เด็กกัมพูชาในสุรินทร์ถูกจับส่งกลับ? นักกฎหมาย-สิทธิมนุษยชนร่วมคลี่ปมกฎหมาย

กิจกรรม

ขอบคุณที่มา อุบลคอนเนค

เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 รายการ โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าวEP.15” เปิดวงสนทนาถกเถียงกรณีร้อนที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก หลังครูในจังหวัดสุรินทร์เผยแพร่คลิปผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เป็นภาพเด็กชายอายุ 13 ปี สวมชุดลูกเสือถูกตำรวจนำตัวไปสถานีตำรวจ โดยครูเล่าว่าหลังเคารพธงชาติ มีเจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุมในข้อหาเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่เด็กอยู่เมืองไทยตั้งแต่เล็ก ไม่เคยกลับกัมพูชา และไม่สามารถพูดภาษากัมพูชาได้

กรณีดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมอย่างกว้างขวาง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติออกแถลงการณ์ชี้ว่าการจับกุมเด็กดังกล่าวอาจขัดต่อ สิทธิเด็กและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก่อนจะมีการช่วยเหลือให้เด็กไปพักอยู่ที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดการถกเถียงว่าการส่งเด็กกลับประเทศต้นทางนั้น “ถูกหรือผิดตามกฎหมาย”

สุภิญญากลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT เปิดประเด็นว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เพียงเรื่องบุคคลหนึ่ง แต่สะท้อนปัญหากว้างขวางจากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึง “สงครามข้อมูลข่าวสาร” ที่ทวีความรุนแรงในโลกออนไลน์ เธอย้ำว่าสังคมควรใจเย็นและตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะการด่วนตัดสินว่า “ผิดกฎหมายต้องจับ” หรือ “เป็นเด็กต้องช่วยไว้” ล้วนเป็นมุมมองที่ต้องชั่งน้ำหนักกับหลักสิทธิมนุษยชน โดยหลักการสากล “เด็กถือเป็นพลเมืองของโลก” ไม่อาจโยนภาระทั้งหมดให้กับความเป็นสัญชาติของเด็กเพียงอย่างเดียว

วุฒิชัย พุ่มสงวน อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวในรายการว่า ต้องพิจารณาทั้งกฎหมายภายในและพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย โดยในประเทศ แม้เด็กจะไม่มีสัญชาติไทย แต่รัฐธรรมนูญและกฎหมายด้านการศึกษากำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ ส่วนด้านสิทธิมนุษยชน ไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ซึ่งมีผลผูกพันต่อการปฏิบัติราชการ หากเจ้าหน้าที่ใช้เพียงข้อกฎหมายคนเข้าเมืองโดยไม่คำนึงถึงพันธกรณีอื่น ก็อาจถูกมองว่า “ละเมิดสิทธิเด็ก” ได้

สัญญา ทิพบำรุง ตัวแทนเครือข่ายครอบครัวยิ้ม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ กล่าวว่า ชุมชนท้องถิ่นเห็นปัญหานี้บ่อย โดยเฉพาะเด็กจากกัมพูชาที่เติบโตในไทย เรียนในโรงเรียนไทย แต่เมื่อเกิดกรณีทางกฎหมาย กลับถูกมองว่าเป็น “คนต่างด้าวผิดกฎหมาย” ทั้งที่ชีวิตจริงพวกเขาไม่รู้จักประเทศต้นทางเลย

สุชัย เจริญมุขยนันท ผู้ดำเนินรายการ สรุปการสนทนาว่า ประเด็นนี้เป็นทั้งเรื่องกฎหมายและสิทธิมนุษยชนที่สังคมไทยต้องเรียนรู้ร่วมกัน เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนความซับซ้อนของกฎหมายคนเข้าเมือง สิทธิในการศึกษา และพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยต้องปฏิบัติ การคลี่คลายต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและหลักการคุ้มครองสิทธิเด็ก ไม่ใช่เพียงการตีความตัวบทกฎหมายแคบ ๆ


มองการทำงานตรวจสอบข่าวลวงของหลายองค์กร ในสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา 

By : Zhang Taehun

หมายเหตุ : รวบรวมระหว่างวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กัมพูชาเริ่มเปิดฉากโจมตีไทย และกลายเป็นการสู้รบระหว่าง 2 ฝ่าย ไปจนวันที่ 28 ก.ค. 2568 ที่มีการเจรจากันในมาเลเซีย นำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงในเวลา 00.00 น. ของวันที่ 29 ก.ค. 2568

 

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (ประเทศไทย)

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

(ตรวจสอบทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม และข่าวบิดเบือน)

– วันที่ 24 ก.ค. 2568 พบ ข่าวบิดเบือน 1 ข่าวคือ ไทยอุดหนุนเงินให้กัมพูชา สร้างถนน-ปรับปรุงด่านทั้งหมด 4 พันล้านบาท ซึ่งเนื้อหาจริงคือ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ได้ดำเนินการจัดหาเงินกู้จาก EXIM BANK สถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง 

ในการดำเนินพันธกิจพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกที่สำคัญในประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการท้องถิ่นและประชาชนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา EXIM BANK จึงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่รัฐบาลกัมพูชาจำนวน 1,300 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้รัฐบาลกัมพูชานำไปใช้ซื้อสินค้าและว่าจ้างผู้รับเหมาไทยเพื่อพัฒนาทางหลวงหมายเลข 67 จากอัลลองเวงถึงเสียมราฐ ระยะทางยาว 131 กิโลเมตร

(ตรวจสอบกับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย – EXIM BANK)

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 9 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 8 ข่าว คือ 

1.กองทัพกัมพูชา ยิงเครื่องบินรบไทยตกสำเร็จ(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

2.กองกำลังกัมพูชาควบคุมวัดท่ากระบี่ได้เต็มรูปแบบ ขับไล่ทหารไทยออก (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

3.บริเวณภูเขาผี ทหารไทยยังคงยิงปะทะเข้ามาในพื้นที่กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ส่วนปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และบริเวณมุมเบย กัมพูชาควบคุมได้เต็ม 100% แล้ว (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

4.ทหารไทยเสียชีวิต 40 นาย ถูกจับกุม 30 นาย(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

5.ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

6.ทหารไทยยอมจำนนต่อรองกับกัมพูชา (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

7.แม่ทัพอากาศประกาศกร้าว ถ้าเขมรไม่ถอย จะยึดทั้งประเทศ ขอเวลาเพียง 5 นาที จะถล่มกรุงพนมเปญไม่ให้เหลือซาก (ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

8.กองทัพภาคที่ 2 เปิดระดมทุนช่วยเหลือทหารไทยรบกัมพูชา (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

ข่าวจริง 1 ข่าว คือ ทหารไทยไม่ได้โจมตีพื้นที่ปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

– วันที่ 26 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 5 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.ไทยยิงขีปนาวุธ 10 ลูก ใส่ลาวในสามเหลี่ยมทองคำ (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

2.ทหารนาวิกโยธินเหยียบกับระเบิด ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ในพื้นที่ จ.ตราด หนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัส (ตรวจสอบกับเพจกองทัพเรือ Royal Thai Navy)

ข่าวจริง 2 ข่าว คือ 

1.กองบัญชาการชายแดน จชต. ประกาศกฎอัยการศึก ในบางพื้นที่ จ.จันทบุรี และ จ.ตราด(ตรวจสอบกับเพจกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด)

2.รัฐบาลอนุมัติเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบชายแดน สูงสุด 1 ล้านบาท (ตรวจสอบกับเพจสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี)

ข่าวบิดเบือน จำนวน 1 ข่าว คือ ประเทศไทยใช้ F-16 โจมตีพลเรือนหลายรายในกัมพูชา ซึ่งทางกองทัพอากาศของไทย ชี้แจงว่า กองทัพอากาศไม่เคยใช้ F-16 โจมตีเป้าหมายพลเรือนในกัมพูชาพร้อมอธิบายดังนี้ (1) ไทยใช้กำลังเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหาร : ปฏิบัติการของไทย จำกัดเฉพาะภัยคุกคามทางทหาร ยึดหลัก Self-defense, International Law และ IHL อย่างเคร่งครัด (2)กัมพูชาใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ตรวจพบการตั้งฐานยิง BM-21 / ปืนใหญ่ในพื้นที่ชุมชน ใช้ “พลเรือนเป็นโล่กำบัง” (Human Shields) ละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

