สำรวจเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

หลังจากใช้เฟซบุ๊กและยูทูบเป็นช่องทางหลักในการสร้างความเกลียดกลัวอิสลามและคนมุสลิมมาต่อเนื่องนานหลายปี เครือข่ายชาวพุทธต่อต้านอิสลามเริ่มขยายพื้นที่การสื่อสารสู่ TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยมที่มีผู้ใช้ในประเทศไทยมากถึง 50 ล้านบัญชี เนื้อหาที่เผยแพร่มีทั้งล้อเลียน เหยียดหยาม ด่าทอให้ร้าย บิดเบือนคำสอน และข้อมูลเท็จเกี่ยวกับนโยบายศาสนาของรัฐไทย

“ธนาคารไทยโดนมุสลิมฮุบ”

“แขกเสวยสุข ได้งบประมาณแผ่นดินไปตั้งธนาคารอิสลาม ได้งบสร้างมัสยิด ได้งบไปแสวงบุญ เจ้าหน้าที่ในมัสยิดมีเงินเดือน”

“มุสลิมตั้งใจจะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอิสลาม เพราะบ้านเมืองเราอุดมสมบูรณ์” 

“แขกมาอยู่ขอนแก่น สั่งให้ปลดซุ้มที่มีพระพุทธรูป ที่มีรูปพระราชาออก”

“ลูกสาวมุสลิมแต่งงานกับพ่อได้ ศาสนาอนุญาต”

นี่คือตัวอย่างของเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลาม (Islamphobia) ที่เผยแพร่อยู่ใน TikTok ทั้งข้อความและภาพประกอบมีความรุนแรงและมีจำนวนมากในระดับที่น่ากังวลว่าอาจกำลังบ่มเพาะความเกลียดชังและความหวาดระแวงระหว่างคนต่างศาสนิกในสังคมไทยจนนำไปสู่การประหัตประหารกันได้ในอนาคต ดังที่งานวิชาการหลายชิ้นระบุตรงกันว่า ถ้อยคำอันตรายและปลุกปั่นความเกลียดชัง (dangerous/hate speech) เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้เกิดความรุนแรง การสังหารหมู่และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้

ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลาม เช่น การรวมตัวยื่นหนังสือต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชุมนุมคัดค้านกฎหมายและนโยบายที่ถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ต่อคนมุสลิมและไม่เป็นธรรมต่อคนพุทธ รวมทั้งการเผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังอิสลามและคนมุสลิม ซึ่งนำโดยองค์กรชาวพุทธที่ “เปิดหน้า” ชัดเจนอย่างน้อย 2 องค์กร คือ สมาคมปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (สปพ.) และองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.)

สปพ. มี น.ส.พาศิกา สุวจันทร์ เป็นนายกสมาคม ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 จากการรวมตัวของผู้ที่ไม่พอใจวิดีทัศน์เพลงชาติที่จัดทำขึ้นใหม่เพราะเห็นว่าไม่มีสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธและผู้นำศาสนาพุทธ ส่วน อปพส. มีเลขาธิการชื่อนายอัยย์ เพชรทอง อดีตแกนนำลูกศิษย์วัดพระธรรมกายที่มีบทบาทมากในการชุมนุมไม่ให้เจ้าหน้าที่บุกค้นวัดเพื่อควบคุมตัวพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเมื่อปี 2560 แต่หลังจากถูกศาลพิพากษาจำคุกในคดีหมิ่นประมาทนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติเมื่อปี 2565 นายประพันธ์ กิตติฤดีกุล ก็มารับตำแหน่งเป็นเลขาธิการและแกนนำ อปพส. แทน 

สปพ. อปพส. ใช้เฟซบุ๊กและยูทูบเป็นช่องทางหลักในการสื่อสารต่อสาธารณะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการ “ไลฟ์สด” การยื่นหนังสือ การชุมนุมของกลุ่มและ “ไลฟ์ทอล์ค” ของประพันธ์และพาศิกาเรื่องการปกป้องศาสนาพุทธจาก “การคุกคามของอิสลาม” แต่เมื่อ TikTok กลายเป็นโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ชาวพุทธต่อต้านอิสลามก็เริ่มขยายช่องทางการสื่อสารสู่ TikTok  

แม้ว่าแกนนำ สปพ. และ อปพส. ดูจะยังนิยมสื่อสารทางเฟซบุ๊กและยูทูบมากกว่า แต่การปรากฏตัวของเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามและเนื้อหาเท็จเกี่ยวกับอิสลาม (Islamophobic Disinformation) ใน TikTok ก็เป็นประเด็นที่น่าสำรวจตรวจสอบ เพราะเนื้อหาเหล่านี้กำลังบ่มเพาะความเกลียดชังในใจผู้คนอยู่เงียบ ๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่งความเกลียดชังนี้อาจทำลายการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของคนต่างศาสนาในสังคมไทย  

ทำไมต้อง TikTok

ความนิยมและจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้รายงานชิ้นนี้เลือกตรวจสอบเนื้อหาบน TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่พัฒนาโดยบริษัท ByteDance ของจีน เปิดตัวเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ปัจจุบันมีบริษัทย่อยที่ให้บริการผู้ใช้งานในแต่ละภูมิภาค เช่น TikTok Inc. ให้บริการในสหรัฐอเมริกา TikTok Information Technologies UK Ltd. ให้บริการในสหราชอาณาจักร ส่วนผู้ใช้งานในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งประเทศไทยให้บริการโดย TikTok Pte. Ltd. ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่สิงคโปร์

TikTok เปิดให้บริการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยเมื่อกลางปี 2561 และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี 2568 TikTok ให้ข้อมูลว่ามีบัญชีผู้ใช้คนไทยประมาณ 50 ล้านบัญชี

เว็บไซต์ Statista รายงานว่า TikTok ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับ 5 รองจาก Facebook, YouTube, Instagram และ WhatsApp โดยมีผู้ใช้งานทั่วโลกราว 1.58 พันล้านราย ประเทศไทยมีผู้ใช้ TikTok มากที่สุดเป็นอันดับที่ 15 ของโลก

รายงานการศึกษาเรื่องสื่อสารออนไลน์ของสังคมไทยปี 67 โดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) ที่นำเสนอในงานสัมมนาวิชาการของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 พบว่าในปี 2567 TikTok มียอดการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน (engagement) สูงสุดในบรรดาโซเชียลมีเดีย 5 แพลตฟอร์ม คือ 1.44 พันล้านครั้ง รองลงมาคือ X (585 ล้านครั้ง) Instagram (498 ล้านครั้ง) และ Facebook (497 ล้านครั้ง)

บัญชีผู้ใช้และเนื้อหาที่นำมาวิเคราะห์

บัญชีผู้ใช้งาน TikTok ที่เผยแพร่เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามที่ศึกษาในรายงานชิ้นนี้มีทั้งหมด 30 บัญชี ซึ่งคัดเลือกและค้นหาจาก 3 วิธี ได้แก่

  1. ใส่คำค้นหาใน TikTok โดยใช้แฮชแท็กที่กลุ่มชาวพุทธต่อต้านอิสลามนิยมใช้ เช่น “อปพส.” “รวมพลังคนไทยพุทธ” “ต่อต้านอิสลาม” “ไม่เอาฮาลาล” “ยกเลิก พ.ร.บ.ฮัจย์”
  2. ใส่คำค้นหาใน TikTok โดยใช้ชื่อองค์กรหรือบุคคลที่เป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลาม เช่น เลขาธิการ อปพส. นายกสมาคม สปพ. ทนายความ พระสงฆ์และอดีตพระสงฆ์
  3. บัญชีผู้ใช้ TikTok ที่วิดีโอถูกนำมาแชร์ในเพจเฟซบุ๊กของ สปพ. อปพส. แกนนำองค์กรชาวพุทธ และในกลุ่มเฟซบุ๊กต่อต้านอิสลาม  

ในส่วนของการวิเคราะห์เนื้อหานั้น ผู้เขียนเลือกวิดีโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอิสลามจากวิดีโอยอดนิยม (popular) 10 อันดับแรกของแต่ละบัญชีมาวิเคราะห์ รวมเนื้อหาวิดีโอทั้งหมด 250 ชิ้น 

ทั้งนี้ การจัดลำดับวิดีโอยอดนิยมของบัญชีผู้ใช้งานแต่ละบัญชีนั้น ระบบของ TikTok ประมวลผลจากยอดการดู (view) จำนวนคนที่กดถูกใจ คนที่เข้ามาให้ความเห็น แชร์ และยอดการบันทึกวิดีโอ 

สิ่งที่พบ

ชื่อผู้ใช้ (nickname): เกือบทั้งหมดใช้ชื่อที่ไม่ระบุตัวตน บางบัญชีเลือกใช้ชื่อที่บ่งบอกถึงการต่อต้าน/ล้อเลียนอิสลามหรือปกป้องศาสนาพุทธ เช่น “ต่อต้าน อิสลาม มุสลิม” “ดับฝันมุดดิน” “คนไทยหัวใจพุทธ” “รวมใจคนไทยพุทธ”

รูปโปรไฟล์: เกือบทั้งหมดเลือกใช้รูปโปรไฟล์ที่ไม่เปิดเผยตัวตน ส่วนใหญ่ใช้รูปทั่วไปจากอินเทอร์เน็ต และมี 5 บัญชีที่ใช้รูปโปรไฟล์ที่มีข้อความล้อเลียนศาสดาของศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมด้วยถ้อยคำหยาบคาย

บัญชีผู้ใช้บางรายใช้รูปโปรไฟล์เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน เป็นไปได้ว่าเจ้าของบัญชีเป็นคนเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน

วันที่สร้างบัญชีผู้ใช้: TikTok ไม่แสดงวันที่สร้างบัญชีให้บุคคลอื่นเห็น แต่เราพอจะรู้ช่วงเวลาที่บัญชีนั้นเริ่มใช้งานได้จากวิดีโอแรกที่โพสต์ ซึ่งพบว่า 15 จากทั้งหมด 30 บัญชี โพสต์วิดีโอแรกในปี 2567 รองลงมาคือปี 2566 (6 บัญชี) ส่วนบัญชีที่ใช้งานมานานที่สุดได้โพสต์วิดีโอแรกในปี 2561

จำนวนผู้ติดตาม (follower): บัญชีผู้ใช้งานส่วนใหญ่มีผู้ติดตามหลักพัน บัญชีที่มีผู้ติดตามน้อยที่สุดคือ 53 ราย และผู้ติดตามมากที่สุดคือ 20,100 ราย และพบว่าหลายบัญชีมีจำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้นระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน 2568 เช่น “รวมพลังคนไทยพุทธ 2” มีผู้ติดตามเพิ่มจาก 3,152 เป็น 6,838 ราย “ดับฝันมุดดิน คนไทยในเยอรมัน” เพิ่มจาก 17,200 เป็น 18,900 ราย “Pasika Suwachun” เพิ่มจาก 1,429 เป็น 1,947 ราย และ “พื้นที่เสี่ยงภัย 24 ชั่วโมง” เพิ่มจาก 8,186 เป็น 10,400 ราย

ช่วงเวลาที่เผยแพร่และการเข้าถึง: วิดีโอทั้ง 250 ชิ้นเผยแพร่ช่วงปลายปี 2564 ถึงต้นปี 2568 ส่วนมากโพสต์ในปี 2567 คือ 177 ชิ้น รองลงมาคือปี 2568 (38 ชิ้น) 2564 (15 ชิ้น) 2566 (12 ชิ้น) และ 2565 (8 ชิ้น)

รูปแบบของเนื้อหา: เกือบทั้งหมดเป็นวิดีโอสั้นที่ประกอบสร้างขึ้นจากภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว คลิปข่าว ข้อความ เสียงพูด ที่นำมาจากแพลตฟอร์มอื่น เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ แอปพลิเคชันไลน์ รวมจากบัญชี TikTok อื่น ๆ มาตัดต่อ-ใส่เพลงและข้อความประกอบ เกิดเป็นเนื้อหาใหม่ในเชิงล้อเลียนคำสอน เหยียดหยาม ด่าทอให้ร้าย สร้างความเกลียดกลัวคนมุสลิมด้วยข้อความที่สร้างความเกลียดชัง (hate/dangerous speech) การบิดเบือนข้อเท็จจริง และเนื้อหาเท็จ วิดีโอส่วนใหญ่ไม่บอกต้นตอ/ที่มาของเนื้อหาที่นำมาตัดต่อ ทำให้ยากต่อการประเมินความน่าเชื่อถือหรือตรวจสอบความถูกต้อง

อีกรูปแบบหนึ่งที่พบมากคือวิดีโอจากเฟซบุ๊ก/ยูทูบไลฟ์ ถ่ายทอดสดกิจกรรมของกลุ่ม อพปส. ที่นำมาตัดให้สั้นลง เช่น การเคลื่อนไหวคัดค้าน พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดก การส่งเสริมกิจการฮาลาล และงบประมาณอุดหนุนธนาคารอิสลาม รวมถึงเนื้อหาจากการ “บรรยาย” ของแกนนำ อปพส. และ สปพ. ทางเฟซบุ๊ก/ยูทูบไลฟ์ ซึ่งมีเนื้อหาวิจารณ์ศาสนาอิสลามหรือแสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายและกฎหมายที่ชาวพุทธกลุ่มนี้มองว่าเอื้อต่ออิสลาม

ยอดการชมวิดีโอ: จากวิดีโอทั้ง 250 ชิ้นที่นำมาวิเคราะห์ มี 11 ชิ้นที่มียอดการรับชมเกิน 1 ล้านครั้ง วิดีโอที่มียอดรับชมสูงสุด 5 อันดับแรก มีดังนี้

  1. คลิปเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดชายแดนภาคใต้ปลายปี 2567 พร้อมข้อความ “พวกเราชาวมุสลิมขอไม่รับอาหารที่ไม่มีฮาลาล พวกเรายอมอดตายดีกว่า ถ้าทำผิดต่ออัลเลาะห์” เผยแพร่เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2567 วิดีโอนี้มีคนเข้ามาคอมเมนต์เกือบ 18,000 ข้อความ ส่วนใหญ่เข้ามาล้อเลียนเสียดสีคนมุสลิมและคำสอนอิสลาม (เข้าชม 9.7 ล้านครั้ง)
  2. คลิป Shani Louk หญิงสาววัย 22 ปี ลูกครึ่งอิสราเอล-เยอรมัน ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่เมื่อ 7 ตุลาคม 2566 ที่รู้จักกันในชื่อ “เหตุการณ์สังหารหมู่ที่เทศกาลดนตรีที่คิบบุตซ์ เรอิม” ทางตอนใต้ของอิสราเอลใกล้ฉนวนกาซา คลิปนี้โพสต์เมื่อ 2 กรกฎาคม 2567 ฝังข้อความว่า “RIP Shani Louk ฉันจะไม่มีวันให้อภัยหรือลืมสิ่งที่สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นทำกับคุณ” (เข้าชม 4.5 ล้านครั้ง)
  3. คลิปภาพประกอบเสียงพูดของชายมุสลิมคนหนึ่งกำลังตอบคำถามที่ว่าอัลเลาะห์กับหมอใครช่วยมุสลิมมากกว่ากัน? เขาตอบว่า “อัลเลาะห์ช่วยมากกว่า จากการที่อัลเลาะห์ทรงประสงค์ให้คนนั้นหายจากการรักษาของหมอ…” โพสต์เมื่อ 19 สิงหาคม 2567 จากการสืบค้นของผู้เขียนพบว่าต้นฉบับเสียงนี้เป็นของผู้ที่ใช้นามแฝงว่า “ฟรีซ เดอะ ทรูธ” คอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่เผยแพร่คำสอนของอิสลาม พูดในรายการสนทนาทางช่องยูทูบ “สำนักพิมพ์อัซซาบิกูน” เมื่อ 10 ธันวาคม 2566 (เข้าชม 3.1 ล้านครั้ง)
  4. ภาพข่าวงาน AV Expo รวมดาราหนังโป๊ญี่ปุ่นที่จัดในประเทศไทย เผยแพร่เมื่อ 16 สิงหาคม 2567 มีข้อความล้อเลียนว่า “ผู้ชายมุสลิมห้ามไปนะ” (เข้าชม 2.8 ล้านครั้ง)
  5. ภาพผู้หญิงสองคนกับโปสเตอร์รณรงค์ยกเลิกการสวมชุดคลุมศีรษะและใบหน้าของหญิงมุสลิม เผยแพร่เมื่อ 16 กรกฎาคม 2567 ฝังข้อความว่า “สวิตเซอร์แลนด์สั่งห้ามการคลุมศีรษะของอิสลาม ปิดหน้า ตา จมูก อย่างเป็นทางการ” (เข้าชม 2.5 ล้านครั้ง)
ภาพคลิปวิดีโอที่มียอดรับชมสูงสุด 5 อันดับแรก

