‘ไทย-กัมพูชา’สู้รบ! ผลกระทบ‘ดารา-คนดัง’ท่ามกลางกระแสปั่น‘ข่าวลวง-เกลียดชัง’

By : Zhang Taehun

นับตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งมีรายงานว่า กองทัพกัมพูชาเปิดฉากโจมตีไทยในหลายจุด และทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตรวมถึงได้รับบาดเจ็บหลายราย นำไปสู่การใช้กำลังตอบโต้ของฝ่ายไทย จนกระทั่งกลายเป็นการสู้รบระหว่าง 2 ฝ่ายต่อเนื่องหลายวัน ก่อนจะมีการเจรจาหยุดยิงที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 28 ก.ค. 2568 และกำหนดหยุดยิง เริ่มตั้งแต่เวลา 00.00 น. ของวันที่ 29 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป ในส่วนของการแพร่ระบาดของ ข้อมูลลวง  บิดเบือน  คลาดเคลื่อน ในโลกออนไลน์ทั้งฝั่งกัมพูชาและฝั่งไทย ได้ส่งผลกระทบต่อ ดารา  คนดังอยู่หลายท่าน

ภาพ 01 บทบาท นักบินรบ ในละครของ สเตฟาน” ถูกเข้าใจว่าเป็นนักบิน F-16 ของไทย ร่วมปฏิบัติการโจมตีกัมพูชา

ที่มา : เพจ สเตฟาน Stephan” ช่องยูทูบ “AntiheroThai”

ทำเอาถึงกับงงทีเดียวสำหรับ สเตฟาน – ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์ หรือชื่อเดิมคือ สันติ วีระบุญชัยอดีตนักแสดงที่ปัจจุบันผันตัวไปเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ต้องออกมาแก้ข่าวหลังจากมีแฟนคลับแจ้งเข้ามาว่าในหมู่ชาวกัมพูชามีการแชร์ภาพของตนสมัยรับบทพระเอกมาดนักบินรบ ขับเครื่องบินไปโจมตีทหารกัมพูชา เนื่องจากในการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาครั้งนี้ ฝั่งไทยมีการใช้เครื่องบินขับไล่รุ่น F-16 ร่วมปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้มีแต่ชาวกัมพูชา แม้กระทั่งชาวเวียดนามที่ติดตามสถานการณ์ก็พลอยเชื่อไปกับเขาด้วย 

ซึ่งช่องยูทูบ “AntiheroThai” ในคลิปชื่อ “Piastri คว้าแชมป์ที่สปา | Formula 1” สเตฟานบอกว่า ภาพดังกล่าวมาจากละครที่ตนเคยแสดงตั้งแต่เมื่อ 15 ปีก่อน ตนเข้าใจเรื่องล้อกันเล่น แต่ไปๆ มาๆ กลับมีคนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง พร้อมทั้ง ขอให้หยุดแชร์และแนะนำว่าควรให้เครดิตนักบินจริงๆ จะดีกว่าขณะที่เพจเฟซบุ๊ก “สเตฟาน Stephan” ของเจ้าตัว ได้โพสต์ภาพที่ถูกนำไปแชร์แล้วลือกันไปแบบเข้าใจผิดเช่นกัน

ภาพ 02 นักแสดงและนางแบบสาว ใหม่-ดาวิกา” ถูกนำภาพมาใส่แคปชั่น กล่าวหาเหยียดประเทศกัมพูชา (ซ้ายภาพต้นฉบับ (ขวา) ภาพที่ถูกตัดต่อใส่ข้อความสร้างความเกลียดชัง

ที่มา : ไทยรัฐบันเทิง

ช่วงวันที่ 26 – 27 ก.ค. 2568 มีรายงานข่าว ใหม่ – ดาวิกา โฮร์เน่ นักแสดงและนางแบบ ต้องออกมาโพสต์ชี้แจง “Amidst all the fake news around me, I would like to clarify that I did not edit or add any words to that picture. I did not intend to discriminate against anyone. Please stop spreading hatred. (ท่ามกลางข่าวปลอมมากมายรอบตัว ฉันขอชี้แจง ว่าไม่ได้ตัดต่อหรือเพิ่มเติมข้อความใดๆ ในภาพนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะเลือกปฏิบัติต่อใคร โปรดหยุดเผยแพร่ความเกลียดชัง) เนื่องจากมีการนำภาพของตนไปตัดต่อใส่ข้อความ “Cambodia 2025” อยู่บริเวณเท้า แล้วทำให้ชาวกัมพูชาที่พบเห็นไม่พอใจ หาว่าเหยียดประเทศกัมพูชาแล้วเข้ามาด่าทออย่างรุนแรง 

เพจเฟซบุ๊ก “ไทยรัฐบันเทิง” ในเครือ นสพ.ไทยรัฐ ในวันที่ 26 ก.ค. 2568 มีการโพสต์ภาพเปรียบเทียบ โดยภาพต้นฉบับก่อนถูกนำไปตัดต่อ หากนำไปค้นหาด้วย Google Lens จะพบว่าเป็นภาพที่ ไหม่ ดาวิกา ไปร่วมงานของแบรนด์แฟชั่นหรูจากอิตาลีอย่าง “บุลการี (Bulgari)” เมื่อช่วงปลายเดือน ก.พ. 2568 โดยเป็นงานเปิดตัวคอลเล็คชั่นหรู เอเทอร์นา (Aeterna) ที่หน้าปราสาทบายน โบราณสถานนครธม ในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีสื่อรายงานข่าวในเวลานั้น เช่น นิตยสาร Harper’s Bazaar(ฉบับ Edition ไทย)  , สำนักข่าวออนไลน์ The Thailanders รวมถึงบัญชีอินสตาแกรมของศูนย์การค้าสยามพารากอน 

ภาพ 03 : (ซ้าย) Lisa – โอริเบะ ริสะ (Oribe Risa)” นักร้องชาวญี่ปุ่น (ขวา) ลิซ่า – ลลิษา มโนบาล นักร้องชาวไทย สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปวง Blackpink 

ที่มา : TVpool

ช่วงวันที่ 27 – 29 ก.ค. 2568 มีสื่อออนไลน์บางสำนัก เช่น เว็บไซต์นิตยสารบันเทิง TVpool , เพจเฟซบุ๊กวงการเกม “เกมถูกบอกด้วย v.2” เผยแพร่เรื่องราวของ Lisa – โอริเบะ ริสะ (Oribe Risa) ที่เปิดเผยว่า เพลงใหม่อย่าง Shine in the Cruel Night ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน “Demon Slayer : Kimetsu no Yaiba Infinity Castle (ดาบพิฆาตอสูร : ภาคปราสาทไร้ขอบเขต)” มียอดรับชม 1 ล้านครั้งบนยูทูบแล้ว แต่กลับมีความเห็นเป็นภาษาไทย ตำหนิว่าไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย –กัมพูชา 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าความเห็นข้างต้นน่าจะเกิดจากความเข้าใจผิด เพราะนักร้องสาวชาวญี่ปุ่นใช้ชื่อในวงการเป็นภาษาอังกฤษว่า “Lisa” ซึ่งอาจทำให้เข้าใจว่าเป็น “ลิซ่า – ลลิษา มโนบาล” นักร้องสาวชาวไทยที่ไปโด่งดังในเกาหลีใต้ในฐานะสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป Blackpink โดยจากการเข้าไปดูในโพสต์ของเพจเฟซบุ๊ก “LiSA” ซึ่งเป็นเพจทางการของ โอริเบะ ริสะ ในโพสต์ฉลอง 1 ล้านวิว เพลง Shine in the Cruel Night (สืบค้นวันที่ 31 ก.ค. 2568 ส่วนโพสต์น่าจะอยู่ช่วงวันที่ 27-28 ก.ค. 2568) จะเห็นมีความคิดเห็นที่น่าจะมาจากชาวไทย เข้าไปขอโทษเจ้าตัวหลังมีชาวเน็ตไทยบางส่วนเข้าใจผิดแล้วเข้าไปต่อว่าดังกล่าว 

ภาพ 04 : (ซ้ายจีน่า เดอซูซ่า (ขวาลิซ่า – ลลิษา มโนบาล

ที่มา : เพจ วันบันเทิง – oneบันเทิง” ช่องวัน 31

สำหรับกรณีของ ลิซ่า – ลลิษา มโนบาล นอกจากจะถูกชาวเน็ตไทยทั่วไปเรียกร้องให้ออกมาแสดงจุดยืนหรือความเห็นเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา แล้ว ยังมี จีน่า เดอซูซ่า  ศิลปินนักร้องชาวไทย ที่ออกมาแสดงท่าทีแบบเดียวกัน ด้วยการออกมาตั้งคำถามกับลิซ่าว่า “Where is your hometown? (บ้านเกิดของคุณอยู่ที่ไหน?)” อย่างไรก็ตาม กลับเป็นจีน่าที่ถูกชาวเน็ตเข้าไปต่อว่า จนเจ้าตัวต้องออกมาขอโทษพร้อมชี้แจงว่า จ.บุรีรัมย์ บ้านเกิดของ ลิซ่า – ลลิษา เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จึงอยากให้ใช้ความเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลก ออกมาพูดให้กำลังผู้สูญเสียทั้งทหารและพลเรือน เผื่อจะช่วยสร้างความตระหนัก (Awareness) กับชาวโลกจากการได้รับข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง 

ภาพ 05 โพสต์จากบัญชีอินสตาแกรมของ เบลล่า ราณี ที่นำไปสู่การถูกชาวกัมพูชาเข้ามาต่อว่าด่าทออย่างรุนแรง 

ที่มา : ข่าวสด

ย้อนไปเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 เมื่อสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชาระลอกล่าสุดเริ่มขึ้น เบลล่า – ราณี แคมเปน นักแสดงสาวคนดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรม ทุกชีวิตมีค่า ความรุนแรงไม่ควรเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้นขอส่งกำลังใจให้ทุกชีวิตที่ได้รับผลกระทบ Every life matters. Violence should never happen to anyone. Sending strength and compassion to every life affected.” ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีการตัดต่อใดๆและไม่ได้มีถ้อยคำที่ต่อว่าหรือกล่าวโทษใคร แต่ก็ไม่วายมีชาวกัมพูชาไม่พอใจ เข้ามาโพสต์ข้อความย้ำว่าไทยเป็นฝ่ายโจมตีกัมพูชาก่อน 

จากตัวอย่างทั้ง 5 กรณีข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงด้านมืดของการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในภาวะที่สังคมถูกลุกเร้าอารมณ์ ความรู้สึกอย่างรุนแรงและรับข้อมูลข่าวสารที่คลาดเคลื่อนหรือข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการปะทะทางทหารตามแนวชายแดนไทย กัมพูชา ทำให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ไม่ว่าฝั่งใดขาดสติยังคิดและพร้อมจะเชื่อและแชร์ข่าวลวง รวมถึงใช้ถ้อยตำสร้างความเกลียดชังกับบุคคลอื่นแม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่ได้พาดพิงกล่าวโทษใคร หรือแม้แต่การส่งผ่านความรุนแรงกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ด้วยความเข้าใจผิด!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.youtube.com/watch?v=7oSFMGv_Ywc (Piastri คว้าแชมป์ที่สปา | Formula 1 : AntiheroThai 28 ก.ค. 2568 , นาทีที่ 19.33 เป็นต้นไป)

https://www.matichon.co.th/entertainment/news_5297510 (สเตฟาน วอนเลิกแชร์ได้แล้ว ไม่ใช่นักบิน F16 ชาวเน็ตกัมพูชา-เวียดนามยังเชื่อ : มติชน 29 ก.ค. 2568)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1443305743380305&set=pb.100031026804975.-2207520000 (โพสต์จากเพจ สเตฟาน Stephan)

https://www.komchadluek.net/entertainment/605300 (“ใหม่ ดาวิกา” แจงดราม่าร้อนฉ่า! เจอพิษชาวเน็ตตัดต่อภาพ “เหยียบย่ำกัมพูชา” ทำทัวร์ลงสนั่น! ลั่น! โปรดหยุดเผยแพร่ความเกลียดชัง : คมชัดลึก 27 ก.ค. 2568)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1149110437262171&set=a.355852706587952 (โพสต์จากเพจ ไทยรัฐบันเทิง)

https://harpersbazaar.co.th/watch-jewelry/bulgari-aeterna-cambo-event/ (Aeterna การเฉลิมฉลองแห่งความสง่างามและมรดกทางวัฒนธรรมจาก Bulgari : oo25 ก.พ. 2568)

https://thethailanders.com/บุลการี-เผยโฉม-เอเทอร์นา (บุลการี เผยโฉม เอเทอร์นา คอลเลกชั่นพิเศษที่สุดเท่าที่เคยรังสรรค์มาโดยช่างอัญมณีชั้นสูงแห่งโรมัน ด้วยงานกาล่าดินเนอร์อันงดงาม ที่จัดขึ้น ณ นครธม ประเทศกัมพูชา : The Thailanders 10 มี.ค. 2568)

https://www.instagram.com/p/DGijqOyp-2X/ (อินสตาแกรม siamparagonshopping 26 ก.พ. 2568)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1271735320983573&set=a.283031649853950 (โพสต์จากเฟซบุ๊กเพจ LiSA โอริเบะ ริสะ)

https://www.tvpoolonline.com/content/2405266 (LiSA โพสต์ยินดีที่เพลงใหม่ยอดวิวทะลุล้าน แต่โดนชาวไทยลงทัวร์ เหตุ “ไม่พูดเรื่องการปะทะไทย-กัมพูชา” : TVPool 30 ก.ค. 2568)

https://www.facebook.com/photo?fbid=1105822961703943&set=a.408398174779762 (โพสต์จากเพจ “เกมถูกบอกด้วย V.2”)

https://www.facebook.com/photo?fbid=1076469688025711&set=a.562322619440423 (โพสต์จากเพจ “วันบันเทิง”)

https://www.dailynewst.co.th/news/4971054/ (‘จีน่า เดอซูซ่า’ ขอโทษ ‘ลิซ่า’ ยอมรับผิดปมคอมเมนต์กดดัน-กดไลก์ข้อความไม่เหมาะสม : เดลินิวส์ : 31 ก.ค. 2568)

https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_9863292 (สุดงง “เบลล่า” โพสต์ส่งกำลังใจ เจอทัวร์กัมพูชาลง แฟนคลับไทยโต้เดือด จนต้องปิดคอมเมนต์ : ข่าวสด 24 ก.ค. 2568)