(3) ไทยหลีกเลี่ยงเป้าหมายที่เสี่ยงกระทบพลเรือน แม้มีสิทธิในการตอบโต้แต่ไทยไม่โจมตีเป้าหมายในพื้นที่ชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียแสดง “ความรับผิดชอบเชิงจริยธรรม” ของทหารอาชีพ (4) ไทยยึดหลักสากล ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ ปฏิบัติการทั้งหมด ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ – กฎบัตรสหประชาชาติ ไทยใช้เหตุผลและการพิจารณารอบด้าน ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ แม้ในภาวะกดดันหรือถูกใส่ร้าย (5) ระบบอาวุธไทยแม่นยำ ต่างจาก BM-21 ไทยใช้อากาศยาน (ถ้ามี) แบบ Precision Strike ควบคุมทิศทาง จำกัดวงการปฏิบัติได้ ต่างจาก BM-21 ของกัมพูชาที่ ควบคุมไม่ได้ ทำพลเรือนเสียชีวิต

(ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

– วันที่ 27 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 6 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 5 ข่าว คือ 

1.วันที่ 26 ก.ค. 2568 มณฑลทหารบกที่ 22 อุบลราชธานีเรียกระดมกำลังพลสำรอง (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

2.กองทัพกัมพูชายิง F-16 ไทยตก 1 ลำ (ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

3.พบลูกกระสุนกองทัพไทยตกในเขต สปป.ลาว บริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

4.พบการยิงขีปนาวุธ จากประเทศกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทย (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

5.กษัตริย์ไทยสั่งยิงปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

ข่าวจริง 1 ข่าว คือ การรถไฟฯ ประกาศงดเดินขบวนรถไฟไปช่วงสถานีอรัญประเทศ – ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก (ตรวจสอบกับเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย)

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 พบเป็น ข่าวปลอมทั้งหมด 6 ข่าว คือ 

1.ทบ.ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ ตอบโต้เขมร (ตรวจสอบกับเพจทีมโฆษกกองทัพบก)

2.ทหารไทยใช้เครื่องบินปล่อยสารพิษ สังหารพลเมืองกัมพูชา (กระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า เป็นภาพที่สำนักข่าวรอยเตอร์บันทึกไว้ได้ เป็นการดับไฟป่าในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา)

3.ทหารไทยเกือบ 140 นายเสียชีวิตใกล้ปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจทีมโฆษกกองทัพบก)

4.แม่ทัพภาค 2 เสียชีวิตแล้ว (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

5.กล่าวหารัฐบาลไทยวางระเบิด 7-eleven ของตัวเอง และฆ่าพลเมืองไทย เพื่อโยนความผิดให้รัฐบาล และกองทัพกัมพูชา (กองทัพยก กระทรวงกลาโหม ยืนยันเป็นข่าวปลอม บิดเบือนข้อเท็จจริง

6.ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศเขตภัยพิบัติสงครามเป็นจังหวัดแรก (เพจสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์ ชี้แจงว่า ไม่ได้ประกาศเขตภัยพิบัติสงครามเป็นการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย(ภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังนอกประเทศ))

ทั้งนี้ การทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ จะเน้นการอ้างคำยืนยันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเป็นหลัก โดยมีข้อสังเกตว่า หากเป็นข่าวบิดเบือนก็จะมีการอธิบายอย่างละเอียดด้วยว่าเนื้อหาที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับกรณีที่ระบุว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมจะใช้เพียงการสรุปสั้นๆ 

ThaiPBS Verify 

(ตรวจสอบเฉพาะ ข่าวปลอม เท่านั้น) โดยช่วงวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 11 ข่าว แบ่งได้ดังนี้ 

– วันที่ 24 ก.ค. 2568 พบ 2 ข่าว คือ 

1.สื่อกัมพูชาอ้าง ทหารไทยต่อรองขอยอมจำนน” ทบ.ยัน ข่าวปลอม ซึ่งพบว่า มีการนำภาพที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบ เช่น ภาพของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,   ภาพของทหารพรานของไทย จากเฟซบุ๊กของ ของ “กรกต เกตุแก้ว” อดีตทหารพรานของไทย ซึ่งได้โพสต์ภาพดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2568 หรือ 1 เดือนก่อนเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาจะเริ่มขึ้น อีกทั้งยังไม่มีรายละเอียดของข่าว มีเพียงการกล่าวอ้างเพียงเท่านั้น(ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

2.โพสต์อ้างกัมพูชายิงเครื่องบิน F-16 ไทยตกสภาพยับเยิน กองทัพอากาศไทยยืนยันแล้ว ไม่เป็นความจริง ซึ่งพบว่า การนำภาพที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบ โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2561 ที่ฐานทัพ Florennes ประเทศเบลเยียม ในภาพนั้นเป็นซากเครื่องบิน F-16 ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากอุบัติเหตุไฟไหม้และระเบิดทั้งลำ ขณะกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง โดยช่างเทคนิคได้เผลอเปิดใช้งานปืน Vulcan ที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องบิน F-16 อีกลำซึ่งจอดอยู่ใกล้กัน และเพิ่งได้รับการเติมเชื้อเพลิง ส่งผลให้กระสุนจากปืนพุ่งไปถูกเครื่องบิน F-16 ลำที่เกิดเหตุจนเกิดการระเบิดและไฟไหม้ ทำให้เครื่องบินได้รับความเสียหายทั้งลำ (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบ 1 ข่าว คือ โพสต์ปลอมอ้าง ชาวกัมพูชาแตกตื่นหลังถูกเครื่องบินรบไทยถล่ม ที่แท้คลิปตึก สตง. ถล่ม : คลิป TikTok อ้างชาวกัมพูชาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากเครื่องบิน F-16 และ JAS 39 Gripen ซึ่งมีผู้เข้าชมกว่า 1.7 ล้านครั้งแต่เมื่อตรวจสอบองค์ประกอบโดยรอบ (เช่น อาคารสิ่งก่อสร้าง) พบว่าเป็นบริเวณตลาดย่านจตุจักร ในพื้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย และบรรยากาศที่เหมือนฝุ่นตลบคล้ายอะไรบางอย่างถล่มลงมานั้นเป็นเหตุการณ์ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ถล่มลงมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens , เปรียบเทียบกับ Streer View ใน Google Map)

– วันที่ 26 ก.ค. 2568 พบ 3 ข่าว คือ 

1.กรณีแชร์ภาพบ้านเรือนใน สปป.ลาว เสียหายจากเหตุความไม่สงบตามชายแดนไทย กัมพูชา แท้จริงเป็นภาพเหตุเพลิงไหม้ในตลาดแห่งหนึ่งแขวงจำปาสัก : ในวันที่ 26 ก.ค. 2568 มีรายงานข่าวว่า ระหว่างการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา มีกระสุนบางส่วนไปตกในพื้นที่ของ สปป. ลาวด้วย แต่มีปัญหาคือ มีการใช้ภาพอาคารถูกเพลิงไหม้แล้วอ้างว่าเป็นอาคารที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่สำคัญคือมีสื่อหลักหลายสำนักในไทยเลือกนำภาพดังกล่าวไปใช้ประกอบข่าว 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่า ภาพที่ถูกอ้างถึงนั้นคือ เพลิงไหม้ร้านมอเตอร์ไซค์ บริเวณตลาดสุขุมา จำปาสัก สปป.ลาว โดยสำนักข่าว Laophattana News ซึ่งเป็นสื่อมวลชนใน สปป.ลาว ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 03.20 น. ของวันที่ 26 ก.ค. 2568 ส่วนสาเหตุเพลิงยังคงรอการตรวจสอบยืนยันจากหน่วยงานผู้รับผิดชอบ

2.สื่อกัมพูชาลงข่าวปลอม อ้าง ทหารไทยหนี ทิ้งชุด-ศพทหาร” ไว้บนปราสาทตาควาย : โพสต์เฟซบุ๊กของสื่อ “Fresh News Cambodia” ซึ่งเป็นสื่อของกัมพูชา ที่ได้พาดหัวข้อข่าวว่า “Thai Troops Flee, Abandon Gear and Bodies at Ta Krabei”พร้อมภาพประกอบเป็นภาพชุดลายพรางพร้อมป้ายธงชาติไทย แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบเป็นภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 ที่มีการควบคุมตัวชายต้องสงสัยในพื้นที่บ้านหนองเม็ก อ.กันทรลักณ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมอุปกรณ์ทางทหาร ได้แก่ เสื้อเกราะ, กระเป๋า และหมวกที่มีป้ายธงชาติไทย

นอกจากนั้น ยังได้สอบถามไปที่ พ.ต.อ.พงศ์พิพัฒ เหิมฉลาด ผกก.สภ.บึงมะลู ได้ความว่า ภาพดังกล่าวมาจากกรณีชาวบ้านในพื้นที่แจ้งว่า พบชายสวมเครื่องแบบทหารลักษณะต้องสงสัย ขี่จักรยานยนต์อยู่ในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการควบคุมตัวมาตรวจสอบ พบว่า เป็นเพียงผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และเมื่อตรวจสอบไปยังญาติของผู้ต้องสงสัยดังกล่าว พบว่า ชายรายนี้เป็นเพียงผู้ที่มีสติไม่สมประกอบ ที่รับฟังข่าวความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วมีความรู้สึกต้องการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เพียงเท่านั้น ไม่ใช่สายลับของกัมพูชาแต่อย่างใด