10 ประเด็นร่วม สร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok

จากการวิเคราะห์เนื้อหาวิดีโอทั้ง 250 ชิ้น พบว่ามีประเด็นร่วมที่ถูกนำมาใช้ในการสร้างความเกลียดกลัวอิสลาม 10 ประเด็น ดังนี้

หมายเหตุ:

* เนื้อหาที่หยิบยกมาด้านล่างนี้ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบความถูกต้อง (fact check) ผู้เขียนอ้างถึงเพื่อแสดงตัวอย่างเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok เพื่อเป็นกรณีศึกษาเท่านั้น โดยไม่มีเจตนาผลิตซ้ำความเกลียดชัง

** อ่านรายงาน Fact-check: 3 เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok ที่นี่

1) คำสอนและความเชื่อ

นำคำสอนของอิสลามและความเชื่อของคนมุสลิมมาล้อเลียน บิดเบือน อ้างเท็จให้เกิดความเข้าใจว่าอิสลามสอนให้ใช้ความรุนแรงต่อคนต่างศาสนา กดขี่ทางเพศ งมงาย และไม่มีเหตุผล เช่น

ตัวอย่างเนื้อหา

  • อิสลามอนุญาตให้ลูกสาวแต่งงานกับพ่อได้
  • ผู้หญิงที่ไม่สนองตัณหาสามีจะมีบาปหนา การเชื่อฟังสามีได้ผลบุญเท่ากับการญิฮาด
  • ปัสสาวะและอุจจาระของอิหม่ามไม่เหม็นและไม่สกปรก ผู้ใดดื่มปัสสาวะ อุจจาระและเลือดของอิหม่ามจะได้ขึ้นสวรรค์
  • อิสลามสอนให้เกลียดชังคนต่างศาสนา
  • ศาสนาอิสลามห้ามคนมุสลิมร่วมกิจกรรมประเพณีร่วมกับคนต่างศาสนา ห้ามร้องเพลงชาติไทย ห้ามสวมชุดไทย
  • อิสลามไม่มองว่าหมอเป็นคนช่วยชีวิตเพราะจะหายป่วยหรือไม่นั้นเป็นไปตามประสงค์ของอัลเลาะห์

2) ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

อ้างถึงเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าเป็นฝีมือของ “โจรมุสลิม” กล่าวหาว่าคนมุสลิมเป็นพวกนิยมความรุนแรง จ้องคุกคามและทำอันตรายคนพุทธและพระสงฆ์เพื่อยึดครองพื้นที่

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คนมุสลิมกำลังจะยึดจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการเพิ่มจำนวนประชากรเป็นกว่า 1 ล้านคน ขณะที่คนพุทธลดจำนวนจาก 3-4 แสนคน เหลือไม่ถึง 7 หมื่นคน
  • เผยแพร่ภาพผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต การทำร้ายพระสงฆ์ การโจมตีวัด อาคารบ้านเรือนที่เสียหายจากเหตุระเบิด ภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่เป็นข่าวใหญ่ในอดีต เช่น กรณีครูจูหลิง ปงกันมูล ครูโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ถูกจับเป็นตัวประกันและถูกรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต และกรณีตากใบ โดยระบุว่าเป็นฝีมือของ “โจรมุสลิม”
  • ภาพและข้อความกล่าวหาพรรคประชาชน และ สส. มุสลิม ของพรรคว่า “สนับสนุนพวกแบ่งแยกดินแดน” และ “เป็นแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบ”
  • ภาพและข้อความกล่าวหาว่าโรงเรียนตาดีกาแห่งหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้แขวนภาพและเชิดชู “ผู้ก่อการร้ายเบอร์ 1เป็นวีรบุรุษ
  • นำคลิปข่าวจากสื่อมวลชนมาใส่ข้อความบิดเบือนว่าคนมุสลิมกำลังมีอิทธิพลมากขึ้นในพื้นที่ เช่น ข่าว “ดันมลายูเป็นภาษาราชการภาษาที่ 2″ และข่าวเยาวชนนับหมื่นคนสวมชุดมลายูรวมตัวกันในงานมลายูรายา 2024 ที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อเดือนเมษายน 2567  

3) ตราฮาลาล

องค์กรชาวพุทธเคลื่อนไหวคัดค้านสินค้าฮาลาลและนโยบายสนับสนุนกิจการฮาลาลมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในเดือนกันยายน 2565 อปพส. รวมตัวกันที่บริษัทซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ถ.สีลม เรียกร้องให้ร้านเซเวนอีเลเวนทุกสาขาจัดชั้นวางจำหน่ายสินค้าที่ไม่มีตราฮาลาลแยกออกจากสินค้าอื่น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าชาวพุทธที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ การคัดค้านฮาลาลเป็นหนึ่งในประเด็นหลักที่ถูกนำมาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามและคนมุสลิมใน TikTok

ตัวอย่างเนื้อหา

  • กล่าวหาว่าการขอตราฮาลาลทำให้คนไทยต้องซื้อสินค้าแพง เพราะผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงขึ้นในการขอรับรองตราฮาลาล
  • กล่าวหาว่ารายได้จากการรับรองฮาลาลถูกนำไปใช้อย่างไม่โปร่งใส

4) การสร้างมัสยิดและห้องละหมาด

การเพิ่มขึ้นของมัสยิดและการจัดให้มีห้องละหมาดถูกนำมาบิดเบือนว่ารัฐไทยให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาอื่น ๆ และยังถูกนำไปโยงในทฤษฎีสมคบคิดว่าอิสลามกำลัง “รุกคืบ” เพื่อขยายอิทธิพลและจำนวนประชากร

ตัวอย่างเนื้อหา

  • เลขาธิการ อปพส. อ้างว่างบประมาณในการสร้างวัดมาจากการบริจาคของชาวพุทธ แต่งบประมาณในการสร้างมัสยิดมาจากงบประมาณที่รัฐบาลสนับสนุน “แปลว่ามุสลิมยึดรัฐบาลแล้ว”
  • สมาชิก อปพส. อ้างว่าสนามบินสุวรรณภูมิไม่มีห้องพระสำหรับพระสงฆ์และคนพุทธ แต่มีห้องละหมาดสำหรับคนมุสลิม
  • ภาพตำแหน่งที่ตั้งมัสยิดบนแผนที่ประเทศไทย พร้อมข้อความว่า “ใกล้เป็นรัฐอิสลามเข้ามาทุกขณะ” และ “ประเทศไทยทำไมถึงมีมัสยิดเยอะจัง? เขาสร้างไว้ทำไม? เอาเงินจากไหนมาสร้าง”
  • ภาพป้ายคัดค้านการสร้างมัสยิดในจังหวัดต่าง ๆ

5) นโยบายเอื้อคนมุสลิม

โจมตีและกล่าวหารัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบันว่าใช้งบประมาณสนับสนุนศาสนาอิสลามและคนมุสลิมมากกว่าศาสนาอื่น

ตัวอย่างเนื้อหา

  • การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์: เลขา อปพส. โจมตีรัฐบาล สส. และ สว. ที่อนุมัติงบประมาณสนับสนุนการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ของชาวมุสลิมในไทย
  • ธนาคารอิสลาม: กล่าวหารัฐบาลว่าใช้งบประมาณนับหมื่นล้านบาทในการแก้ปัญหาหนี้เสียและการขาดทุนของธนาคารอิสลาม และอ้างว่าคนมุสลิมมีสิทธิกู้เงินธนาคารอิสลามได้ทันทีในวงเงิน 2 แสนบาท
  • ทุนการศึกษา: อ้างว่าเด็กมุสลิมได้เรียนฟรี มีโควตาให้เด็กมุสลิมเข้าโรงเรียนนายร้อยและมหาวิทยาลัย 12 แห่ง ปีละ 44 คน โดยไม่ต้องสอบแข่งขันและไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน
  • สิทธิพิเศษในการรับเข้าทำงาน: อ้างว่าหน่วยงานของรัฐมีโควตาพิเศษรับคนมุสลิมเข้าทำงานโดยไม่ต้องแข่งขันตามระบบ

6) “แผนการยึดครองประเทศไทย”

ผู้ใช้ TikTok จำนวนหนึ่งเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดที่ว่าอิสลามมีแผน “ยึดประเทศไทย” โดยอ้างถึงการเพิ่มจำนวนประชากรมุสลิม การเพิ่มจำนวนมัสยิด บทบาทของนักการเมืองและพรรคการเมืองมุสลิมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน การแฝงตัวของคนมุสลิมเข้ามาเป็นพระสงฆ์เพื่อทำลายวงการสงฆ์ และการผลักดันการใช้กฎหมายอิสลามทั่วประเทศ

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปเสียงของ น.ส.พศิกา นายกฯ สปพ. อ้างถึง “แผนการยึดครองประเทศไทยภายใน 10 ปี” ด้วยมาตรการต่าง ๆ เช่น เพิ่มจำนวนโรงเรียนปอเนาะเพื่อปลุกกระดมเยาวชนมุสลิม เร่งให้มุสลิมชายหญิงอายุ 12-13 ปีแต่งงานเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรมุสลิมให้มากที่สุด ผู้เขียนตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นข้อความที่มีการเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ปี 2550 อ้างว่ามาจาก “เอกสารลับเฉพาะของขบวนการแบ่งแยกดินแดนและยึดครองประเทศไทย” ที่แปลจากภาษายาวี
  • การบรรยายของ พล.อ.ณพล บุญทับ อดีตรองสมุหราชองครักษ์ ในการสัมมนาเชิงปฎิบัติการแนวทางสร้างอาสาสมัครคุ้มครองพระพุทธศาสนาเมื่อวันที่ 7-8 กันยายน 2556 ที่วัดราชาธิวาส เนื้อหาการบรรยายของ พล.อ. ณพล ถูกแชร์ต่ออย่างกว้างขวางในกลุ่มชาวพุทธต่อต้านอิสลาม ในคลิปนี้ พล.อ. ณพลพูดถึงการผลักดันร่างกฎหมายอิสลามเข้าสู่สภา โดยอ้างว่ากฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้กับคนทั้งประเทศ ทั้งคนมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม โดยแฝงมาตราที่ระบุว่าจังหวัดที่มีมัสยิดตั้งแต่ 3 แห่งขึ้นไปจะต้องมีกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเพื่อมีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่น
  • กล่าวหาว่าผู้นำทางการเมืองและการทหารในอดีต เช่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน นายอารีย์ วงศ์อารยะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีส่วนในการส่งเสริมให้อิสลาม “รุกราน” พระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมชาวพุทธ เช่น ตัดวิชาส่งเสริมพุทธศาสนาออกจากตำราเรียน ตัดงบบำรุงวัดและพระสงฆ์ ตัดงบโครงการบรรพชาฤดูร้อน ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อ “เปลี่ยนเป็นรัฐอิสลามในชื่อ Thailand Darussaram”

7) ข่าวต่างประเทศที่มีเนื้อหาเชิงลบต่ออิสลามและคนมุสลิม

บัญชีผู้ใช้ TikTok จำนวนหนึ่งสร้างความรู้สึกไม่ดีต่อคนมุสลิมด้วยการนำข่าวต่างประเทศที่มีเนื้อหาเชิงลบต่ออิสลามและคนมุสลิมมาเผยแพร่ต่อโดยใส่ข้อความชี้นำให้เข้าใจว่าหลายประเทศกำลังต่อต้านคนมุสลิม เพราะศาสนาอิสลามเป็นที่มาของความขัดแย้งและความรุนแรง

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปข่าวจากสำนักข่าวอัลจาซีรากรณีชาวมุสลิมในจีนปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่พยายามเข้าไปรื้อสิ่งปลูกสร้างภายในมัสยิดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำพร้อมข้อความว่า “รัฐบาลจีนสั่งปราบปรามกลุ่มมุสลิมที่คิดแบ่งแยกการปกครองเพราะคัมภีร์เขียนไว้มุสลิมต้องปกครองตนเองด้วยกฎหมายอิสลาม จึงกลายเป็นการปกครองแบบรัฐซ้อนรัฐในทุก ๆ ดินแดนที่มีมุสลิมอาศัยอยู่ ปัญหาความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นตลอดไป”
  • คลิปจากวอยซ์ทีวีที่พิธีกรข่าวพูดถึงข้อเสนอของนายกเนเธอร์แลนด์ให้ปิดมัสยิดทั้งประเทศ ถูกนำมาใส่ข้อความประกอบว่า “นายกเนเธอร์แลนด์เสนอให้ปิดมัสยิดทั่วประเทศ มัสยิดคือแหล่งปัญหา”
  • ข่าวทางการอินเดียสั่งถอดลำโพงกว่า 45,000 ตัว จากศาสนสถาน รวมทั้งมัสยิด
  • ข่าวนักเรียนมุสลิมในกรุงลอนดอนแพ้คดีที่เธอฟ้องร้องโรงเรียนข้อหาละเมิดสิทธิเพราะห้ามไม่ให้เธอละหมาดที่โรงเรียน

8) ออกจากอิสลาม

นำเสนอเรื่องราวของคนที่ออกจากอิสลาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาจากเพจเฟซบุ๊ก “กุรอานศึกษาแนววิพากษ์ – Critical Quran Studies” ที่เผยแพร่ซีรีส์ “ทำไมฉันจึงออกจากอิสลาม” มาตั้งแต่ปี 2566 โดยอ้างว่าเป็นเรื่องราวจริงของคนที่ส่งข้อมูลมาให้ทางเพจเผยแพร่

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปเสียงอ่านเรื่องราวของชายชาวนครศรีธรรมราชที่เปลี่ยนจากอิสลามมานับถือพุทธ
  • คลิปวิดีโอชายมุสลิมกำลังร้องไห้คร่ำครวญเป็นภาษาต่างประเทศ มีข้อความว่า “อิหม่ามร้องไห้เมื่อมุสลิมออกจากการนับถืออิสลามมาก”

9) อิสลาม vs พุทธ

เปรียบเทียบคำสอนของศาสนาอิสลามกับศาสนาพุทธ ยกย่องว่าศาสนาพุทธดีกว่าศาสนาอื่น ๆ หรืออ้างถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนพุทธและคนมุสลิม

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปเสียงอ่านบทความเรื่อง “ศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ตรงข้ามกัน” ซึ่งพูดถึงศาสนาพุทธในทางที่ดี แต่อิสลามในทางที่ไม่ดี
  • คลิป น.ส. พาศิกา นายกฯ สปพ. พูดว่าโรงเรียนวัดในกรุงเทพฯ มีนักเรียนมุสลิมเข้ามาเรียนจำนวนมากและเรียกร้องขอแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามและขอให้มีอาหารฮาลาล ซึ่งเธอบอกว่า “แสดงถึงเจตนาชัดเจนที่จะคุกคาม รุกราน รุกคืบเข้ามาในพื้นที่ของชาวพุทธที่เป็นคนดั้งเดิมของแผ่นดินไทย”

10) ล้อเลียนอิสลามและคนมุสลิม

บัญชีผู้ใช้ TikTok มีการนำภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และข้อความต่าง ๆ จากหลายแหล่ง มาตัดต่อเป็นเนื้อหาเชิงล้อเลียน เสียดสี กล่าวหา สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่ออิสลามและคนมุสลิม

ตัวอย่างเนื้อหา

  • คลิปเหตุการณ์อุทกภัยในภาคใต้ช่วงปลายปี 2567 เขียนบรรยายว่าชาวมุสลิมไม่รับอาหารจากหน่วยกู้ภัยเพราะไม่ใช่อาหารฮาลาล
  • ภาพประชาชนรอรับแจกของในงานเทกระจาดที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จ.ยะลา มีข้อความเสียดสีชาวมุสลิมที่มารับอาหาร
  • คลิปทำขาหมูพะโล้ เขียนข้อความ “เมื่อเราเป็นอิสลาม แต่เพื่อนไทยพุทธ ให้ลองเปิดใจกินหมู ทุกคนว่าไงดี”