ชาวปาเลสไตน์จ้างนักแสดง ‘แกล้งตาย-เจ็บ’ ในศึกกาซาจริงหรือ?

ธีรนัย จารุวัสตร์

สมาชิกเครือข่าย Cofact Thailand 

ขณะที่ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาได้รับการตีแผ่ไปทั่วโลก แต่โลกโซเชียลมีเดียกลับเต็มไปด้วยคลิปที่อ้างว่าผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตชาวปาเลสไตน์เป็นเพียงการ “จัดฉาก” เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากชาวโลก หรือที่เรียกกันในวงการสื่อว่า ทฤษฎีสมคบคิด “Pallywood”

หากใครจำกันได้ หลังจากที่กองทัพรัสเซียรุกรานยูเครนในต้นปี 2022 และเริ่มมีรายงานว่าประชาชนยูเครนจำนวนหนึ่งเสียชีวิตจากปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย พิธีกรข่าวของช่อง “ททบ. 5” ในประเทศไทย ได้นำคลิปวิดิโอหนึ่งมาเผยแพร่ออกอากาศ โดยระบุว่าเป็นการจับผิด “ศพ” ชาวยูเครนที่ถูกทหารรัสเซียสังหาร แต่ “ศพ” กลับขยับเขยื้อนได้ ดูเหมือนเป็นการ “จัดฉาก” ซะมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฎว่าวิดิโอดังกล่าวเป็นคลิปจากเหตุการณ์การประท้วงสภาวะโลกร้อน ซึ่งนักกิจกรรมได้แสดงท่าทางเป็นศพเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครนเลย และในเวลาต่อมา ได้มีหลักฐานและภาพข่าวประชาชนยูเครนที่ถูกคร่าชีวิตโดยกองทัพรัสเซียปรากฎสู่สายตาชาวโลกอย่างล้นหลาม จนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป การกล่าวหาในทำนองว่ายูเครน “จัดฉาก” ผู้เสียชีวิตเพื่อป้ายสีรัสเซีย จึงค่อยๆเงียบหายไป…

เวลาผ่านมาปีกว่า วาทกรรมดังกล่าวกลับขึ้นมาแพร่หลายในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง แต่เปลี่ยนบริบท 

จากสงครามในยูเครน สู่สงครามในฉนวนกาซาและอิสราเอล จากที่เคยพุ่งเป้าจับผิดว่าชาวยูเครน “จัดฉาก” หรือแกล้งตาย กลายมาเป็นการกล่าวหาว่าชาวปาเลสไตน์กำลังใช้ “นักแสดง” สวมบทบาทเป็นผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการโจมตีของกองทัพอิสราเอล ซึ่งในปัจจุบัน ข้อมูลจากทางการกาซาระบุว่าชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 10,000 ราย ตั้งแต่กองทัพอิสราเอลเริ่มปิดล้อมและถล่มฉนวนกาซา หลังฮามาสก่อเหตุสังหารประชาชนในอิสราเอลจำนวนมากเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา

ตัวอย่างเช่น คลิปที่อ้างว่าชายคนหนึ่งที่สูญเสียขาในโรงพยาบาลกาซ่า กลับกลายว่ายังมีขาอยู่ในวันถัดมา หรืออ้างว่าศพเยาวชนในกาซาขยับเขยื้อนตัวได้ หรืออ้างว่ามีนักแสดงชาวปาเลสไตน์ปรากฎตัวในคลิปการโจมตีของอิสราเอลหลายครั้ง ฯลฯ 

ทั้งหมดเหล่าเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดที่เรียกว่า “Pallywood” ซึ่งเป็นการรวมกันของคำว่า “Hollywood” กับ “Palestine” เพื่อที่จะสื่อว่า ภาพและข่าวความสูญเสียในปาเลสไตน์นั้น เป็นการจัดฉากขึ้นเพื่อตบตาชาวโลก มีการใช้นักแสดงหรือวางบทบาทกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ต่างจากการถ่ายภาพยนตร์ Hollywood

ที่น่ากังวลคือทฤษฎีสมคบคิดเช่นนี้ถูกส่งต่อในโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง แม้แต่ทางการอิสราเอลและสำนักข่าวจำนวนหนึ่ง (รวมถึงสื่อไทยอย่างน้อยหนึ่งแห่ง) ก็หยิบมาเผยแพร่ต่อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดแต่เคลือบแคลงใจต่อวิกฤติมนุษยธรรมในกาซาขณะนี้อย่างแพร่หลาย ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญและ factcheckers จำนวนมากได้พิสูจน์ทราบแล้วว่าไม่มีมูลความจริง 

จากปาเลสไตน์ สู่กลุ่มขวาจัดอเมริกัน

แนวคิด Pallywood เริ่มปรากฎขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ระหว่างการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวปาเลสไตน์เพื่อต่อต้านการยึดครองเขตเวสต์แบงก์และกาซาโดยกองทัพอิสราเอล 

การลุกฮือ (หรือที่เรียกว่า intifada) ดังกล่าวประกอบด้วยทั้งการประท้วงและการใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายในอิสราเอล นำไปสู่การโต้ตอบอย่างรุนแรงจากกองทัพอิสราเอล ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะพลเรือน ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์เริ่มปรากฎขึ้นในสื่อมวลชนต่างประเทศหลายแห่ง กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอิสราเอล 

เหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก คือวิดิโอข่าวเหตุการณ์สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ที่พยายามซุกตัวในมุมถนนแห่งหนึ่ง เพื่อหลบการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ก่อนที่ทั้งสองพ่อลูกจะถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งทีมข่าวระบุว่าเป็นฝีมือทหารอิสราเอล สร้างความโกรธแค้นไปทั่วในปาเลสไตน์และนานาประเทศ

สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ Jamal และ Muhammad al-Durrah ขณะพยายามหลบกระสุนปืนท่ามกลางการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา เมื่อปี 2000 ที่มา: France 2

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจำนวนหนึ่งในสหรัฐฯ เริ่มตั้งคำถามต่อวิดิโอดังกล่าวว่าเชื่อถือได้จริงหรือไม่ โดยได้หยิบยกข้อสังเกตต่างๆมาวิจารณ์ เช่น ดูเหมือนคลิปมีการตัดต่อ, มุมกล้องไม่ได้แสดงเหตุการณ์ทั้งหมด, ลำดับเหตุการณ์ไม่ตรงกับคำให้การของพยาน ไปจนถึงกระทั่งว่า สองพ่อลูกในข่าวไม่ได้เสียชีวิตจริง แต่อาจจะเป็นการ “จัดฉาก” ขึ้นเท่านั้น 

แนวคิดนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เป็นการตั้งข้อสังเกตกับข่าวเหตุการณ์เดียว กลายเป็นการตั้งคำถามกับภาพและข่าวความสูญเสียอื่นๆของชาวปาเลสไตน์ด้วย พร้อมโจมตีว่าสื่อมวลชนหลายแห่งสมคบคิดกันเพื่อจัดฉากป้ายสีอิสราเอล หรือจ้างนักแสดงปาเลสไตน์มาแกล้งตายเพื่อจะได้ภาพข่าวที่ต้องการ เป็นที่มาของคำว่า Pallywood 

กระแส Pallywood เริ่มลดลงไปบ้างหลังการกำเนิดขึ้นของโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยให้ประชาชนผู้เสพข่าวทั่วโลกได้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆในปาเลสไตน์กับตาตัวเองโดยตรง แต่องค์ประกอบบางส่วนในแนวคิด Pallywood ได้วิวัฒนาการกลายเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดอื่นๆ ที่มักจะเผยแพร่ในกลุ่มขวาจัดอเมริกันในเวลาต่อมา 

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อมีเหตุโศกนาฏกรรมกราดยิงหรือสังหารหมู่ในอเมริกา กลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่งมักจะเผยแพร่ข้อกล่าวหาว่า การกราดยิงต่างๆนั้นเป็นเพียงการ “จัดฉาก” โดยหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างจำกัดสิทธิ์การครอบครองอาวุธปืนหรือลิดรอนเสรีภาพประชาชน 

เท่านั้นยังไม่พอ ยังกล่าวหาด้วยว่าบรรดาเหยื่อกราดยิงและครอบครัวผู้เสียชีวิต เป็นเพียงนักแสดงเฉพาะกิจ (crisis actors) ที่เล่นบทบาทตบตาสื่อและประชาชน สร้างความเจ็บปวดให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ดังเช่นในเหตุกราดยิงโรงเรียนประถม Sandy Hook เมื่อปี 2012 จนครอบครัวเหยื่อเหตุกราดยิงครั้งนั้นถึงกับรวมตัวฟ้องร้องนาย Alex Jones เจ้าของสำนักข่าวแนวขวาจัดรายใหญ่ ซึ่งมีบทบาทในการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าว จนชนะคดีในเวลาต่อมา 

นอกจากนี้ ทฤษฎีสมคบคิดในลักษณะเดียวกันยังกลับมาปรากฎขึ้นในช่วงสั้นๆ หลังเหตุการณ์กองทัพรัสเซียทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลผดุงครรภ์ในเมือง Mariupol ประเทศยูเครน เมื่อต้นปี 2022 ซึ่งกลุ่มชาตินิยมและสื่อในสังกัดรัฐของรัสเซียพยายามบิดเบือนว่า ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็น “นักแสดง” ที่ยูเครนจัดฉากขึ้น เป็นต้น

เมื่อ ‘Mr. FAFO’ ระบาดมาถึงสื่อไทย

การสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาสรอบล่าสุด ได้ทำให้กระแส Pallywood กลับมาแพร่ระบาดในสังคมออนไลน์อย่างไม่ต้องสงสัย ท่ามกลางกระแสข่าวบิดเบือนจำนวนมากเกี่ยวกับสงครามกาซาที่กระจายอยู่เต็มโซเชียลมีเดีย มีทั้งเพื่อสร้างและทำลายความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงของคู่ขัดแย้งบนความเข้าใจผิดของผู้เสพย์ข้อมูล

ตัวอย่างหนึ่งซึ่งมักจะปรากฎอยู่บ่อยๆ คือชายชายปาเลสไตน์คนหนึ่งที่กลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่สนับสนุนรัฐบาลอิสราเอล ระบุว่าเป็น “นักแสดง” มากบทบาท เป็นทั้งทหารฮามาส สื่อมวลชน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล แม้กระทั่งศพผู้เสียชีวิต

ชายคนนี้ได้รับฉายาจากกลุ่มขวาจัดอเมริกันว่า “Mr. FAFO” ซึ่งเป็นคำแสลงอเมริกันหมายถึงคนที่รนหาที่ตาย (Fuck Around, Find Out – FAFO) ข่าวนี้ได้กระจายออกจากโซเชียลมีเดียของกลุ่มขวาจัดไปสู่สังคมออนไลน์ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว รวมถึงแอคเคาท์ทวิตเตอร์ทางการของรัฐบาลอิสราเอลด้วย โดยระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า Mr. FAFO คนนี้เป็นหลักฐานปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของชาวปาเลสไตน์

