเป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย รวมมูลค่าความเสียหายหลักหมื่นล้านบาท นอกจากนั้นยังมีการหลอกให้รัก (Romance Scam) หรือหลอกให้ลงทุน มิจฉาชีพออนไลน์จึงเป็นปัญหาใหญ่

ดังนั้นแล้วภาครัฐควรเน้นให้ถูกจุด เช่น กรณีของประเทศไทย ที่ประชาชนคนไทยใจดีหรือใจอ่อนในแง่หลงเชื่อมิจฉาชีพกันมาก ดังนั้นการทุ่มเททรัพยากรของภาครัฐในการแก้ปัญหา อาทิ การตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวลวง ก็ควรให้ความสำคัญกับการช่วยให้ประชาชนสามารถรับมือมิจฉาชีพได้มากขึ้น แต่ที่ผ่านมาภาครัฐอาจทุ่มเททรัพยากรไปเพื่อการสกัดกั้นข้อมูลที่เป็นเรื่องการเมือง

“เรื่องมิจฉาชีพ ไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ ช่วงแรกเข้าใจว่าเป็นปรากฏการณ์ แต่เหมือนกับยิ่งแก้ยิ่งหนัก เหมือนกับมีการรณรงค์มากขึ้นแต่คนก็ยิ่งถูกหลอกมากขึ้น แล้วข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทยนี่คือหลุดถล่มทลาย วันก่อนมีโอกาสไปประชุมในวงหน่วยงานราชการในภาคโทรคมนาคม ก็ตกใจอยู่เหมือนกัน มิจฉาชีพรู้กระทั่งจำนวนเงินในบัญชีของคุณ ฉะนั้นไม่เหลืออะไรแล้ว มิจฉาชีพโทรมาแล้วรู้กระทั่งว่าเรามีเงินในบัญชีเท่าไร ทำให้คนพร้อมจะเชื่อว่าเป็นจริง” สุภิญญา กล่าว

รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หากนับระยะเวลาสิบกว่าปีที่ตนสื่อสารประเด็นต่างๆ ที่สังคมสงสัยหรือร่ำลือกันด้วยข้อเท็จจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ มีทั้ง ข่าวดีคือคนไทยมีวิจารณญาณมากขึ้น เช่น เรื่องน้ำมะนาวผสมโซดาสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ในอดีตตนต้องคอยไปตามอธิบายอยู่เรื่อยๆ ว่าไม่เป็นความจริง แต่เมื่อทำบ่อยๆ ข้อมูลที่เคยถูกแชร์วนซ้ำแบบถี่ๆ ก็มีความถี่ลดลง จากแทบทุกวันก็ลดเป็นหลักสัปดาห์ หลักเดือน หรืออาจแชร์กลับวนมาเพียงปีละครั้ง

ขณะเดียวกัน การตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ยังมีองค์กรอื่นๆ เข้ามาร่วมทำด้วย เช่น ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ภาคีโคแฟคฯ ตลอดจนสื่อมวลชน ประกอบกับผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเองหลายครั้งก็ช่วยเข้าไปอธิบายว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรเวลาที่มีใครโพสต์หรือแชร์ข่าวลวง ทั้งนี้ ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแม้จะเป็นเรื่องเดิมๆ แต่ก็ยังสามารถถูกแชร์ต่อไปได้โดยย้ายไปยังแพลตฟอร์มที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น จากจดหมายลูกโซ่สู่ Forward Mail แล้วมาสู่เว็บบอร์ด จากนั้นก็มาสู่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อย่างทวิตเตอร์ (X) เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ติ๊กต๊อก

แต่ ข่าวร้าย คือมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องซึ่งเป็นเรื่องใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพราะปัจจัยหลักที่ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ดำรงอยู่ได้คือ กิเลส เช่น กลัวมากๆ ชอบมากๆ อย่างช่วงที่เกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 คนที่ทำงานรับมือข่าวลวงต้องทำงานหนักตั้งแต่ช่วงที่โรคยังไม่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยจนกระทั่งถึงช่วงที่เริ่มระดมฉีดวัคซีน การรับมือจึงต้องค้นหาข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ หรืออย่างเมื่อเร็วๆ นี้กับกรณีปลาหมอคางดำ ก็ยังมีข่าวลวง เช่น ปลานิลคางดำ ที่กลายพันธุ์จากปลาหมอคางดำ หรือเป็นลูกผสมกับปลาหมอคางดำ เป็นต้น

ความน่าห่วงอีกประการหนึ่งคือแพลตฟอร์มประเภทคลิปวีดีโอ เช่น ติ๊กต๊อก เพราะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือ เพราะสื่อวีดีโอนั้นดึงดูดสายตาคน ประกอบกับมีคนจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้ผลิตเนื้อหา (Content Creator) ที่มุ่งทำทุกอย่างหรือทำอะไรก็ได้เพื่อให้มียอดผู้ติดตามหรือยอดส่งต่อเนื้อหามากที่สุด ดังนั้นแม้จะเป็นข่าวลวงที่เคยถูกแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องไปแล้ว ก็พร้อมที่จะถูกหยิบมาเล่าใหม่พร้อมภาพประกอบ รวมถึงบรรดาคนมีชื่อเสียงในสังคมก็ยังลงมาเป็นผู้ผลิตเนื้อหาผ่านแพลตฟอร์ม ซึ่งเมื่อเห็นว่าเป็นเนื้อหาจากคนดัง หลายคนก็พร้อมจะเชื่อทันที

“สถานการณ์ในมุมที่บอกว่ามันดีขึ้น มันก็มีสถานการณ์ที่ดูแล้วน่าเป็นห่วง คนระดมเข้ามาทำข่าวปลอมด้วยความตั้งใจเพื่อให้คนแชร์ในปริมาณเยอะขึ้น และที่น่าห่วงที่ ณ เวลานี้ การเข้ามาของ AI (ปัญญาประดิษฐ์) น่ากลัวมาก ปัญญาประดิษฐ์ทำให้จากที่เคยว่ารูปนี้ตัดต่อ ใช้ Photoshop ดูก็รู้รอยต่อ ณ วันนี้มันเนียนมาก มันมีทั้งภาพ AI วีดีโอ AI หรือแม้แต่เสียง AI ซึ่งเริ่มถกเถียงกันว่าตกลงเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง?” รศ.ดร.เจษฎา ระบุ

พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท. กล่าวว่า เราถูกหลอกในหลายมิติ เช่น สุขภาพที่เป็นเรื่องส่วนตัว สุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อนโยบายของหน่วยงาน มิจฉาชีพหลอกลวงออนไลน์ ข้อมูลข่าวสารเรื่องการเมืองต่างๆ แต่ความรุนแรงที่แต่ละคนรับในแต่ละเรื่องนั้นไม่เท่ากัน เช่น คนที่สนใจวิทยาศาสตร์ อะไรที่ป้องกันได้ด้วยแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ก็อาจไม่ตกเป็นเหยื่อ แต่อาจตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพประเภทหลอกให้รักเพราะเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก 