บทสรุปและข้อสังเกต

จากการศึกษาวิดีโอสั้นที่มีเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามจำนวน 250 ชิ้น ที่เผยแพร่โดย 30 บัญชีผู้ใช้ TikTok ระหว่างเดือนสิงหาคม 2564-มีนาคม 2568 แสดงให้เห็นว่า TikTok เป็นช่องทางในการเผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลาม นอกเหนือจาก Facebook, YouTube และ X แม้รูปแบบและลักษณะของเนื้อหาจะแตกต่างไปตามแพลตฟอร์มที่เน้นการนำเสนอวิดีโอสั้น (short video) แต่ประเด็นหรือ narratives ที่ถูกนำมาใช้สร้างความเกลียดกลัวอิสลาม ยังคงเป็นประเด็นเดียวกับที่พบในแพลตฟอร์มอื่น เช่น การสร้างภาพว่าอิสลามเป็นศาสนาที่สนับสนุนความรุนแรง การเชื่อมโยงอิสลามกับความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทฤษฎีสมคบคิดว่าด้วย “การล้างเผ่าพันธุ์ชาวพุทธ” และการสร้างความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างชุมชนคนพุทธกับมุสลิม

การสร้างความเกลียดกลัวอิสลามผ่านวิดีโอสั้นที่เผยแพร่ใน TikTok มีทั้งการล้อเลียนและการใช้เนื้อหาเท็จ-ข้อมูลบิดเบือนเพื่อให้เกิดภาพลบต่อชาวมุสลิม และสร้างความเข้าใจผิดต่อคำสอนของอิสลาม กฎหมายและนโยบายของรัฐ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าหลายฝ่ายจะต้องร่วมมือกันในการตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact check) เนื้อหาเท็จ/บิดเบือนเหล่านี้ เช่นเดียวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาประเด็นอื่น ๆ อย่างเรื่องสุขภาพและการเมือง

ผู้เขียนพบว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาที่เป็นวิดีโอสั้นใน TikTok มีความยุ่งยากซับซ้อนกว่าเมื่อเทียบกับเนื้อหาในแพลตฟอร์มอื่น เพราะผู้สร้างวิดีโอสั้นเหล่านี้มักผสมผสานเนื้อหาหลายรูปแบบจากหลายแหล่ง ทั้งข้อความในไลน์ ข้อเขียนจากบล็อกและเว็บไซต์ โพสต์เฟซบุ๊ก ไลฟ์สตรีม คลิปข่าวต่างประเทศ วิดีโอจากผู้ใช้งานอื่น (user-generated content) ฯลฯ มาตัดต่อเข้าด้วยกัน โดยไม่ระบุหรืออ้างอิงที่มา และใส่ข้อความที่ชี้นำความเห็นหรือสร้างความเข้าใจผิด

การวิเคราะห์หรือตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาวิดีโอ TikTok จึงไม่ใช่แค่เพียงการนำข้อความหรือภาพมาตรวจสอบ แต่ต้อง แยกองค์ประกอบของวิดีโอนั้นออกเป็นส่วน ๆ สืบค้นต้นตอของเนื้อหาแต่ละส่วน แล้วจึงตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาแต่ละส่วน ทำให้การตรวจสอบเนื้อหาใน TikTok ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลามาก

ข้อสังเกตประการสุดท้ายคือ เนื้อหาหลายชิ้นมีถ้อยคำและภาพที่รุนแรงมาก ยังไม่นับข้อความในคอมเมนต์ที่ปลุกปั่นและยั่วยุในระดับที่น่ากังวลว่าอาจกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่นำไปสู่ความรุนแรงอย่างเช่นหลายเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต หรือที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ เนื้อหาเหล่านี้ปรากฏอยู่ในแพลตฟอร์มมาเป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี ทำให้เกิดคำถามต่อผู้ให้บริการแพลตฟอร์มถึงประสิทธิภาพในการกำกับดูแลการใช้งานให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์สำหรับชุมชน

3 คำถาม 3 คำตอบกับ TikTok

ผู้เขียนได้สอบถาม TikTok เกี่ยวกับหลักเกณฑ์สำหรับชุมชนและการจัดการเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังทางศาสนาและได้รับคำตอบจาก คุณสิริประภา วีระไชยสิงห์ Outreach and Partnerships Lead, Trust and Safety – TikTok ดังนี้

ถาม: TikTok มีหลักเกณฑ์สำหรับชุมชนที่เกี่ยวกับเรื่องศาสนาหรือไม่ อย่างไร?

ตอบ: หลักเกณฑ์สำหรับชุมชนของ TikTok ไม่อนุญาตให้ใช้ถ้อยคำและการแสดงพฤติกรรมที่สร้างความเกลียดชังหรือการส่งเสริมแนวคิดที่สร้างความเกลียดชังทั้งโดยชัดเจนหรือโดยนัยที่เกี่ยวข้องกับศาสนา รวมถึงกลุ่มที่ได้รับความคุ้มครอง ได้แก่ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ชาติกำเนิด ศาสนา ชนเผ่า วรรณะ รสนิยมทางเพศ เพศ เพศสภาพ อัตลักษณ์ทางเพศ โรคร้ายแรง ความทุพพลภาพ และสถานะการอพยพ

เนื้อหาที่ลดคุณค่าทางอ้อมของกลุ่มที่ได้รับการคุ้มครอง อาจไม่มีคุณสมบัติสำหรับการเผยแพร่ใน “หน้าฟีดสำหรับคุณ (For You Feed- FYF)

ถาม: แนวทางการตรวจสอบเนื้อหาของ TikTok ที่เกี่ยวกับการสร้างความแตกแยกระหว่างคนต่างศาสนาเป็นอย่างไร หากพบเนื้อหาเท็จที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามจะดำเนินการอย่างไร?

ตอบ: แนวทางการตรวจสอบเนื้อหาของ TikTok ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความรุนแรงและพฤติกรรมที่สร้างความเกลียดชังมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาควบคู่นโยบายหรือกฎเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการคัดกรองเนื้อหาในระดับต่าง ๆ เช่น ลบเนื้อหาที่ไม่อนุญาต จำกัดเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน หรือจำกัดสิทธิ์การเข้าถึง FYF

TikTok ปรับปรุงนโยบายและบังคับใช้กฎให้เข้มงวดยิ่งขึ้นอยู่เสมอ และฝึกอบรมทีมผู้เชี่ยวชาญในการคัดกรองเนื้อหาเพื่อตรวจจับพฤติกรรมที่สร้างความเกลียดชัง สัญลักษณ์ คำศัพท์ และภาพจำที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

นอกจากนี้ TikTok ยังทำงานร่วมกับองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้รับการรับรองจากเครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริงนานาชาติ (IFCN) โดยระหว่างการตรวจสอบ วิดีโอนั้นจะไม่มีสิทธิ์ใน FYF หากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ชัดเจน วิดีโอนั้นจะมีป้ายกำกับว่าเนื้อหาไม่ได้รับการตรวจสอบ ไม่อนุญาตให้ปรากฏใน FYF และแนะนำให้ผู้ใช้พิจารณาก่อนแชร์

ถาม: บัญชีผู้ใช้หลายบัญชีเผยแพร่เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัว/ดูหมิ่นศาสนาอิสลามและคนมุสลิมมาเป็นเวลาหลายปี และเนื้อหาเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ เหตุใดบัญชีและเนื้อหาเหล่านี้จึงไม่ถูกนำออกจากระบบ?

ตอบ: ถ้อยคำและพฤติกรรมที่สร้างความเกลียดชังจะถูกดำเนินการเมื่อตรวจพบ TikTok ฝึกอบรม ทีมงานผู้เชี่ยวชาญและพัฒนาเทคโนโลยีเป็นประจำเพื่อตรวจจับแนวโน้มของเนื้อหาดังกล่าว

ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ระบบของ TikTok ตรวจจับได้ลบเนื้อหาที่มีการละเมิดกฎของชุมชน 2.8 ล้านวิดีโอในประเทศไทย

แม้ว่าระบบจะมีความแม่นยำในการตรวจจับ แต่ก็ยังมีเนื้อหาที่แสดงความเกลียดชังในรูปแบบต่าง ๆ เช่น รูปภาพ ข้อความ เสียง การ์ตูน มีม สิ่งของ ท่าทาง และสัญลักษณ์ ซึ่งการถ่ายทอดบางอย่างอาจไม่ชัดเจน TikTok จึงต้องทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและภาคประชาสังคมเพื่อให้การตรวจจับเนื้อหาครอบคลุมมากขึ้น

ทั้งนี้ TikTok มีชุมชน #MuslimTok ซึ่งรวบรวมผู้สร้างคอนเทนต์มุสลิมมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก และเปิดโอกาสให้คนทุกศาสนาและชุมชนมุสลิมได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอิสลามและประสบการณ์ของชาวมุสลิมความหลากหลายนี้เป็นหัวใจสำคัญของ TikTok ซึ่งมีเป้าหมายให้ชาวมุสลิมมีประสบการณ์เชิงบวก ไม่ว่าจะเป็นในฐานะผู้สร้างสรรค์หรือผู้ใช้ทั่วไปของแพลตฟอร์ม

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

ชาวปาเลสไตน์จ้างนักแสดง ‘แกล้งตาย-เจ็บ’ ในศึกกาซาจริงหรือ?

ธีรนัย จารุวัสตร์

สมาชิกเครือข่าย Cofact Thailand 

ขณะที่ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาได้รับการตีแผ่ไปทั่วโลก แต่โลกโซเชียลมีเดียกลับเต็มไปด้วยคลิปที่อ้างว่าผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตชาวปาเลสไตน์เป็นเพียงการ “จัดฉาก” เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากชาวโลก หรือที่เรียกกันในวงการสื่อว่า ทฤษฎีสมคบคิด “Pallywood”

หากใครจำกันได้ หลังจากที่กองทัพรัสเซียรุกรานยูเครนในต้นปี 2022 และเริ่มมีรายงานว่าประชาชนยูเครนจำนวนหนึ่งเสียชีวิตจากปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย พิธีกรข่าวของช่อง “ททบ. 5” ในประเทศไทย ได้นำคลิปวิดิโอหนึ่งมาเผยแพร่ออกอากาศ โดยระบุว่าเป็นการจับผิด “ศพ” ชาวยูเครนที่ถูกทหารรัสเซียสังหาร แต่ “ศพ” กลับขยับเขยื้อนได้ ดูเหมือนเป็นการ “จัดฉาก” ซะมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฎว่าวิดิโอดังกล่าวเป็นคลิปจากเหตุการณ์การประท้วงสภาวะโลกร้อน ซึ่งนักกิจกรรมได้แสดงท่าทางเป็นศพเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครนเลย และในเวลาต่อมา ได้มีหลักฐานและภาพข่าวประชาชนยูเครนที่ถูกคร่าชีวิตโดยกองทัพรัสเซียปรากฎสู่สายตาชาวโลกอย่างล้นหลาม จนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป การกล่าวหาในทำนองว่ายูเครน “จัดฉาก” ผู้เสียชีวิตเพื่อป้ายสีรัสเซีย จึงค่อยๆเงียบหายไป…

เวลาผ่านมาปีกว่า วาทกรรมดังกล่าวกลับขึ้นมาแพร่หลายในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง แต่เปลี่ยนบริบท 

จากสงครามในยูเครน สู่สงครามในฉนวนกาซาและอิสราเอล จากที่เคยพุ่งเป้าจับผิดว่าชาวยูเครน “จัดฉาก” หรือแกล้งตาย กลายมาเป็นการกล่าวหาว่าชาวปาเลสไตน์กำลังใช้ “นักแสดง” สวมบทบาทเป็นผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการโจมตีของกองทัพอิสราเอล ซึ่งในปัจจุบัน ข้อมูลจากทางการกาซาระบุว่าชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 10,000 ราย ตั้งแต่กองทัพอิสราเอลเริ่มปิดล้อมและถล่มฉนวนกาซา หลังฮามาสก่อเหตุสังหารประชาชนในอิสราเอลจำนวนมากเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา

ตัวอย่างเช่น คลิปที่อ้างว่าชายคนหนึ่งที่สูญเสียขาในโรงพยาบาลกาซ่า กลับกลายว่ายังมีขาอยู่ในวันถัดมา หรืออ้างว่าศพเยาวชนในกาซาขยับเขยื้อนตัวได้ หรืออ้างว่ามีนักแสดงชาวปาเลสไตน์ปรากฎตัวในคลิปการโจมตีของอิสราเอลหลายครั้ง ฯลฯ 

ทั้งหมดเหล่าเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดที่เรียกว่า “Pallywood” ซึ่งเป็นการรวมกันของคำว่า “Hollywood” กับ “Palestine” เพื่อที่จะสื่อว่า ภาพและข่าวความสูญเสียในปาเลสไตน์นั้น เป็นการจัดฉากขึ้นเพื่อตบตาชาวโลก มีการใช้นักแสดงหรือวางบทบาทกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ต่างจากการถ่ายภาพยนตร์ Hollywood

ที่น่ากังวลคือทฤษฎีสมคบคิดเช่นนี้ถูกส่งต่อในโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง แม้แต่ทางการอิสราเอลและสำนักข่าวจำนวนหนึ่ง (รวมถึงสื่อไทยอย่างน้อยหนึ่งแห่ง) ก็หยิบมาเผยแพร่ต่อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดแต่เคลือบแคลงใจต่อวิกฤติมนุษยธรรมในกาซาขณะนี้อย่างแพร่หลาย ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญและ factcheckers จำนวนมากได้พิสูจน์ทราบแล้วว่าไม่มีมูลความจริง 

จากปาเลสไตน์ สู่กลุ่มขวาจัดอเมริกัน

แนวคิด Pallywood เริ่มปรากฎขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ระหว่างการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวปาเลสไตน์เพื่อต่อต้านการยึดครองเขตเวสต์แบงก์และกาซาโดยกองทัพอิสราเอล 

การลุกฮือ (หรือที่เรียกว่า intifada) ดังกล่าวประกอบด้วยทั้งการประท้วงและการใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายในอิสราเอล นำไปสู่การโต้ตอบอย่างรุนแรงจากกองทัพอิสราเอล ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะพลเรือน ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์เริ่มปรากฎขึ้นในสื่อมวลชนต่างประเทศหลายแห่ง กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอิสราเอล 

เหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก คือวิดิโอข่าวเหตุการณ์สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ที่พยายามซุกตัวในมุมถนนแห่งหนึ่ง เพื่อหลบการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ก่อนที่ทั้งสองพ่อลูกจะถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งทีมข่าวระบุว่าเป็นฝีมือทหารอิสราเอล สร้างความโกรธแค้นไปทั่วในปาเลสไตน์และนานาประเทศ

สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ Jamal และ Muhammad al-Durrah ขณะพยายามหลบกระสุนปืนท่ามกลางการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา เมื่อปี 2000 ที่มา: France 2

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจำนวนหนึ่งในสหรัฐฯ เริ่มตั้งคำถามต่อวิดิโอดังกล่าวว่าเชื่อถือได้จริงหรือไม่ โดยได้หยิบยกข้อสังเกตต่างๆมาวิจารณ์ เช่น ดูเหมือนคลิปมีการตัดต่อ, มุมกล้องไม่ได้แสดงเหตุการณ์ทั้งหมด, ลำดับเหตุการณ์ไม่ตรงกับคำให้การของพยาน ไปจนถึงกระทั่งว่า สองพ่อลูกในข่าวไม่ได้เสียชีวิตจริง แต่อาจจะเป็นการ “จัดฉาก” ขึ้นเท่านั้น 

แนวคิดนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เป็นการตั้งข้อสังเกตกับข่าวเหตุการณ์เดียว กลายเป็นการตั้งคำถามกับภาพและข่าวความสูญเสียอื่นๆของชาวปาเลสไตน์ด้วย พร้อมโจมตีว่าสื่อมวลชนหลายแห่งสมคบคิดกันเพื่อจัดฉากป้ายสีอิสราเอล หรือจ้างนักแสดงปาเลสไตน์มาแกล้งตายเพื่อจะได้ภาพข่าวที่ต้องการ เป็นที่มาของคำว่า Pallywood 