ในกรณีประเทศไทย พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทยด้วยกัน  ส่วนในภาพรวมของสื่อมวลชนไทยจะเน้นการรายงานข่าวหรือข้อมูลการสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกองกำลังติดอาวุธกลุ่มฮามาสจากแหล่งข้อมูลทางการหรือสำนักข่าวต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ จะมีบางสื่อที่รายงานโดยให้น้ำหนักไปทางข้างใดข้างหนึ่ง เช่นกรณี เว็บไซต์ของช่อง Bright TV ได้หยิบยกเรื่องของ Mr. FAFO มาเผยแพร่ต่อ โดยเนื้อข่าวตอนนี้ระบุว่า:

“ทั้งนี้ ท่ามกลาง Saleh Aljafarawi นามแฝงของนาย FAFO ที่บงการอย่างสิ้นหวังและวิดีโอที่ทำให้เข้าใจผิดและการกล่าวอ้างทางโซเชียลมีเดีย เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มฮามาสใช้กลยุทธ์การโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ เพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจและฉายภาพอิสราเอลว่าเป็นผู้กดขี่ กลไกที่น่าละอายอย่างหนึ่งของฮามาสก็คือการอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 500 รายในโรงพยาบาลฉนวนกาซา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ชี้ให้เห็นอย่างรวดเร็วว่านี่ไม่ใช่การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล แต่เป็นจรวดที่ยิงผิดจากในฉนวนกาซา 

เห็นได้ชัดว่า นอกเหนือจากการทำสงครามกับฮามาส เฮาซี และฮิซบอลเลาะห์แล้ว อิสราเอลยังต้องต่อสู้กับสงครามข้อมูลที่บิดเบือน/บิดเบือนด้วยเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม หากได้มีการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม ก็จะพบว่านาย Saleh มีอาชีพเป็นอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเทอร์ชื่อดังในกาซาตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามแล้ว โดยเขาได้เผยแพร่คลิปวิดิโอ สตอรี่ และผลงานเพลงจำนวนมาก ซึ่งก็ไม่ต่างจากอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศอื่นๆทั่วโลก อีกทั้งยังทำงานอาสาเป็นเจ้าหน้าที่ให้แก่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกาซาด้วย (จึงเป็นที่มาของภาพนาย Saleh ในเครื่องแบบโรงพยาบาล) 

มิได้มีเจตนาแฝงตัวเป็นบุคคลหลากหลายอาชีพแบบที่เข้าใจกัน และไม่เคยอ้างตัวว่าเป็นผู้บาดเจ็บจากเหตุโจมตีของอิสราเอล

นอกจากนี้ บางภาพที่นำมายำรวมกันและอ้างว่าเป็น Mr. FAFO ไม่ใช่ภาพของนาย Saleh ด้วยซ้ำ ดังเช่นภาพด้านขวามือที่ปรากฎข้างบนนี้ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นภาพของ Mohammad Zendeq ชาวปาเลสไตน์อีกคนหนึ่ง ที่บาดเจ็บจากปฏิบัติการทางทหารโดยกองทัพอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ (ไม่ใช่ฉนวนกาซา) ตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม หรือก่อนหน้าสงครามกาซารอบล่าสุดเสียอีก 

ด้านทีมข่าว AFP Fact Check ในประเทศไทย ได้พิสูจน์แล้วว่า ภาพ “ศพ” ที่หลายคนอ้างว่าเป็น Mr. FAFO แกล้งตายนั้น จริงๆแล้วเป็นภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งชุดประกวดงานวันฮาโลวีนในจังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ต่างหาก

นอกจาก Mr. FAFO แล้ว ข่าวบิดเบือน Pallywood เช่นนี้ยังปรากฎขึ้นในอีกหลายรูปแบบ เช่น เอาคลิปเบื้องหลังการถ่ายภาพยนตร์ในเลบานอน มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์กำลังแต่งหน้าและแต้มสีเลือด ให้ดูเหมือนว่าบาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล, เอาภาพนักกิจกรรมในประเทศอียิปต์นอนแกล้งตายเพื่อประท้วงรัฐบาล มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์แต่งกายเป็นศพ เพื่อหลอกตาสื่อมวลชน เป็นต้น

เครื่องมือทางจิตวิทยา?

แน่นอนว่าคำถามหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นในใจหลายคนคือ ผู้ที่เผยแพร่และปั่นกระแส Pallywood เช่นนี้ มีจุดประสงค์เพื่ออะไร

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งได้แสดงความกังวลไว้ว่า ผลกระทบหนึ่งจากทฤษฎีสมคบคิด Pallywood คือจะค่อยๆทำให้ประชาชนที่รับข่าวสารเกี่ยวกับสงครามกาซาเกิดความเคลือบแคลงใจ และเริ่มคิดว่าสื่อหรือโซเชียลมีเดียที่เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับชาวปาเลสไตน์ไม่น่าเชื่อถือ จนทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ความจริง” กับ “ความเท็จ” ค่อยๆเลือนลงไป ทั้งที่มีหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ถึงวิกฤติมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในกาซา 

ดังที่ Sam Doak นักวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับข่าวบิดเบือน ให้สัมภาษณ์ไว้กับ Rolling Stone ว่าแนวคิดเช่นนี้เสี่ยงทำให้ผู้ที่รับชมข่าวสารมีทัศนคติเชิงลบต่อชาวปาเลสไตน์ เพราะปักใจเชื่อว่าชาวปาเลสไตน์พยายามหลอกลวงประชาชนทั่วโลก และมองว่าข่าวเกี่ยวกับความสูญเสียของพลเรือนปาเลสไตน์เป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น

“นี่คือการลดทอนความเป็นมนุษย์” Doak กล่าวสรุป

ข้อมูลสำหรับอ่านเพิ่มเติม

No, Palestinians Are Not Faking the Devastation in Gaza | Rolling Stone 

Clip shows teenager in West Bank hospital, not faked injuries in Gaza | AFP Fact Check

A thread on Pallywood conspiracy theory | Matt Binder 

พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทย I BBC Thai 


หลอกลวงหรือความจริง? ถอดรหัสเพจตำรวจลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาตัวเลขผู้ถูกหลอกไม่ลดลง

บทความ

รายการ โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว เมื่อวันที่29 กรกฎาคม 2568 รายการได้เจาะลึกประเด็นร้อน“อ้างเพจตำรวจลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพได้จริงหรือ?” เพื่อคลายข้อสงสัยและให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับกลโกงออนไลน์ที่กำลังระบาดโดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญร่วมถกแถลง ได้แก่ สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, ร.ต.ท. กฤษกรณ์ ก้องศักดิ์ศรี รองสารวัตรกลุ่มงานป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ตอท.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.), ไอรีณ คนเช็กข่าว , วิทยา บุญฉวี หัวหน้าหน่วยประสานงานสภาผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี

ดำเนินรายการโดย สุชัย เจริญมุขยนันท

ข่าวลวงยังเป็นภัย ต้องรู้เท่าทัน

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ข่าวลวงในยุคดิจิทัลที่ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อสังคม โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสข่าวสารเกี่ยวกับความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชากำลังได้รับความสนใจ เธอกล่าวว่า“นอกจากประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศสังคมไทยยังต้องเผชิญกับมิจฉาชีพออนไลน์ที่พัฒนากลโกงอย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบข้อมูลจึงสำคัญยิ่งเพื่อป้องกันความเสียหาย” สุภิญญายังตั้งคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับการลดลงของการหลอกลวงออนไลน์ โดยสงสัยว่าเป็นผลจากสถานการณ์ชายแดนหรือเพียงแค่ความเข้าใจผิด เธอเน้นย้ำว่าCOFACT มุ่งส่งเสริมให้ทุกคนเป็น “Fact Checker” เพื่อตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อหรือแชร์ต่อ เพื่อลดวงจรข่าวลวงในสังคม

จุดประเด็นจากโซเชียลมีเดีย

ไอรีณ คนเช็กข่าว เปิดประเด็นด้วยการหยิบยกโพสต์จากโซเชียลมีเดียที่พบใน Facebook ซึ่งระบุว่ามีเพจที่อ้างว่าเป็นของตำรวจให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับเงินเยียวยาจากการถูกมิจฉาชีพหลอก เธอตั้งคำถามว่า “มันจริงหรือไม่?” ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการถกประเด็นในรายการ ไอรีณสะท้อนถึงความสับสนของประชาชนที่อาจหลงเชื่อโพสต์ดังกล่าวและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อซ้ำ

การลงทะเบียนรับเงินคืนไม่มีจริง

ร.ต.ท. กฤษกรณ์ ก้องศักดิ์ศรี หรือ “หมวดก๊อต” รองสารวัตรกลุ่มงานป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับประเด็นการลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพผ่านเพจที่อ้างว่าเป็นของตำรวจ โดยยืนยันว่า ไม่มีเพจตำรวจที่ให้ลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพอยู่จริง เขาอธิบายว่า ข่าวลือหรือโพสต์ที่แพร่กระจายในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการลงทะเบียนเพื่อรับเงินเยียวยาฟรีนั้นเป็นกลโกงของมิจฉาชีพที่หวังหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวหรือเงินจากประชาชน

ร.ต.ท. กฤษกรณ์ ยังชี้แจงถึง โอกาสที่จะได้เงินคืนมี2 เงื่อนไขหลัก ซึ่งโอกาสที่จะได้คืนยากมาก  

1. ต้องรู้ตัวเร็วและแจ้งอายัดบัญชีทันที ผ่านสายด่วน1441 เพื่อให้ตำรวจสามารถอายัดเงินในบัญชีของมิจฉาชีพได้ก่อนที่เงินจะถูกโอนต่อไป ซึ่งเขายอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมิจฉาชีพมักโอนเงินออกจากบัญชีอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที  

2. บัญชีม้าที่มาหลอกเราต้องเป็นบัญชีที่เปิดใหม่  

เขาเน้นว่าโอกาสในการได้เงินคืนยังมีน้อย เนื่องจากมิจฉาชีพมีระบบโอนเงินอัตโนมัติที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในคดีหลอกลงทุน ซึ่งเหยื่อมักรู้ตัวช้าเกินไปเช่น หลังโอนเงินไปแล้ว 1 สัปดาห์ถึง 4-5 เดือน

หมวดก็อต ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ยอดคดีหลอกลวงออนไลน์ในปัจจุบันที่มีสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ยังคงสูง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ1,100 คดีต่อวัน ซึ่งไม่มีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า เช่นช่วงปราบแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ต่างประเทศ เคยทำให้ยอดคดีลดลงราว20% ในช่วงต้นปี ความเชื่อมโยงระหว่างสถานการณ์ชายแดนและการลดลงของกลโกงมิจฉาชีพ ไม่มีการลดลงของคดีหลอกลวงอย่างที่คาดหวัง

นายวิทยา บุญฉวีเล่าวิทยา บุญฉวี หัวหน้าหน่วยประสานงาน สภาผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี

ได้เล่าถึงกรณีที่รับเรื่องร้องเรียนมาก็คือ ทางผู้บริโภค ถูกหลอกกู้เงินออนไลน์ แล้วไปร้องเพจตำรวจไซเบอร์ปลอม ให้แอดไลน์หน่วยปฏิบัติงานพิเศษ 538 พบเจ้าหน้าที่ปลอม หลอกโอนเงินอีก

จึงได้ร้องทาง หน่วยประสานงาน สภาผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี ก็แนะนำให้โทรฯไป 1441 แจ้งเหตุตำรวจไซเบอร์เพื่อให้ธนาคารอายัดบัญชี ภายใน 72 ชั่วโมง ถ้าเกินนั้น บัญชีจะใช้งานได้  และแจ้งความขออายัดบัญชี ที่สถานีตำรวจโดยตรง

การอ้างเพจตำรวจลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพได้ไม่เป็นความจริง เราควรรู้เท่าทันการหลอกลวง หากถูกหลอกรีบแจ้ง1441 ตำรวจไซเบอร์ โดยเร็วที่สุดเพื่ออายัดบัญชีมิจฉาชีพ การดำเนินการทางออนไลน์หลายอย่างอาจเป็นการหลอกลวงได้ เช่นจองโรงแรม ได้รับสินค้าไม่ตรงปก ฯลฯ ต้องระมัดระวัง


ขอบคุณที่มา ubonconnect

Summary of Fact-Checking Information: Thai-Cambodian Border Clashes, July 24-25, 2025

Since the morning of July 24, 2025, reports have emerged of a Cambodian army attack into Thai territory, resulting in civilian casualties and injuries, followed by retaliation from the Thai army. A substantial amount of information has been shared and disseminated across online social media platforms. Cofact has verified a portion of this information, identifying both true and false content, as detailed below:

Image 01: Image from a clip depicting a shell impact at a PTT gas station, Ban Phue, Kantharalak District, Si Sa Ket ProvinceVerified content: Clip of shell impact at PTT gas station, Ban Phue, Kantharalak District, Si Sa Ket Province

Fact-check result: TRUE 

Summary: On July 24, 2025, at 11:19 AM, a Facebook user posted a clip showing plumes of smoke rising from the PTT gas station in Ban Phue, Kantharalak District, Si Sa Ket Province, attributing the damage to the Thai-Cambodian border clash. Cofact verified this through media reports and the 2nd Army Area Facebook page, confirming the clip depicts a real incident. The 2nd Army Area posted the clip at 11:29 AM, stating that a BM21 shell had struck the PTT station in Ban Phue, causing numerous injuries.