ดังนั้นการรับมือจึงไม่อาจทำได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้นก็หลากหลายขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล หรือแม้แต่ในบุคคลนั้นก็ยังมีปัจจัยเรื่องสถานการณ์เข้ามาด้วย เช่น ทำงานมาเหนื่อยๆ สมองล้า เจอความผิดหวังจากงาน ก็ทำให้หลงเชื่อง่ายขึ้น โดยสรุปแล้วผลกระทบจากข่าวลวงหรือข้อมูลเท็จเป็นเรื่องที่กำหนดได้ยากว่าเรื่องใดเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดหรือรุนแรงที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับมุมที่แต่ละคนมองว่าให้ความสำคัยกับอะไร บางคนอาจมองเรื่องเงิน แต่บางคนก็มองเรื่องสุขภาพ

แต่การถูกหลอกที่ทำให้เราสูญเสียมากๆ คือการถูกหลอกโดยอุบายของมิจฉาชีพซึ่งมีหลายวิธี และอาจมีสักวิธีหนึ่งที่เราตกเป็นเหยื่อได้ อีกทั้งปัจจุบันต้นทุนในการหลอกลวงก็มีราคาถูกลงอย่างมากทั้งนี้ ต้องคิดให้ดีก่อนที่จะเชื่ออะไร เช่น มีไลน์ส่งเข้ามาก็ต้องคิดว่าเป็นคนคนนั้นส่งข้อความมาจริงหรือไม่ หรือเป็นการนำรูปและชื่อมาใช้ หรือมีการเปิดเพจอ้างว่าเป็นรีสอร์ตแห่งหนึ่ง ก็ต้องคิดว่าคนเปิดเป็นเจ้าของรีสอร์ตนั้นจริงหรือไม่ 

โดยหลักของชัวร์ก่อนแชร์ คือการต้องตั้งคำถามกับสิ่งที่เราได้เห็นในสื่อสังคมออนไลน์ อาทิ จริงไหม? ครบไหม? เก่าไหม? มีอคติไหม? เกี่ยวข้องกันไหม? เพราะมีทั้งเรื่องเก่า เรื่องไม่จริง เรื่องโยงมั่ว เรื่องที่สร้างด้วยอคติ เรื่องที่พูดความจริงไม่ครบถ้วน เป็นต้น ซึ่งก่อนที่จะหยิบเครื่องมือต่างๆ มาตรวจสอบข้อเท็จจริง ต้องเริ่มจากการตั้งข้อสงสัย เพราะหากไม่สงสัยก็จะไม่นำไปสู่การหยิบเครื่องมือมาใช้ นอกจากนั้น “การแชร์ข้อมูลอยากให้คิดก่อนว่าจำเป็นต้องแชร์หรือไม่? และพร้อมจะรับผลที่ตามมาหรือเปล่า?” เพราะทุกการแชร์มีผู้ได้รับผลกระทบ

ผลกระทบมันมีหลากหลายทางมาก บางครั้งเราแชร์เรื่องแบบมะนาวโซดารักษามะเร็ง เป็นตัวอย่างคลาสสิก มะนาวโซดาก็กินได้ แชร์ไปกินไปก็อาจไม่เป็นไร คนป่วยกินไปก็ไม่เป็นไร คุณหมอก็จะเจอคนที่กระเพาะมีปัญหามาเพราะกินสิ่งที่เป็นกรดมากเกินไป ผมเคยคุยกับหมอ คุณหมอก็กังวลว่ามีคนหยุดการรักษาเพราะไปกินสูตรรักษามะเร็งต่างๆ แล้วหยุดการรักษา แล้วกลับมาอีกก็พ้นช่วง Golden Period (ช่วงเวลาแห่งการรักษา) ไปแล้ว ดังนั้นมันมีผลกระทบที่เกิดขึ้นในลักษณนี้ที่เราเห็นอยู่ พีรพลกล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

‘กลุ่มชาติพันธุ์-ชนพื้นเมือง’เรื่องใกล้ตัวทุกคน ลดอคติ-สร้างความเข้าใจสังคมทำได้ไม่ต้องรอนโยบาย

กิจกรรม

9 ส.ค. 2567 รายการ Cofact Live Talk โดยภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) รับชมผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ร่วมพูดคุยกับ วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์ นักวิชาการอิสระที่ขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาชุมชนแบบมีส่วนร่วมในเขตภาคเหนือตอนบน โดยนำประเด็น มายาคติและเรื่องเล่าที่ส่งผลต่อกลุ่มชาติพันธุ์ (Myths and misleading stories towards the indigenous)มาสนทนาเนื่องในโอกาสวันสากลว่าด้วยชนเผ่าพื้นเมือง 9 สิงหาคม ของทุกปี 

วิสุทธิ์ ฉายภาพสถานการณ์สิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ซึ่งมองในแง่กฎหมายหรือนโยบายมีการพัฒนา เช่น มีความพยายามผลักดันร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แต่สิ่งที่น่าสนใจคือปฏิบัติการทางสังคม หมายถึงคนไทยมีมุมมองต่อคนพื้นเมืองอย่างไรบ้าง เช่น มีความเข้าใจผิดอะไรที่ยังมีอยู่  

หากย้อนไปในยุคก่อนจะมีรัฐชาติเกิดขึ้น เราต่างก็เป็นชนพื้นเมืองโดยอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นอาณาจักรกระจัดกระจายกันไป ตามป่าตามเขาบ้าง ในพื้นที่ราบบ้าง

ในทางนโยบาย-กฎหมาย ได้เคลื่อนไปตามกระแสโลก โลกขยับไปอย่างไรบ้าง ประธานาธิบดีหลายๆ ประเทศกเป็นชนพื้นเมือง เราจะเห็นความเคลื่อนไหวงานเรื่องชนเผ่าทั่วโลกเลย ไทยเราก็เป็นหนึ่งในกระแส คือบางทีเราต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มันถูกเชื่อมโยงกับความเป็นสากล มันทำให้ประเด็นพวกนี้ในประเทศไทยเริ่มมีการขยับในเชิงนโยบาย การเมือง หรือสัดส่วนของกรรมการต่างๆ ที่มีกลุ่มชนพื้นเมืองเข้าไปมีส่วนร่วม ตั้งแต่การเมืองรวมถึงองค์กรต่างๆ ที่เป็นองค์กรสาธารณะ แม้แต่ ThaiPBS สื่อสาธารณะ ก็ยังมีสภาผู้ชมที่เป็นตัวแทนของกลุ่มชนพื้นเมือง ทำให้เริ่มมีกลุ่มต่างๆ แทรกเข้าไปอยู่ในนโยบายปฏิบัติ

อย่างในจังหวัดแม่ฮ่องสอน มี 9 กลุ่มชาติพันธุ์ เริ่มเข้าไปอยู่ในวิธีคิดการจัดกลไกของภาคประชาชน ส่วนภาครัฐอาจเริ่มในบางองค์กรที่เป็นองค์กรอิสระที่เริ่มมีสัดส่วนตัวแทนของกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้เกิดนโยบายที่มีความคืบหน้า  เช่น เรื่องคนอยู่กับป่า การจัดการทรัพยากร การจัดการแรงงาน เป็นต้น 