3.คลิปอ้าง Thai PBS รายงาน ไทยเตรียมกริพเพนถล่มพนมเปญ มีบัญชีสื่อสังคมออนไลน์หลายบัญชี โพสต์ภาพหรือคลิปวีดีโอของเครื่องบินขับไล่ JAS 39 Gripen  พร้อมข้อความอ้างว่าไทยเตรียมโจมตีกรุงพนมเปญของกัมพูชา โดยอ้างว่าเป็นรายงานจากสำนักข่าว ThaiPBS ซึ่งทาง ThaiPBSได้ออกมายืนยันว่าไม่มีการรายงานข่าวดังกล่าว ขณะที่เมื่อสอบถามไปยังกองทัพอากาศ ได้รับคำชี้แจงว่า คลิปดังกล่าวเป็นคลิปการฝึกซ้อมขับเครื่องบินกริพเพนที่กองบิน 7 จ.สุราษฎร์ธานี เท่านั้น ไม่ได้เป็นคลิปที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

– วันที่ 27 ก.ค. 2568 พบ 2 ข่าว คือ 

1.ภาพ ทรัมป์ – แพทองธาร” ถูกใช้สร้างข่าวลวงปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา : มีสื่อต่างประเทศ นำภาพของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไปประกอบการนำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 โดยอ้างว่า นายกรัฐมนตรีของไทยปฏิเสธข้อเสนอไกล่เกลี่ยจากทั้งสหรัฐฯ และจีน พร้อมเตือนว่า ความขัดแย้งอาจลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นข่าวที่เผยแพร่ในแพลตฟอร์ม X จึงมีผู้เข้าไปช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมในระบบ Community Notes ว่า แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี 

ซึ่งในเวลาต่อมา วันที่ 26 ก.ค. 2568 ทั้งบัญชีแพลตฟอร์ม X ของกระทรวงการต่างประเทศของไทย และที่เฟซบุ๊กของภูมิธรรม โพสต์ข้อความตรงกันว่า นายภูมิธรรมเป็นผู้สนทนากับทรัมป์ ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ทั้งไทยและกัมพูชาหยุดยิงในทันที ขณะที่รองนายกฯ ของไทยย้ำว่า ไทยเห็นด้วยในหลักการกับการหยุดยิง อย่างไรก็ตาม ไทยต้องการเห็นความตั้งใจจริงจากกัมพูชาในเรื่องนี้

2.คลิปปลอม อ้าง “ไทยปักธงชาติพร้อมยึดฐานบนเขาพระวิหารได้สำเร็จ” ผู้ใช้บัญชี TikTok รายหนึ่ง โพสต์คลิปพร้อมระบุข้อความ “ธงไทยถูกปักบนเขาพระวิหารอีกครั้งปี 68 และ ไทยยึดฐานบนเขาพระวิหารได้สำเร็จ” อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวจริงๆ แล้ว เขาอกทะลุ ซึ่งอยู่ใน จ.พัทลุง (ใช้การค้นหาด้วย Google Lens และเปรียบเทียบกับภาพของ Google Map)

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 พบ 3 ข่าว คือ 

1.เพจกัมพูชาโพสต์ข่าวปลอม อ้างทหารไทยเสียชีวิต 140 คนใกล้เขาพระวิหาร : มีเพจเฟซบุ๊กที่เนื้อหาส่วนใหญ่นำเสนอเกี่ยวกับข่าวสารด้านการทหารของกัมพูชา โพสต์ข้อความเป็นภาษาเขมร แปลได้ว่า “รวมแล้วตั้งแต่ตี 2 ถึงเช้าตรู่เสียชีวิตเกือบ 140 คน ใกล้วัดพระวิหาร ขอให้พาผีกลับบ้านกันให้หมด เพราะอยากได้แผ่นดินเขมรมากเกินไป“พร้อมกับภาพศพหลายศพที่ถูกห่อไว้ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่า ภาพที่ถูกอ้างถึงนั้นเป็นภาพที่ทหารไทยส่งคืนศพทหารกัมพูชา 12 นาย ที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะที่ภูมะเขือ ให้เจ้าหน้าที่กัมพูชาบริเวณด่านช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ นำไปประกอบพิธีทางศาสนา เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 27 ก.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

ซึ่งศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก โดยทีมโฆษกกองทัพบก อธิบายถึงการส่งศพทหารกัมพูชาในครั้งนี้ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหลักมนุษยธรรมสากล และถือเป็นการให้เกียรติแก่ทหารที่เสียชีวิตในสมรภูมิ ไม่ว่าจะสังกัดฝ่ายใด สะท้อนถึงจิตวิญญาณของความเป็นทหารที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ซึ่งเข้าใจถึงหัวอกของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งล้วนปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทเพื่อประเทศของตน

2.คลิปปลอมสงครามไทย-กัมพูชา ที่จริงคือรัสเซียโจมตียูเครน :พบบัญชีแพลตฟอร์ม X แชร์คลิปวิดีโอภาพเหตุการณ์เมืองโดนระเบิด พร้อมข้อความที่กล่าวถึงเหตุการณ์ความไม่สงบไทย – กัมพูชา ว่า ประเทศไทยเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานทัพทหารกัมพูชา แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่าเป็นเหตุการณ์สงครามรัสเซีย – ยูเครน โดยเป็นคลิปที่ฝ่ายรัสเซียใช้ขีปนาวุธและโดรนโจมตีกรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครน เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 (ใช้โปรแกรม InVID-WeVerify แยกเฟรมแต่ละภาพ แล้วนำไปค้นหาด้วย Google Lens)

3.เพจที่ใช้ชื่อ “สถานทูตกัมพูชา” ลงภาพอ้างไทยใช้อาวุธเคมี แท้จริงเป็นภาพเหตุการณ์ดับไฟป่าที่สหรัฐฯ : เพจที่ใช้ชื่อ “สถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย” โพสต์ภาพเครื่องบินโปรยสารสีชมพู กล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือน แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว ภาพดังกล่าวมาจากเหตุการณ์เครื่องบินกำลังปล่อย “สารหน่วงไฟสีชมพู” (Pink Fire Retardant) เพื่อช่วยดับไฟป่าที่กำลังลุกไหม้จนสร้างความเสียหายในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

สำหรับข้อสังเกตต่อ ThaiPBS Verify คือแม้จะเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานนัก แต่จุดแข็งอยู่ที่การเป็นส่วนขยายออกมาจากการเป็นสำนักข่าวขนาดใหญ่ ทำให้เข้าถึงแหล่งข่าวที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นได้ รวมถึงมีเครือข่ายช่วยตรวจสอบกรณีเป็นเหตุการณ์ในต่างประเทศ นอกจากนั้นยังอธิบายถึงกระบวนการตรวจสอบ เช่น การใช้เครื่องมือ Google Lens ในการตรวจสอบภาพจากคลิปวีดีโอที่แชร์ต่อกันมา ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใด เวลาใด เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่อ้างถึงในเนื้อข่าวหรือไม่ 

AFP Fact Check

พบว่า ตั้งแต่วันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 มีการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างไทย –กัมพูชา เป็นรายงาน 1 ข่าว คือ Clip shows flood defence in northern Thailand, not border wall with Cambodia เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 โดยมีคลิปวีดีโอเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok บรรยายเป็นภาษาเขมร ระบุว่า ไทยสร้างกำแพงตามแนวชายแดนที่เชื่อมต่อกับกัมพูชา ซึ่งเป็นคลิปที่เผยแพร่มาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 2568 

ภาพในคลิปดังกล่าวปรากฏชายหลายคนที่สวมเสื้อสีเขียวสกรีนข้อความเป็นภาษาไทยว่า “กองทัพบก” อย่างไรก็ตาม เมื่อนำภาพไปค้นหาแบบย้อนกลับ พบว่าคลิปนี้เคยถูกโพสต์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2568 และมีคำบรรยายเป็นภาษาไทย ระบุว่า ทหารช่างจาก จ.ราชบุรี กำลังวางเสาเข็มและใส่แผ่นคอนกรีต และในคลิปได้เล่าว่าเป็นการสร้างเขื่อนกั้นน้ำท่วมที่ จ.เชียงราย ในพื้นที่ชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมา ไม่ใช่กัมพูชาแต่อย่างใด  

อีกทั้งยังตรวจสอบอาคารที่ปรากฏในคลิปดังกล่าว แล้วไปตรงรับรายงานข่าวของสำนักข่าว NBT เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2568 ว่าผู้บัญชาการทหารบกของไทย ลงพื้นที่ติดตามการก่อสร้างพนังกั้นน้ำและตรวจเยี่ยมกำลังพลในพื้นที่ จ.เชียงราย จากนั้นในวันที่ 21 ก.ค. 2568 ยังมีรายงานจากสำนักข่าว ThaiPBS ที่เผยแพร่ภาพในพื้นที่เดียวกัน ระบุว่า พนังกั้นน้ำในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย คืบหน้ากว่าร้อยละ 90 