Note: The affected PTT gas station is situated at the boundary between the Ban Phue and Ban Nam Yen areas. Consequently, local residents refer to it by both names, although Google Maps identifies it as Ban Nam Yen.

Image 02: Image from a clip depicting an “Attack on Phanom Dong Rak Hospital” in Surin Province Verified content: Clip of “Attack on Phanom Dong Rak Hospital” in Surin Province

Fact-check result: TRUE 

Summary: On July 24, 2025, at 12:09 PM, the Facebook page “แนวหน้า มั่นคง” (naewna mankhong) posted a clip showing soldiers seeking cover in a building with visible smoke plumes outside. The accompanying caption described the incident as a BM-21 shell striking the front area of Phanom Dong Rak Hospital, Phanom Dong Rak District, Surin Province.

Cofact verified this information with the Surin Provincial Public Health Office, whose officials confirmed that shells from the Thai-Cambodian border clash had indeed impacted the hospital area. Management was reportedly convening to summarize the incident and determine necessary measures. A Cofact network partner, who is a hospital staff member, provided additional information, confirming that a mortar shell hit the Buddha statue base in front of the hospital, and soldiers sustained shrapnel injuries.

Additionally, the Ministry of Public Health Facebook page posted at 9:34 AM, stating, “Due to the clash at Prasat Ta Muen Thom, health service facilities initiated emergency response plans, with Phanom Dong Rak Hospital having evacuated all patients.” The health news website Hfocus reported Health Minister Somsak Thepsutin’s statement that 19 patients were transferred from the 30-bed Phanom Dong Rak Hospital to other hospitals and another 19 discharged to their homes.

Image 03: Image from a clip allegedly showing Thai F-16 aircraft bombing Cambodian command headquarters Verified content: Clip of F-16 bombing Cambodian command headquarters 

Fact-check result: MISINFORMATION – STOP SHARING

Summary: On July 24, 2025, at 12:54 PM, a Facebook user posted a video clip showing aircraft dropping bombs, with the caption, “Breaking! F-16 drops bombs on 2 Cambodian command headquarters, devastating them after they fired artillery at Thai homes…”

Cofact verified this by conducting a Google Reverse Image Search on video frames and determined that this clip has been circulating online for many years, predating the current Thai-Cambodian military clash. This clip has been widely shared on Arabic-language social media accounts, falsely claimed to depict various events such as India-Pakistan conflicts and bombings in Sudan.

However, Cofact could not verify the actual event depicted in this clip, its original location, or whether it constitutes AI-generated content.

Image 04: Image from a clip allegedly showing Cambodian soldiers chasing and shooting college students in Surin Province Verified content: Cambodian soldiers chasing and shooting college students in Surin Province

Fact-check result: DISINFORMATION 

Summary: On the afternoon of July 24, 2025, a TikTok user posted a video clip of students running away and screaming in panic and fear, accompanied by the caption “Khmer invaded and are chasing and shooting college students in the area.”

Cofact verified the student uniforms in the clip and identified them as belonging to Sangkha Vocational College, Sangkha District, Surin Province. Upon contacting the college, officials confirmed that no incident of Cambodians entering and causing disruption occurred as claimed in the clip. The footage shows students panicking from gunfire sounds that morning and running for shelter.

Officials additionally informed Cofact that the college ordered a closure from July 24 to August 1, 2025, due to the unrest along the Thai-Cambodian border that could affect the safety of students, teachers, and staff.

Image 05: Image from a clip allegedly showing hundreds of thousands of Cambodians gathering to oust Hun Sen Verified content: Hundreds of thousands of Cambodians gathering to oust Hun Sen

Fact-check result: MISINFORMATION – This is a clip of football fans rioting in Indonesia

Summary: On July 24, 2025, at 6:17 PM, a Facebook user posted a video showing crowds attempting to push through gates and throwing objects at officials, with a caption claiming hundreds of thousands of Khmer people were demonstrating to oust Samdech Hun Sen, Senate President and former Prime Minister of Cambodia.

This clip was previously used with the same false claim in early June 2025. Cofact and AFP Fact Check verified that this clip was posted on TikTok on May 26, 2025, with the original poster identifying it as an incident at Gelora Bandung Lautan Api Stadium in Bandung, Indonesia. Local news reports stated that Persib Bandung football fans without tickets attempted to breach gates to watch a championship match between two local teams on May 24, 2025.

Image 06: Image allegedly showing Thai soldiers seizing Preah Vihear Temple Verified content: Thai soldiers seizing Preah Vihear Temple area

Fact-check result: MISINFORMATION – STOP SHARING

Summary: On the morning of July 25, 2025, the Facebook page “Army Military Force – สำรอง” (Army Military Force – Backup) posted a message stating, “Breaking! At 9:25 AM, Thai soldiers successfully seized the Preah Vihear Temple area and Wat Kaew Sikkhakhiri Sawara that once belonged to Thailand…” This was subsequently reported by Sorrayuth Suthasanajinda on the “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” (News Worker, Off-Screen Chat) program broadcast on YouTube.

At 10:30 AM, the Royal Thai Army clarified that the content was untrue, posting on its Royal Thai Army Facebook page that it was “fake news, don’t believe it.”

Despite the Army’s denial and the original page deleting the content, Cofact found that the false information continued to be widely shared on TikTok, with some posts using clips edited from the “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” program for distribution.

Image 07: Image from a video clip allegedly showing the removal of the Cambodian flag in Thailand to sever relations between the two countries Verified content: Organizations/agencies in Thailand removing the Cambodian flag from the ASEAN country flag group

Fact-check result: DISINFORMATION 

Summary: On July 25, 2025, several TikTok users posted video clips of a man lowering the Cambodian flag from a flagpole. Some posts identified the location as Nong Nooch Garden, Sattahip District, Chonburi Province. Certain posts described this act as “Various agencies and organizations lowering the Cambodian flag from poles in ASEAN country flag groups” as a symbol of Thailand permanently severing relations with Cambodia.

Cofact contacted Nong Nooch Garden, and staff confirmed that the clip shows the international flagpole group in front of the Nong Nooch Pattaya International Convention Center, but the widely shared clip of the Cambodian flag being lowered did not originate from Nong Nooch’s official social media accounts. Management is currently investigating the incident, the recording, and its distribution.

Cofact further verified with the Ministry of Foreign Affairs, whose officials confirmed that the government has not issued any order regarding flag lowering. Flag lowering for Thai and ASEAN flags is governed by laws and regulations, such as lowering flags for mourning, and Thai authorities have never issued orders concerning other countries’ flags.

Image 08: Image from a clip allegedly showing Brussels, Belgium residents playing the Thai national anthem to support Thailand Verified content: Clip of Brussels residents playing the Thai national anthem to support Thailand in the Thai-Cambodian conflict

Fact-check result: DISINFORMATION CONTENT – This is a clip from the ceremony presenting a Thai costume to the Manneken Pis statue in Brussels on July 7, 2025

Summary: On July 25, 2025, several TikTok and Facebook users posted video clips featuring the Thai national anthem, claiming that Brussels residents were playing the Thai national anthem to express encouragement to the Thai people during the conflict with Cambodia. Some clips were shared over 30,000 times. Cofact verified the video clip and determined it was footage of a user recording the ceremony presenting the “Shoot the Rabbit, Pick the Flower” costume to the Manneken Pis statue in central Brussels, which had been shared on social media since early July 2025. 

The Facebook page of the Royal Thai Embassy in Brussels posted photos and an account of the atmosphere from the Thai costume presentation ceremony held on July 7, 2025, stating “…there was a procession to present the costume to Manneken Pis, with the honor of having the Royal Belgian Customs Department brass band perform the honored songs including the Thai national anthem, Belgian national anthem, and Maha Ruek song at Grand Place before the procession among crowds of people and tourists who came to watch.” They also shared a clip of the brass band playing the Thai national anthem, which closely resembles the clip falsely claimed to be playing the national anthem to encourage Thai people.

Cofact Thailand extends its condolences for the unrest that occurred at the Thai-Cambodian border, which has resulted in loss of life and affected the well-being of people in the border areas. We encourage all parties to resolve this situation peacefully and safely.

  • Please exercise discretion in receiving and sharing information.
  • Avoid sharing messages, images, and clips that may cause misunderstanding.
  • Always verify information from reliable sources.
  • Help fact-check information in both online and offline communities.

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 26 กรกฎาคม 2568

คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3suphnfggtfc6


ทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3i2ccvehoye1l


คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15udi6eeozj9k


ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1spn7b797fy6w


กยศ. หักเงินอัตโนมัติจากบัญชี SCB…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1spn7b797fy6wn


“ปรากฎการณ์ Red Rain ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15udi6eeozj9k


“มะขามหวาน” ไทยมีที่เดียวในโลก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1spn7b797fy6w


อ.เจษฎ์ เตือนอย่าแตะหรือพยายามจับค้างคาวเองเด็ดขาด เสี่ยงรับเชื้อไวรัสร้าย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qgvf712z2vqp


ผลไม้เน่าเสีย อย่าเสียดาย ถ้าไม่อยากเสี่ยงมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15br83pnx69gv


โคแฟครวมการตรวจสอบข้อมูล เหตุการณ์ปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา วันที่ 24 – 25 ก.ค. 2568 

นับตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งมีรายงานว่า กองทัพกัมพูชาเปิดฉากโจมตีเข้ามาในฝั่งไทย และทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย ตามด้วยการตอบโต้จากกองทัพไทย ในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่และส่งต่อข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งทางโคแฟคได้ร่วมตรวจสอบแล้วบางส่วน มีทั้งที่เป็นข้อมูลจริงและเท็จ ดังนี้ 

ภาพ 01 ภาพจากคลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

เนื้อหาที่ตรวจสอบ : คลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาจริง**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 11.19น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์คลิปภาพกลุ่มควันพวยพุ่งบริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยบรรยายว่าเป็นภาพจุดที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาซึ่งโคแฟคตรวจสอบจากการรายงานของสื่อมวลชนและเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริง โดยกองทัพภาคที่ 2 โพสต์คลิปเมื่อเวลา 11.29 น. ว่ากระสุน BM21 ตกใส่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

อนึ่ง ปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่เกิดเหตุตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพื้นที่บ้านผือและบ้านน้ำเย็น คนในพื้นที่จึงเรียกทั้งสาขาบ้านผือและบ้านน้ำเย็น แต่หากเช็กใน Google Map จะระบุว่าเป็นบ้านน้ำเย็น

ภาพ 02 : ภาพจากคลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาจริง**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.09 น. เพจเฟซบุ๊ก “แนวหน้า มั่นคง” โพสต์คลิปภาพทหารหมอบหาที่กำบังในอาคาร ขณะที่ด้านนอกมีกลุ่มควันพวยพุ่ง เขียนคำบรรยายเหตุการณ์ว่า กระสุน BM-21 ตกใส่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลพนมดงรัก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

โคแฟคตรวจสอบกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีกระสุนจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตกบริเวณ รพ. จริง ขณะนี้ผู้บริหารกำลังประชุมสรุปเหตุการณ์และมาตรการที่จำเป็น ขณะที่ภาคีเครือข่ายโคแฟคที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ. พนมดงรัก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีลูกปืนตกบริเวณฐานพระพุทธรูปด้านหน้า รพ. และมีทหารได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด

นอกจากนั้น เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 9.34 น. วันนี้ว่า “จากเหตุปะทะบริเวณปราสาทตาเมือนธม สถานบริการของ สธ. เริ่มปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ โดย รพ.พนมดงรักได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจาก รพ. หมดแล้ว” รวมถึงเว็บไซต์ข่าวสาธารณสุข Hfocus รายงานคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุขว่า รพ.พนมดงรัก มีขนาด 30 เตียง ได้ย้ายผู้ป่วย ไป รพ. อื่น 19 ราย และให้กลับบ้าน 19 ราย