ขณะที่ในภาคปฏิบัติ จะเห็นกลุ่มชนพื้นเมืองเข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ในภาครัฐ เช่น ที่ว่าการอำเภอ ครู อสม. มีแม้กระทั่งเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) รวมถึงประชาชนในพื้นที่คุ้นเคยกับอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชาวกะเหรี่ยงสามารถสวมเสื้อผ้าที่แสดงอัตลักษณ์ของตนเอง ในพื้นที่สนามบิน สถานีขนส่งหรือตลาด โดยที่ไม่ต้องกังวลใจ อย่างไรก็ตาม หากนั่งรถโดยสารออกไปนอกพื้นที่อาจถูกถามเป็นพิเศษบ้าง ก็จะมีที่ขึ้นอยู่กับพื้นที่  หรือเสื้อคลุมแบบชาวลาหู่ที่สามารถใส่ขึ้นเครื่องบินได้ เป็นเรื่องของการสร้างการยอมรับในอัตลักษณ์ของชนพื้นเมือง

โดยทั่วไปแล้ว สำหรับประชาชนไมได้มีปัญหาอะไรมาก แต่จะมีประเด็นแทรกเข้ามาเรื่องการแย่งชิงประโยชน์ทรัพยากรหรือมีความขัดแย้ง ซึ่งหากหาจำเลยไม่ได้อาจหาใครสักคนเป็นแพะ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าเหตุใดสังคมไทยชอบแพะ เราต่างคนต่างก็เป็นแพะคนละมาก-คนละน้อย อาจไม่รู้ก็ได้แต่เหมือนเราพยายามหาถูก-หาผิด พอเป็นแบบนี้ก็กลายเป็นสังคมที่ลงกันไม่ได้

อันนี้เป็นประเด็นหนึ่ง ตอนนี้อยู่กันสบาย แต่เมื่อใดก็ตามเกิดเหตุอะไรขึ้นมาเขาก็จะโยนไปให้คนบากลุ่ม ที่เป็นกลุ่มชนที่ Underclass หมายถึงมีสถานะต่ำกว่า ซึ่งอาจจะไม่ใช่ชนพื้นเมืองก็ได้ แต่หมายถึงวิธีคิดที่ว่าคนที่โง่ๆ จนๆ เจ็บๆ พูดไม่ชัด หรือดูป้ำๆ เป๋อๆ อะไรแบบนี้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่เป็นเรื่องของการอคติต่อชนพื้นเมืองเสียทีเดียว เพราะว่ามันเหมือนกับถ้าคุณเป็น Underclass อาจไม่ใช่ชนเผ่าก็ได้ อาจจะโดนตีตราลงไปว่ากระทำผิดนั้นแต่ถ้าหากเป็นชนพื้นเมือง เหมือนมีแบรนด์อันหนึ่งที่ทำให้เขาง่ายที่จะถูกกล่าวโทษได้ง่ายขึ้นไปอีก ซึ่งไม่ได้หมายความว่าคนไทยไม่ดี แต่มันมีเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์บางอย่างที่เป็นเช่นนั้น

วิสุทธิ์ ขยายความในประเด็นนี้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์มักกลัวคนแปลกหน้า ทั้งคนพื้นเมืองและคนเมืองบางทีก็กลัวกันและกัน สมัยแรกๆ ที่ลงพื้นในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็วิ่งหนีเพราะไม่เคยเห็นหน้าตน บางหมู่บ้าน 30-40 ปี ไม่เคยมีคนที่พูดภาษาไทย แต่เมื่อเจอกันนานๆ ก็คุ้นเคยกันมากขึ้น แต่ตัวแปรสำคัญอยู่ที่กลไกการกำกับดูแลอำนาจ ซึ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำกันอยู่ มีกลุ่มที่ได้และเสียประโยชน์ โดยกลุ่มที่เสียประโยชน์มักเป็นกลุ่มที่แสดงตัวว่าเป็นชนพื้นเมือง แต่ชนพื้นเมืองเองก็ไม่เหมือนในอดีต คือมีความหลากหลาย จึงเป็นประเด็นที่ซับซ้อนกว่าเดิม

เมื่อถามถึง มายาคติ ที่กลุ่มชาติพันธุ์ถูกมอง นักวิชาการผู้นี้ ชี้หลายเรื่องที่ยังคงปรากฏในปัจจุบัน ได้แก่ 

1.ความสกปรกมอมแมม ซึ่งถูกเผยแพร่ผ่านสื่อโดยเฉพาะในสมัยก่อน แม้จะมีส่วนจริงแต่ก็อธิบายได้จากเงื่อนไขบริบทของพื้นที่ เช่น การหาน้ำอาจทำได้ลำบาก อากาศหนาวเย็น แต่ระยะหลังๆ ชนพื้นเมืองก็ปรับตัวไปมากเรื่องสุขอนามัย แต่ในทางกลับกัน คนในเมืองหรือคนรุ่นใหม่ ก็มองว่าเหตุใดคนบนดอยจึงแข็งแรงกว่า ดังนั้นมายาคติเรื่องความสกปรกมอมแมมหรือเรื่องกลิ่นก็ค่อยๆ หายไป อาจมีบ้างเรื่องการล้อเลียนในการเล่นตลก แต่ก็ไม่ค่อยเจอ กลายเป็นมีความน่ารักเข้ามาแทน เช่น เด็กน้อยแก้มแดงเนื้อตัวมอมแมม แต่ยอมรับว่าเหายังเป็นปัญหาอยู่ บนดอยเหาค่อนข้างดุ แม้กระทั่งเด็กโรงเรียนนานาชาติจากในเมืองไปทำกิจกรรมเข้าค่ายก็ยังติดเหา จึงเป็นเรื่องของพื้นที่ หากเข้าใจก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร

2.ยาเสพติด จริงอยู่ที่ยาเสพติดจะมีปัญหาระบาดทั่วประเทศ แต่กลุ่มชาติพันธุ์มักถูกมองแบบเหมารวมว่าสุ่มเสี่ยงจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจากเหตุปัจจัย เช่น อยู่ใกล้พื้นที่ชายแดน อยู่ใกล้แหล่งยาเสพติด ทำให้หลักสูตรการเรียนการสอนในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ เด็กจะถูกเน้นย้ำเรื่องยาเสพติดมากเพื่อระวังตนเอง ทั้งที่เด็กกลุ่มชาติพันธุ์ก็อยากจะเรียนด้านอื่นๆ ที่เหมือนกับเด็กในเมือง ซึ่งจะเชื่อมโยงกับสิทธิด้านการศึกษาด้วย เพราะเด็กชนพื้นเมืองจะถูกแทรกแซงด้วยภาพจำหรือตีตราว่าสุ่มเสี่ยงกับปัญหายาเสพติดซึ่งเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ แต่ก็ไม่เคยมีการประเมินว่านโยบายแบบนี้มีประสิทธิภาพหรือผลลัพธ์อย่างไร

3.การตัดไม้ทำลายป่า เป็นเรื่องที่โผล่มาเป็นพักๆ เวลามีข่าวเรื่องคนอยู่ในป่าแล้วมีข้อถกเถียงเรื่องป่าไม่ควรมีคนอยู่กับการที่กลุ่มชาติพันธุ์อยู่มาก่อนประกาศพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งลึกๆ มาจากวิธีคิดต่อคนที่แตกต่าง แต่แม้ไม่มีประเด็นป่าไม้ก็คงมีประเด็นอื่นมาอีกตราบใดที่ยังมองกลุ่มชาติพันธุ์ว่าไม่เกี่ยวข้องกับคนในเมือง แต่ระยะหลังๆ เรื่องป่าก็ดูจะซาลงไป เพราะมีคนที่ออกมาพูดสร้างความเข้าใจมากขึ้น มีสื่อนำเสนอเรื่องราว มีการมองเห็นผลิตภัณฑ์ชุมชน ขณะที่คนรุ่นใหม่ก็รู้จักวิธีหาความรู้มากขึ้น แต่อาจมีบ้างกับคนที่ยังติดยึดกับวิธีคิดแบบเก่าแล้วยังคลายไม่ได้