สำหรับการตรวจสอบข้อมูลโดย AFP Fact Check ซึ่งเป็นส่วนขยายจากสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส มีการอธิบายกระบวนการตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือดิจิทัล คล้ายกับของ ThaiPBS Verify

โคแฟค (ประเทศไทย

ในช่วงวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 ซึ่งตรวจสอบทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือนและคลาดเคลื่อน พบจำนวน 11 ข่าว ดังนี้ 

– วันที่ 24 ก.ค.2568 พบทั้งหมด 5 ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.54 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิด พร้อมข้อความบรรยายว่า “ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ 2 กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย…” โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากวิดีโอไปสืบค้นด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image (หรือ Google Lens) พบเป็นคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มานานหลายปีก่อนเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในวันดังกล่าว โดยคลิปนี้ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายในบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ภาษาอาหรับ มีการอ้างอิงว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น การสู้รบระหว่างอินเดีย –ปากีสถาน และการทิ้งระเบิดในประเทศซูดาน อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถตรวจสอบได้คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด ที่ไหน หรือเป็นภาพที่สร้างจากเอไอหรือไม่

2.คลิปชาวกัมพูชานับแสนรวมตัวขับไล่ฮุน เซน :วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 18.17 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์วิดีโอภาพเหตุการณ์ขณะฝูงชนพยายามดันประตูและขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่โดยใส่ข้อความบรรยายว่าชาวเขมรนับแสนคนชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา แต่คลิปนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จแบบเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2568 

โดยโคแฟคและ AFP Fact Checkตรวจสอบแล้วพบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์ในติ๊กตอกตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2568 ซึ่งเจ้าของโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สนามกีฬา Gelora Bandung Lautan Api Stadium ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยรายงานข่าวท้องถิ่นระบุว่าเกิดเหตุแฟนฟุตบอลทีม Persib Bandung ที่ไม่มีบัตรพยายามจะพังประตูเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระหว่างสโมสรท้องถิ่นสองทีมเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2568

ข่าวจริง 2 ข่าว คือ 

1.คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์ : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.09 น. เพจเฟซบุ๊ก “แนวหน้า มั่นคง” โพสต์คลิปภาพทหารหมอบหาที่กำบังในอาคาร ขณะที่ด้านนอกมีกลุ่มควันพวยพุ่ง เขียนคำบรรยายเหตุการณ์ว่า กระสุน BM-21 ตกใส่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลพนมดงรัก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

โคแฟคตรวจสอบกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีกระสุนจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตกบริเวณ รพ. จริง ขณะนี้ผู้บริหารกำลังประชุมสรุปเหตุการณ์และมาตรการที่จำเป็น ขณะที่ภาคีเครือข่ายโคแฟคที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ. พนมดงรัก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีลูกปืนตกบริเวณฐานพระพุทธรูปด้านหน้า รพ. และมีทหารได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด

นอกจากนั้น เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 9.34 น. วันนี้ว่า “จากเหตุปะทะบริเวณปราสาทตาเมือนธม สถานบริการของ สธ. เริ่มปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ โดย รพ.พนมดงรักได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจาก รพ. หมดแล้ว” รวมถึงเว็บไซต์ข่าวสาธารณสุข Hfocus รายงานคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุขว่า รพ.พนมดงรัก มีขนาด 30 เตียง ได้ย้ายผู้ป่วย ไป รพ. อื่น 19 ราย และให้กลับบ้าน 19 ราย

2.คลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 11.19 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์คลิปภาพกลุ่มควันพวยพุ่งบริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยบรรยายว่าเป็นภาพจุดที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาซึ่งโคแฟคตรวจสอบจากการรายงานของสื่อมวลชนและเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริง โดยกองทัพภาคที่ 2 โพสต์คลิปเมื่อเวลา 11.29 น. ว่ากระสุน BM21 ตกใส่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

อนึ่ง ปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่เกิดเหตุตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพื้นที่บ้านผือและบ้านน้ำเย็น คนในพื้นที่จึงเรียกทั้งสาขาบ้านผือและบ้านน้ำเย็น แต่หากเช็กใน Google Map จะระบุว่าเป็นบ้านน้ำเย็น

ข่าวบิดเบือน 1 ข่าว คือ คลิปทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์ ช่วงบ่ายวันที่ 24 ก.ค. 2568 มีผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอนักเรียนวิ่งหนีและส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว โดยฝังคำบรรยายว่า “เขมรบุกเข้ามาไล่ยิงในพื้นที่ของนักศึกษาแล้ว” ซึ่งโคแฟคตรวจสอบเครื่องแบบนักเรียนในคลิปพบว่าเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จึงได้ติดต่อสอบถามข้อมูลจากวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่คนเขมรเข้ามาก่อเหตุตามที่คลิปกล่าวอ้าง ส่วนภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาของวิทยาลัยตกใจเสียงปืนช่วงสายวันที่ 24 ก.ค. 2568 จึงวิ่งหาที่หลบภัย

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวิทยาลัยได้สั่งปิดสถานศึกษาระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 1 ส.ค. 2568 เนื่องจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากร

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 4  ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร : ช่วงสายของวันที่ 25 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” โพสต์ข้อความว่า “ด่วน! เวลา 09.25 น. ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว…” ซึ่งต่อมา สรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้นำไปรายงานในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ

เวลา 10.30 น. กองทัพบกชี้แจงว่าเนื้อหาดังกล่าว #ไม่เป็นความจริง โดยได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army ว่า “เป็นข่าวปลอม อย่าหลงเชื่อ” ซึ่งแม้ทางกองทัพบกจะออกมาปฏิเสธข่าว และเพจต้นทางก็ได้ลบเนื้อหาออกแล้ว แต่โคแฟคพบว่าในติ๊กตอกยังมีการแชร์เนื้อหาเท็จนี้อย่างกว้างขวาง โดยบางโพสต์ได้ตัดต่อคลิปจากรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” มาเผยแพร่

2.สั่งอพยพประชาชน จ.อุบลราชธานี และจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนไทย-กัมพูชา: ช่วงค่ำวันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความ “เตือนภัย” อ้างว่ากัมพูชาเตรียมโจมตีไทยด้วยอาวุธที่สามารถยิงไกลได้ถึง 130 กม. ขอให้ประชาชนใน จ.อุบลราชธานีและจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนอพยพด่วน

โคแฟคตรวจสอบกับว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อเวลา 23.30 น. ได้รับคำยืนยันว่าตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงขณะนี้ทางจังหวัดไม่ได้มีคำสั่งให้อพยพด่วน สำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยใน 2 อำเภอ คือ อำเภอน้ำยืนและอำเภอน้ำขุ่น ซึ่งอยู่ในระยะ 70-80 กม. จากชายแดน ได้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามการประสานงานระหว่างทางจังหวัดและกองทัพ

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกรณีที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากอ้างถึงอาวุธของกัมพูชาที่สามารถยิงระยะไกลได้ถึง 130 กม. พบว่ามีที่มาจาก พล.ท. พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่กล่าวในรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ทางช่อง 8 เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ว่ากัมพูชามีจรวดหลายลำกล้องจากจีนชื่อ PHL03 ทั้งหมด 6 ชุด ซึ่งยิงได้ไกล 70-130 กม. สามารถเข้ามาถึงตัวเมืองและสร้างความเสียหายได้มาก ทั้งนี้ พล.ท.พงศกร ไม่ได้ระบุที่มาของข้อมูล

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เพจทางการของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 2 ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ยังไม่เคยกล่าวถึงอาวุธชนิดนี้ ในโพสต์เตือนภัยของกองทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 กล่าวถึงอาวุธยิงไกลที่กัมพูชาใช้ ได้แก่ จรวดหลายลำกล้อง BM-21 (ยิงได้ไกล 20 กม.) PHL-81 และ Type-90 B (ยิงได้ไกล 40 กม.)