ภาพ 03 : ภาพจากคลิปที่อ้างว่าเป็นเครื่องบิน คลิป F-16 ของไทย ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา

นื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ หยุดแชร์**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.54 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิด พร้อมข้อความบรรยายว่า “ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ 2 กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย…”

โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากวิดีโอไปสืบค้นด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image พบเป็นคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มานานหลายปีก่อนเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาวันนี้ โดยคลิปนี้ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายในบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ภาษาอาหรับ มีการอ้างอิงว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น การสู้รบระหว่างอินเดีย –ปากีสถาน และการทิ้งระเบิดในประเทศซูดาน

อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถตรวจสอบได้คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด ที่ไหน หรือเป็นภาพที่สร้างจากเอไอหรือไม่

ภาพ 04 : ภาพจากคลิปที่อ้างว่าทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน**

เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงบ่ายวันนี้ (24 ก.ค. 68) ผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอนักเรียนวิ่งหนีและส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว โดยฝังคำบรรยายว่า “เขมรบุกเข้ามาไล่ยิงในพื้นที่ของนักศึกษาแล้ว”

โคแฟคตรวจสอบเครื่องแบบนักเรียนในคลิปพบว่าเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จึงได้ติดต่อสอบถามข้อมูลจากวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่คนเขมรเข้ามาก่อเหตุตามที่คลิปกล่าวอ้าง ส่วนภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาของวิทยาลัยตกใจเสียงปืนช่วงสายวันนี้จึงวิ่งหาที่หลบภัย

เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวิทยาลัยได้สั่งปิดสถานศึกษาระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 1 ส.ค. 68 เนื่องจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากร

ภาพ 05 : ภาพจากคลิปที่อ้างว่าชาวกัมพูชารวมตัวขับไล่ ฮุน เซน 

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ชาวกัมพูชานับแสนรวมตัวขับไล่ฮุน เซน

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปแฟนฟุตบอลก่อจลาจลในอินโดนีเซีย**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 18.17 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์วิดีโอภาพเหตุการณ์ขณะฝูงชนพยายามดันประตูและขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่โดยใส่ข้อความบรรยายว่าชาวเขมรนับแสนคนชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา

คลิปนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จแบบเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2568 โคแฟคและ AFP Fact Checkตรวจสอบแล้วพบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์ในติ๊กตอกตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2568 ซึ่งเจ้าของโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สนามกีฬา Gelora Bandung Lautan Api Stadium ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยรายงานข่าวท้องถิ่นระบุว่าเกิดเหตุแฟนฟุตบอลทีม Persib Bandung ที่ไม่มีบัตรพยายามจะพังประตูเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระหว่างสโมสรท้องถิ่นสองทีมเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2568

ภาพ 06 : ภาพที่อ้างว่าทหารไทยเข้ายึดปราสาทพระวิหาร

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ หยุดแชร์**

เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงสายของวันที่ 25 ก.ค. 2568เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” โพสต์ข้อความว่า “ด่วน! เวลา 09.25 น. ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว…” ซึ่งต่อมานายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้นำไปรายงานในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ

เวลา 10.30 น. กองทัพบกชี้แจงว่าเนื้อหาดังกล่าว #ไม่เป็นความจริง โดยได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army ว่า “เป็นข่าวปลอม อย่าหลงเชื่อ”

แม้ทางกองทัพบกจะออกมาปฏิเสธข่าว และเพจต้นทางก็ได้ลบเนื้อหาออกแล้ว แต่โคแฟคพบว่าในติ๊กตอกยังมีการแชร์เนื้อหาเท็จนี้อย่างกว้างขวาง โดยบางโพสต์ได้ตัดต่อคลิปจากรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” มาเผยแพร่

ภาพ 07 : ภาพจากคลิปวีดีโอที่อ้างว่ามีการปลดธงชาติกัมพูชาในไทยเพื่อตัดความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: องค์กร-หน่วยงานในไทยปลดธงชาติกัมพูชาจากกลุ่มธงประเทศอาเซียน

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน**

เนื้อหาโดยสรุป: 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอชายคนหนึ่งกำลังลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาธง บางโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สวนนงนุช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บางโพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ตามหน่วยงาน องค์กร ลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาในบรรดากลุ่มธงชาติประเทศอาเซียน” เป็นสัญลักษณ์ว่าไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างถาวร

โคแฟคโทรศัพท์สอบถามไปยังสวนนงนุช พนักงานให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นกลุ่มเสาธงนานาชาติที่อยู่ด้านหน้าศูนย์ประชุมนานาชาตินงนุชพัทยาจริง แต่คลิปลดธงกัมพูชาที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ไม่ได้มาจากบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสวนนงนุช ขณะนี้ผู้บริหารกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ในคลิป การบันทึกภาพและการเผยแพร่

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกับกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าทางราชการไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธง ซึ่งการลดธงไทยและธงอาเซียนมีกฎหมายและระเบียบกำกับ เช่น การลดธงในกรณีไว้อาลัย และทางการไทยไม่เคยมีคำสั่งเกี่ยวกับการลดธงของประเทศอื่น

ภาพ 08 : ภาพจากคลิปที่อ้างว่าชาวกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียม บรรเลงเพลงชาติไทยให้กำลังใจคนไทย 

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือนเป็นคลิปจากพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กฉี่Manneken Pis ในกรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอที่มีเสียงบรรเลงเพลงชาติไทย อ้างว่าชาวชาวกรุงบรัสเซลส์บรรเลงเพลงชาติไทยเพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยในช่วงที่เผชิญความขัดแย้งกับกัมพูชา บางคลิปถูกแชร์ไปมากกว่า 3 หมื่นครั้ง ซึ่งโคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าว พบว่าเป็นภาพที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบันทึกในพิธีมอบชุด “ยิงกระต่าย เด็ดดอกไม้” แก่รูปปั้นเด็กฉี่ (Manneken Pis) ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ที่มีผู้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. 2568

เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โพสต์ภาพบรรยากาศและพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ว่า “…มีการเคลื่อนขบวนเพื่อไปมอบชุดแก่ Manneken Pis โดยได้รับเกียรติจากวงดุริยางค์แห่งกระทรวงการคลัง กรมศุลกากร ราชอาณาจักรเบลเยียม บรรเลงบทเพลงอันทรงเกียรติ ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงชาติเบลเยียม และเพลงมหาฤกษ์ บริเวณกลาง Grand Place ก่อนเคลื่อนขบวนท่ามกลางผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมขบวนแห่กันอย่างคับคั่ง” พร้อมกับเผยแพร่คลิปการบรรเลงเพลงชาติไทยของวงดุริยางค์ ซึ่งมีภาพและเสียงใกล้เคียงกับคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการบรรเลงเพลงชาติให้กำลังใจคนไทย

โคแฟค ประเทศไทย ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิต ตลอดจนกระทบความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่แนวชายแดน เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปด้วยความสงบ ปลอดภัย

-โปรดใช้วิจารณญาณในการรับและส่งต่อข้อมูล

-หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อความ รูปภาพ และคลิปที่อาจสร้างความเข้าใจผิด

-ตรวจสอบข้อมูลก่อนทุกครั้งจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

-ร่วมเป็นคนช่วยตรวจสอบข้อมูลในชุมชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ขอให้สื่อมวลชนและสื่อบุคคลรายงานภาพและข้อมูลผู้เสียชีวิตด้วยความเคารพ นำเสนอข่าวบนฐานข้อเท็จจริงควบคู่แนวจริยธรรมมากกว่าการใช้ความรู้สึก ขอให้ภาครัฐสนับสนุนและคุ้มครองการทำงานของสื่อมวลชน ด้วยการให้ข้อมูลที่เป็นจริงและเป็นประโยชน์ในการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างทันท่วงที

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045703144432871&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045732281096624&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045839897752529&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045888377747681&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045983127738206&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1046458251024027&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1046542974348888&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1046653044337881&set=a.407800974889761&locale=th_TH


“The Structure – เจ๊จุก คลองสาม” กับข้อความที่ถูกบิดเบือนของ ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์

Top Fact Checks Political

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบมีมที่อ้างว่าเป็นคำพูดของ ศ.ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรณีไทย-กัมพูชา ที่ระบุว่า “หยุดคลั่งชาติและหัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี” ที่ถูกเผยแพร่ขณะเกิดเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 พบว่าเป็นการนำข้อความจากโพสต์เฟซบุ๊กของ ศ.ดร. พวงทองมาบิดเบือนและเผยแพร่ผิดบริบทเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อผู้ที่แสดงความคิดเห็น

ช่วงบ่ายของวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันแรกของการยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ตามแนวชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่ใช้ชื่อว่า “เจ๊จุก คลองสาม” ที่มักโพสต์เนื้อหาสนับสนุนกองทัพ ได้นำภาพ ศ.ดร. พวงทอง มาเผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊ก (ผู้ติดตาม 3.4 พันบัญชี) และ X (ผู้ติดตาม 1.14 แสนบัญชี) ในภาพฝังข้อความว่า “หยุดคลั่งชาติและหัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี ศ.พวงทองชี้กัมพูชาเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะที่ชาวโลกมองไทยเป็น ‘เด็กเจ้าปัญหา’” โดย “เจ๊จุก” เขียนข้อความเชิญชวนให้ผู้ติดตาม “ช่วยแสดงความเห็นกับเรื่องนี้ที”

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบภาพและข้อความที่อ้างว่าเป็นคำพูดของ ศ.ดร.พวงทอง พบว่าเป็นพาดหัวข่าวของเพจข่าว The Structure ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2568 และมีการอัพเดทเพิ่มเติมในวันที่ 5 มิ.ย. โดยในเนื้อหาได้อ้างคำพูดของ ศ.ดร. พวงทองที่แสดงความคิดเห็นต่อการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหลังการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่ายในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนใกล้ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568

เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า รายงานข่าวของ The Structure ชิ้นนี้อ้างมาจากข้อความที่ ศ.ดร. พวงทองโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก Puangthong Pawakapan (ผู้ติดตาม 3.2 หมื่นบัญชี)เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2568 ซึ่งให้ความเห็นสนับสนุนการที่ไทยใช้เวทีคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชาหรือเจบีซีในการแก้ปัญหาข้อพพาทเขตแดนที่เกิดขึ้นล่าสุด โดยได้ยกกรณีข้อพิพาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2551-2554 ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ข้อความเต็มจากโพสต์เฟซบุ๊กของ ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ 3 มิ.ย. 2568

“ยิ่งไม่เจรจา เน้นใช้กำลังทหารเป็นหลัก จะยิ่งทำให้ประเทศไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ และสงครามไม่เคยแก้ปัญหาข้อพิพาทได้

“ฮุน เซน เติบโตมาจากทหารบ้าน (กองกำลังเขมรแดง) ไม่มีการศึกษาสูงส่งอะไร แต่เขาเก่งเรื่องการต่างประเทศมากๆ (ขึ้นเป็นรมต.ต่างประเทศตั้งแต่อายุแค่ 28 ปี) พอเกิดเรื่องไม่ทันไร ก็ใช้เวทีรัฐสภาของตน ประกาศว่าจะนำปัญหาข้อพิพาทกับไทยขึ้นสู่ศาลโลก (ICJ) ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะไทยถอนตัวออกจากการเป็นภาคีของ ICJ ตั้งแต่ปี 1962 หรือเมื่อแพ้กรณีปราสาทพระวิหาร แต่การประกาศเช่นนี้ของฮุน เซนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

“นกตัวแรก คือการประกาศให้ประชาชนกัมพูชาเห็นว่ารัฐบาลจะไม่หงอให้กับประเทศที่ใหญ่กว่า แม้เขาจะมีความสนิทสนมกับรัฐบาลไทยและครอบครัวชินวัตร แต่รัฐบาลกัมพูชามีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาวกัมพูชา … ได้ใจคนเขมรท่วมท้น

“นกตัวสอง คือการประกาศให้นานาชาติเห็นว่ากัมพูชาแก้ปัญหาโดยใช้กฏกติการะหว่างประเทศเป็นที่พึ่ง — กฏหมายระหว่างประเทศมีไว้แก้ปัญหาเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงของโลก — กัมพูชาประพฤติตนเป็นสมาชิกที่ดีของโลก … ฮุน เซนกำลังท้าทายประเทศไทยว่ากล้าหรือไม่ ที่จะให้คนกลางตัดสินปัญหา กลัวอะไร?