คือมันยากมาก แต่เราก็รู้ว่าไม่เป็นไร มันจะคลี่คลายตามยุคสมัย แต่ประเด็นคือมันจะสร้างลักษณะความเกลียดชังในรูปแบบใหม่ๆ เพราะว่าจุดนี้ตัวประเด็นมันอาจเปลี่ยนไปแล้ว แต่มันยังมีความกลัวอะไรบางอย่าง สมมติเหมือนกับว่าตรงนี้ซึ่งสำคัญมาก การสร้างกระแสขึ้นมามันก็ยังปลุกขึ้นมาได้ เช่น เจอคนอิสราเอลเรามักจะคิดถึงอะไร? มันเหมือนกับว่าทำไมเราคิดภาพนั้นขึ้นมา? ผมก็คุยว่าอิสราเอลกับปาเลสไตน์เขาแต่งงานกันก็มี แต่เผอิญมันเหมือนกับว่าการสร้างการเรียนรู้พวกนี้มันหายไปหรือเปล่า?” 

วิสุทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงบทบาทของคนทำงานด้านสื่อสารมวลชน โดยตั้งคำถามว่าสังคมอย่างนี้เราต้องช่วยกันสื่อสารหรือไม่ เพราะจะรอแต่กลไกเดิม รอคนที่ดูแลงานบริหารหรือนโยบายให้เปลี่ยนลงมานั้นทำไม่ได้แล้วเพราะช้าเกินไป เช่น สมมติตนไปแข่งกีฬาโอลิมปิกได้เหรียญรางวัล ตนอาจนำภรรยาที่เป็นชาวไทยใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าของกลุ่มชาติพันธุ์มาปรากฎตัวออกสื่อด้วย โดยมองว่ามีโอกาสทางสังคมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการรับรู้ นำไปสู่การเรียนรู้และการขับเคลื่อนการยอมรับใหม่ๆ โดยไม่ต้องรอการเปลี่ยนแปลงระดับนโยบาย รอพรรคการเมือง รอการเปลี่ยนกลไกระดับกว้างก็ได้ แต่มาจากมือเราทุกคน ถือเป็นปรากฎการณ์ใหม่ จากที่ในอดีตการขับเคลื่อนประเด็นกลุ่มชาติพันธุ์-ชนเผ่าพื้นเมืองต้องทำผ่านตัวแทน ตามวิถีประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) แต่ปัจจุบันกลายเป็นประเด็นของเราทุกคน และเราสามารถทำได้เพราะเป็นเรื่องที่อยู่กับเราอยู่แล้วเพียงแต่ยังมองไม่เห็น

เรายังไม่รู้ว่าเป็นชนอะไร แต่เรามีแน่ๆ อาจจะค่อยๆ แกะรอยไป บางคนอาจจะไปหาประวัติที่วัดก็ได้นะ เขาเรียกว่าพับสา หรือปั๊บสา (เอกสารบันทึกของล้านนา) หรือตำนาน มันจะเล่าเรื่องของต้นตระกูลเรา อันนี้ผมยังชี้ชวนว่าทุกคนมีต้นตระกูล ลองไปสืบดูก็ได้ว่าสาแหรกเรามาจากไหนบ้าง? แล้วเราจะสนุกกับมัน เรารู้จักตัวเรามากขึ้นว่าเราไม่ได้เป็นมนุษย์ล่องลอย ซึ่งก็ดีนะ หมายความว่าด้านหนึ่งเราเป็ Individual (ปัจเจกบุคคล) แต่มันจะดียิ่งกว่าถ้าเรารู้ว่าเรามาจากไหน? มันทำให้เราได้พลังเพิ่มเข้ามา” วิสุทธิ์กล่าวทิ้งท้าย

หมายเหตุ : ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกหลายประเด็นใน Cofact Live Talk “Myths and misleading stories towards the indigenous มายาคติและเรื่องเล่าาที่ส่งผลต่อกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ Link https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/470780145913965?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

‘เด็ก’เรื่องไม่เล็ก! จากยุคแอนะล็อกถึงเอไอ ภัยเก่ายังมี-ใหม่ก็มา กฎหมายต้องปรับให้ทัน-สร้างสังคมตระหนักรู้

8 ส.ค. 2567 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับเครือข่ายภาคี จัดงาน “Digital Thinkers Forum #27 เวทีนักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 27 ทบทวนการคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากยุคแอนะล็อกถึงยุคปัญญาประดิษฐ์” ณ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ และถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก ไทยพีบีเอสและ  Cofact โคแฟค

มัทนา ถนอมพันธุ์ หอมลออ ประธานกรรมการกำกับทิศทาง แผนระบบสื่อและวิถีสุขภาวะทางปัญญ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. มีความตระหนักว่า ทำอย่างไรจะให้คนไทยมีสภาพแวดล้อม วิถีชีวิต และมีโอกาสอยู่ในสังคมสุขภาวะที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงเห็นร่วมกันเป็นพันธกิจ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่ากลไกในการตรวจสอบข่าวสารที่แข็งแรง 

โดยการจัดเวทีในครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งอยากให้ทำความรู้จักเด็ก 2 กลุ่ม คือ 1.เจ็นอัลฟา (Gen Alpha) ซึ่งเกิดในปี 2553 จนบัดนี้อายุได้ 14 ปี เป็นกลุ่มที่ในโลกยุคนี้เราได้กล่าวขวัญถึง มีความพิเศษเพราะเกิดในยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวไปรอบตัว คืออยู่กับเทคโนโลยีตลอด 24 ชั่วโมง เด็กกลุ่มนี้ไม่เหมือนเด็กติดเกมในอดีต แต่สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้คล่องแคล่ว มีความเป็นอิสระ มีค่านิยมของตนเอง คิดถึงโลก มีเพื่อนรอบโลกจากการเล่นเกม ใช้เกมเป็นสื่อการเรียน ใช้แอปพลิเคชั่นการในเลือกร้านอาหาร ช่วยหาเส้นทางในการเดินทาง ฯลฯ

รวมถึงการทำงานก็จะคิดถึงอาชีพที่แตกต่างไปจากอาชีพเก่าๆ ที่เราคุ้นเคย ดังนั้นพลเมืองโลกที่เรียกว่า Digital Nomad หรือคนที่ทำงานออนไลน์จากที่ใดก็ได้ จะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในรุ่นลูกหลานของเรา กับอีกกลุ่มคือ 2.เจ็นเบตา (Gen Bata) ที่จะเริ่มเกิดในปี 2568 ซึ่งจะยิ่งฉลาดขึ้นไปอีก คำถามคือ เราจะอยู่ร่วมกันระหว่างรุ่น    ที่มีตั้งแต่เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) เจ็นเอ็กซ์ (Gen X) เจ็นวาย (Gen Y) เจ็นแซด (Gen Z) กับเจ็นใหม่ดังกล่าว จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ระบบสื่อสาร การเคลื่อนตัว การใช้ชีวิต จะประสานเชื่อมโยงกันได้อย่างไร