หมายเหตุ : ในเวลาต่อมา วันที่ 26 ก.ค. 2568 เวลาประมาณ 10.00 น. เพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับขีปนาวุธ PHL-03 ระบุว่า “เป็นระบบขีปนาวุธที่มีความสามารถในการยิงหลายลูกพร้อมกันในระยะทางไกลถึง 130 กิโลเมตรจากตำแหน่งยิง ขีปนาวุธชนิดนี้สามารถทำลายที่หมายทางยุทธศาสตร์ และที่ตั้งกำลังทางทหาร ซึ่งกองทัพได้เตรียมการรองรับสถานการณ์ ในการปฏิบัติตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังและมีเครื่องมือในการทำลายขีปนาวุธชนิดนี้ แต่เพื่อไม่ประมาทในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือน ขอให้ระมัดระวังการถูกโจมตีที่ไม่พึงประสงค์นี้ ขอให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก และติดตามการแจ้งเตือนจากทางการ”

ข่าวบิดเบือน 2 ข่าว คือ  

1.องค์กร-หน่วยงานในไทยปลดธงชาติกัมพูชาจากกลุ่มธงประเทศอาเซียน : 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอชายคนหนึ่งกำลังลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาธง บางโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สวนนงนุช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บางโพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ตามหน่วยงาน องค์กร ลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาในบรรดากลุ่มธงชาติประเทศอาเซียน” เป็นสัญลักษณ์ว่าไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างถาวร

โคแฟคโทรศัพท์สอบถามไปยังสวนนงนุช พนักงานให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นกลุ่มเสาธงนานาชาติที่อยู่ด้านหน้าศูนย์ประชุมนานาชาตินงนุชพัทยาจริง แต่คลิปลดธงกัมพูชาที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ไม่ได้มาจากบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสวนนงนุช ซึ่งผู้บริหารกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ในคลิป การบันทึกภาพและการเผยแพร่

นอกจากนั้น โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกับกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าทางราชการไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธง ซึ่งการลดธงไทยและธงอาเซียนมีกฎหมายและระเบียบกำกับ เช่น การลดธงในกรณีไว้อาลัย และทางการไทยไม่เคยมีคำสั่งเกี่ยวกับการลดธงของประเทศอื่น

2.คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา :วันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอที่มีเสียงบรรเลงเพลงชาติไทย อ้างว่าชาวชาวกรุงบรัสเซลส์บรรเลงเพลงชาติไทยเพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยในช่วงที่เผชิญความขัดแย้งกับกัมพูชา บางคลิปถูกแชร์ไปมากกว่า 3 หมื่นครั้ง ซึ่งโคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าว พบว่าเป็นภาพที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบันทึกในพิธีมอบชุด “ยิงกระต่าย เด็ดดอกไม้. แก่รูปปั้นเด็กฉี่ (Manneken Pis) ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ที่มีผู้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. 2568

เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โพสต์ภาพบรรยากาศและพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ว่า “…มีการเคลื่อนขบวนเพื่อไปมอบชุดแก่ Manneken Pis โดยได้รับเกียรติจากวงดุริยางค์แห่งกระทรวงการคลัง กรมศุลกากร ราชอาณาจักรเบลเยียม บรรเลงบทเพลงอันทรงเกียรติ ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงชาติเบลเยียม และเพลงมหาฤกษ์ บริเวณกลาง Grand Place ก่อนเคลื่อนขบวนท่ามกลางผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมขบวนแห่กันอย่างคับคั่ง” พร้อมกับเผยแพร่คลิปการบรรเลงเพลงชาติไทยของวงดุริยางค์ ซึ่งมีภาพและเสียงใกล้เคียงกับคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการบรรเลงเพลงชาติให้กำลังใจคนไทย

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 : พบ 2 ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวคลาดเคลื่อน 1 ข่าว คือ ผู้ว่าสุรินทร์ประกาศเขตภัยพิบัติสงคราม โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานว่านายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ประกาศให้จังหวัดสุรินทร์เป็น “เขตภัยพิบัติสงคราม” เพื่อให้การอนุมัติงบประมาณและการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่านายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าขณะนี้รัฐบาลได้รับแจ้งว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ “ได้ลงนามในประกาศประกาศเขตภัยพิบัติสงครามแล้ว ซึ่งเป็นยกระดับเทียบเท่าน้ำท่วม-แผ่นดินไหว”

เวลา 11.20 น. นายชำนาญได้แถลงข่าวชี้แจงว่าเป็นการใช้ถ้อยคำที่คลาดเคลื่อนของสื่อมวลชนบางสำนัก ในประกาศของจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนไม่มีถ้อยคำที่ระบุว่า “เขตภัยพิบัติสงคราม” เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้มีการประกาศสงคราม  

ทั้งนี้ ทางจังหวัดมีเพียงการประกาศให้อำเภอที่ได้รับผลกระทบใน จ.สุรินทร์เป็น “พื้นที่ประสบสาธารณภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ” มีประกาศและหนังสือที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ ดังนี้

-ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยลงวันที่ 24 ก.ค. 2568 เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการคลังในการอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือประชาชนในกรณีฉุกเฉิน

-หนังสือลงวันที่ 25 ก.ค. 2568 แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ใช้งบประมาณของตัวเองในการดูแลประชาชนในช่วง  2-3 วันแรกที่เกิดเหตุ และหลังจากนั้นทางจังหวัดจะจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลให้ท้องถิ่นต่อไป

ข่าวปลอม 1 ข่าว คือ ไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา โดยวันที่ 28 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊กสถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย Royal Embassy of Cambodia to the Republic of Bulgaria โพสต์ข้อความกล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา โดยอ้างคำพูดของ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ทางเพจได้โพสต์ข้อความกล่าวหาเรื่องไทยใช้อาวุธเคมีอย่างน้อย 4 โพสต์ ในเวลา 10.39, 12.11,12.23และ 13.46 น. โดยในโพสต์แรกมีการใช้ภาพประกอบเครื่องบินปล่อยควันสีแดงมีธงชาติไทยประกอบ แต่ได้ลบภาพออกในภายหลัง

กรณีนี้กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพบกได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา ยืนยันว่ากองทัพไทยไม่มีการใช้ #อาวุธเคมี โดยนายนิกรเดช พลางกูร โฆษก กต. ระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวขาดมูลความจริงและสะท้อนการบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในพื้นที่ และมีเจตนาที่จะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและสถานะของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศ

“ประเทศไทยยืนยันการยึดมั่นต่อพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention: CWC) และยืนหยัดในท่าทีในการประณามการใช้อาวุธเคมีไม่ว่าจะเป็นที่ใด โดยผู้ใด หรือภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังยึดมั่นต่อตราสารระหว่างประเทศด้านการลดอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงทั้งปวง” แถลงการณ์ กต. ระบุ 

สำหรับภาพที่สถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรียนำมาประกอบโพสต์กล่าวหานั้น โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นภาพประกอบข่าวเครื่องบินบรรทุกสารเคมีเพื่อดับไฟป่าในลอสแองเจลิสที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์สำนักข่าวรอยเตอร์สเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.thaipbs.or.th/verify/highlight/thai-cambodia-situation

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354676 (กองทัพยืนยัน “กระสุนตกฝั่งลาว” ไม่ใช่ของฝ่ายไทย : ThaiPBS 26 ก.ค. 2568)

https://factcheck.afp.com/list/regions/Asia-Pacific

https://factcheck.afp.com

https://www.facebook.com/CofactThailand

**AFP มีทำรายงานภาษาอังกฤษอีกสองเรื่อง(ยังไม่มีรายงานภาษาไทย)

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.682J99E
Photo of US aircraft dropping fire retardant falsely linked to Thailand-Cambodia conflict | Fact Check

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.68247CQ
Old military exercise photo misrepresented as Thailand-Cambodia clashes | Fact Check


ชาวปาเลสไตน์จ้างนักแสดง ‘แกล้งตาย-เจ็บ’ ในศึกกาซาจริงหรือ?

ธีรนัย จารุวัสตร์

สมาชิกเครือข่าย Cofact Thailand 

ขณะที่ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาได้รับการตีแผ่ไปทั่วโลก แต่โลกโซเชียลมีเดียกลับเต็มไปด้วยคลิปที่อ้างว่าผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตชาวปาเลสไตน์เป็นเพียงการ “จัดฉาก” เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากชาวโลก หรือที่เรียกกันในวงการสื่อว่า ทฤษฎีสมคบคิด “Pallywood”

หากใครจำกันได้ หลังจากที่กองทัพรัสเซียรุกรานยูเครนในต้นปี 2022 และเริ่มมีรายงานว่าประชาชนยูเครนจำนวนหนึ่งเสียชีวิตจากปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย พิธีกรข่าวของช่อง “ททบ. 5” ในประเทศไทย ได้นำคลิปวิดิโอหนึ่งมาเผยแพร่ออกอากาศ โดยระบุว่าเป็นการจับผิด “ศพ” ชาวยูเครนที่ถูกทหารรัสเซียสังหาร แต่ “ศพ” กลับขยับเขยื้อนได้ ดูเหมือนเป็นการ “จัดฉาก” ซะมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฎว่าวิดิโอดังกล่าวเป็นคลิปจากเหตุการณ์การประท้วงสภาวะโลกร้อน ซึ่งนักกิจกรรมได้แสดงท่าทางเป็นศพเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครนเลย และในเวลาต่อมา ได้มีหลักฐานและภาพข่าวประชาชนยูเครนที่ถูกคร่าชีวิตโดยกองทัพรัสเซียปรากฎสู่สายตาชาวโลกอย่างล้นหลาม จนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป การกล่าวหาในทำนองว่ายูเครน “จัดฉาก” ผู้เสียชีวิตเพื่อป้ายสีรัสเซีย จึงค่อยๆเงียบหายไป…