“ฉะนั้น สำหรับดิฉัน ในเมื่อไทยไม่ต้องการใช้ ICJ อีกต่อไป ก็ต้องอาศัยการเจรจาเป็นแนวทางหลักในการแก้ปัญหา การที่รัฐบาลประกาศใช้เวที JBC คือจุดเริ่มต้นที่ดี (แม้ว่าจะใช้เวลาหายงงอยู่นานก็ตาม บอกตรงๆ ว่างงกับรัฐบาลเพื่อไทยชุดนี้มาก ทำงานแบบคนเมายาได้เกือบทุกเรื่อง)

“สำหรับคนที่โตไม่ทันเหตุการณ์ข้อพิพาทเหนือปราสาทพระวิหารที่ปะทุขึ้นโดยขบวนการที่มุ่งทำลายรัฐบาลพลังประชาชน/เพื่อไทยด้วยการปลุกกระแสคลั่งชาติระหว่างปี 2551-2554 ดิฉันขอย้อนเหตุการณ์ให้อ่านสั้นๆ ว่ากรณีนี้ทำให้สถานะของไทยเหมือนเด็กเกเรระหว่างประเทศอย่างไร

“เมื่อเกิดการปะทะทางทหารขึ้น รัฐบาลฮุน เซน ประกาศขอให้อาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจา อินโดนีเซียซึ่งเป็นประธานอาเซียนในขณะนั้น รมต.ต่างประเทศ นาย Marty Natalegawa ตอบรับแสดงความยินดีอย่างรวดเร็ว เพราะสอดคล้องกับสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ของอาเซียน ที่ระบุว่าประเทศสมาชิกพึงแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

“แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปฏิเสธในทันที บอกว่านี่เป็นเรื่องทวิภาคี ไม่ต้องการให้บุคคลหรือองค์กรที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่ไทยเป็นสมาชิกอาเซียน …. อินโดนีเซียเซ็งไปเลย

“เมื่อความขัดแย้งลุกลามบานปลายมากขึ้น เกิดการปะทะทั้งบริเวณใกล้ปราสาทพระวิหารและกลุ่มปราสาทตาเมือน ในเดือน ก.พ. 2554 ฮุน เซนประกาศว่าจะไม่มีการเจรจาระดับทวิภาคีอีกแล้ว และยื่นร้องขอให้คณะมนตรีแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC จัดประชุมด่วนเพื่อหาทางยุติความก้าวร้าวของไทย (คำของ กพช.) รวมทั้งให้ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพมาประจำในพื้นที่พิพาทอีกด้วย

“รัฐบาลอภิสิทธิ์คัดค้านข้อเรียกร้องนี้ แต่ UNSC กลับตกลงที่จะรับพิจารณาประเด็นที่กัมพูชาร้องขอ

“UNSC ออกมติเตือนให้สองประเทศใช้ความรอบคอบระมัดระวังให้มากที่สุด, ให้มีการตกลงหยุดยิงอย่างถาวร และให้อินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นตัวกลางจัดการประชุมพบปะระหว่างสองฝ่าย

“ฮุน เซน รีบตอบสนองข้อเสนอของ UNSC ทันที ด้วยการเสนอให้มีการหยุดยิงอย่างถาวร แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อเสนอนี้ในทันทีเช่นกัน

“ในที่สุด สิงหาคม 2554 กัมพูชาตัดสินใจยื่นคำร้องต่อศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาปี 2505 ว่า “บริเวณใกล้เคียง” (vicinity) ปราสาทพระวิหารที่ฝ่ายไทยต้องถอนทหารออกไปนั้น มีขอบเขตแค่ไหน นอกจากนี้ กัมพูชายังขอให้ศาลโลกออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ประเทศไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาท และยุติการกระทำที่เป็นการแทรกแซงสิทธิของกัมพูชาที่จะพัฒนาปราสาทพระวิหาร หรือทำให้ความขัดแย้งเลวร้ายลง

“เรื่องนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของไทยอีกวาระหนึ่ง เมื่อศาลโลกตัดสินว่าภูเขาพระวิหารทั้งลูกคือบริเวณใกล้เคียงของปราสาท ที่ไทยต้องถอนทหารออกไป (ก่อนหน้านี้ ไทยถือว่าพื้นที่ฝั่งตะวันตกของหน้าผาหรือตัวปราสาท เป็นของไทย)

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าคุณไม่ใช่มหาอำนาจที่สามารถทำตามอำเภอใจได้แล้วล่ะก็ ต่อให้อยากแก้ปัญหาด้วยสงคราม ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะโลกมีกฏหมายระหว่างประเทศให้คู่กรณีของไทยได้ใช้ แน่นอนว่าในขณะนี้ กัมพูชาไม่สามารถลากไทยกลับไปขึ้น ICJ ได้อีก แต่ไทยต้องคำนึงถึงสถานะของตนในเวทีระหว่างประเทศให้มาก … หลายปีมานี้ วิกฤติการเมืองในไทยทำให้เรากลายเป็นเด็กเจ้าปัญหาในสายตาของโลก รวมทั้งกรณีผู้อพยพอุยกูร์ และการคุกคามดร.พอล แชมเบอร์ด้วย — ซึ่งกระทบถึงผลประโยชน์ของประชาชนอย่างประเมินค่าไม่ได้

“ต่อให้อยากแก้ปัญหาด้วยสงคราม ไทยก็ไม่ควรย่ามใจว่าจะเอาชนะกัมพูชาได้ง่ายๆ เพราะนับตั้งแต่เกิดกรณีปราสาทพระวิหาร กัมพูชาเห็นไทยเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง เขากระชับความร่วมมือด้านการทหารกับจีนมากขึ้น เพื่อเร่งสร้างสมพละกำลังทางทหารมากขึ้น … ปัญหาคือฝ่ายทหารและความมั่นคงของไทยตามการเปลี่ยนแปลงด้านการทหารของกัมพูชาหรือไม่?

“สูญเสียกันไปเท่าไรกับกรณีปราสาทพระวิหาร ทั้งชีวิตชาวบ้าน-ทหาร, เศรษฐกิจการท่องเที่ยวของคนศรีษะเกษตายสนิทจนถึงปัจจุบัน, ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี-ค่าจ้างทนายต่างชาติ (เชื่อว่าไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท) ฯลฯ

“ยังไม่นับว่าวิกฤติการณ์นี้ที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถโฟกัสกับการแก้ปัญหาภายในได้อย่างเต็มที่

“ความขัดแย้งกับกัมพูชาในขณะนี้จึงชี้ว่า คนจำนวนมาก รวมทั้งปัญญาชน ไม่สามารถเรียนรู้อดีตได้เลย เล่นกับไฟชาตินิยมง่ายกว่า เพราะเวลาไฟลามมือ ก็มือของคนอื่น ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น แบบเดียวกับพวกคลั่งชาติในปี 2551-2554”

ในตอนหนึ่งของโพสต์ ศ.ดร.พวงทองได้เตือนว่าการปลุกกระแสรักชาติจนเกินขอบเขต และการเลือกใช้กำลัง โดยละเลยกลไกการแก้ปัญหาระหว่างประเทศ ทำให้ไทยเพลี่ยงพล้ำต่อกัมพูชา สูญเสียทั้งชีวิตชาวบ้าน ทหาร และเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของศรีสะเกษ และสูญเสียเขาพระวิหารในที่สุด

ทั้งนี้ข้อความที่ ศ.ดร.พวงทองโพสต์ไม่มีคำว่า “หยุดกระแสคลั่งชาติ” และ “หัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี” แต่อย่างใด

เมื่อเดือน เม.ย. 2568 เว็บไซต์ประชาไทได้เผยแพร่รายงานเรื่อง งานวิจัยแคนาดาเผย โพสต์ ‘เจ๊จุกคลองสาม’ ปรากฎอยู่ในเอกสาร ‘ยุทธศาสตร์ฝ่ายเรา’ ของไอโอ อ้างถึงงานวิจัยเรื่อง “วิธีการที่เจ้าหน้าที่รัฐเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเพื่อปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยในไทย” จัดทำโดย อัลแบร์โต ฟิตตาเรลลี เอ็ม สก๊อต และเกศกนก วงษาภักดี ในนามของ The Citizen Lab ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยของ Munk School of Global Affairs and Public Policy มหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา งานวิจัยนี้วิเคราะห์ว่า เพจ “เจ๊จุก คลองสาม” ซึ่งมีการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยโดยมีเจตนาซ่อนเร้น เป็นตัวอย่างไอโอหรือปฏิบัติการชักจูงซึ่งมีผู้ติดตามจริงบน X และ Facebook

ข้อสรุปของโคแฟค

จากการตรวจสอบข้อความที่ ศ.ดร.พวงทองโพสต์อย่างละเอียด ไม่มีข้อความว่า “หยุดกระแสคลั่งชาติ” และ “หัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี” แสดงว่าข้อความที่ The Structure นำมาใส่ประกอบภาพ ศ.ดร.พวงทองและพาดหัวข่าวนั้นเป็นข้อความที่บิดเบือน ทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นคำพูดของ รศ.ดร.พวงทอง

การที่ “เจ๊จุก คลองสาม” นำข้อความนี้มาเผยแพร่ในขณะที่เกิดเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และมีทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก เป็นการจงใจเผยแพร่ผิดบริบท ทำให้คนเข้าใจผิดว่า ศ.ดร.พวงทอง แสดงความเห็นปกป้องกัมพูชาในช่วงที่สองฝ่ายกำลังปะทะกัน นอกจากนี้การเขียนข้อความเชิญชวนให้แฟนคลับแสดงความคิดเห็น ยังแสดงถึงเจตนาสร้างกระแสอย่างใดอย่างหนึ่งที่อาจทำให้ปัญหาการสู้รบบานปลายมากกว่าการยุติปัญหา

โคแฟคขอให้ประชาชนงดแชร์โพสต์ดังกล่าวและใช้วิจารณญาณการเสพข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ความมั่นคงชายแดนมีความสับสนและความอ่อนไหวต่อความรู้สึกของคนในชาติ  และให้ตรวจสอบข่าวและข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจากแหล่งข่าวที่เป็นทางการและสื่อมวลชนอย่างรอบด้าน

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

ระวังสงครามข้อมูล! ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ท่ามกลางข่าวจริง-ข่าวปลอม

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว เฉพาะกิจ” ได้ออกอากาศในช่วงเวลา 20.00 น. เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเกิดเหตุรุนแรงตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม โดยมีทหารไทยบาดเจ็บ 5 นายจากเหตุเหยียบกับระเบิด รวมถึง 1 นายที่ต้องสูญเสียขา และมีการปิด 4 ด่านชายแดน ได้แก่ ช่องอานม้า ช่องสะงำ ช่องจอม ช่องสายตะกู รวมถึงปราสาทตามเมืองทองและตาควาย หลังกัมพูชาเริ่มยิงโจมตีก่อน ส่งผลให้เกิดการปะทะตลอดทั้งวัน รายการนี้มี**นายสุชัย เจริญมุขยนันท** เป็นผู้ดำเนินรายการพร้อมด้วยวิทยากร **นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์** ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และ **นางสาวกุลธิดา สามะพุทธิ** Fact-checker จาก COFACT ร่วมวิเคราะห์ถึงสถานการณ์และปัญหาการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสารที่อาจสร้างความสับสนในช่วงวิกฤต

เรียกร้องยุติความรุนแรง ระวังสงครามข้อมูล

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ เริ่มต้นด้วยการแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการบาดเจ็บของทหารไทยและผลกระทบต่อประชาชนทั้งชาวไทยและกัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะฝั่งเพื่อนบ้านที่เริ่มปฏิบัติการก่อน เธอกล่าวว่า “เรารู้สึกเห็นใจพี่น้องทั้งชาวไทยและกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นนี้” และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการข้อมูลในยุคที่ “สงครามข้อมูลข่าวสาร” กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง โดยระบุว่า “สิ่งแรกที่บาดเจ็บล้มตายในภาวะสงครามคือความจริง” 

สุภิญญาเตือนว่า การแพร่กระจายของข่าวลือและข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอาจสร้างความสับสนและความเกลียดชัง เธอแนะนำให้ประชาชนตั้งสติก่อนแชร์ข้อมูล โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย และเลือกเชื่อเฉพาะแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น เพจทางการของหน่วยงานรัฐ หรือสื่อมวลชนที่มีจริยธรรม เธอยังชี้ว่าภาครัฐควรจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อให้ข้อมูลที่เป็น “Fact-based” และทันท่วงที เพื่อลดความสับสนในหมู่ประชาชนและสื่อมวลชน