กระแส Pallywood เริ่มลดลงไปบ้างหลังการกำเนิดขึ้นของโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยให้ประชาชนผู้เสพข่าวทั่วโลกได้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆในปาเลสไตน์กับตาตัวเองโดยตรง แต่องค์ประกอบบางส่วนในแนวคิด Pallywood ได้วิวัฒนาการกลายเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดอื่นๆ ที่มักจะเผยแพร่ในกลุ่มขวาจัดอเมริกันในเวลาต่อมา 

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อมีเหตุโศกนาฏกรรมกราดยิงหรือสังหารหมู่ในอเมริกา กลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่งมักจะเผยแพร่ข้อกล่าวหาว่า การกราดยิงต่างๆนั้นเป็นเพียงการ “จัดฉาก” โดยหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างจำกัดสิทธิ์การครอบครองอาวุธปืนหรือลิดรอนเสรีภาพประชาชน 

เท่านั้นยังไม่พอ ยังกล่าวหาด้วยว่าบรรดาเหยื่อกราดยิงและครอบครัวผู้เสียชีวิต เป็นเพียงนักแสดงเฉพาะกิจ (crisis actors) ที่เล่นบทบาทตบตาสื่อและประชาชน สร้างความเจ็บปวดให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ดังเช่นในเหตุกราดยิงโรงเรียนประถม Sandy Hook เมื่อปี 2012 จนครอบครัวเหยื่อเหตุกราดยิงครั้งนั้นถึงกับรวมตัวฟ้องร้องนาย Alex Jones เจ้าของสำนักข่าวแนวขวาจัดรายใหญ่ ซึ่งมีบทบาทในการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าว จนชนะคดีในเวลาต่อมา 

นอกจากนี้ ทฤษฎีสมคบคิดในลักษณะเดียวกันยังกลับมาปรากฎขึ้นในช่วงสั้นๆ หลังเหตุการณ์กองทัพรัสเซียทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลผดุงครรภ์ในเมือง Mariupol ประเทศยูเครน เมื่อต้นปี 2022 ซึ่งกลุ่มชาตินิยมและสื่อในสังกัดรัฐของรัสเซียพยายามบิดเบือนว่า ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็น “นักแสดง” ที่ยูเครนจัดฉากขึ้น เป็นต้น

เมื่อ ‘Mr. FAFO’ ระบาดมาถึงสื่อไทย

การสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาสรอบล่าสุด ได้ทำให้กระแส Pallywood กลับมาแพร่ระบาดในสังคมออนไลน์อย่างไม่ต้องสงสัย ท่ามกลางกระแสข่าวบิดเบือนจำนวนมากเกี่ยวกับสงครามกาซาที่กระจายอยู่เต็มโซเชียลมีเดีย มีทั้งเพื่อสร้างและทำลายความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงของคู่ขัดแย้งบนความเข้าใจผิดของผู้เสพย์ข้อมูล

ตัวอย่างหนึ่งซึ่งมักจะปรากฎอยู่บ่อยๆ คือชายชายปาเลสไตน์คนหนึ่งที่กลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่สนับสนุนรัฐบาลอิสราเอล ระบุว่าเป็น “นักแสดง” มากบทบาท เป็นทั้งทหารฮามาส สื่อมวลชน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล แม้กระทั่งศพผู้เสียชีวิต

ชายคนนี้ได้รับฉายาจากกลุ่มขวาจัดอเมริกันว่า “Mr. FAFO” ซึ่งเป็นคำแสลงอเมริกันหมายถึงคนที่รนหาที่ตาย (Fuck Around, Find Out – FAFO) ข่าวนี้ได้กระจายออกจากโซเชียลมีเดียของกลุ่มขวาจัดไปสู่สังคมออนไลน์ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว รวมถึงแอคเคาท์ทวิตเตอร์ทางการของรัฐบาลอิสราเอลด้วย โดยระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า Mr. FAFO คนนี้เป็นหลักฐานปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของชาวปาเลสไตน์

ในกรณีประเทศไทย พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทยด้วยกัน  ส่วนในภาพรวมของสื่อมวลชนไทยจะเน้นการรายงานข่าวหรือข้อมูลการสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกองกำลังติดอาวุธกลุ่มฮามาสจากแหล่งข้อมูลทางการหรือสำนักข่าวต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ จะมีบางสื่อที่รายงานโดยให้น้ำหนักไปทางข้างใดข้างหนึ่ง เช่นกรณี เว็บไซต์ของช่อง Bright TV ได้หยิบยกเรื่องของ Mr. FAFO มาเผยแพร่ต่อ โดยเนื้อข่าวตอนนี้ระบุว่า:

“ทั้งนี้ ท่ามกลาง Saleh Aljafarawi นามแฝงของนาย FAFO ที่บงการอย่างสิ้นหวังและวิดีโอที่ทำให้เข้าใจผิดและการกล่าวอ้างทางโซเชียลมีเดีย เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มฮามาสใช้กลยุทธ์การโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ เพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจและฉายภาพอิสราเอลว่าเป็นผู้กดขี่ กลไกที่น่าละอายอย่างหนึ่งของฮามาสก็คือการอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 500 รายในโรงพยาบาลฉนวนกาซา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ชี้ให้เห็นอย่างรวดเร็วว่านี่ไม่ใช่การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล แต่เป็นจรวดที่ยิงผิดจากในฉนวนกาซา 

เห็นได้ชัดว่า นอกเหนือจากการทำสงครามกับฮามาส เฮาซี และฮิซบอลเลาะห์แล้ว อิสราเอลยังต้องต่อสู้กับสงครามข้อมูลที่บิดเบือน/บิดเบือนด้วยเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม หากได้มีการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม ก็จะพบว่านาย Saleh มีอาชีพเป็นอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเทอร์ชื่อดังในกาซาตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามแล้ว โดยเขาได้เผยแพร่คลิปวิดิโอ สตอรี่ และผลงานเพลงจำนวนมาก ซึ่งก็ไม่ต่างจากอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศอื่นๆทั่วโลก อีกทั้งยังทำงานอาสาเป็นเจ้าหน้าที่ให้แก่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกาซาด้วย (จึงเป็นที่มาของภาพนาย Saleh ในเครื่องแบบโรงพยาบาล) 

มิได้มีเจตนาแฝงตัวเป็นบุคคลหลากหลายอาชีพแบบที่เข้าใจกัน และไม่เคยอ้างตัวว่าเป็นผู้บาดเจ็บจากเหตุโจมตีของอิสราเอล

นอกจากนี้ บางภาพที่นำมายำรวมกันและอ้างว่าเป็น Mr. FAFO ไม่ใช่ภาพของนาย Saleh ด้วยซ้ำ ดังเช่นภาพด้านขวามือที่ปรากฎข้างบนนี้ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นภาพของ Mohammad Zendeq ชาวปาเลสไตน์อีกคนหนึ่ง ที่บาดเจ็บจากปฏิบัติการทางทหารโดยกองทัพอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ (ไม่ใช่ฉนวนกาซา) ตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม หรือก่อนหน้าสงครามกาซารอบล่าสุดเสียอีก 

ด้านทีมข่าว AFP Fact Check ในประเทศไทย ได้พิสูจน์แล้วว่า ภาพ “ศพ” ที่หลายคนอ้างว่าเป็น Mr. FAFO แกล้งตายนั้น จริงๆแล้วเป็นภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งชุดประกวดงานวันฮาโลวีนในจังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ต่างหาก

นอกจาก Mr. FAFO แล้ว ข่าวบิดเบือน Pallywood เช่นนี้ยังปรากฎขึ้นในอีกหลายรูปแบบ เช่น เอาคลิปเบื้องหลังการถ่ายภาพยนตร์ในเลบานอน มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์กำลังแต่งหน้าและแต้มสีเลือด ให้ดูเหมือนว่าบาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล, เอาภาพนักกิจกรรมในประเทศอียิปต์นอนแกล้งตายเพื่อประท้วงรัฐบาล มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์แต่งกายเป็นศพ เพื่อหลอกตาสื่อมวลชน เป็นต้น

เครื่องมือทางจิตวิทยา?

แน่นอนว่าคำถามหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นในใจหลายคนคือ ผู้ที่เผยแพร่และปั่นกระแส Pallywood เช่นนี้ มีจุดประสงค์เพื่ออะไร

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งได้แสดงความกังวลไว้ว่า ผลกระทบหนึ่งจากทฤษฎีสมคบคิด Pallywood คือจะค่อยๆทำให้ประชาชนที่รับข่าวสารเกี่ยวกับสงครามกาซาเกิดความเคลือบแคลงใจ และเริ่มคิดว่าสื่อหรือโซเชียลมีเดียที่เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับชาวปาเลสไตน์ไม่น่าเชื่อถือ จนทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ความจริง” กับ “ความเท็จ” ค่อยๆเลือนลงไป ทั้งที่มีหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ถึงวิกฤติมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในกาซา 

ดังที่ Sam Doak นักวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับข่าวบิดเบือน ให้สัมภาษณ์ไว้กับ Rolling Stone ว่าแนวคิดเช่นนี้เสี่ยงทำให้ผู้ที่รับชมข่าวสารมีทัศนคติเชิงลบต่อชาวปาเลสไตน์ เพราะปักใจเชื่อว่าชาวปาเลสไตน์พยายามหลอกลวงประชาชนทั่วโลก และมองว่าข่าวเกี่ยวกับความสูญเสียของพลเรือนปาเลสไตน์เป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น

“นี่คือการลดทอนความเป็นมนุษย์” Doak กล่าวสรุป

ข้อมูลสำหรับอ่านเพิ่มเติม

No, Palestinians Are Not Faking the Devastation in Gaza | Rolling Stone 

Clip shows teenager in West Bank hospital, not faked injuries in Gaza | AFP Fact Check

A thread on Pallywood conspiracy theory | Matt Binder 

พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทย I BBC Thai 


Fact-check: 3 เนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

อิสลามเป็นศาสนาต้องห้ามในญี่ปุ่น, ผู้นำอิสลามในจังหวัดขอนแก่นสั่งปลดรูปพระมหากษัตริย์และพระพุทธรูปออกจากซุ้มประตูเมือง, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับถือศาสนาอิสลามและอยู่เบื้องหลังนโยบายเอื้อคนมุสลิม – นี่คือตัวอย่างเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามด้วยการใช้ข้อมูลเท็จและบิดเบือน (Islamophobic disinformation) ที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียมานานหลายปี และเมื่อ TikTok เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยเมื่อกลางปี 2561 เนื้อหาเหล่านี้ก็ตามมาปรากฏตัวในแพลตฟอร์มนี้ด้วย

ในวาระที่ TikTok ให้บริการในไทยครบรอบ 7 ปี ในปี 2568 นี้ โคแฟคซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการตรวจสอบข่าวลวงและรณรงค์เรื่องการรู้เท่าทันสื่อ ได้เผยแพร่รายงานพิเศษเรื่อง “สำรวจเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok” โดยวิเคราะห์เนื้อหาวิดีโอ 250 ชิ้นที่มีเนื้อหาต่อต้านอิสลามที่เผยแพร่โดยผู้ใช้ TikTok 30 บัญชี วิดีโอเหล่านี้มีทั้งเนื้อหาล้อเลียน เหยียดหยาม ด่าทอให้ร้าย ไปจนถึงเนื้อหาเท็จหรือข้อมูลบิดเบือนเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำสอนของอิสลามและคนมุสลิม

เพื่อให้เห็นภาพของการใช้เนื้อหาเท็จและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างความเกลียดกลัวอิสลาม ผู้เขียนได้เลือกวิดีโอ TikTok 3 ชิ้น มาตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact check) และนำเสนอผลการตรวจสอบในรายงานชิ้นนี้

1. ประเทศญี่ปุ่นปฏิเสธอิสลาม-คนมุสลิม

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 บัญชีผู้ใช้ TikTok โพสต์ภาพย่านธุรกิจในญี่ปุ่น (ลิงก์บันทึก) ความยาว 5 นาที พร้อมเสียงบรรยายในประเด็น “ประเทศญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลามอย่างไร” สรุปใจความได้ว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่ข้องเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและคนมุสลิมโดยเด็ดขาด มีกฎระเบียบที่เข้มงวดต่อชาวมุสลิมและศาสนาอิสลาม เช่น ไม่ให้สัญชาติคนต่างชาติที่เป็นมุสลิม ไม่ให้คนมุสลิมพำนักอย่างถาวร ห้ามการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในญี่ปุ่น ไม่อนุญาตให้สอนภาษาอาหรับ ไม่อนุญาตให้นำคัมภีร์อัลกุรอ่านเข้าประเทศ ไม่ให้วีซ่าแก่มุสลิมที่เป็นแพทย์ วิศวกร หรือผู้บริหารบริษัทต่างชาติ บริษัทส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมีกฎไม่รับคนมุสลิมเข้าทำงาน ชาวมุสลิมไม่สามารถเช่าบ้านในญี่ปุ่นได้ ไม่อนุญาตให้มีสถานศึกษาของชาวมุสลิม หญิงชาวญี่ปุ่นที่แต่งงานกับคนมุสลิมจะเป็นที่รังเกียจและสังคมไม่ยอมรับ และญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสถานทูตของประเทศอิสลามอยู่น้อยมาก

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: เนื้อหาเป็นเท็จ

เสียงบรรยายนี้นำมาจากวิดีโอที่เคยเผยแพร่ทางช่องยูทูบ “สยามบีซี-Siam BC” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 6 แสนราย ปัจจุบันไม่พบวิดีโอเรื่อง “ประเทศญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลามอย่างไร?” ในช่องยูทูบนี้แล้ว แต่เนื้อหาวิดีโอที่ถูกตัดมาบางช่วงยังคงถูกเผยแพร่ซ้ำโดยบัญชีผู้ใช้ TikTok อย่างน้อย 10 ราย

เมื่อถอดเสียงคำบรรยายและนำไปค้นหาในกูเกิลพบว่าเนื้อหาเดียวกันนี้ถูกเผยแพร่ในระบบอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่ปี 2558 เช่น ในเว็บไซต์พันทิป Blogspot และเฟซบุ๊กเพจของ อปพส.