เวลาผ่านมาปีกว่า วาทกรรมดังกล่าวกลับขึ้นมาแพร่หลายในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง แต่เปลี่ยนบริบท 

จากสงครามในยูเครน สู่สงครามในฉนวนกาซาและอิสราเอล จากที่เคยพุ่งเป้าจับผิดว่าชาวยูเครน “จัดฉาก” หรือแกล้งตาย กลายมาเป็นการกล่าวหาว่าชาวปาเลสไตน์กำลังใช้ “นักแสดง” สวมบทบาทเป็นผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการโจมตีของกองทัพอิสราเอล ซึ่งในปัจจุบัน ข้อมูลจากทางการกาซาระบุว่าชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 10,000 ราย ตั้งแต่กองทัพอิสราเอลเริ่มปิดล้อมและถล่มฉนวนกาซา หลังฮามาสก่อเหตุสังหารประชาชนในอิสราเอลจำนวนมากเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา

ตัวอย่างเช่น คลิปที่อ้างว่าชายคนหนึ่งที่สูญเสียขาในโรงพยาบาลกาซ่า กลับกลายว่ายังมีขาอยู่ในวันถัดมา หรืออ้างว่าศพเยาวชนในกาซาขยับเขยื้อนตัวได้ หรืออ้างว่ามีนักแสดงชาวปาเลสไตน์ปรากฎตัวในคลิปการโจมตีของอิสราเอลหลายครั้ง ฯลฯ 

ทั้งหมดเหล่าเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดที่เรียกว่า “Pallywood” ซึ่งเป็นการรวมกันของคำว่า “Hollywood” กับ “Palestine” เพื่อที่จะสื่อว่า ภาพและข่าวความสูญเสียในปาเลสไตน์นั้น เป็นการจัดฉากขึ้นเพื่อตบตาชาวโลก มีการใช้นักแสดงหรือวางบทบาทกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ต่างจากการถ่ายภาพยนตร์ Hollywood

ที่น่ากังวลคือทฤษฎีสมคบคิดเช่นนี้ถูกส่งต่อในโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง แม้แต่ทางการอิสราเอลและสำนักข่าวจำนวนหนึ่ง (รวมถึงสื่อไทยอย่างน้อยหนึ่งแห่ง) ก็หยิบมาเผยแพร่ต่อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดแต่เคลือบแคลงใจต่อวิกฤติมนุษยธรรมในกาซาขณะนี้อย่างแพร่หลาย ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญและ factcheckers จำนวนมากได้พิสูจน์ทราบแล้วว่าไม่มีมูลความจริง 

จากปาเลสไตน์ สู่กลุ่มขวาจัดอเมริกัน

แนวคิด Pallywood เริ่มปรากฎขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ระหว่างการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวปาเลสไตน์เพื่อต่อต้านการยึดครองเขตเวสต์แบงก์และกาซาโดยกองทัพอิสราเอล 

การลุกฮือ (หรือที่เรียกว่า intifada) ดังกล่าวประกอบด้วยทั้งการประท้วงและการใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายในอิสราเอล นำไปสู่การโต้ตอบอย่างรุนแรงจากกองทัพอิสราเอล ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะพลเรือน ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์เริ่มปรากฎขึ้นในสื่อมวลชนต่างประเทศหลายแห่ง กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอิสราเอล 

เหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก คือวิดิโอข่าวเหตุการณ์สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ที่พยายามซุกตัวในมุมถนนแห่งหนึ่ง เพื่อหลบการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ก่อนที่ทั้งสองพ่อลูกจะถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งทีมข่าวระบุว่าเป็นฝีมือทหารอิสราเอล สร้างความโกรธแค้นไปทั่วในปาเลสไตน์และนานาประเทศ

สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ Jamal และ Muhammad al-Durrah ขณะพยายามหลบกระสุนปืนท่ามกลางการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา เมื่อปี 2000 ที่มา: France 2

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจำนวนหนึ่งในสหรัฐฯ เริ่มตั้งคำถามต่อวิดิโอดังกล่าวว่าเชื่อถือได้จริงหรือไม่ โดยได้หยิบยกข้อสังเกตต่างๆมาวิจารณ์ เช่น ดูเหมือนคลิปมีการตัดต่อ, มุมกล้องไม่ได้แสดงเหตุการณ์ทั้งหมด, ลำดับเหตุการณ์ไม่ตรงกับคำให้การของพยาน ไปจนถึงกระทั่งว่า สองพ่อลูกในข่าวไม่ได้เสียชีวิตจริง แต่อาจจะเป็นการ “จัดฉาก” ขึ้นเท่านั้น 

แนวคิดนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เป็นการตั้งข้อสังเกตกับข่าวเหตุการณ์เดียว กลายเป็นการตั้งคำถามกับภาพและข่าวความสูญเสียอื่นๆของชาวปาเลสไตน์ด้วย พร้อมโจมตีว่าสื่อมวลชนหลายแห่งสมคบคิดกันเพื่อจัดฉากป้ายสีอิสราเอล หรือจ้างนักแสดงปาเลสไตน์มาแกล้งตายเพื่อจะได้ภาพข่าวที่ต้องการ เป็นที่มาของคำว่า Pallywood 

กระแส Pallywood เริ่มลดลงไปบ้างหลังการกำเนิดขึ้นของโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยให้ประชาชนผู้เสพข่าวทั่วโลกได้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆในปาเลสไตน์กับตาตัวเองโดยตรง แต่องค์ประกอบบางส่วนในแนวคิด Pallywood ได้วิวัฒนาการกลายเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดอื่นๆ ที่มักจะเผยแพร่ในกลุ่มขวาจัดอเมริกันในเวลาต่อมา 

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อมีเหตุโศกนาฏกรรมกราดยิงหรือสังหารหมู่ในอเมริกา กลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่งมักจะเผยแพร่ข้อกล่าวหาว่า การกราดยิงต่างๆนั้นเป็นเพียงการ “จัดฉาก” โดยหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างจำกัดสิทธิ์การครอบครองอาวุธปืนหรือลิดรอนเสรีภาพประชาชน 

เท่านั้นยังไม่พอ ยังกล่าวหาด้วยว่าบรรดาเหยื่อกราดยิงและครอบครัวผู้เสียชีวิต เป็นเพียงนักแสดงเฉพาะกิจ (crisis actors) ที่เล่นบทบาทตบตาสื่อและประชาชน สร้างความเจ็บปวดให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ดังเช่นในเหตุกราดยิงโรงเรียนประถม Sandy Hook เมื่อปี 2012 จนครอบครัวเหยื่อเหตุกราดยิงครั้งนั้นถึงกับรวมตัวฟ้องร้องนาย Alex Jones เจ้าของสำนักข่าวแนวขวาจัดรายใหญ่ ซึ่งมีบทบาทในการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าว จนชนะคดีในเวลาต่อมา 

นอกจากนี้ ทฤษฎีสมคบคิดในลักษณะเดียวกันยังกลับมาปรากฎขึ้นในช่วงสั้นๆ หลังเหตุการณ์กองทัพรัสเซียทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลผดุงครรภ์ในเมือง Mariupol ประเทศยูเครน เมื่อต้นปี 2022 ซึ่งกลุ่มชาตินิยมและสื่อในสังกัดรัฐของรัสเซียพยายามบิดเบือนว่า ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็น “นักแสดง” ที่ยูเครนจัดฉากขึ้น เป็นต้น

เมื่อ ‘Mr. FAFO’ ระบาดมาถึงสื่อไทย

การสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาสรอบล่าสุด ได้ทำให้กระแส Pallywood กลับมาแพร่ระบาดในสังคมออนไลน์อย่างไม่ต้องสงสัย ท่ามกลางกระแสข่าวบิดเบือนจำนวนมากเกี่ยวกับสงครามกาซาที่กระจายอยู่เต็มโซเชียลมีเดีย มีทั้งเพื่อสร้างและทำลายความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงของคู่ขัดแย้งบนความเข้าใจผิดของผู้เสพย์ข้อมูล

ตัวอย่างหนึ่งซึ่งมักจะปรากฎอยู่บ่อยๆ คือชายชายปาเลสไตน์คนหนึ่งที่กลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่สนับสนุนรัฐบาลอิสราเอล ระบุว่าเป็น “นักแสดง” มากบทบาท เป็นทั้งทหารฮามาส สื่อมวลชน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล แม้กระทั่งศพผู้เสียชีวิต