นอกจากนี้ สุภิญญายังแสดงความกังวลต่อความปลอดภัยของสื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงโดยอ้างถึงแถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยที่เรียกร้องให้สื่อทำงานอย่างมืออาชีพและภาครัฐควรมีมาตรการปกป้องนักข่าว เธอยังขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่อาจยั่วยุความเกลียดชังต่อชาวกัมพูชา โดยเฉพาะแรงงานในประเทศไทย พร้อมยกตัวอย่างโพสต์ของ**นายสมบัติ บุญงามอนงค์ (หนูหริ่ง)** ที่เตือนว่า การคุกคามชาวกัมพูชาในไทยอาจส่งผลกระทบต่อคนไทยในกัมพูชา สร้างวงจรความเกลียดชังที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

สุภิญญากล่าวทิ้งท้ายว่า การรักชาติในยามวิกฤตสามารถแสดงออกได้ด้วยการตั้งสติ ไม่แชร์ข่าวลือและมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ รวมถึงการช่วยกันตรวจสอบข้อมูลเพื่อลดความสับสนในสังคม

เปิดกลยุทธ์ตรวจสอบข่าวลวงในภาวะวิกฤติ

นางสาวกุลธิดา สามะพุทธิ Fact-checker จากCOFACT เล่าถึงความท้าทายในการตรวจสอบข้อมูลท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด โดยทีม COFACT ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแยกแยะระหว่างข่าวจริงและข่าวปลอมที่แพร่กระจายในโซเชียลมีเดีย เธอยกตัวอย่างกรณีที่ตรวจสอบ 3 คลิปไวรัลในวันเกิดเหตุ:

1. คลิปปั๊มน้ำมันปตท. อำเภอกันทรลักษ์ : คลิปนี้แสดงภาพกลุ่มควันจากการโจมตี ซึ่งถูกแชร์อย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย ทีม COFACT พยายามติดต่อเจ้าของคลิปแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ อย่างไรก็ตาม 30 นาทีต่อมา กองทัพภาคที่ 2 โพสต์ยืนยันว่ามีกระสุนตกลงที่ปั๊มน้ำมันจริง ทำให้ยืนยันได้ว่าเป็นคลิปจากเหตุการณ์จริง

2.คลิปโรงพยาบาลพนมดงรัก : มีการแชร์คลิปที่อ้างว่าเกิดเหตุรุนแรงที่โรงพยาบาลพนมดงรัก ทีมCOFACT เริ่มต้นด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่อาจทำให้การติดต่อโรงพยาบาลโดยตรงไม่เหมาะสม จึงติดต่อผู้นำชุมชนในอำเภอพนมดงรัก ซึ่งยืนยันว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง และต่อมาได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดว่ามีเหตุการณ์จริงแต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้

3.คลิปเครื่องบิน F-16 : คลิปที่อ้างว่าเป็นเครื่องบิน F-16 ของไทยถล่มฐานทัพกัมพูชา ทีม COFACT ใช้เทคนิค Reverse Image Search ผ่าน Google พบว่าคลิปนี้เป็นภาพเก่าตั้งแต่ปี 2023 และเคยถูกแชร์ในบริบทความขัดแย้งอื่น เช่น อินเดีย-ปากีสถาน หรือเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง จึงยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

กุลธิดายังยกตัวอย่างคลิปไวรัลใน TikTok ที่อ้างว่านักเรียนในวิทยาลัยการอาชีพสังขะ จ.สุรินทร์ วิ่งหนีทหารกัมพูชาที่ไล่ยิง ทีมงานติดต่อเพจ Facebook ของวิทยาลัย ซึ่งแอดมินยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์จริงแต่เกิดจากนักเรียนตื่นตระหนกจากเสียงระเบิดและวิ่งหาที่หลบภัย ไม่ใช่ถูกทหารกัมพูชาไล่ยิงตามที่แคปชั่นระบุ เธอชี้ว่า การบิดเบือนบริบท (context) เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด

กุลธิดาแนะนำให้ประชาชนฝึกทักษะการตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเอง เช่น การใช้ Google Reverse Image Search และเรียกร้องให้ผู้ที่พบข้อมูลน่าสงสัยส่งมาให้ COFACT ตรวจสอบ เพื่อเป็น “การบริจาคข้อมูล” ที่ช่วยลดการแพร่กระจายของข่าวลวง เธอยังฝากถึงหน่วยงานที่ได้รับการติดต่อจาก COFACT ให้ช่วยยืนยันข้อมูลเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ

รายการนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการจัดการข้อมูลท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา โดยวิทยากรทั้งสามท่านเน้นย้ำให้ประชาชนตั้งสติ ไม่แชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน และสนับสนุนให้ภาครัฐจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อให้ข้อมูลที่รวดเร็วและน่าเชื่อถือ COFACT ยังเรียกร้องให้ประชาชนร่วมเป็น“อาสาสมัคร fact-checkers” โดยส่งข้อมูลน่าสงสัยมาให้ตรวจสอบ เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของข่าวลวงและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคม

สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แนะนำให้ติดตามเพจทางการของหน่วยงาน เช่น สำนักงานจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด หรือสื่อหลักอย่าง Thai PBS, AFP ประเทศไทย และ COFACT รวมถึงฝึกทักษะการตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเองเพื่อeรับมือกับวิกฤตข้อมูลข่าวสารในอนาคต

รายการนี้ยังส่งกำลังใจถึงทหาร สื่อมวลชน และประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ โดยหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็ว และขอให้ทุกฝ่ายปลอดภัยท่ามกลางความขัดแย้งนี้


ขอบคุณที่มา ubon connect

‘แถลงการณ์ขอโทษ (ปลอม)’ ข้อมูลลวงกลางดรามาซีอีโอหนุ่มควงสาวที่ไม่ใช่ภริยาชมคอนเสิร์ตColdplay

By : Zhang Taehun

โดยทั่วไปแล้ว การไปชมมหรสพอย่าง คอนเสิร์ต หรือการแสดงดนตรีของศิลปินดัง ได้ฟังบทเพลงที่ชื่นชอบ ควรจะเป็นช่วงเวลาของ ความสุข แต่คงไม่ใช่กับกรณีล่าสุด ในคอนเสิร์ตของวงร็อคสัญชาติอังกฤษอย่าง Coldplay ที่สนามกีฬา ยิลเลตต์ สเตเดียม (Gillette Stadium)ในเมืองฟ็อกซ์โบโร (Foxborough) รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ค่ำวันที่ 16 ก.ค. 2568 เมื่อกล้องของฝ่ายจัดคอนเสิร์ตฉายภาพบรรยากาศของผู้ชมไปเรื่อยๆ อย่างที่คุ้นเคยกันไปสะดุดที่ชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังชมการแสดงดนตรีอย่างสนุกสนานและแสดงอากับกิริยาที่สนิทสนมกันเหมือนคู่รัก เมื่อเห็นภาพจากจอ พวกเขาก็แสดงอาการอับอายและพยายามหลบกล้อง จนเป็นที่สังเกตของคนที่มาชมคอนเสิร์ตและยังถูกคริส มาร์ติน นักร้องนำของวงฯแซวในเชิงที่ตอกย้ำความมีพิรุธ ยิ่งกระตุ้นให้คนสนใจเพิ่มขึ้นอีก

เหตุการณ์ดังกล่าวจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกโซเชียลมีเดียแทบจะทันที  มีการไปขุดคุ้ยประวัติคนทั้งสองจนพบว่าเป็น แอนดี้ ไบรอน (Andy Byron) ซีอีโอของ Astronomer บริษัทสตาร์ทอัพในนิวยอร์ก สหรัฐฯ กับ คริสติน คาบ็อท (Kristin Cabot) ผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัทดังกล่าว โดยต่างคนต่างมีครอบครัวอยู่แล้ว (หรือบางกระแสก็ว่าฝ่ายชายมีครอบครัว ส่วนฝ่ายหญิงเพิ่งหย่าร้าง) ทำให้ถูกสังคมโจมตีอย่างหนักยิ่งขึ้นและมีมีมล้อเลียนทั้งสองออกมามากมาย ต่อมาในวันที่ 19 ก.ค. 2568 มีรายงานว่า Astronomer ออกแถลงการณ์เมื่อค่ำวันที่ 18 ก.ค. 2568 สั่งพักงาน แอนดี้ ไบรอน โดยมอบหมายให้ พีท เดอจอย (Pete DeJoy) ผู้ร่วมก่อตั้ง Astronomer รักษาการในตำแหน่งซีอีโอแทน 

ภาพที่ 1 จดหมายขอโทษสังคมจาก แอนดี ไบรอน ซีอีโอของ Astronomer ซึ่งต่อมาถูกระบุว่าเป็นของปลอม   

แต่ประเด็นของข่าวนี้ที่มาเกี่ยวข้องกับงานของ Cofact เนื่องจากในช่วงที่สถานการณ์กำลังชุลมุน มีการเผยแพร่เนื้อหาที่อ้างว่าเป็นแถลงการณ์ของ แอนดี้ ไบรอน เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2568 ระบุว่า ผมขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ และความผิดหวังที่เกิดขึ้น , สิ่งที่ควรจะเป็นค่ำคืนแห่งเสียงเพลงและความสุข กลับกลายเป็นความผิดพลาดส่วนตัวอย่างร้ายแรงที่เกิดขึ้นบนเวทีสาธารณะ ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อภรรยา ครอบครัว และทีมงาน Astronomer ทุกท่านสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้จากผมในฐานะหุ้นส่วน ในฐานะพ่อ และในฐานะผู้นำ , 

แถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุอีกว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเป็น หรือวิธีที่ผมอยากเป็นตัวแทนบริษัทที่ผมร่วมสร้าง ผมขอใช้เวลาไตร่ตรอง รับผิดชอบ และหาแนวทางต่อไป ทั้งในเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน ผมขอความเป็นส่วนตัวในขณะที่ผมกำลังดำเนินการอยู่ , ผมยังอยากจะแสดงความเสียใจด้วยที่สิ่งที่ควรจะเป็นช่วงเวลาส่วนตัว กลับกลายเป็นเรื่องสาธารณะโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผม ผมเคารพศิลปินและนักแสดง แต่ผมหวังว่าเราทุกคนจะคิดอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนชีวิตของคนอื่นให้กลายเป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ , ดังที่เพื่อนคนหนึ่งเคยร้องไว้ว่า : แสงสว่างจะนำทางคุณกลับบ้าน และจุดประกายกระดูกของคุณ และผมจะพยายามซ่อมแซมคุณ

รายงานข่าว ‘Fake’ Astronomer CEO statement circulates after viral Coldplay concert video โดยสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส วันที่ 19 ก.ค. 2568 อ้างคำยืนยันของ มาร์ค วีลเลอร์ (Mark Wheeler) รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของ Astronomer ที่ให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2568 ว่าแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นของปลอม เช่นเดียวกับ ไร วอล์คเกอร์ (Ry Walker) อดีตซีอีโอของ Astronomer ที่โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ในวันเดียวกันว่า ปลอมสุดๆ (Super Fake)” นอกจากนั้น AFP ไม่พบหลักฐานว่าไบรอนเผยแพร่คำแถลงดังกล่าว บัญชี LinkedIn ของเขาก็หายไปแล้ว (no longer exists)

ภาพที่ 2 : ไร วอล์คเกอร์ อดีตซีอีโอของ Astronomer แชร์โพสต์แถลงการณ์ขอโทษของ แอนดี ไบรอน โดยบอกว่าเป็นของปลอมแบบสุดๆ 

วีลเลอร์ ยังอ้างถึงบัญชีแพลตฟอร์ม X ชื่อ “@PeterEnisCBS” ซึ่งโพสต์ภาพดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2568 และถูกระงับการใช้งานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเนื่องจากละเมิดนโยบายของแพลตฟอร์มบัญชีดังกล่าวอ้างว่าเป็นผู้สื่อข่าวสังกัด CBS News ชื่อ ปีเตอร์ เอนิส (Peter Enis) แต่เมื่อค้นหาในเว็บไซต์ของสำนักข่าวกลับไม่พบบทความใดๆ ที่มีชื่อเดียวกับบัญชีดังกล่าว อีกทั้งภาพหน้าจอของประวัติของบัญชีแสดงให้เห็นว่าบัญชีดังกล่าวเคยถูกระบุว่าเป็นบัญชีล้อเลียน

นอกจากนั้น ประวัติของ @PeterEnisCBS ยังอ้างว่าเคยเกี่ยวข้องกับสื่อเจ้าดังในสหรัฐฯ อย่าง นสพ.New York Times และสถานีวิทยุ NPR มาก่อน และรูปโปรไฟล์ของบัญชียังแสดงให้เห็นชายคนหนึ่งสวมเข็มกลัดคล้ายกับโลโก้ NBC News อีกด้วย ชื่อดังกล่าวไม่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของทั้งสามองค์กรนี้เช่นกัน อนึ่ง เครื่องมือตรวจจับที่รู้จักกันในชื่อ InVID-WeVerify พบ “หลักฐานปานกลาง” ที่บ่งชี้ว่า “รูปโปรไฟล์ดังกล่าวอาจเป็นรูปที่ประดิษฐ์ขึ้นมา” ขณะที่ Hive Moderation เครื่องมือตรวจจับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประเมินว่า “มีแนวโน้มที่จะมีเนื้อหาที่สร้างโดย AI หรือเนื้อหาที่ปลอมแปลงอย่าง Deepfake”