“ในท่ามกลางสังคมไทยที่มีความเหลื่อมล้ำสูงติดอันดับโลก เราอยู่ท่ามกลางสิ่งที่เรียกว่าจนกระจาย-รวยกระจุก การเข้าไม่ถึง AI (ปัญญาประดิษฐ์) ความเห็นที่แตกต่างกลายเป็นประเด็นทางสังคม สิ่งเหล่านี้ในฐานะท่านทั้งหลายเข้ามาร่วมวง คิดว่าวิทยากรของเราซึ่งมาจากความเชี่ยวชาญหลากหลายสาขา คงจะทำให้เราได้เห็นประเด็นที่เป็นประเด็นห่วงใย และเฝ้ามองว่า ก้าวต่อไปการทำงานของเราที่หน้างานของเราต้องทำร่วมกับเด็ก เราจะมองเขาอย่างไร” มัทนากล่าว

ดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย กล่าวว่า ในขณะที่กฎหมายข่มขืน กระทำอนาจาร พรากผู้เยาว์ เป็นการกระทำแบบถึงเนื้อถึงตัว แต่ปัจจุบันคนร้ายคุยกับเด็กผ่านกล้อง โน้มน้าวให้เด็กเปลือยกายแล้วถ่ายรูปหรือคลิปวีดีโอไว้ ก่อนใช้เพื่อข่มขู่ให้เด็กออกมาเจอแล้วล่วงละเมิดทางเพศจริงๆ หรือหนักกว่านั้นยังถูกข่มขู่ให้ไปหลอกเพื่อนมาอีก ดังนั้นบนโลกออนไลน์เด็กต้องได้รับความคุ้มครอง

ซึ่งพื้นฐานสิทธิเด็ก 4 ประการ 1.สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ 2.ได้รับการเติบโตพัฒนาไปในทางที่ถูกที่ควร 3.ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากอันตรายหรือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ อันเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ทุกคน และ 4.การมีส่วนร่วม โดยเฉพาะในสิ่งที่ตนเองเกี่ยวข้อง การที่ต้องมาพูดคุยกันเรื่องนี้ก็เพราะทุกคนอยู่กับดิจิทัล เราไม่พูดแล้วว่าอินเตอร์เน็ตเหมาะกับเด็กเล็กหรือคนทุกคนหรือไม่ แต่จะอยู่กับมันอย่างไร เพราะแม้จะบอกว่าไม่เหมาะหรือมีด้านลบก็ไม่สามารถตัดออกจากชีวิตได้

ทั้งนี้ Children Online: Research and Evidenceระบุความเสี่ยงที่จะมาถึงเด็กใน 4 ช่องทาง 1.เนื้อหา (Content) บนอินเตอร์เน็ตมีทั้งสิ่งผิดกฎหมาย หรือไม่ถึงกับผิดกฎหมายแต่มีความเสี่ยง เช่น สื่อลามกอนาจาร ยาเสพติด การพนัน ข่าวลวง การเลียนแบบพฤติกรรมเสี่ยง การซื้อ-ขายสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น เหล็กดัดฟัน เลนส์ตา 

2.การติดต่อ (Contact) มีผู้ใหญ่ที่มีรสนิยมทางเพศกับเด็กอายุน้อยๆ (Pedophile) ซึ่งจะพยายามล่อลวงเด็ก ดังนั้นทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองและตัวเด็กเองก็ต้องตระหนักด้วยว่า ข้อมูลออนไลน์ต่างๆ สามารถตกแต่งได้ เช่น อ้างว่าเรียนอยู่ที่นั่น หรืออ้างว่าอายุเท่ากัน ใช้การพูดคุยสร้างความไว้วางใจ (Grooming) 3.พฤติกรรม (Conduct) บางครั้งความเสี่ยงก็มาจากตัวเด็กเอง เช่น เข้าไปยังเว็บไซต์การพนัน ติดเกม เลียนแบบความรุนแรง เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลมากๆ ที่ทำให้มิจฉาชีพติดตามเข้ามาได้ 

และ 4.การทำสัญญา (Contract) เรื่องนี้ไม่เฉพาะแต่เด็ก เพราะทุกคนเมื่อเข้าเว็บไซต์ต้องกรอกข้อมูลลงทะเบียน ต้องให้ความยินยอม คำถามคือข้อมูลเหล่านั้นไปอยู่ที่ใดและปลอดภัยหรือไม่ บางครั้งข้อมูลอาจถูกขายหรือถูกโจรกรรมได้ แล้วก็นำพามิจฉาชีพเข้ามาหา หรือแม้แต่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ-AI) ที่ป้อนแต่ข้อมูลที่เราสนใจ จนท้ายที่สุดก็เชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง

อนึ่ง ในการสำรวจสถานการณ์เด็กไทยกับภัยออนไลน์ ปี 2565 โดยมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย ร่วมกับ ศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ (COPAT) กรมกิจการเด็กและเยาวชน มีกลุ่มตัวอย่างอายุ 9-18 ปี รวม 31,965 คน พบร้อยละ 81 ใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ร้อยละ 64 ใช้อินเตอร์เน็ตที่บ้าน หรือแม้แต่ไปยังสถานที่ราชการต่างๆ ก็มีอินเตอร์เน็ตฟรีให้ใช้ ตามนโยบายลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง แต่การใช้มากก็มีความเสี่ยงมากไปด้วย เช่น มีเด็กประถมถึงร้อยละ 12 ถูกจีบทางออนไลน์

“ยังมีภัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของภัยละเมิดทางเพศ ที่เด็กตอบเองว่าเคยเจอเคยเห็นเคยทำมาแล้ว 47% พบโฆษณาเว็บ Link ต่างๆ เข้าพนันออนไลน์ และในนี้ 7% เคยเล่นพนันออนไลน์แล้ว เด็กที่เล่นพนันตอนนี้อายุต่ำสุดคือ 7 ขวบ บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งตอนนี้เราจะเห็นจากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเขาก็เข้าถึงสิ่งเหล่านี้จากโลกออนไลน์แนะนำ มือใหม่งบน้อยควรจะซื้อบุหรี่ไฟฟ้าที่ไหน ราคาเท่าไร เดี๋ยวนี้มี Toy Pod (บุหรี่ไฟฟ้าที่ออกแบบให้มีหน้าตาเหมือนตุ๊กตาหรือของเล่น) มีหลายเรื่องมากที่เด็กโดนละเมิด” ดร.ศรีดา ระบุ

จากนั้นเป็นวงเสวนาหัวข้อ “ทบทวนการคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากยุคแอนะล็อกถึงยุคปัญญาประดิษฐ์” ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) มีวิทยากร 5 ท่าน โดย ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า DSI ทำงานในคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กมาเกือบ 20 ปี ตั้งแต่ยังไม่มีกฎหมายป้องกันและปราบรามการค้ามนุษย์ รวมถึงกฎหมายว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 