ชายคนนี้ได้รับฉายาจากกลุ่มขวาจัดอเมริกันว่า “Mr. FAFO” ซึ่งเป็นคำแสลงอเมริกันหมายถึงคนที่รนหาที่ตาย (Fuck Around, Find Out – FAFO) ข่าวนี้ได้กระจายออกจากโซเชียลมีเดียของกลุ่มขวาจัดไปสู่สังคมออนไลน์ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว รวมถึงแอคเคาท์ทวิตเตอร์ทางการของรัฐบาลอิสราเอลด้วย โดยระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า Mr. FAFO คนนี้เป็นหลักฐานปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของชาวปาเลสไตน์

ในกรณีประเทศไทย พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทยด้วยกัน  ส่วนในภาพรวมของสื่อมวลชนไทยจะเน้นการรายงานข่าวหรือข้อมูลการสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกองกำลังติดอาวุธกลุ่มฮามาสจากแหล่งข้อมูลทางการหรือสำนักข่าวต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ จะมีบางสื่อที่รายงานโดยให้น้ำหนักไปทางข้างใดข้างหนึ่ง เช่นกรณี เว็บไซต์ของช่อง Bright TV ได้หยิบยกเรื่องของ Mr. FAFO มาเผยแพร่ต่อ โดยเนื้อข่าวตอนนี้ระบุว่า:

“ทั้งนี้ ท่ามกลาง Saleh Aljafarawi นามแฝงของนาย FAFO ที่บงการอย่างสิ้นหวังและวิดีโอที่ทำให้เข้าใจผิดและการกล่าวอ้างทางโซเชียลมีเดีย เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มฮามาสใช้กลยุทธ์การโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ เพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจและฉายภาพอิสราเอลว่าเป็นผู้กดขี่ กลไกที่น่าละอายอย่างหนึ่งของฮามาสก็คือการอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 500 รายในโรงพยาบาลฉนวนกาซา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ชี้ให้เห็นอย่างรวดเร็วว่านี่ไม่ใช่การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล แต่เป็นจรวดที่ยิงผิดจากในฉนวนกาซา 

เห็นได้ชัดว่า นอกเหนือจากการทำสงครามกับฮามาส เฮาซี และฮิซบอลเลาะห์แล้ว อิสราเอลยังต้องต่อสู้กับสงครามข้อมูลที่บิดเบือน/บิดเบือนด้วยเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม หากได้มีการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม ก็จะพบว่านาย Saleh มีอาชีพเป็นอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเทอร์ชื่อดังในกาซาตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามแล้ว โดยเขาได้เผยแพร่คลิปวิดิโอ สตอรี่ และผลงานเพลงจำนวนมาก ซึ่งก็ไม่ต่างจากอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศอื่นๆทั่วโลก อีกทั้งยังทำงานอาสาเป็นเจ้าหน้าที่ให้แก่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกาซาด้วย (จึงเป็นที่มาของภาพนาย Saleh ในเครื่องแบบโรงพยาบาล) 

มิได้มีเจตนาแฝงตัวเป็นบุคคลหลากหลายอาชีพแบบที่เข้าใจกัน และไม่เคยอ้างตัวว่าเป็นผู้บาดเจ็บจากเหตุโจมตีของอิสราเอล

นอกจากนี้ บางภาพที่นำมายำรวมกันและอ้างว่าเป็น Mr. FAFO ไม่ใช่ภาพของนาย Saleh ด้วยซ้ำ ดังเช่นภาพด้านขวามือที่ปรากฎข้างบนนี้ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นภาพของ Mohammad Zendeq ชาวปาเลสไตน์อีกคนหนึ่ง ที่บาดเจ็บจากปฏิบัติการทางทหารโดยกองทัพอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ (ไม่ใช่ฉนวนกาซา) ตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม หรือก่อนหน้าสงครามกาซารอบล่าสุดเสียอีก 

ด้านทีมข่าว AFP Fact Check ในประเทศไทย ได้พิสูจน์แล้วว่า ภาพ “ศพ” ที่หลายคนอ้างว่าเป็น Mr. FAFO แกล้งตายนั้น จริงๆแล้วเป็นภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งชุดประกวดงานวันฮาโลวีนในจังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ต่างหาก

นอกจาก Mr. FAFO แล้ว ข่าวบิดเบือน Pallywood เช่นนี้ยังปรากฎขึ้นในอีกหลายรูปแบบ เช่น เอาคลิปเบื้องหลังการถ่ายภาพยนตร์ในเลบานอน มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์กำลังแต่งหน้าและแต้มสีเลือด ให้ดูเหมือนว่าบาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล, เอาภาพนักกิจกรรมในประเทศอียิปต์นอนแกล้งตายเพื่อประท้วงรัฐบาล มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์แต่งกายเป็นศพ เพื่อหลอกตาสื่อมวลชน เป็นต้น

เครื่องมือทางจิตวิทยา?

แน่นอนว่าคำถามหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นในใจหลายคนคือ ผู้ที่เผยแพร่และปั่นกระแส Pallywood เช่นนี้ มีจุดประสงค์เพื่ออะไร

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งได้แสดงความกังวลไว้ว่า ผลกระทบหนึ่งจากทฤษฎีสมคบคิด Pallywood คือจะค่อยๆทำให้ประชาชนที่รับข่าวสารเกี่ยวกับสงครามกาซาเกิดความเคลือบแคลงใจ และเริ่มคิดว่าสื่อหรือโซเชียลมีเดียที่เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับชาวปาเลสไตน์ไม่น่าเชื่อถือ จนทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ความจริง” กับ “ความเท็จ” ค่อยๆเลือนลงไป ทั้งที่มีหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ถึงวิกฤติมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในกาซา 

ดังที่ Sam Doak นักวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับข่าวบิดเบือน ให้สัมภาษณ์ไว้กับ Rolling Stone ว่าแนวคิดเช่นนี้เสี่ยงทำให้ผู้ที่รับชมข่าวสารมีทัศนคติเชิงลบต่อชาวปาเลสไตน์ เพราะปักใจเชื่อว่าชาวปาเลสไตน์พยายามหลอกลวงประชาชนทั่วโลก และมองว่าข่าวเกี่ยวกับความสูญเสียของพลเรือนปาเลสไตน์เป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น

“นี่คือการลดทอนความเป็นมนุษย์” Doak กล่าวสรุป

ข้อมูลสำหรับอ่านเพิ่มเติม

No, Palestinians Are Not Faking the Devastation in Gaza | Rolling Stone 

Clip shows teenager in West Bank hospital, not faked injuries in Gaza | AFP Fact Check

A thread on Pallywood conspiracy theory | Matt Binder 

พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทย I BBC Thai 


“ทักษิณ ชินวัตร” เป็นคนต้นคิดหลักสูตร บ.ย.ส. ?

Top Fact Checks Political

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

ปลายเดือนสิงหาคม 2568 มีการส่งข้อความทางแอปพลิเคชันไลน์และเฟซบุ๊กเรื่องการเรียกร้องให้ยกเลิกโครงการอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) โดยอ้างว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้คิดหลักสูตรนี้ โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเอกสารและแหล่งข่าวในศาลยุติธรรมไม่พบหลักฐานว่านายทักษิณเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของหลักสูตร บ.ย.ส. ซึ่งได้รับการอนุมัติโครงการสมัยรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อปี 2539 โดย ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นเป็นผู้เสนอ

เนื้อหาโดยสรุป

วันที่ 28 ส.ค. 2568 มีการส่งข้อความขนาดยาวทางไลน์อ้างถึงกรณีที่ผู้พิพากษาสองคน ทำหนังสือถึงประธานศาลฎีกาขอให้ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. และยกเลิกการกำหนดให้ผู้พิพากษาเข้าอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร, หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหาระดับสูง, หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน และหลักสูตรอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากไม่ก่อประโยชน์ในการทำงาน ใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า และส่งเสริมระบบอุปถัมภ์

ข้อความไลน์ระบุตอนหนึ่งว่าหลักสูตร บ.ย.ส. “ทำให้ข้าราชการระดับสูงได้พบเจอกับผู้บริหาร CEO ของบริษัทเอกชนที่มาเรียนด้วยกัน ทั้งกิน เที่ยว ดื่มด้วยกัน” โดยเฉพาะนายทุนขนาดใหญ่ที่เข้ามามีส่วนร่วมในหลักสูตรเพียงเพื่อมาเลี้ยงดูปูเสื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ข้าราชการ ทำให้เกิดความสนิทสนมและเกิดการเอื้อประโยชน์ให้กันในภายหลัง และยังอ้างด้วยว่าผู้ที่คิดค้นหลักสูตรนี้คือนายทักษิณ ชินวัตร