ภาพที่ 3 บัญชีแพลตฟอร์ม ที่ใช้ชื่อว่า ปีเตอร์ เอนิส ซึ่งโพสต์แถลงการณ์ขอโทษของ แอนดี ไบรอนที่ต่อมาถูกระบุว่าเป็นแถลงการณ์ปลอม 

ในวันที่ 19 ก.ค. 2568 สำนักข่าว CNN สหรัฐฯ รายงานข่าว Astronomer CEO resigns after viral Coldplay concert incident อ้างการเปิดเผยจากทาง Astronomy ว่า แอนดี้ ไบรอน ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งซีอีโอ และบอร์ดบริหารของ Astronomer ได้รับหนังสือลาออกดังกล่าวแล้ว นอกจากนั้น บัญชีแพลตฟอร์ม LinkedIn ของ Astronomer ได้โพสต์ข้อความชี้แจง ระบุในตอนหนึ่งว่า แอนดี ไบรอน ไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆ โดยรายงานที่ระบุเป็นอย่างอื่นนั้นล้วนเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง    

ในโพสต์ต่อมาของบัญชีแพลตฟอร์ม LinkedInของ  Astronomer ซึ่งเป็นโพสต์ยืนยันการลาออกของ แอนดี้ ไบรอน ได้กล่าวว่า แอนดี้ ไบรอน ได้ยื่นหนังสือลาออก และคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติแล้ว คณะกรรมการจะเริ่มสรรหาซีอีโอคนต่อไป โดยพีท เดอจอย ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ จะยังคงดำรงตำแหน่งรักษาการซีอีโอต่อไป” 

ภาพที่ 4 2 โพสต์จากบัญชีแพลตฟอร์ม LinkedInของ  Astronomer (ซ้าย  โพสต์ก่อน) ยืนยันว่า แอนดี้ ไบรอน ไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆ โดยรายงานที่ระบุเป็นอย่างอื่นนั้นล้วนเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (ขวา  โพสต์หลัง) ยืนยันว่า แอนดี้ ไบรอน ยื่นหนังสือลาออก และบอร์ดบริหารได้รับทราบแล้ว 

แม้เรื่องนี้จะยังไม่ถึงขั้นข้อมูลลวงที่เป็นอันตรายรุนแรง (เช่น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ถูกหลอกสูญเสียทรัพย์สิน หรือสร้างความเกลียดชังจนนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย) แต่ที่หยิบยกขึ้นมาบอกเล่าก็เพราะน่าจะเป็นอุทาหรณ์ได้อีกครั้งว่าบนโลกออนไลน์ที่ข้อมูลไหลเวียนอย่างรวดเร็วและแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง ผู้รับสารยังคงต้องพึงระลึกว่ามีความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง และอย่าคล้อยตามการกล่าวอ้างที่ดูสอดคล้องกับสถานการณ์และแชร์ไปทันโดยไม่กลั่นกรอง

ขณะเดียวกันก็ถือเป็นความท้าทายของผู้เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ถูกพาดพิง (บุคคลหรือองค์กร) ตลอดจนสำนักข่าวต่างๆ  ในการทำงานแข่งกับเวลาเพื่อตรวจสอบและเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อหักล้างข้อมูลลวงเหล่านั้นโดยเร็ว!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.livenowfox.com/news/ceo-hr-kiss-cam-coldplay (Coldplay kiss cam catches alleged affair between AI CEO and HR chief : Live Now Fox 17 ก.ค. 2568)

https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_9855326 (พักงาน “ซีอีโอคบชู้” หลังคลิปคอนเสิร์ต Coldplay กลายเป็นไวรัลฉาวกระฉ่อนโลก (คลิป) : ข่าวสด 19 ก.ค. 2568)

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.677Y7T3 (‘Fake’ Astronomer CEO statement circulates after viral Coldplay concert video : AFP 19 ก.ค. 2568)

https://edition.cnn.com/2025/07/19/business/andy-byron-astronomer-ceo-resigns (Astronomer CEO resigns after viral Coldplay concert incident : CNN 19 ก.ค. 2568)

https://www.linkedin.com/posts/astronomer_astronomer-is-committed-to-the-values-and-activity-7352044359338373121-Fwe5

https://www.linkedin.com/posts/astronomer_activity-7352912623987777536-4Xqr


หมอหัวใจเตือนอินฟลูฯอย่าทำให้คนไข้เสี่ยงด้วยข้อมูลผิด ๆ

ประเด็นสุขภาพ

ในช่วงที่ผ่านมา กระแสต่อต้านยาลดไขมันในกลุ่มสแตติน (Statin) ได้สร้างความสับสนในสังคม ด้วยข้อมูลที่ระบุว่ายานี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่ออวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ไต และกล้ามเนื้อ ทำให้หลายคนสงสัยว่า ยาลดไขมันสแตตินเป็น “พระเอก” ที่ช่วยปกป้องหัวใจ หรือเป็น “ผู้ร้าย” ที่ก่อโทษต่อร่างกายกันแน่รายการโคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว เมื่อวันที่22 กรกฎาคม 2568 ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือดมาร่วมไขข้อข้องใจในประเด็นนี้ พร้อมเตือนอินฟลูเอนเซอร์ให้ระวังการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่ออันตรายจากการหยุดยาโดยไม่จำเป็น

รายการร่วมพูดคุยโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT , นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ (หมอหม่อง) หน่วยวิชาโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ คุณเมย์ คนเช็กข่าว โดยมี สุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ

Statin : พระเอกที่ช่วยชีวิตหรือผู้ร้ายที่ต้องระวัง?

นพ.รังสฤษฎ์ หรือ “หมอหม่อง” อธิบายว่า Statin เป็นยาที่มีประโยชน์อย่างมากในการป้องกันและรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่เคยมีประวัติโรคหัวใจ เช่น ผู้ที่เคยเจ็บหน้าอก ผ่าตัดบายพาส หรือใส่สเตนต์ ซึ่งยานี้ช่วยลดโอกาสการเกิดซ้ำได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ Statin ยังมีบทบาทในการลดการอักเสบของหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการอุดตันและอาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลัน

แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคหัวใจ การใช้ Statin จะพิจารณาจากระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล โดยประเมินจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระดับคอเลสเตอรอลชนิด LDL (ไขมันเลว), อายุ, เพศ, การสูบบุหรี่, ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, และน้ำหนักตัว ซึ่งสามารถคำนวณได้ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า Thai Cardiovascular Risk Score (Thai CV Risk Score) หากความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลางถึงสูงการใช้ Statin จะถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

Statin ไม่ใช่ยาที่ใช้พร่ำเพรื่อ ทุกอย่างในวงการแพทย์ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และโทษ โดยอิงจากงานวิจัยที่ปราศจากอคติและหลักฐานเชิงประจักษ์” หมอหม่องย้ำ

โทษของ Statin : มีจริงแค่ไหน?

กระแสต่อต้านยา Statin มักอ้างถึงผลข้างเคียง เช่นอาการปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อสลาย หรือผลกระทบต่อตับและไต หมอหม่องชี้แจงว่า ผลข้างเคียงเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นจริง แต่พบได้น้อยมาก:

– อาการปวดกล้ามเนื้อ : พบในผู้ป่วยประมาณ 10% ซึ่งสามารถจัดการได้โดยการปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนตัวยา

– กล้ามเนื้อสลาย : เป็นภาวะรุนแรง แต่พบเพียง 1-3 รายต่อแสนคน และแพทย์จะเฝ้าระวังด้วยการตรวจค่าเอนไซม์กล้ามเนื้อ (CPK)

– ผลต่อตับ: อาจพบเอนไซม์ตับสูงขึ้นเล็กน้อยในผู้ป่วยราว 1% แต่ไม่รุนแรง และไม่มีผลกระทบต่อไตแต่อย่างใด

ถ้าความเสี่ยงของผู้ป่วยสูง เช่น มี LDL สูงมาก หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุน้อย การใช้Statin เป็นสิ่งจำเป็น เพราะโอกาสเกิดโรคหัวใจหรือหลอดเลือดสมองตีบรุนแรงกว่าผลข้างเคียงมาก หมอหม่องกล่าว

หมอหัวใจติงอินฟลู: อย่าทำให้คนไข้เสี่ยงด้วยข้อมูลคลาดเคลื่อน

หมอหม่องแสดงความเห็นต่อกระแสต่อต้าน Statin ในโซเชียลมีเดียว่า การตั้งคำถามต่อยาเป็นเรื่องดีเพราะช่วยให้ผู้ป่วยมีความรู้และตระหนักถึงการรักษาแต่การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือบิดเบือน อาจทำให้ผู้ป่วยตัดสินใจหยุดยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงร้ายแรง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติโรคหัวใจ

“ผมอยากให้อินฟลูเอนเซอร์ที่พูดถึง Statin คุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง อย่าปล่อยให้ความเคลือบแคลงใจหรือข้อมูลที่ผิดพลาดทำให้คนไข้หวาดกลัวจนหยุดยา เพราะนั่นอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรง” หมอหม่องเตือน พร้อมแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่นเว็บไซต์ของสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยหรือโรงพยาบาลของรัฐ

ทางเลือกอื่น: ควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพียงพอหรือไม่?

คุณเมย์ คนเช็กข่าว ถามถึงความเป็นไปได้ในการลดไขมันเลว (LDL) โดยไม่ต้องพึ่งยา หมอหม่องยืนยันว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหาร ลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ รวมถึงออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่แนะนำอย่างยิ่ง แต่ในบางคนที่ร่างกายสร้างคอเลสเตอรอลมากเกินไปหรือกำจัดได้ไม่ดี (เช่น ผู้ที่มีภาวะ Familial Hypercholesterolemia) การควบคุมอาหารและออกกำลังกายอาจลด LDL ได้เพียง 10-20% ซึ่งไม่เพียงพอในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง

“ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนคุมอาหารดีแค่ไหน LDL ก็ยังสูง เพราะตับสร้างคอเลสเตอรอลมากเกินไป ในกรณีนี้ยาสแตตินจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยง” หมอหม่องอธิบาย

หยุดยา Statin ได้หรือไม่?

สำหรับคำถามที่ว่าสามารถหยุดยาสแตตินได้หรือไม่หมอหม่องระบุว่า ในกลุ่มป้องกันแบบปฐมภูมิ (คือไม่เคยเป้นโรคมาก่อน) หากผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจนระดับ LDL ลดลงและความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำแพทย์อาจพิจารณาลดขนาดยาหรือหยุดยาได้ โดยต้องติดตามผลเลือดอย่างสม่ำเสมอ แต่ในกลุ่มที่เคยเป็นโรคหัวใจ (ป้องกันแบบทุติยภูมิ) การหยุดยาจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการกำเริบของโรคอย่างมาก จึงไม่แนะนำให้หยุด

ข้อแนะนำสำหรับประชาชน

– ตรวจสุขภาพเป็นประจำ : ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรตรวจวัดความดัน ระดับน้ำตาล และไขมันในเลือดอย่างน้อยปีละครั้ง

– ปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยา : อย่าหยุดยาด้วยตนเองโดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจ

– เลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ: ข้อมูลจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลของรัฐ หรือคณะแพทยศาสตร์ต่าง ๆ เป็นแหล่งที่เชื่อถือได้

– ระวังข้อมูลในโซเชียลมีเดีย: ข้อมูลที่แชร์ใน LINE หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ มักมีโอกาสผิดพลาดสูงถึง99% ควรตรวจสอบกับแพทย์หรือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

สรุป: Statin คือพระเอกเมื่อใช้อย่างถูกต้อง

นพ.รังสฤษฎ์ สรุปว่า สแตตินเป็น “พระเอก” ที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหัวใจนับล้านคนทั่วโลก แต่การใช้ยาต้องเหมาะสมกับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล หากใช้ในกลุ่มที่ไม่จำเป็น ผลข้างเคียงอาจมากกว่าประโยชน์การตัดสินใจใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์โดยพิจารณาจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และความเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละราย

“Statin ไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดเมื่อใช้อย่างถูกต้องอย่าปล่อยให้ความกลัวจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนมาทำให้เราตัดสินใจผิดพลาด” หมอหม่องทิ้งท้าย