โดยจุดกำเนิด ณ เวลานั้น DSI มีการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และความร่วมมือทางคดีอาญากับต่างประเทศ ซึ่งภาพที่คิดไว้คือ เรื่องที่ได้รับการประสานน่าจะเป็นคดียาเสพติดหรืออาชญากรรมอื่นๆ แต่ในความเป็นจริงคือได้รับการประสานงานเรื่องคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กมาเป็นจำนวนมากลำดับต้นๆ ในรูปแบบการท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อต้องการมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก (Sex Tourism) และการเผยแพร่ภาพลามกอนาจารเด็ก ทั้งนี้ ร้อยละ 70 ของเด็กที่ตกเป็นผู้เสียหายจะไม่เล่าเรื่องให้ใครฟัง

จนกระทั่งในปี 2558 ซึ่งมีการออกกฎหมายว่าด้วยสื่อลามกอนาจารเด็ก (พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2558) ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของประเทศไทยในการรวบรวมพยานหลักฐาน เพราะทำให้เจ้าหน้าที่สามารถสืบสวนคดีได้ทันทีโดยไม่ต้องรอเด็กให้ปากคำ แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะในช่วงที่เกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งเด็กต้องเรียนออนไลน์ เห็นได้จากพบตัวเลขสถิติเฉพาะแพลตฟอร์มของสหรัฐอเมริกา สูงขึ้นราวร้อยละ 68 ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ก็ชี้ให้เห็นว่าเหตุใดภัยเรื่องการละเมิดต่อเด็กทางออนไลน์จึงเพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่ AI ตนเคยพยายามผลักดันเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อ 3-4 ปีก่อน ด้วยหลักคิดว่า ในอนาคตอันใกล้ AI จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ตนก็คิดว่า ในเมื่อคนร้ายยังใช้ AI เพื่อหลอกลวงผู้เสียหาย แล้วเหตุใดเจ้าหน้าที่ไม่สามารถใช้ AI ในการกระชากหน้ากากคนร้าย ทำให้คนร้ายเผยตัวตนออกมาได้มาก ถูกถูกคัดค้านโดยนักวิชาการด้านกฎหมายอาญา ที่บอกว่าผู้เสียหายต้องเป็นคนเท่านั้นไม่ใช่ AI ตามหลักของกฎหมายไทย หรือผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ก็คัดค้านเช่นกัน แต่หากมีโอกาสก็จะนำเสนอใหม่ ว่าสิ่งที่ตนพูดไว้เมื่อ 4 ปีก่อน ปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง

“การล่อลวงเด็ก การชักจูงเด็กไปในทางไม่เหมาะสม การส่งข้อความทางเพศที่ไม่เหมาะสม การขู่กรรโชก กฎหมายประเทศไทยเรายังไปไม่ถึง อันนี้คือการตัดไฟแต่ต้นลม ปรากฎว่าเราต้องมารอให้เด็กถูกคุกคามให้เกิดอันตรายแบบแตะเนื้อต้องตัวก่อน ให้มาถึงเนื้อตัวร่างกายก่อน ถ้าเราคิดถึงขั้นบันไดที่เรากำลังเดินไปถึงจุดสูงสุด  คือเด็กถูกกระทำชำเรา บางรายอาจถึงบาดเจ็บหรือล้มตาย เราจะต้องรอให้ถึงบันไดขั้นสุดท้ายตรงนั้นหรือเปล่า แทนที่เราจะสามารถสกัดตั้งแต่คุณไม่ต้องขึ้นบันไดขั้นแรกแล้วมันจบตรงนั้น นี่คือกระบวนการทางกฎหมายที่มันอาจจะยังไปไม่ถึง” ร.ต.อ.เขมชาติกล่าว

พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รองจเรตำรวจ สำนักงานจเรตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวว่า โทรศัพท์มือถือเป็นประตูไปสู่ได้ทั้งสวรรค์และนรก เราค้นหาอะไรในอินเตอร์เน็ตก็จะได้รับสิ่งนั้นเข้ามา รวมถึงแอปพลิเคชั่นที่มีความสุ่มเสี่ยง เคยไปบรรยายที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง พบว่าเด็กรู้จักแอปฯ เหล่านี้ไปไกลกว่าที่ตนรู้ เช่น มีแอปฯ ที่ให้ผู้หญิงในสภาพโป๊เปลือยมาเต้นโชว์ ตนก็อยากถามว่าคนพัฒนาแอปฯ มีจุดประสงค์อะไร 

ดังนั้นควรมีสื่อประชาสัมพันธ์ให้ทางโรงเรียนหรือพ่อแม่ผู้ปกครองรับรู้ว่าหากมีแอปฯ ทำนองนี้อยู่ในโทรศัพท์มือถือของเด็ก ก็เป็นการป้องกันได้ อย่างตนมีลูกสาวอายุ 17 ปี ก็เอาข้อมูลตรงนี้บอกให้ภรรยาช่วยดู  และไม่ใช่มีแต่เด็กผู้หญิงที่ตกเป็นหยื่อ แม้แต่ผู้ชายก็มีเช่นกัน เจ้าหน้าที่ที่ทำงานเรื่องนี้แล้วต้องดูสิ่งที่คนร้ายทำกับเหยื่อถึงกับต้องหาเวลาไปบำบัดจิต 

ขณะที่เมื่อดูบทบาทของผู้เกี่ยวข้อง หน่วยงานแรกที่ต้องยอมรับว่ามีปัญหาก็คือตำรวจ เช่น พนักงานสอบสวนไม่ยอมรับคดี ในช่วงที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ จ.ชลบุรี มีการขายบริการทางเพศ ซึ่งวันหนึ่งมีหญิงขายบริการมาแจ้งความว่าถูกล่วงละเมิด แต่ร้อยเวรไม่รับแจ้งความเพราะเห็นว่าผู้เสียหายทำงานแบบนั้นอยู่แล้ว จนต้องสั่งตั้งกรรมการสอบสวนไป เพราะจริงอยู่ที่บุคคลนั้นเป็นโสเภณี แต่วันดังกล่าวเขาไม่ได้ทำงาน ไม่ได้อยากมีเพศสัมพันธ์ซึ่งก็ถือเป็นสิทธิ์ นอกจากนั้น การสอบสวนของตำรวจยังมีปัญหาการตั้งคำถามที่เป็นการทำร้ายผู้เสียหายซ้ำ

หน่วยงานต่อมาที่ต้องพูดถึงคือ กระทรวงศึกษาธิการ ไม่ยอมเปิดรับความเปลี่ยนแปลงในสังคม ซึ่งตำรวจพยายามอย่างยิ่งที่จะขอเข้าไปพบปะพูดคุยหรือสื่อสารข้อมูลในโรงเรียน เพราะจริงๆ แล้วเด็กที่ถูกละเมิดในโรงเรียน เช่น มีเพศสัมพันธ์แลกกับผลการเรียนเกิดขึ้นจำนวนมาก ทั้งนี้ เด็กแต่ละช่วงวัยจะมีพัฒนาการการรับรู้ไม่เหมือนกัน โดยอายุ 8 ปี เป็นช่วงที่เริ่มมีความเสี่ยงถูกล่วงละเมิด ก็ต้องมีการประชาสัมพันธ์รูปแบบหนึ่ง หรือช่วงอายุ 12-16 ปี ต้องสื่อสารอีกรูปแบบหนึ่ง เรื่องเหล่านี้ยังขาดการประชาสัมพันธ์