คลิปจากช่องยูทูบ “สยามบีซี-Siam BC” เรื่อง “ประเทศญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลามอย่างไร ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำใน TikTok

โคแฟคตรวจสอบจากฐานข้อมูลของรัฐบาลญี่ปุ่นและสื่อมวลชนญี่ปุ่นพบว่าเนื้อหาว่าด้วย “ญี่ปุ่น ‘แบน’ อิสลาม” ที่ถูกเผยแพร่ทั้งในรูปแบบของข้อเขียนและคลิปวิดีโอในโลกออนไลน์มานานนับสิบปี มีเนื้อหาที่เป็นเท็จ กล่าวคืออิสลามไม่ใช่ศาสนาต้องห้ามในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีผู้ที่นับถืออิสลามอยู่หลักแสนคน มีมัสยิดอยู่นับร้อยแห่ง มีตั้งศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศญี่ปุ่น (Islamic Center of Japan) มาตั้งแต่ พ.ศ. 2509 มหาวิทยาลัยชั้นนำมีการสอนภาษาอาหรับ และรัฐบาลญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศมุสลิมหลายประเทศ และผู้นำระดับสูงของประเทศเหล่านั้นก็เคยมาเยือนญี่ปุ่น ตามข้อมูลต่อไปนี้

  • สำนักข่าว Nikkei และ Asahi Shumbun รายงานตรงกันว่าจำนวนประชากรมุสลิมในญี่ปุ่นเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ Nikkei ระบุว่า ณ สิ้นปี 2566 ญี่ปุ่นมีชาวมุสลิมอยู่ราว 350,000 คน เพิ่มขึ้นสามเท่าตัวในเวลา 18 ปี ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซียที่เข้ามาทำงานในญี่ปุ่น แต่ในจำนวนนี้ก็มีคนสัญชาติญี่ปุ่นที่นับถืออิสลามอยู่ด้วย Asahi Shimbun รายงานว่ามัสยิดในญี่ปุ่นเพิ่มจำนวนจากสิบกว่าแห่งในปี 2542 เป็น 113 แห่งในปี 2564
  • มหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐและเอกชนในญี่ปุ่นเปิดหลักสูตรอิสลามศึกษา เช่น Center for Islamic Area Studies ของมหาวิทยาลัยเกียวโต, Middle Eastern and Islamic Studies ของมหาวิทยาลัยวาเซดะ และ Institute of Islamic Area Studies ของมหาวิทยาลัยโซเฟีย
  • เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นระบุถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถืออิสลาม เช่น การเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีอิหร่าน (ปี 2543) และรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน (ปี 2566) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและประธานาธิบดีอินโดนีเซียประชุมทวิภาคีพัฒนาความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ร่วมกัน (ปี 2566) และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นและปากีสถานประชุมทวิภาคีว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (ปี 2567
  • ประเทศที่มีสถานทูตหรือสถานกงสุลในญี่ปุ่นในฐานข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นมีประเทศมุสลิมอยู่หลายประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินโดนีเซีย อิหร่าน อิรัก ซาอุดิอารเบีย และตุรกี

ข้อมูลของทางการญี่ปุ่นและรายงานข่าวของสื่อมวลชนที่หยิบยกมานี้ยืนยันได้ว่า ญี่ปุ่นไม่ได้ห้าม ปิดกั้นหรือปฏิเสธศาสนาอิสลาม และมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศมุสลิมหรือมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม  

2. ผู้นำอิสลามในจังหวัดขอนแก่นสั่งปลดรูปพระมหากษัตริย์และพระพุทธรูปออกจากซุ้มประตูเมือง

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 บัญชีผู้ใช้ TikTok โพสต์ภาพซุ้มประตูเมืองขอนแก่นโดยตัดต่อภาพของชายมุสลิมคนหนึ่งเข้าไปด้วย และฝังข้อความว่า “แขกมาอยู่ขอนแก่นสั่งให้ปลดซุ้มที่มีพระพุทธรูปที่มีรูปพระราชาออก ระวังเขาจะไม่ต้อนรับนะมุส” (ลิงก์บันทึก) โพสต์นี้มียอดการดูเกือบ 4.8 แสนครั้ง นอกจากนี้ยังมีบัญชีผู้ใช้ TikTok อีกรายหนึ่งโพสต์เนื้อหาประเด็นเดียวกันเมื่อ 18 มิถุนายน 2566 โดยโพสต์คลิปภาพซุ้มประตูเมืองขอนแก่นที่มีเสียงบรรยายประกอบว่า “ซุ้มประตูเมืองขอนแก่น อิสลามจะเอาลง มีพระพุทธรูปของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งนักปกป้องชาวพุทธได้รวมตัวกันต่อต้านและขอไว้ มิเช่นนั้นก็โดนสอยร่วง…”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นความจริง

เนื้อหาของโพสต์ TikTok นี้กล่าวหาว่าผู้นำศาสนาอิสลามในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งน่าจะหมายถึงบุคคลในภาพ สั่งให้ปลดพระพุทธรูปและพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ออกจากซุ้มประตูเมือง

ประตูเมืองขอนแก่น ตั้งอยู่บนถนนศรีจันทร์ ก่อสร้างขึ้นในปี 2549 ด้วยงบประมาณ 15.5 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณของเทศบาลนครขอนแก่น 14.5 ล้านบาท องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น 1 ล้านบาท เมื่อสร้างเสร็จได้อัญเชิญ “พระพุทธพระลับ” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัดขอนแก่น จากวัดธาตุ พระอารามหลวง จำนวน 2 องค์ ขึ้นประดิษฐานบนมณฑปประตูเมืองขอนแก่นหลังใหม่เพื่อเป็นสิริมงคล

โคแฟคตรวจสอบพบว่าชายมุสลิมในภาพคือ พ.ต.อ.สมหวัง เนตรทิพยานนท์ อดีตประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดขอนแก่น ซึ่งให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ว่ามีผู้นำภาพของเขาไปใช้เพื่อสร้างความเข้าใจผิด พร้อมกับยืนยันว่าเนื้อหาในวิดีโอ TikTok นี้ไม่เป็นความจริง เขาไม่เคยเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงซุ้มประตูเมือง

พ.ต.อ.สมหวังยืนยันว่าไม่เคยมีกรณีที่คนมุสลิมในจังหวัดขอนแก่นเรียกร้องให้ปลดพระพุทธรูปและพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากซุ้มประตูเมืองตามที่ผู้โพสต์กล่าวอ้าง และตนก็ไม่มีอำนาจหน้าที่จะทำเช่นนั้นได้

เขาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ข้อกล่าวหานี้ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกราวปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่องค์กรชาวพุทธเคลื่อนไหวคัดค้านการจัดตั้งมัสยิดในพื้นที่ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น คาดว่าผู้ที่ผลิตและเผยแพร่เนื้อหาเท็จนี้ต้องการสร้างความเข้าใจผิดต่อคนมุสลิมในขอนแก่นเพื่อให้คนทั่วไปร่วมคัดค้านการจัดตั้งมัสยิด

โคแฟคสืบค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ไม่พบรายงานข่าวของสื่อมวลชนหรือข้อมูลอื่นว่ามีความพยายามในการนำพระพุทธรูปประจำเมืองและพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากซุ้มประตูเมืองขอนแก่น เมื่อประกอบกับคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.อ.สมหวังจึงสรุปในเบื้องต้นได้ว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเนื้อหาในโพสต์ TikTok นี้เป็นความจริง

3. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับถือศาสนาอิสลาม

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 20 กรกฎาคม 2566 บัญชีผู้ใช้ TikTok โพสต์คลิปนายประพันธ์ กิตติฤดีกุล เลขาธิการองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) สนทนากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ระบุว่าเป็น “อดีตสาวมุสลิม” เรื่องการใช้ระบอบการปกครองแบบอิสลามในประเทศไทย ความยาวเกือบ 5 นาที มีภาพประกอบและข้อความที่ชักนำให้เข้าใจว่าระบบการเมืองการปกครองของไทยถูกกำหนดและครอบงำโดยอิสลามและคนมุสลิม หนึ่งในนั้นคือภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ยกมือดุอาในวาระต่าง ๆ พร้อมข้อความว่า “พิธีเข้ารับอิสลาม” นอกจากนี้ยังมีภาพและข้อความที่อ้างเท็จว่า พล.อ.ประยุทธ์นับถือศาสนาอิสลามจึงมีนโยบายและอนุมัติงบประมาณจำนวนมากที่เอื้อประโยชน์ต่อคนมุสลิมโดยไม่ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ (ลิงก์บันทึก)

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: เนื้อหาเป็นเท็จ

เนื้อหาเท็จว่าด้วย พล.อ.ประยุทธ์และนางนราพร จันทร์โอชา ภรรยา นับถือศาสนาอิสลามถูกผลิตและเผยแพร่ในเฟซบุ๊กมานานกว่า 6 ปี และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื้อหาเท็จนี้ก็มาปรากฏอยู่ใน TikTok ด้วยเช่นกัน

พล.อ.ประยุทธ์เคยออกมาชี้แจงเรื่องนี้อย่างน้อย 2 ครั้งระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครั้งแรกเมื่อ 8 มีนาคม 2559 หลังจากมีผู้โพสต์ภาพที่เขาสวมหมวกกะปิเยาะห์ที่ได้รับจากกลุ่มชาวมุสลิมและภาพนางนราพรยืนอยู่กับผู้นำประเทศมุสลิมในการประชุมอาเซียนที่มาเลเซีย พร้อมข้อความบิดเบือนว่าทั้งสองนับถืออิสลาม

“(ภรรยา) ก็ไหว้พระอยู่กับผมทุกวัน แล้วก็ตามมาด้วยข่าวว่าลูกผมไปแต่งงานกับ (คนมุสลิม) แสดงว่าทั้งผม เมียผม ลูกผม เป็นมุสลิมไปหมด ท่านจะเชื่อเขาเหรอ ผมก็ห้อยพระเต็มคออยู่เนี่ย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เดือนธันวาคม 2562 มีการเผยแพร่ภาพนางนราพรติดเข็มกลัดรูปทรงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวพร้อมข้อความว่าเข็มกลัดเพชรรูปพระจันทร์เสี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของมุสลิม พล.อ.ประยุทธ์จึงออกมาชี้แจงอีกครั้งเมื่อ 17 ธันวาคม 2562 ว่า “…ก็เห็นอยู่ว่าภรรยาผมไปใส่บาตร ไปกราบพระ ไปไหว้พระ ผมเองก็เป็นไทยพุทธอยู่แล้ว แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่จะต้องดูแลคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย การไปโพสต์อย่างนี้มันไม่เป็นธรรมกับผม กับครอบครัวผม ขอให้ทำความเข้าใจกันด้วย อย่าไปเผยแพร่กันเรื่อยเปื่อย มันไม่ใช่ข้อเท็จจริง”

นอกจากนายกฯ จะยืนยันเองแล้ว นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกรัฐบาลในขณะนั้นยังได้โพสต์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์และภรรยา เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช พร้อมคำบรรยายว่า “ทุกครั้งที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางด้านพระพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่าทั้งสองท่านได้แสดงตนในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ดีมาอย่างสม่ำเสมอ”

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 แต่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการนับถือศาสนาของเขาและภรรยาก็ยังคงถูกผลิตซ้ำและเผยแพร่อย่างต่อเนื่องในทุกแพลตฟอร์ม 

สำหรับภาพและข้อความที่ถูกเผยแพร่ใน TikTok ที่อ้างเท็จว่า พล.อ.ประยุทธ์เข้าพิธีรับอิสลามนั้น โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นภาพการปฏิบัติภารกิจในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้แก่ การเข้าร่วมพิธีเปิดและปิดงานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2561 และภาพจากการร่วมรับประทานอาหารค่ำที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนพระราชทานเลี้ยงเนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2560 ภาพทั้งหมดไม่ใช่พิธีเข้ารับอิสลามตามที่ผู้โพสต์กล่าวอ้าง

เปรียบเทียบภาพ พล.อ.ประยุทธ์ที่ถูกนำมาประกอบเนื้อหาเท็จใน TikTok และภาพจากเหตุการณ์เดียวกันที่นำเสนอโดยสื่อมวลชน

โดยสรุป จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาจาก TikTok ทั้ง 3 ชิ้น พบว่าเรื่องญี่ปุ่นแบนศาสนาอิสลามและ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าพิธีรับอิสลามมีเนื้อหาเป็นเท็จ ส่วนเรื่องการปลดพระพุทธรูปจากซุ้มประตูเมืองขอนแก่น บุคคลที่ถูกนำภาพมาตัดต่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเขาเป็นผู้เสนอให้นำพระพุทธรูปลงจากซุ้มประตูเมืองยืนยันว่าเนื้อหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง

โพสต์ TikTok 3 ชิ้นนี้เป็นเพียงตัวอย่างของการใช้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน (disinformation) เพื่อสร้างความเข้าใจผิดที่นำไปสู่ความเกลียดกลัวอิสลามและคนมุสลิม เนื้อหาเหล่านี้เป็นอันตรายและเสี่ยงต่อการทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม เพราะเนื้อหาเท็จ-บิดเบือน ไม่เพียงปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกเกลียดชัง แต่ส่งผลในระดับที่ลึกกว่านั้น คือสร้างความเข้าใจผิด ทำให้ผู้คนหลงเชื่อและแยกไม่ออกว่าอะไร “จริง-ไม่จริง” เกี่ยวกับศาสนาอิสลามและคนมุสลิม

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

ไขความจริงบุหรี่ไฟฟ้า 2568: ข่าวลวงที่คุณต้องรู้ก่อนสูบ

กิจกรรม

วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 – ในโอกาสวันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม รายการ โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว ตอนที่ 3 นำโดย สุชัย เจริญมุขยนันทดำเนินรายการ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญ รศดรพญ.เริงฤดี ปธานวนิช จากภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชนคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล , สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และ พลินี เสริมสินสิริ จาก COFACT ประเทศไทย ได้เจาะลึกประเด็น “ข่าวจริง-ข่าวปลอม” เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในปี 2568 เพื่อไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความเชื่อผิด ๆ ที่แพร่หลายในสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน พร้อมตอบคำถามสำคัญ 8 ข้อที่ได้รับความสนใจอย่างมาก

รายการเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับสารอันตรายในบุหรี่ไฟฟ้า คำถามแรกที่หลายคนสงสัยคือ มีน้ำยาดองศพในบุหรี่ไฟฟ้าจริงหรือไม่? รศ. ดร. พญ.เริงฤดี ยืนยันว่าเป็นความจริง สารฟอร์มาลดีไฮด์ หรือน้ำยาดองศพ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งพบในบุหรี่ไฟฟ้า เกิดจากส่วนผสมอย่างกลีเซอรอลหรือโพรพิลีนไกลคอลที่ถูกความร้อนจนแตกตัว งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมินนิโซตาและแหล่งอื่น ๆ ยืนยันว่าสารนี้มีปริมาณที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ต่อมา มีความเชื่อว่ารัฐบาลโจมตีบุหรี่ไฟฟ้าเพราะไม่ได้เก็บภาษี จริงหรือ? คุณหมอเริงฤดีชี้แจงว่าไม่จริงการรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้ามาจากอันตรายต่อสุขภาพ ไม่ใช่เรื่องภาษี โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งพบว่าเกือบ 40% ของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นกลุ่มนี้ แม้ถูกกฎหมาย เยาวชนก็ไม่สามารถซื้อได้ตามกฎหมาย และการทำให้ถูกกฎหมายอาจส่งสัญญาณผิด ๆ ว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัย

ข้ออ้างเรื่องภาษีมักมาจากกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เพื่อผลักดันให้ถูกกฎหมาย ซึ่งไม่สอดคล้องกับผลกระทบด้านสุขภาพ เช่น ค่ารักษาพยาบาลจากโรคปอดอักเสบในเด็กที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า

ข้อสงสัยต่อมาคือ สารปรุงแต่งกลิ่นในบุหรี่ไฟฟ้าที่เหมือนขนมหรืออาหารทั่วไป จริงหรือไม่? คุณหมอยืนยันว่าจริง บุหรี่ไฟฟ้ามีสารปรุงแต่งกลิ่นมากถึง16,000 ชนิดตามรายงานขององค์การอนามัยโลกเช่น สารไดอะซีติลที่ใช้ในเนยหรือป๊อปคอร์นปลอดภัยเมื่อรับประทาน แต่เป็นอันตรายเมื่อสูดดมเข้าปอด สารเหล่านี้ในรูปแบบไอระเหยอาจทำร้ายระบบทางเดินหายใจ

อีกความเชื่อที่ว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่นำไปสู่การสูบบุหรี่ธรรมดา ถูกหักล้างโดยงานวิจัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ คุณหมอเริงฤดีเผยว่าการศึกษาในนักเรียนชั้น ม.1 ที่ติดตาม 1 ปี พบว่าเด็กที่เริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีโอกาสสูบบุหรี่ธรรมดาเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ต่างประเทศระบุว่าอาจสูงถึง 2-10 เท่า แสดงให้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็น “ประตู” สู่การสูบบุหรี่ธรรมดา

ประเด็นที่ว่านิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าไม่อันตราย คุณหมอระบุว่าไม่จริง นิโคตินเป็นสารเสพติดรุนแรงเทียบเท่าเฮโรอีน ทำให้เลิกยาก และส่งผลต่อหัวใจ ปอด และพัฒนาการสมองในเด็ก โดยเฉพาะวัยรุ่นที่สมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ ปริมาณนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามีความเข้มข้นสูงกว่าบุหรี่ธรรมดา และบางครั้งถูกเรียกว่า“ยาพิษ” ในต่างประเทศ

หลายคนเข้าใจว่าบุหรี่ไฟฟ้าให้ “ไอน้ำ” ไม่ใช่ควัน จึงปลอดภัย คุณหมอชี้ว่าไม่จริง ไอจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นไอระเหยของสารเคมี เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์, โลหะหนัก(ตะกั่ว, ปรอท), สารก่อมะเร็ง และอนุภาคขนาดเล็กที่เล็กกว่า PM 2.5 ซึ่งเข้าสู่ปอดได้ลึกและเป็นอันตรายการเรียกว่า “ไอน้ำ” เป็นความเข้าใจผิดที่แพร่ในโซเชียลมีเดีย

ส่วนคำถามที่ว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่ติดนั้น คุณหมอยืนยันว่าไม่จริง บุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินในปริมาณสูง โดยเฉพาะรุ่นใหม่ ๆ ที่ 1 แท่งอาจเทียบเท่าบุหรี่ธรรมดา20-400 มวน งานวิจัยพบว่าเด็กที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีพฤติกรรมเสพติดรุนแรง เช่น ต้องสูบทันทีภายใน 5 นาทีหลังตื่นนอน ซึ่งบ่งชี้ถึงการเสพติดที่รุนแรงกว่าบุหรี่ธรรมดา