“เรื่องหนึ่งที่ผมอยากนำเสนอ ขอให้ทุกอาชีพหรือทุกหน่วยอะไรก็แล้วแต่ ตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง ผมว่างานเดินไปได้ ทุกวันนี้ผมบอกตรงๆ เลยว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ ขอใช้คำว่าผู้บังคับบัญชาก็แล้วกัน มองว่าเป็นเรื่องเด็ก เดี๋ยวนี้มาจับละเมิดเด็กเหรอ? ผมก็บอกว่าใช่ แต่ถ้ามาดูในรายละเอียดจริงๆ แล้ว มันยากกว่า ลัก-วิ่ง-ชิง-ปล้น อีกนะ” พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ กล่าว

ดร.ศุภธิดา พรหมพยัคฆ์ กรรมการบริหาร สถาบันเอส เคิร์ฟ อะคาเดมี่ (SCA) และ กรรมการสมาคมสมาพันธ์โอเพ่นซอร์สแห่งประเทศไทย (TOSF) กล่าวว่า จากประสบการณ์ทำวิจิยเรื่องความฉลาดทางดิจิทัล (DQ) ในช่วงปี 2554 โดยประมาณ หากลองคิดในมุมของคนที่อยากเข้ามาทำสิ่งที่ไม่ดีในประเทศไทย จะพบปัจจัยเอื้อต่อการกระทำผิดมากมายตั้งแต่กฎหมายไม่แข็งแรง ไม่มีองค์ความรู้ แม้กระทั่งหน่วยงานการศึกษาก็ยังไม่มีหลักสูตรป้องกันภัย ในขณะที่เวลานั้น ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่คุณภาพของอินเตอร์เน็ตดีมาก จึงถือว่าไทยเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจในการก่อการไม่ดี  

จำได้ว่าในเวลานั้นพยายามนำข้อค้นพบไปบอกผู้หลักผู้ใหญ่ กลับถูกห้ามไม่ให้นำเสนอ  อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนั้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายล้วนเล่นกับอารมณ์ของมนุษย์ ในการนำเทคโนโลยีมาตอบโจทย์ อย่างผู้สูงอายุหลายคนก็คงไม่ได้อยากจะมาใช้ไลน์ แต่ก็ต้องใช้เพราะกลัวจะไม่ได้ติดต่อพุดคุยกับลูกหลาน ดังนั้นการมีสติอยู่กับตัว ไม่หลงไปกับอารมณ์ 

แม้แต่ผู้ใหญ่หากลองสำรวจตนเองดูว่าแต่ละวันใช้อินเตอร์เน็ตกันกี่ชั่วโมง โดยในรอบ 10 ปี ไทยไม่เคยหลุดจากกลุ่มประเทศที่ผู้คนใช้เวลากับอินเตอร์เน็ตสูงมากอันดับต้นๆ ของโลก ขณะที่ตนยังมีโอกาสแนะนำเครื่องมือที่ช่วยในการสอนออนไลน์และการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง ดังนั้นจึงอยู่ที่โจทย์ หลายคนอาจมองว่าเราดูอะไร เข้าถึงอย่างไร แต่สำหรับตนที่อยู่ในองค์กรด้านเทคโนโลยี จะถูกสอนให้ตั้งคำถามว่าเข้าไปเพื่ออะไร แต่หากเด็กยังคิดไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร

ประการต่อมา คนไทยเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเฉลี่ย 9-10 ชั่วโมงต่อวัน ในขณะที่ประเทศอย่างเดนมาร์กหรือญี่ปุ่น อยู่ที่ไม่เกิน 5 ชั่วโมงต่อวัน เพราะเราไม่เคยพูดภึงการควบคุม ซึ่งหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย การจะใช้โทรศัพท์มือถือเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในกลุ่มเด็ก ไม่ว่าซื้อเองหรือรัฐแจกให้ มีมาตรการควบคุม เช่น ห้ามใช้ในช่วงดึกเพราะเป็นเวลานอนของเด็ก มีช่องทางติดต่อกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและสามารถติดตามได้กรณีเด็กเข้าเว็บไซต์ที่ไม่พึงประสงค์

“สิ่งที่อยากจะมองก็คือมันต้องสมดุลกันระหว่างคำว่าประเทศเราต้องเดินต่อ แล้วเราก็อยากที่จะให้เยาวชนมีคำว่าสมรรถนะอันประกอบไปด้วย Knowledge (ความรู้) ด้วย Skill (ทักษะ) ซึ่งมันต้องอาศัยการเข้าภึงองค์ความรู้นี้ มีการฝึกนี้ แต่อันสุดท้ายคือการประคับประคองในวัยที่เขายังไม่ได้ อาจจะต้องเป็นบทบาทหน้าที่ของพวกเรา”   ดร.ศุภธิดา กล่าว

วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวว่า จริงๆ แล้วอินเตอร์เน็ตหรือเทคโนโลยีมีคุณมาก ทำให้โลกเรากว้างขึ้น เด็กรุ่นใหม่วิสัยทัศน์กว้างขวางขึ้น แต่ก็ทำให้มิจฉาชีพเข้าถึงตัวเราได้ง่ายขึ้นด้วย โดยเฉพาะเด็ก แม้จะมีเติบโตมากับเทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีได้คล่อง แต่คนร้ายก็จะหาวิธีล่อลวงหรือทำร้ายเด็ก เช่น หลอกเด็กที่อยากเป็นนางแบบหรือดารา โดยทำให้ดูเหมือนเป็นโมเดลลิง หลอกให้เปิดเผยเนื้อตัวร่างกาย จนถึงนำคลิปที่ถ่ายไว้มาข่มขู่กรรโชกใม่ว่าเพื่อการล่วงละเมิดทางเพศหรือเพื่อเรียกเอาทรัพย์สินเงินทอง

ขณะที่ผู้ตกเป็นเหยื่อไม่ได้มีแต่เด็กโรงเรียนต่างจังหวัดห่างไกล แต่โรงเรียนในเมืองหรือแม้แต่โรงเรียนดังๆ ก็มีเช่นกัน และแม้จะมีหน่วยงานที่ดูแล แต่สิ่งที่พยายามทำคือการสร้างความตระหนักว่าในโลกอินเตอร์เน็ตก็มีพิษภัยอยู่มาก จะต้องระมัดระวังอย่างไรบ้าง อีกด้านหนึ่งก็มีความพยายามผลักดันกฎหมายเพื่อให้การกระทำเหล่านี้เป็นความผิดและลงโทษผู้กระทำได้ จากที่กฎหมายเดิมมีเฉพาะความผิดที่ต้องถึงเนื้อถึงตัว

“กรรมการสิทธิ์สนใจติดตามเรื่องนี้ แต่เรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เข้ามาไม่มาก แต่เราก็คิดว่าการแก้ไขปัญหามันก็ทำได้ทั้งการป้องกันและแก้ปัญหาเชิงระบบ ดังนั้นเห็นด้วยกับการที่จะขับเคลื่อนให้มีกฎหมายในการคุ้มครองเด็กตรงนี้ และกรรมการสิทธิ์ก็พร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ในการที่จะป้องกันและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นและเป็นพิษเป็นภัยน้อยลง” วสันต์ กล่าว