ความเชื่อที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา95% ถูกหักล้างว่าไม่จริง ข้อมูลนี้มาจากรายงานที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทบุหรี่ ซึ่งขาดความเป็นกลางงานวิจัยล่าสุดระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา และบางกรณีพบผลกระทบที่ไม่เคยพบในบุหรี่ธรรมดา เช่น โรคปอดอักเสบเฉียบพลันในเด็ก

นอกจากนี้ ผู้ชมถามว่าในประเทศไทยมีข้อมูลเด็กป่วยหรือเสียชีวิตจากบุหรี่ไฟฟ้าหรือไม่ คุณหมอระบุว่า ยังไม่มีระบบเก็บข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานข่าวจำนวนมากเกี่ยวกับเด็กที่ป่วยด้วยโรคปอดอักเสบเฉียบพลันและปัญหาหัวใจจากบุหรี่ไฟฟ้า ในต่างประเทศเริ่มมีการเก็บข้อมูล แต่เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ งานวิจัยยังอยู่ในช่วงพัฒนา กลุ่มที่สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้ามักปฏิเสธความเชื่อมโยงกับโรคโดยอ้างว่ายังไม่มีหลักฐานชัดเจน ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ

อีกคำถามคือ บุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่มวนได้หรือไม่? คุณหมอชี้ว่าไม่จริง องค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ยังไม่รับรองว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ งานวิจัยพบว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกบุหรี่มักสูบทั้งสองอย่างหรือเปลี่ยนไปติดบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งทางการแพทย์ไม่ถือว่าเป็นการเลิกบุหรี่ เพราะยังคงพึ่งพานิโคติน

นายณรงค์ แสงศร หรือ “หมอบ้านดง” อดีตสาธารณสุขอำเภอตระการพืชผล เข้าร่วมผ่าน Zoom แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าในชุมชน โดยเฉพาะในเยาวชน และเสนอให้หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษารณรงค์อย่างจริงจัง พร้อมฝากให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อตีแผ่อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า

รศ. ดร. พญ.เริงฤดี สรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัย มีสารอันตรายมากมาย เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์, นิโคติน, โลหะหนัก และอนุภาคขนาดเล็ก โดยเฉพาะเด็กและวัยรุ่นที่ถูกหลอกล่อด้วยรูปลักษณ์และรสชาติผู้ปกครอง ครู และสังคมต้องช่วยกันปกป้องเยาวชนและควรตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่นกระทรวงสาธารณสุข หรือโรงพยาบาล แทนการเชื่อโฆษณาในโซเชียลมีเดีย

ขอบคุณที่มา อุบลคอนเนก


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 24 พฤษภาคม 2568

แนะนำกินยาเขียวเพื่อรักษาโควิด 19…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3jh9b0lhetjwo


“จีน-อียิปต์” ซ้อมรบทางอากาศครั้งแรก บินเหนือ “พีระมิด” …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/348vlnvl0186t


เรือสุพรรณหงส์ กำลังจะตกเป็นของกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1be7iu11l0gb2


ทานเมลทิลีนบูล เพื่อล้างพิษ หลังฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/w5cn6ji4ho4t


น้ำดื่มแถมจากปั๊มน้ำมัน อันตราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1bnnf1034kyxu


 ปล่อยบั้งไฟใกล้รัศมีสนามบิน มีโทษทั้งจำและปรับ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36tiz7retcmv8


ดื่มน้ำหวาน ช่วยแก้อาการหน้ามืดจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1l7dtc86bo03t


กทม. ประกาศสิ้นสุดสาธารณภัยในเขตพื้นที่ก่อสร้างอาคาร สตง.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ckwkrm2re9k4


อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ปิดการท่องเที่ยวและพักแรมตั้งแต่ 16 พ.ค. – 14 ต.ค. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pfgazeibv0gy#_=_


ครม.อนุมัติงบกลาง 2,049 ล้าน ฟื้นฟูพื้นที่เสียหายจากอุทกภัย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/8utl7m0d6g98#_=_


การเคหะฯ เดินหน้ารับมือแผ่นดินไหว ยกระดับความปลอดภัยบ้านทั่วไทย

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/4g9mrmcage2n#_=_


Gaszym มีส่วนผสมจากตับหมูแจ้งลูกค้่่าทุกครั้ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pwaldyews7uw


ฉากเกมออนไลน์-ภาพจุดบั้งไฟ ถูกอ้างเท็จว่าเป็นเหตุสู้รบอินเดีย-ปากีสถาน

กองบรรณาธิการโคแฟค

ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานดูเหมือนเป็นประเด็นที่ไกลตัวคนไทย แต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยกลับเผยแพร่เนื้อหาเท็จจำนวนมากเกี่ยวกับการโจมตีตอบโต้กันของสองประเทศนี้ โคแฟครวบรวม 7 เนื้อหาเท็จที่ถูกเผยแพร่นับตั้งแต่อินเดียเปิดฉากโจมตีปากีสถานเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 เพื่อให้เห็นรูปแบบของการเผยแพร่ข่าวลวงในบริบทความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานในเดือนพฤษภาคม 2568 เริ่มต้นหลังจากเหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวในฝั่งแคชเมียร์ของอินเดียเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 ราย อินเดียกล่าวหาปากีสถานว่าอยู่เบื้องหลังเหตุรุนแรงนี้ แม้ว่าปากีสถานจะปฏิเสธ แต่อินเดียก็เปิดฉากโจมตีปากีสถานและพื้นที่บางส่วนของแคชเมียร์ที่ปกครองโดยปากีสถานเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจุดชนวนให้เกิดการโจมตีตอบโต้กันตามแนวพรมแดนของทั้งสองประเทศเป็นเวลา 4 วัน มีผู้เสียชีวิตจากทั้งสองฝ่ายกว่า 60 ราย ก่อนที่ทั้งสองประเทศจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกันได้ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2568

แม้ว่าทั้งสองชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์ในเอเชียใต้จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิง แต่ข้อมูลบิดเบือนในโซเชียลมีเดียยังคงแพร่กระจายไปทั่วโลก รวมถึงบรรดาผู้ใช้โซเชียลมีเดียในประเทศไทยด้วย

โคแฟครวบรวมเนื้อหา 7 ชิ้นที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยให้ข้อมูลเท็จและบิดเบือนว่าเป็นภาพเหตุการณ์สู้รบระหว่างอินเดียและปากีสถาน

1. วิดีโอรถบรรทุกระเบิดในเมืองมุมไบถูกบิดเบือนว่าเป็นการโจมตีอินเดียด้วยขีปนาวุธของปากีสถาน

ผู้ใช้เฟซบุ๊กในไทยเผยแพร่วิดีโอที่เขียนข้อความบรรยายว่า “สงครามอินเดียกับปากีสถานเมื่อวาน” โดยวิดีโอดังกล่าวแสดงให้เห็นเหตุระเบิดรุนแรงบนถนน มีไฟไหม้และกลุ่มควันขนาดใหญ่ ฝังข้อความภาษาไทยว่า “ขีปนาวุธปากีสถานโจมตีอินเดีย” วิดีโอนี้ได้รับการกดถูกใจมากกว่า 5,700 ครั้ง และถูกแชร์ต่อมากกว่า 300 ครั้ง ก่อนที่โพสต์ดังกล่าวจะถูกลบ

โคแฟคตรวจสอบวิดีโอดังกล่าวโดยใช้เครื่องมือค้นหาภาพแบบย้อนหลังในกูเกิล (Google reverse image search) โดยแยกภาพนิ่งจากวิดีโอออกมาตรวจสอบ และพบว่าวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้งานอินสตาแกรมรายหนึ่ง (ลิงก์บันทึก) ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2568 มีข้อความประกอบวิดีโอว่า “มุมไบ”

การค้นหาด้วยคำสำคัญเพิ่มเติม ทำให้พบว่าวิดีโอที่คล้ายกันนี้ปรากฏในโพสต์ X (ลิงก์บันทึก) ของสำนักข่าวไทมส์ออฟอินเดีย (Times of India) เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 โพสต์ดังกล่าวระบุว่า “เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในเขตธาราวี มุมไบ จากเหตุรั่วไหลของแก๊สแอลพีจีจากรถบรรทุกที่บรรทุกถังแก๊สจำนวนมาก”

รายงานข่าวของไทมส์ออฟอินเดีย (ลิงก์บันทึก) ระบุเพิ่มเติมว่า ในช่วงเวลากลางคืนของวันที่ 24 มีนาคม 2568 เกิดเหตุถังแก๊สของรถบรรทุกระเบิดบริเวณใกล้กับท่ารถเมล์แห่งหนึ่งบนถนนไซออน-ธาราวีในเมืองมุมไบ โดยเจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงในการควบคุมเพลิง

2. คลิปจากเหตุระเบิดที่ท่าเรือดูไบปี 2564 ถูกแชร์ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ฐานทัพอินเดียถูกโจมตีโดยปากีสถาน

วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กในไทยรายหนึ่งได้เผยแพร่คลิปวิดีโอ เป็นภาพเปลวเพลิงและกลุ่มควันขนาดใหญ่จากเหตุระเบิด มีชิ้นส่วนจากแรงระเบิดเกลื่อนพื้น เจ้าของโพสต์เขียนข้อความประกอบวิดีโอว่า “ด่วน ฐานทัพอากาศอินเดียในรัฐคุชราต หลังจากปากีสถานโจมตีด้วยขีปนาวุธ” โพสต์นี้ได้รับการกดถูกใจเกือบ 900 ครั้งและถูกแชร์ต่อ 30 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบพบว่าวิดีโอนี้เคยถูกเผยแพร่ในบัญชี X ของทาเมียร์ อัลมิสชาล (Tamer Almisshal) ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอัลจาซีรา ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 (ลิงก์บันทึก) มีคำบรรยายเป็นภาษาอาหรับ แปลเป็นไทยได้ว่าเป็นภาพความเสียหายจากเหตุระเบิดครั้งใหญ่ที่ท่าเรือเจเบลอาลีในเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

สำนักข่าวอัลจาซีราในซีเรีย (ลิงก์บันทึก) และสำนักข่าวอะราเบียนเดลี่ (ลิงก์บันทึก) ก็เผยแพร่วิดีโอเดียวกันในรายงานข่าวเหตุระเบิดครั้งนี้ โดยระบุว่าเกิดเหตุระเบิดบนเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรือเจเบลอาลีในช่วงกลางดึกของวันที่ 7 กรกฎาคม 2564 เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้เสียชีวิต

3. คลิปประเพณีบั้งไฟในไทยถูกบิดเบือนว่าเป็นโดรนที่อินเดียส่งไปโจมตีปากีสถาน

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่วิดีโอ บันทึกภาพวัตถุชิ้นหนึ่งหมุนเป็นวงในอากาศก่อนจะพุ่งตกลงสู่พื้นและปล่อยควันเป็นทางยาว ผู้โพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ปากีสถาน สามารถเห็นโดรนของอิสราเอลในวิดีโอที่ส่งโดยอินเดียไปยังปากีสถาน”

โคแฟคตรวจสอบพบว่าวิดีโอนี้เป็นภาพงานเทศกาลบุญบั้งไฟในอำเภอทุ่งไชย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่าถูกเผยแพร่ในยูทูบตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 (ลิงก์บันทึก)

เมื่อตรวจสอบคลิปนี้อย่างละเอียดยังพบว่ากลุ่มคนในวิดีโอสวมเสื้อสีแดง ด้านหลังมีข้อความ “ตำบลทุ่งไชย”

เมื่อโคแฟคค้นหาด้วยคำสำคัญเพิ่มเติม พบว่าสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 (ลิงก์บันทึก) ได้รายงานเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 ว่าชุมชนในตำบลทุ่งไชย อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดเทศกาลแห่บั้งไฟตะไลยักษ์ ซึ่งเป็นประเพณีประจำปีของชาวอีสานที่จัดขึ้นเพื่อขอฝนตามความเชื่อดั้งเดิม

สำนักข่าวต่างประเทศอย่างรอยเตอร์ก็ได้ตรวจสอบวิดีโอเดียวกันนี้ โดยเขียนรายงานการตรวจสอบไว้ด้วย (ลิงก์บันทึก)

4. คลิปเหตุระเบิดในเลบานอนปี 2567 ถูกบิดเบือนว่าเป็นการโจมตีฐานทัพปากีสถาน

วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ในช่วงที่สถานการณ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานทวีความตึงเครียด ผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่คลิปวิดีโอ เหตุระเบิดเวลากลางคืนในย่านที่อยู่อาศัย มีเปลวไฟและกลุ่มควันขนาดใหญ่ตามมา ระบุข้อความประกอบว่า “คลิปอีกมุมมองหนึ่ง ภาพกรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของปากีสถาน เกิดระเบิดครั้งใหญ่ ขีปนาวุธพิสัยไกลพุ่งเข้าใส่ฐานทัพอากาศปากีสถานในเมืองลาฮอร์ ระบบป้องกันของจีนในปากีสถานไม่สามารถสกัดกั้นได้”

ในความเป็นจริงแล้ว คลิปวิดีโอดังกล่าวมาจากเหตุระเบิดจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในย่านชานเมืองของกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2567 ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานในปี 2568

โคแฟคตรวจสอบพบว่าคลิปต้นฉบับถูกเผยแพร่โดยสำนักข่าวเอพี เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2567 โดยระบุว่าเป็นคลิปเหตุการณ์การโจมตีและระเบิดในกรุงเบรุต (ลิงก์บันทึก)  

สำนักข่าววอยซ์ออฟอเมริกา (Voice of America) ก็ได้เผยแพร่คลิปเดียวกันนี้เช่นกัน (ลิงก์บันทึก) ให้ข้อมูลตรงกันว่าเป็นการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในย่านชานเมืองเบรุต ประเทศเลบานอน การโจมตีครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ในเลบานอน ซึ่งกองทัพอิสราเอลแถลงว่าได้สังหารฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำของกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ รวมถึงผู้บัญชาการแนวรบทางใต้และแกนนำระดับสูงอีกหลายคน

5. ภาพเก่าจากเหตุเครื่องบินตกในอินเดียปี 2567 ถูกบิดเบือนว่าเป็นเหตุเครื่องบินรบอินเดียตกหลังถูกปากีสถานโจมตี

วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่ภาพเครื่องบินที่กำลังลุกไหม้ในเวลากลางคืน โดยเขียนบรรยายภาพว่า “อินเดีย – ปากีสถาน ยิงถล่มทางอากาศ เครื่องบินร่วงแล้ว 5 ลำ หลายสายการบินแห่ยกเลิกเที่ยวบิน”

โพสต์ดังกล่าว ซึ่งได้รับการกดถูกใจมากกว่า 400 ครั้ง ถูกเผยแพร่ในช่วงที่มีรายงานการโจมตีด้วยขีปนาวุธและการยิงปืนใหญ่ระหว่างอินเดียและปากีสถาน โดยขณะนั้น กองทัพปากีสถานระบุว่าได้ยิงเครื่องบินอินเดียตก 5 ลำ  

โคแฟคตรวจสอบพบว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพเก่าจากเหตุเครื่องบินของกองทัพอากาศอินเดียตกระหว่างการฝึกบินเวลากลางคืนในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย เมื่อเดือนกันยายน 2567  

ภาพเหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่ในช่องยูทูบของสำนักข่าวอินเดียทูเดย์เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 (ลิงก์บันทึก) โดยรายงานระบุว่าเป็นภาพเครื่องบิน MiG-29 ของกองทัพอากาศอินเดียที่ประสบอุบัติเหตุตกในเขตบาร์เมอร์ รัฐราชสถาน ขณะกำลังฝึกบินในเวลากลางคืน

นิวเดลีเทเลวิชันหรือ NDTV สถานีโทรทัศน์ของอินเดียได้เผยแพร่ภาพจากเหตุการณ์เดียวกัน โดยระบุชัดว่าเป็นภาพอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างภารกิจฝึกบิน ไม่ใช่การโจมตีทางทหาร และนักบินของเครื่องบินลำดังกล่าวปลอดภัยดี (ลิงก์บันทึก)