ดร.สุจิตรา แก้วสีนวล อาจารย์ประจำคณะสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้กล่าวว่า หากบอกว่าอินเตอร์เน็ตเป็นได้ทั้งประตูสู่สวรรค์หรือนรก ในความเป็นจริงทั้ง 2 ด้านก็ไม่ได้แยกจากกัน เช่น ในขณะที่ครูสั่งการบ้าน เด็กก็สามารถเห็น Pop Up บางอย่างที่เป็นความเสี่ยง คำถามคืออะไรจะทำให้อยู่และเผชิญกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร เพราะ ณ จุดนั้นไม่มีใครคุ้มครอง กฎหมายเข้าไม่ถึง พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่หวังดีก็เข้าไปไม่ได้ 

อย่างไรก็ตาม จากที่เคยทำงานอยู่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก สรรพสิทธิ์ คุมประพันธ์ ซึ่งเป็นผู้ทำงานด้านสิทธิเด็ก และเป็นที่ปรึกษางานวิจัยที่ตนเคยทำ ได้ให้คำหนึ่งไว้ว่า Cognitive Responsibility หมายถึงกระบวนการรับผิดชอบภายใต้การรู้คิด หากมีกฎหมายมากเกินไปอาจเกิดความกลัว  ทั้งที่อินเตอร์เน็ตเป็นโอกาส การเข้าไปจัดการโดยมองว่าเป็นความหวังดี แต่หากควบคุมมาก การเผชิญกับความจริงหรือสถานการณ์ที่เรามองไม่เห็นอีกทั้งมีทั้งดีและร้ายอยู่ด้วยกัน เด็กจะใช้อะไรพัฒนาตนเองหรือพัฒนากระบวนการรู้คิดในการจัดการกับสิ่งเหล่านั้น

ถึงกระนั้น การเปิดโอกาสให้เด็กได้ลองเผชิญความเสี่ยง ก็ต้องเป็นความเสี่ยงเรารู้ว่าจะสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างไร เช่น เด็กวิ่งแล้วหกล้มแล้วเราเข้าไปอุ้มหรือพยายามปกป้องอยู่ตลอดเวลา เด็กก็จะไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นได้อย่างไร ซึ่งการเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นยืนต้องใช้ความคิดก่อนว่าจะใช้แขน-ขาส่วนไหนให้ยืนขึ้นได้ เหมือนกับระบบอินเตอร์เน็ตที่เด็กเข้าไป หากมีหลักสูตรหรือห้องเรียนที่สามารถทำให้เด็กเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ว่าเมื่อเผชิญกับภัยอันตราย เขาจะจัดการกับมันอย่างไร อีกทั้งวิธีการยังหลากหลายขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละพื้นที่หรือเด็กแต่ละคน

“ความหวังที่สำคัญมากก็คือผู้ใหญ่ที่เอื้ออาทรกับเด็กจริงๆ ในจำนวนครูที่มีจำนวนมาก ที่เรารู้สึกว่าครูอาจจะมีข่าวว่าต้องทำเอกสารทางวิชาการหรือใดๆ แต่เราก็พบว่ามีคุณครูที่เขามีความเมตตากรุณา และบางครั้งเป็นครูยุคใหม่ หรือแม้แต่ผู้ปกครอง ผู้บริหาร ผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นคนที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีมากเลย แต่ก็เป็นครูรุ่นใหม่ที่สามารถมีความรู้สึกที่อยากเข้าไปช่วยเหลือเด็ก อยากเข้าไปพัฒนาเขา เราพบมากในทุกๆ พื้นที่ จึงอยากจะบอกทุกท่านว่าอย่าหมดหวัง” ดร.สุจิตรา กล่าว

“ความหวังที่สำคัญมากก็คือผู้ใหญ่ที่เอื้ออาทรกับเด็กจริงๆ ในจำนวนครูที่มีจำนวนมาก ที่เรารู้สึกว่าครูอาจจะมีข่าวว่าต้องทำเอกสารทางวิชาการหรือใดๆ แต่เราก็พบว่ามีคุณครูที่เขามีความเมตตากรุณา และบางครั้งเป็นครูยุคใหม่ หรือแม้แต่ผู้ปกครอง ผู้บริหาร ผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นคนที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีมากเลย แต่ก็เป็นครูรุ่นใหม่ที่สามารถมีความรู้สึกที่อยากเข้าไปช่วยเหลือเด็ก อยากเข้าไปพัฒนาเขา เราพบมากในทุกๆ พื้นที่ จึงอยากจะบอกทุกท่านว่าอย่าหมดหวัง” ดร.สุจิตรา กล่าว

ในช่วงท้าย ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวปิดงาน สรุปการเสวนาบนเวทีว่าได้เห็นสภาพปัญหาที่เกี่ยวกับเด็ก ซึ่งอาจเน้นไปที่เรื่องเพศ แต่จริงๆ แล้วการคุกคามเด็กยังมีเรื่องแรงงาน   สวัสดิการ ความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม นอกจากความเข้มแข็งของหน่วยงานต่างๆ แล้ว สิ่งที่ต้องสร้างคือวัฒนธรรมที่คิดว่าเด็กเป็นคนที่ต้องได้รับการดูแลไม่ใช่เฉพาะจากครอบครัวหรือโรงเรียนเท่านั้น แต่ต้องจากสังคมทั้งหมด

“สิ่งที่สำคัญที่สุดเรื่องเด็ก นอกเหนือจากการช่วยกันในเรื่องไซเบอร์แล้ว คิดว่าความเอาใจใส่ การเห็นความสำคัญของเด็ก การไม่ได้มองว่าเด็กเป็นสมบัติของตัวเอง จำนวนไม่น้อยครอบครัวละเมิดเด็กเพราะคิดว่าเด็กเป็นสมบัติของตัวเอง เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรที่ทัศนคติต่อเด็ก แล้วการระวังในเรื่องที่เห็นเด็ก คิดว่าสังคมไทยต้องพัฒนาในเรื่องนี้เยอะ” ผศ.ดร.เอื้อจิต กล่าว  



สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 10 สิงหาคม 2567

ธอส. มอบรัก ช่วยปิดหนี้บ้าน หนี้รถ และหนี้บัตรเครดิต ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3h43mb4rp0x95


คนที่ท้องเสียจากการกินเผ็ดหรือความเครียด อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคลำไส้แปรปรวน IBS / IBD…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1pu2wfrofjzdy


คลิปวิดีโอสาธิตช่วยผู้ป่วยหมดสติ ด้วยการใช้มือซ้ายกดข้อมือขวา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/11ewqwu61fd66


ผลิตภัณฑ์ BLK รักษาเก๊าท์โดยถาวร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1q859q2dpguak#_=_


โดนยึดใบขับขี่จะไม่ได้คืน ต้องไปสอบทำใหม่เท่านั้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2oce6f3ew7tf6


ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สามารถให้ทายาทรับเงิน 30,000 บาท ได้ที่ พม….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/crpfktp31toh


รัฐบาลดันกฎหมายดูแลแรงงานอิสระ รับจ้าง ดารา Influencer ไรเดอร์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1dec24rrsji12