6. ภาพเหตุระเบิดครั้งใหญ่ในกรุงเบรุตปี 2567 ถูกบิดเบือนว่าเป็นการโจมตีในแคชเมียร์และท่าเรือในปากีสถาน

วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่ภาพถ่ายเหตุระเบิดยามค่ำคืนที่แสดงเปลวไฟขนาดใหญ่พร้อมกลุ่มควันจำนวนมาก โดยคำบรรยายระบุว่า “Breaking News: แคชเมียร์ลุกเป็นไฟ! อินเดีย-ปากีสถานเปิดศึกปะทะหนัก จรวด-โดรนว่อนฟ้า”

ผู้ใช้เฟซบุ๊กอีกรายหนึ่งแชร์ภาพเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 โดยมีข้อความฝังในภาพว่า “อินเดียโจมตีครั้งใหญ่ที่ท่าเรือการาจี”

โคแฟคตรวจสอบพบว่าภาพนี้ถูกเผยแพร่ในรายงานข่าวของสำนักข่าว ABC News (ลิงก์บันทึก) คำบรรยายภาพระบุว่า “เปลวไฟและกลุ่มควันลอยขึ้นจากเหตุโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในเขตดาเฮีย กรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2567”  

สำนักข่าวเอพียังได้เผยแพร่วิดีโอของเหตุการณ์เดียวกันในช่องยูทูบ (ลิงก์บันทึก) พร้อมคำบรรยายว่า “แรงระเบิดสะเทือนกรุงเบรุตตลอดคืนจากการโจมตีของอิสราเอล”

7. คลิปจากวิดีโอเกมถูกบิดเบือนว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์จริงที่ปากีสถานยิงเครื่องบินอินเดียตก

วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ผู้ใช้งานติ๊กต็อกแชร์คลิปวิดีโอ ที่มีข้อความฝังไว้ว่า “ปากีสถานยิงเครื่องบินของอินเดียตก ใกล้เมืองบาฮาวาลปูร” ส่วนคำบรรยายใต้คลิปเขียนว่า “อินเดีย-ปากีสถานล่าสุด ยิงเครื่องบินอินเดียตก #ข่าวต่างประเทศ #อินเดีย #ปากีสถาน #ขัดเเย้ง” มีผู้กดถูกใจกว่า 2,000 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าวและพบว่าคลิปนี้ไม่ได้มาจากเหตุการณ์จริง แต่เป็นฉากจากวิดีโอเกมแนวจำลองสถานการณ์ทหารชื่อ Arma 3 ซึ่งถูกเผยแพร่ไว้ในยูทูบตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 (ลิงก์บันทึก) โดยในคำอธิบายระบุชัดว่าเป็นวิดีโอเกมจำลองทางทหารจากเกม Arma 3  

โคแฟคเปรียบเทียบภาพในวิดีโอ และพบว่าเนื้อหาจากคลิปในติ๊กต็อกตรงกับวิดีโอในยูทูบ ตั้งแต่ช่วงเวลา นาทีที่ 3.38 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ผู้พัฒนาวิดีโอเกมดังกล่าวอย่างโบฮีเมีย อินเตอร์แอ็กทีฟ (Bohemia Interactive) ได้ยืนยันกับสำนักข่าวรอยเตอร์ผ่านทางอีเมลว่า คลิปดังกล่าวเป็นเนื้อหาจากเกมที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมาจริง (ลิงก์บันทึก)

ภาพและวิดีโอส่วนใหญ่เป็นของจริง แต่ถูกนำมาบิดเบือนในบริบทความขัดแย้ง

ในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานในเดือนพฤษภาคม 2568 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยได้แชร์ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอจำนวนมากที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับการสู้รบระหว่างทั้งสองประเทศ ส่วนใหญ่เป็นภาพและวิดีโอจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่ถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นภาพการสู้รบระหว่างอินเดียกับปากีสถาน นอกจากนี้ยังมีภาพอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบเลยอย่างเช่น ประเพณีบั้งไฟและภาพจากเกมออนไลน์มาอ้างเท็จด้วย

แม้ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเหล่านี้จะไม่ได้ผ่านการตัดต่อหรือดัดแปลง แต่การนำมาใช้ผิดบริบท ใส่คำบรรยายที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจผิด ตื่นตระหนก และอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจสำคัญ เช่น การเดินทาง การทำธุรกิจได้  

ในช่วงที่สถานการณ์อ่อนไหวอย่างเช่นการสู้รบหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนจะต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งต่อข่าวลวง-ข้อมูลเท็จที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงอย่างคาดไม่ถึง

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

33 ปี พฤษภา35 : สื่อไทยวนเวียนวังวนอำนาจ หรือ รีบอร์นสู่อนาคต?

กิจกรรม

รับชมคลิปเต็ม คลิก

ประเด็นสำคัญ

• วังวนการเมืองและสื่อ : การปฏิรูปสื่อยังติดอยู่ในวงจรของการควบคุมโดยอำนาจรัฐและทุนนิยม สะท้อนผ่านการยึดสื่อในเหตุการณ์รัฐประหารและการผูกขาดโครงข่ายในยุค OTT

• ความสำคัญของฟรีทีวี : ฟรีทีวียังคงจำเป็นในฐานะแพลตฟอร์มที่ประชาชนเข้าถึงได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการรับข้อมูล

• การกำกับดูแล OTT : การขาดกฎระเบียบที่ชัดเจนในการกำกับแพลตฟอร์ม OTT ทำให้เกิดความท้าทายในการคุ้มครองผู้บริโภคและรักษาคุณภาพเนื้อหา

• จริยธรรมสื่อและการรีบอร์น : การสร้างจริยธรรมสื่อที่แข็งแกร่งและการระดมทุนจากภาคประชาชนเป็นทางออกเพื่อให้สื่อเป็นอิสระจากอิทธิพลของรัฐและทุน

• บทบาท กสทช. : องค์กรอิสระอย่าง กสทชถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพและความเป็นอิสระในการกำกับดูแลสื่อและโทรคมนาคม

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 รายการ Cofact Live Talk จัดเสวนาในหัวข้อ “33 ปี พฤษภา 35 จากฟรีทีวีถึง OTT การปฏิรูปสื่อก้าวหน้าหรือถอยหลัง” ถ่ายทอดสดผ่านเพจ Cofact, สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และ Ubon Connect โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ คุณสมชัย สุวรรณบรรณ อดีตบรรณาธิการข่าวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิทยุBBC ลอนดอน และอดีตผู้อำนวยการ Thai PBS, ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรตน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษา Cofact (ประเทศไทยและอดีตรองประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.), คุณระวี ตะวันธรงค์กรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติและคุณสุภิญญากลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Cofact (ประเทศไทยดำเนินรายการโดยผศ.ดร.เจษฎา ศาลาทอง จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อย้อนรำลึกเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 และทบทวนพัฒนาการของการปฏิรูปสื่อในประเทศไทยจากยุคฟรีทีวีสู่ยุค OTT (Over-The-Top) พร้อมตั้งคำถามว่าการปฏิรูปสื่อไทยก้าวหน้าหรือถอยหลังกันแน่

คุณสมชัย สุวรรณบรรณ เล่าถึงประสบการณ์ในช่วงพฤษภาทมิฬ2535 ขณะทำงานที่ BBC ลอนดอน ซึ่งต้องกลับมาช่วยรายงานข่าวท่ามกลางการปิดกั้นสื่อในไทย ทำให้ BBC กลายเป็นแหล่งข่าวที่ประชาชนไว้วางใจ ส่งผลให้เกิดการขยายฐานผู้ฟังและถ่ายทอดผ่านสถานีวิทยุในไทย เขาชี้ว่า รัฐธรรมนูญ 2540 นำมาซึ่งการก่อตั้งกสทชและ Thai PBS 

แต่ผลลัพธ์ยังไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปสื่อ มีทั้งความก้าวหน้าและถอยหลัง ปัจจุบัน สื่อดิจิทัลมักเน้นผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าหลักวารสารศาสตร์ ส่งผลให้สังคมเสื่อมถอย การผูกขาดโทรคมนาคมทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อเข้าถึงข้อมูลกลายเป็น “ทาสเทเลคอม” เขายกตัวอย่างอังกฤษที่ออกกฎหมายควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์จากกรณีเนื้อหาจูงใจให้ฆ่าตัวตาย พร้อมเสนอให้ควบคุมแพลตฟอร์ม OTT เพื่อป้องกันความเสียหายต่อสังคมสนับสนุนสื่อสาธารณะอย่าง Thai PBS และ Cofact ในการตรวจสอบเนื้อหา และป้องกันการถอยกลับสู่อำนาจนิยม โดยเฉพาะเมื่อเห็นกระแสฟาสซิสต์ฟื้นตัวในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา

ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรตน์ไตรรัตน์ ระบุว่า เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 เผยให้เห็นการปิดกั้นสื่อโดยรัฐ ส่งผลให้เกิดการเรียกร้องปฏิรูปสื่อและนำไปสู่รัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ ITV และแนวคิดปฏิรูปสื่อ อย่างไรก็ตาม การเมืองและสื่อยังวนเวียนอยู่ในวงจรของการควบคุมโดยรัฐและทหาร การยึดคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ในช่วงรัฐประหารเป็นตัวอย่างชัดเจน เธอเน้นว่า ฟรีทีวียังคงจำเป็นเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ต้องจ่ายค่าเน็ต ลดความเหลื่อมล้ำ และต้องมีเนื้อหาที่มีสุนทรียะ ปัญหาคือ กสทชถูกตั้งคำถามว่าไม่อิสระอย่างแท้จริงและขาดประสิทธิภาพ การถือครองคลื่นยังคงอยู่กับภาครัฐ โดยเฉพาะวิทยุที่รัฐครอง 100% ผู้รับใบอนุญาตทีวีดิจิทัลเผชิญความไม่แน่นอนเมื่อใบอนุญาตจะสิ้นสุดในปี 2572 เธอเสนอให้กสทชทำหน้าที่ตามเจตนารมณ์ ประกาศแผนแม่บทฉบับที่ 3 ให้ชัดเจน สนับสนุนให้ประชาชนและผู้รับใบอนุญาตมีส่วนร่วมกำหนดอนาคตสื่อ และรักษาสิทธิการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนผ่านฟรีทีวี

คุณระวี ตะวันธรงค์ เล่าถึงช่วงพฤษภาทมิฬ 2535 ที่ยังเป็นนักศึกษาและไม่มีส่วนร่วมโดยตรง แต่คุณพ่อ (คุณฉัตรชัย ตะวันธรงค์ถูกทำร้ายในเหตุการณ์ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ สะท้อนการปิดกั้นสื่อ ในปี2553 เขามีส่วนร่วมก่อตั้ง Spring News และพัฒนาการรายงานสดผ่าน 3G ซึ่งเป็นนวัตกรรมในยุคนั้น เขามองโครงสร้างสื่อใน 3 ชั้นนักข่าวที่มีอุดมคติองค์กรเอกชนที่จ้างนักข่าวและรัฐกับการเมืองที่ควบคุมผ่านระบบทุนนิยม

ปัจจุบัน สื่อเอกชน เช่น Workpoint, RS, ช่อง 3, ช่อง 7 ขาดทุนหนักต้องหันไปผลิตรายการบันเทิงเพื่อเอาตัวรอด เขาเชื่อว่าสื่อต้อง “รีบอร์น” โดยใช้จริยธรรมที่แข็งแกร่งเป็นรากฐาน คนรุ่นใหม่ (Gen Alpha, Gen Z) มีความรู้เท่าทันสื่อสูงและเลือกกรองเนื้อหา เขาเสนอให้สร้างกองทุนระดมทุนจากประชาชน (Crowdfunding) เพื่อสนับสนุนสื่ออิสระที่เน้นข้อมูลเชิงลึก โดยปราศจากการครอบงำจากรัฐหรือทุน

คุณสุภิญญา กลางณรงค์ เล่าว่า ในฐานะนิสิตในปี 2535 เธอสัมผัสบรรยากาศตึงเครียดและการเคลื่อนไหวของนักศึกษาและอาจารย์เช่น อาจารย์อุบลรัตน์ ศิริยุทธเสนา ที่ผลักดันการปฏิรูปสื่อและการเมือง สิทธิเสรีภาพดีขึ้นเมื่อเทียบกับยุคก่อน 2535 และเทคโนโลยีสื่อก้าวกระโดดตั้งแต่ 3G และสมาร์ทโฟน แต่ในเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมการกำกับดูแลยังถอยหลัง ขาดความรู้เท่าทันสื่อ ทำให้ประชาชนถูกหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์มากที่สุดในภูมิภาค การผูกขาดโทรคมนาคมโดย 2 รายใหญ่ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าเน็ตแพง เธอเน้นว่า ฟรีทีวีจำเป็นต้องคงอยู่เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่มีกำลังจ่ายค่าเน็ต เธอเสนอให้รักษาแพลตฟอร์มฟรีทีวี ผลักดันการกำกับดูแล OTT ที่เป็นธรรม สร้างกองทุนสื่ออิสระที่บริหารโดยภาคประชาสังคม และรวมพลังภาคเอกชน ประชาชน และสื่อสาธารณะเพื่อต่อรองกับ กสทชและกำหนดอนาคตสื่อ

การเสวนาครั้งนี้สะท้อนว่า การปฏิรูปสื่อตั้งแต่พฤษภาทมิฬ 2535 มีความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีและเสรีภาพ แต่ยังติดอยู่ในวังวนของการควบคุมโดยอำนาจรัฐและทุน การปฏิรูปสื่อควรเน้นการรักษาฟรีทีวีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ กำกับดูแล OTT อย่างเป็นธรรม สร้างจริยธรรมสื่อที่แข็งแกร่ง สนับสนุนกองทุนสื่ออิสระจากประชาชน และผลักดันให้ กสทชทำหน้าที่อย่างโปร่งใส รวมถึงสร้างเวทีหารือระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดทิศทางสื่อไทยให้เป็นเครื่องมือส่งเสริมประชาธิปไตยและความรู้อย่างแท้จริง

ขอบคุณที่มา ubonconnect


ไขข้อข้องใจ น้ำดื่มแถมจากปั๊มน้ำมัน อันตรายจริงหรือ?

ประเด็นสุขภาพ

รายการโคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว EP.2 วันที่20 พฤษภาคม 2568 ได้เผยแพร่เรื่องที่เกิดจากจากกระแสไวรัลทางโซเชียลมีเดียที่เตือนว่าน้ำดื่มแจกฟรีตามปั๊มน้ำมันอาจอันตราย สร้างความกังวลให้ประชาชนว่าขวดน้ำพลาสติกเหล่านี้มีรูพรุนจิ๋ว ทำให้สารเคมี แบคทีเรียหรือฝุ่นซึมเข้าไปได้เมื่อร้อน จนอาจก่อมะเร็ง ฮอร์โมนผิดปกติ มีลูกยาก หรือตับไตพัง รวมถึงคำเตือนว่าห้ามใช้ชงนม ล้างแผล หรือทำอาหาร จริงหรือไม่

รวมพลคนเช็กข่าว ได้เชิญ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ (อ.เจษฎ์) อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยาคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สุภิญญากลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, และประชาชนผู้ร่วมตรวจสอบข่าวอย่าง พลอย และ น้าติ๊ก มาร่วมหาคำตอบ โดยมี สุชัย เจริญมุขยนันท ดำเนินรายการ

ขวดน้ำพลาสติกมีรูพรุนจิ๋ว ทำให้สารเคมีหรือแบคทีเรียเข้าได้จริงหรือ?

ตามที่คลิปไวรัลระบุว่า ขวดน้ำพลาสติกมีรูพรุนขนาดเล็ก ที่มองไม่เห็น อาจทำให้สารเคมี ฝุ่น หรือเชื้อโรคซึมเข้าไปได้เมื่อขวดถูกความร้อน อ.เจษฎ์ อธิบายว่าขวดน้ำดื่มส่วนใหญ่ผลิตจากพลาสติก PET (Polyethylene Terephthalate) ซึ่งมีความหนาแน่นสูง รูพรุนขนาดเล็ก (ประมาณ 2 นาโนเมตร) มีจริง แต่เล็กมากจนสารเคมี เช่น ไอระเหยน้ำมัน หรือเชื้อแบคทีเรีย (ขนาดใหญ่กว่ารูพรุนมาก) ซึมผ่านได้ยากและช้ามาก การที่น้ำในขวดจะปนเปื้อนจนเป็นอันตรายจึงแทบเป็นไปไม่ได้ในสภาวะปกติ

น้ำดื่มจากปั๊มน้ำมันทำให้เป็นมะเร็ง ฮอร์โมนเพี้ยน มีลูกยากหรือตับไตพังจริงหรือ?

คลิปไวรัลอ้างว่าน้ำดื่มที่ตากแดดในปั๊มน้ำมันอาจปล่อยสารเคมี เช่น BPA, Phthalates หรือสารก่อมะเร็ง อ.เจษฎ์ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ขวด PET มีโครงสร้างโมเลกุลที่เสถียร สารเคมีเหล่านี้ไม่หลุดออกมาง่ายๆ แม้ขวดจะถูกความร้อนที่ 40-60 องศาเซลเซียส (เช่น ในรถยนต์ที่จอดตากแดด) การวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และงานศึกษาในต่างประเทศ (เช่น อังกฤษ ปี 2012) พบว่า ต้องใช้ความร้อนสูงถึง 60 องศาเซลเซียสนาน 11 เดือน จึงจะมีสารเคมีหลุดออกมาในปริมาณที่เกินมาตรฐาน ซึ่งในชีวิตประจำวันแทบเป็นไปไม่ได้

ส่วนคำเตือนเรื่องมะเร็ง ฮอร์โมนผิดปกติ หรือตับไตพัง อ.เจษฎ์ระบุว่า ข้อมูลเหล่านี้เกินจริงและสร้างความตื่นตระหนกเกินเหตุ หากขวดน้ำดื่มอันตรายจริงหน่วยงานสาธารณสุขคงสั่งห้ามจำหน่ายหรือแจกจ่ายไปนานแล้ว

ห้ามใช้ขวดน้ำดื่มชงนม ล้างแผล หรือทำอาหาร จริงหรือ?

อ.เจษฎ์แนะนำว่า น้ำดื่มจากขวดที่สะอาดและได้มาตรฐานสามารถใช้ดื่มได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่เหมาะสำหรับการชงนม ล้างแผล หรือทำอาหารโดยตรง เนื่องจาก:

• ชงนม: ควรใช้น้ำต้มสุกเพื่อฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนจากขั้นตอนการผลิตหรือการเก็บรักษา

• ล้างแผล: ควรใช้น้ำเกลือที่ผ่านการฆ่าเชื้อเฉพาะ ไม่ควรใช้น้ำดื่มทั่วไป เพราะอาจมีจุลินทรีย์เล็กน้อยที่ไม่เป็นอันตรายต่อการดื่ม แต่ไม่เหมาะกับแผล

• ทำอาหาร: หากต้องใช้ ควรต้มน้ำก่อนเพื่อความปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม คำเตือนที่ห้ามใช้โดยเด็ดขาดนั้นเกินจริงและไม่จำเป็นต้องกังวลถึงขนาดนั้น

ขวดน้ำที่ตากแดดในปั๊มน้ำมันหรือทิ้งไว้ในรถยนต์อันตรายหรือไม่?

น้าติ๊ก ถามถึงกรณีขวดน้ำที่ตากแดดทั้งวันในปั๊มน้ำมันหรือทิ้งไว้ในรถยนต์ อ.เจษฎ์ย้ำว่า ขวดน้ำในปั๊มน้ำมันมักมีการหมุนเวียนเร็ว ไม่ได้เก็บไว้นานเป็นเดือน จึงไม่น่าจะมีการสะสมสารเคมีหรือไอระเหยน้ำมันในปริมาณที่เป็นอันตราย พื้นที่ปั๊มน้ำมันเป็นที่โล่ง อากาศถ่ายเทดี โอกาสที่ไอระเหยน้ำมันจะซึมเข้าไปในขวดจึงน้อยมาก

สำหรับน้ำขวดที่ทิ้งไว้ในรถยนต์ การทดลองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า การจอดรถตากแดด 1-7 วัน ไม่ทำให้สารเคมีจากขวด PET หลุดออกมาในระดับอันตราย อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการเก็บไว้นานเกิน 1 ปี เนื่องจากขวดอาจเริ่มเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน

สำหรับกลิ่นเหม็นที่บางคนพบในน้ำขวด อ.เจษฎ์ชี้ว่าส่วนใหญ่มาจากน้ำลายหรือเชื้อจุลินทรีย์จากปากของผู้ดื่มเองที่ปนเปื้อนในขวด ไม่ใช่เชื้อโรคจากภายนอกซึมเข้าไป ส่วนค่า pH ของน้ำที่อาจเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อร่างกาย เนื่องจากน้ำดื่มมีค่าpH ใกล้เคียง 7 (เป็นกลาง) และร่างกายสามารถปรับสมดุลได้

มีหน่วยงานใดตรวจสอบปัญหานี้อย่างจริงจังหรือไม่?

น้องพลอย สอบถามถึงหน่วยงานที่ดูแลและวิธีแจ้งเตือนประชาชน อ.เจษฎ์ระบุว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่:

• สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)และ กระทรวงอุตสาหกรรม: ดูแลมาตรฐานการผลิตขวดน้ำ (มอก.)

• สำนักงานอาหารและยา (อย.) และ กระทรวงสาธารณสุข: ตรวจสอบความปลอดภัยของน้ำดื่มและสารปนเปื้อน

• กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์: วิจัยและตรวจสอบสารเคมีในขวดน้ำดื่ม

• สมาคมพลาสติก: ให้ข้อมูลเชิงวิชาการเกี่ยวกับพลาสติก

หากประชาชนสงสัยหรือพบปัญหา สามารถแจ้ง อย. หรือ สคบ. เพื่อตรวจสอบได้ นอกจากนี้ องค์กรตรวจสอบข่าว เช่น COFACT และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมช่วยตรวจสอบและให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

ข้อแนะนำสำหรับประชาชนในการดื่มน้ำขวด

อ.เจษฎ์แนะนำวิธีปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยและลดความกังวล ดังนี้:

• เลือกซื้อน้ำที่มีคุณภาพ: ตรวจสอบฉลาก วันหมดอายุ และสภาพขวดว่าสะอาด ไม่ชำรุด

• ดื่มให้หมดเร็ว: หลีกเลี่ยงเก็บน้ำขวดไว้นาน โดยเฉพาะหลังเปิดฝา เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากน้ำลายหรือจุลินทรีย์

• ไม่ใช้ขวดซ้ำบ่อย: ขวด PET ออกแบบให้ใช้ครั้งเดียว หากใช้ซ้ำ ต้องล้างให้สะอาดและไม่เก็บนานเกิน 1 ปี

• หลีกเลี่ยงความร้อนนานๆ: ไม่ควรทิ้งขวดน้ำในรถที่จอดตากแดดเป็นเวลานานเกิน 1 เดือน

• แยกเก็บขวดน้ำ: ปั๊มน้ำมันควรเก็บขวดน้ำในที่ร่มห่างจากถังน้ำมัน เพื่อลดความกังวลของผู้บริโภค

• ทิ้งขยะให้ถูกวิธี: แยกขวดพลาสติกเพื่อรีไซเคิล

ข้อสรุปน้ำดื่มจากปั๊มน้ำมันปลอดภัยหรือไม่?

อ.เจษฎ์สรุปว่า น้ำดื่มแจกฟรีจากปั๊มน้ำมันที่ได้มาตรฐานและหมุนเวียนเร็ว ปลอดภัยสำหรับการบริโภค คำเตือนในคลิปไวรัลส่วนใหญ่เป็นการบิดเบือนและเกินจริง โดยเฉพาะเรื่องมะเร็ง ฮอร์โมนผิดปกติ หรือตับไตพัง อย่างไรก็ตาม ควรปฏิบัติตามข้อแนะนำเพื่อความมั่นใจ เช่น เก็บขวดในที่ร่ม ดื่มให้หมดเร็ว และไม่ใช้ขวดซ้ำนานเกินไป

สุภิญญา กลางณรงค์ เน้นย้ำว่า การตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์เป็นสิ่งสำคัญ รายการ รวมพลคนเช็กข่าว จะเป็นพื้นที่ให้ประชาชนร่วมตรวจสอบข่าวลือและข้อเท็จจริงต่อไป โดยสามารถติดตามได้ทุกวันอังคารผ่านแพลตฟอร์ม COFACT.ORG หรือ LINE : @COFACT

รับขมเพิ่มเติม คลิก


เครื่องมือตรวจสอบภาพจากเอไอเชื่อถือได้แค่ไหน ?

แม้ว่าเครื่องมือตรวจสอบภาพและวิดีโอที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) จะเป็นเครื่องทุ่นแรงที่ช่วยตรวจสอบความจริงแท้ของเนื้อหาในยุคที่คนจำนวนไม่น้อยเลือกใช้เอไอในการสร้างรูปภาพและวิดีโอเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียเพื่อเรียกยอดไลก์ยอดแชร์ แต่เครื่องมือเหล่านี้ก็ยังอยู่ในช่วงกำลังพัฒนาและยังมีข้อจำกัดหลายประการ เราจึงไม่สามารถใช้ผลการตรวจสอบจากเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งเพียงแหล่งเดียวได้

ปัจจุบันมีเครื่องมือตรวจสอบภาพและวิดีโอที่สร้างจากเอไอให้เลือกใช้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นแบบฟรีหรือมีค่าใช้จ่าย เช่น AI or Not, AI Detector, Illuminarty, Winston AI และ Fake Image Detector เป็นต้น รวมถึงโปรแกรมที่สำนักข่าวและองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงส่วนใหญ่เลือกใช้อย่าง InVID-WeVerify, DeepFake-o-meter และ Hive Moderation

แต่ขณะนี้ยังไม่มีเครื่องมือตรวจสอบเนื้อหาจากเอไอใดที่มีสามารถแสดงผลการวิเคราะห์อย่างถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ในทุกกรณี การใช้เครื่องมือหลาย ๆ ชนิดเพื่อวิเคราะห์ภาพร่วมกันก็สามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง แต่วิธีที่ได้ผลที่สุดก็ยังคงเป็นการค้นหาแหล่งที่มาของภาพต้นฉบับเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าภาพหรือวิดีโอนั้นถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อไหร่ จากแหล่งที่มาและในบริบทใด และถูกตัดต่อเพิ่มเติมหรือไม่เมื่อถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำ

แม้บางคนจะมองว่าอีกไม่นาน การสังเกตจุดผิดปกติในภาพอาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปเพราะเครื่องมือเอไอสามารถผลิตภาพและวิดีโอได้สมจริงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผู้เขียนเห็นว่าการใช้ตาเปล่าสังเกตจุดผิดปกติในภาพยังคงเป็นวิธีที่ได้ผลดีตราบใดที่เอไอยังไม่สามารถสร้างภาพเสมือนจริงได้สมบูรณ์แบบ หรือเครื่องมือตรวจสอบเอไอยังไม่สามารถวิเคราะห์เนื้อหาจากเอไอได้ถูกต้องแม่นยำ ดังนั้น การฝึกคัดกรองเนื้อหาจากเอไอด้วยตัวเองจึงเป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียยุคนี้จำเป็นต้องมีไว้เพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้หลงเชื่อหรือกลายเป็นหนึ่งในคนที่ร่วมเผยแพร่ข้อมูลเท็จ

วิธีสังเกตรูปภาพ AI

นอกจากการสังเกตลายน้ำหรือโลโก้ของเครื่องมือเอไอต่าง ๆ ซึ่งมักปรากฏบริเวณมุมภาพ วิธีสังเกตรูปภาพที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์เบื้องต้นมีดังนี้

  • นิ้วมือหรือนิ้วเท้าของคนและสัตว์มีจำนวนมากหรือน้อยกว่าความเป็นจริง
  • ผิวหนังเรียบเนียนเหมือนไม่มีรูขุมขน
ภาพเอไอที่ระบุว่า “อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงกรณีพระสงฆ์เริงรักแม่ชีกลางลานพญานาค”
  • ตัวอักษรและข้อความไม่มีความหมาย
ภาพเอไอของ “ศาลเจ้าออปติมัสไพรม์”
  • แสงและเงาไม่สอดคล้องกัน
ภาพเอไอและคำกล่าวอ้างเท็จที่ว่า “กุนุงปาดังเป็นปีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดในโลก”
  • องค์ประกอบภาพสวยงามเกินจริง
  • สัดส่วนของคนและวัตถุไม่สัมพันธ์กัน
  • ใบหน้าคนบิดเบี้ยว
ภาพเอไอที่อ้างว่า “พบกระดูกยักษ์คอยาวที่สุดในโลก” ในป่าแอมะซอน
  • ดวงตาและฟันของคนหลาย ๆ คนในภาพมีลักษณะและการจัดเรียงเหมือนกันทุกมุม
ภาพเอไอเกี่ยวกับการค้นพบเครื่องบินมาเลเซีย MH370
  • วัตถุในภาพบางส่วนเคลื่อนไหวในขณะที่บางส่วนหยุดนิ่งอยู่กับที่

เครื่องมือตรวจสอบ AI ของกูเกิล

ในส่วนของกูเกิล เราสามารถใช้การค้นหาภาพย้อนหลัง (Reverse Image Search) และคลิกที่ “เกี่ยวกับรูปภาพนี้” เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือหากพบข้อความ “สร้างด้วย Google AI” ก็หมายความว่ารูปดังกล่าวหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของภาพถูกสร้างขึ้นด้วยเอไอของกูเกิล ซึ่งจะมีลายน้ำดิจิทัลที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแต่เครื่องมือของกูเกิลสามารถตรวจจับได้

ฟีเจอร์ “เกี่ยวกับรูปภาพนี้” (About this image) ของกูเกิล จะขึ้นข้อความ “สร้างด้วย Google AI” หากรูปภาพถูกสร้างจากเครื่องมือเอไอของกูเกิล

แม้ว่าสุดท้ายนี้เราจะไม่สามารถสรุปได้ว่าเครื่องมือตรวจสอบเอไอชนิดไหนมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่การใช้เครื่องมือเหล่านี้ร่วมกับเครื่องมือค้นหาข้อมูลอื่น ๆ รวมถึงการฝึกฝนทักษะการตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อจับผิดภาพที่สร้างจากเอไอด้วยตัวเองโดยยึดหลัก “ตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งต่อข้อมูล” ก็ช่วยป้องกันตัวเองไม่ให้หลงเชื่อข้อมูลลวงในยุคสมัยที่เทคโนโลยีเอไอถูกนำมาใช้ในทางที่ผิดได้เป็นอย่างดีแล้ว

หมายเหตุ: บทความนี้ไม่มีเจตนาสนับสนุนหรือโฆษณาโปรแกรมใด ๆ ที่ถูกกล่าวถึง

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 17 พฤษภาคม 2568

ตลาดทุเรียนราคาลดลง เนื่องจากรถขนส่งทุเรียนไทย ติดด่านจีนจํานวน 500 คัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1b6lz2j0vsx9r


กลืนยาสีฟันเสี่ยงสมองเสื่อม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1s9gicfkkpzgt


พายุหอยหมีเข้าไทย วันที่ 9-13 พ.ค. 68…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1k08hsak1game


ผักชีฝรั่งเสี่ยงทำให้แท้งลูก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/jbaxb3zbu79l#_=_


พบหมูเถื่อนปนเปื้อนเชื้อโรค นำเข้าจากจีน ส่งขายทั่วประเทศไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/s6wizvfkl1wd#_=_


คณะกรรมการการบินพลเรือน ประกาศมาตรการคุ้มครองสิทธิผู้โดยสารเที่ยวบินฉบับใหม่

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/199uypw6ib7an


ภาพไอเดียสร้างสกายวอล์กแห่งแรกของ บึงกาฬ ที่ หินสามวาฬ

อ่านต่อได้ที่ อ่านต่อhttps://cofact.org/article/1jwq38gsuy6ri


คุมเข้มเปิดเทอม ทุกพื้นที่ในโรงเรียนต้องปลอดบุหรี่ไฟฟ้า

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1qu64supnwer0


กรมสรรพสามิต ยืนยันการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ไม่กระทบราคาขายปลีกน้ำมัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/dvxhkze95t3i


 กทม. เตรียมเปิด ‘บ้านอิ่มใจ’ แก้ปัญหาคนไร้บ้าน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1c9y57i7eqhtn


โควิดกลับมาระบาด ปีนี้ทั่วประเทศติดแล้ว 4 หมื่นคน เสียชีวิตแล้ว 14 ราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/65jaewhc3rdj