“ใครจะคิดหลักสูตรใหญ่นี้ได้ ถ้าไม่ใช่ขาใหญ่ทำลายชาติ ทำลายโครงสร้างที่เคยดีงาม นอกจากชายโฉดที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร” ข้อความที่ส่งต่อกันทางไลน์ระบุ 

นอกจากจะส่งต่อกันในแอปพลิเคชันไลน์แล้ว ข้อความนี้ยังถูกแชร์โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนหนึ่งในวันเดียวกัน

โคแฟคตรวจสอบ

ลำดับเหตุการณ์

ประเด็นการเรียกร้องให้ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2568

วันที่ 14 ม.ค. 2568 สำนักข่าวอิศรารายงานว่านายบุญเขตร์ พุ่มทิพย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางและนายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการตุลาการ ได้ทำบันทึกข้อความถึงประธานศาลฏีกาเพื่อขอให้ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. และกำหนดไม่ให้ผู้พิพากษาเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิบไตยสำหรับนักบริหาระดับดับสูง (ป.ป.ร.) หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) หรือหลักสูตรอื่นในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าหลักสูตรอบรมต่าง ๆ ไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดแก่การปฏิบัติงานของข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ทั้งยังอาจนำไปสู่การผิดวินัยของผู้พิพากษา ส่งเสริมระบบอุปถัมภ์ ซึ่งนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคม และเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า

วันที่ 23 ม.ค. 2568 คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน ประชุมโดยบรรจุวาระพิจารณาข้อเสนอยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. ของศาลยุติธรรมเพื่อป้องกันระบบอุปถัมภ์ แต่ตัวแทนผู้บริหารหลักสูตร บ.ย.ส. ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการ

วันที่ 29 พ.ค. 2568 นางชนากานต์ ธีรเวชพลกุล ประธานศาลฎีกา เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการบริหารหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง ครั้งที่ 1/2568 เพื่อพิจารณาแผนการดำเนินการอบรม หลักสูตร บ.ย.ส. รุ่นที่ 30 ประจำปี 2568  

วันที่ 1 ส.ค. 2568 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กเชิญชวนให้ประชาชนตั้งคำถาม เรียกร้องความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูล รวมทั้งจับตาการใช้เงินงบประมาณเพื่อดำเนินการหลักสูตร บ.ย.ส. โดยระบุว่า “หลักสูตรนักบริหาร สามารถเลือกเชิญบุคคลใดก็ได้เข้าร่วม ทำให้ข้าราชการระดับสูงได้พบ CEO บริษัทเอกชน นายทุนขนาดใหญ่ กินเที่ยวดื่มด้วยกัน เลี้ยงดูปูเสื่อ สนิทสนมและเอื้อประโยชน์กันได้ในภายหลัง” และ “เมื่อผู้พิพากษาไปรู้จักกับคนที่อาจมาเป็นคู่ความวันหลัง การรู้จักกันในวงแคบทำให้เกิดการช่วยเหลือกันแบบลับ ๆ วงในมีพื้นที่พิเศษ วงนอกเข้าไม่ได้ ทำให้ความน่าเชื่อถือของศาลลดลง” 

วันที่ 15 ส.ค. 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วาระที่ 2 และ 3 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน อภิปรายขอปรับลดงบประมาณที่ศาลยุติธรรมขอ 16 ล้านบาทเพื่อจัดหลักสูตร บ.ย.ส. โดยให้เหตุผลว่าสถาบันตุลาการเป็นองค์กรที่ประชาชนคาดหวังให้ทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ เที่ยงตรง และปราศจากอคติ แม้ว่าผู้พิพากษาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลภายนอกที่เรียนร่วมกันได้ “แต่ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นทันทีหากบุคคลดังกล่าวกลายมาเป็นคู่ความในคดีที่ผู้พิพากษารับผิดชอบในอนาคต” 

นายพริษฐ์อ้างถึงหนังสือของผู้พิพากษาสองคน ถึงประธานศาลฎีกาที่ขอให้ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. และผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยผู้พิพากษาทั้งสองซึ่งพบว่า 87% ของผู้พิพากษาทั้งหมด 1,455 คนที่ตอบแบบสอบถามเห็นว่าหลักสูตร บ.ย.ส. กระทบต่อความน่าเชื่อถือของผู้พิพากษา และ 82% เห็นว่าควรยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส.

วันที่ 19 ส.ค. 2568 คณะกรรมการบริหารหลักสูตร บ.ย.ส.ประชุมครั้งที่ 2/2568 โดยมีการพิจารณาถึงความจำเป็นและประโยชน์ของการจัดหลักสูตร บ.ย.ส. ตลอดจนข้อสังเกต ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่บุคลากรของศาลยุติธรรม คณะกรรมาธิการต่าง ๆ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประชาชน ได้ส่งมายังคณะกรรมการฯ หรือเผยแพร่ตามสื่อ ซึ่งคณะกรรมการฯ ลงความเห็นว่า “หลักสูตร บ.ย.ส. เป็นหลักสูตรวิชาการที่เป็นประโยชน์” จากนั้นได้พิจารณาและอนุมัติรายชื่อผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. รุ่นที่ 30 จำนวน 90 คน กำหนดรายงานตัววันที่ 31 ต.ค. 2568

ข้อความไลน์และเฟซบุ๊กอ้าง “ทักษิณ” ต้นคิด บ.ย.ส.

โคแฟคตรวจสอบพบว่า ข้อความที่โพสต์ในเฟซบุ๊กและส่งต่อกันทางไลน์นั้นเป็นข้อความที่องค์กรต่อต้านคอรัปชัน (ACT) โพสต์ทางเพจเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 แต่ได้เติมข้อความว่า “ใครจะคิดหลักสูตรใหญ่นี้ได้…นอกจากชายโฉดที่ชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’” เข้ามา เพื่อเชื่อมโยงหลักสูตร บ.ย.ส. เข้ากับทักษิณ

นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ยืนยันกับโคแฟคว่าข้อความต้นฉบับของ ACT ไม่มีข้อความใดที่พาดพิงถึงนายทักษิณแน่นอน และรู้สึกไม่สบายใจที่มีผู้นำข้อความขององค์กรไปบิดเบือน

เปรียบข้อความในโพสต์ต้นฉบับขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT) กับโพสต์ที่นำข้อความของ ACT มาบิดเบือนโดยเติมประโยคที่อ้างว่านายทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้คิดหลักสูตร บ.ย.ส.

ต้นกำเนิด บ.ย.ส. 

โคแฟคตรวจสอบตรวจสอบข้อเท็จจริงของคำกล่าวอ้างที่ว่านายทักษิณเป็นคนต้นคิดหลักสูตร บ.ย.ส. โดยค้นคว้าจากเอกสารที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ศาลยุติธรรม และนำมาเทียบเคียงกับประวัติการทำงานทางการเมืองของนายทักษิณ พบข้อมูลดังนี้

รายงานเรื่อง “การประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.)” ของนางกรชศา เจริญเลิศ ซึ่งเป็นผลงานการศึกษาส่วนบุคคลของผู้เข้าอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. รุ่นที่ 14 ปี 2553 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาของหลักสูตร บ.ย.ส.ว่า มีที่มาจากปัญหาที่ว่าการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรมกระจัดกระจายอยู่หลายกรมหลายกระทรวง แต่ละหน่วยงานต่างมีหลักการ ดุลยพินิจและแนวปฏิบัติต่างกัน อีกทั้งยังขาดการประสานความร่วมมือกันทำให้กระบวนการยุติธรรมเกิดปัญหาและอุปสรรค 

ปี 2539 คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นเป็นประธาน “คณะกรรมการประสานกระบวนการยุติธรรม” ประกอบด้วยผู้แทนจากศาล กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด กรมการปกครอง กรมตำรวจ กรมราชทัณฑ์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และสภาทนายความ

วันที่ 18 ม.ค. 2539 คณะกรรมการฯ ที่ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นประธานได้เสนอ “โครงการอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.)” ต่อ ครม. ซึ่ง ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2539 อนุมัติโครงการอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้ทำความตกลงเรื่องงบประมาณกับสำนักงบประมาณต่อไป การอบรมรหลักสูตร บ.ย.ส. จึงได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรก (รุ่นที่ 1) ระหว่างวันที่ 25 ต.ค.2539 – พฤษภาคม 2540  

ปัจจุบันโครงการอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. ดำเนินการโดยวิทยาลัยการยุติธรรม สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เพิ่งประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมอบรมที่ผ่านการคัดเลือกรุ่นที่ 30 ไปเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2568

ทำความรู้จักหลักสูตร บ.ย.ส. เพิ่มเติมจากเอกสารที่เผยแพร่โดยวิทยาลัยการยุติธรรมด้านล่าง

ทักษิณทำอะไรช่วงปี 2539?

ฐานข้อมูลนักการเมืองของสถาบันพระปกเกล้าระบุว่านายทักษิณเข้าสู่เส้นทางการเมืองเมื่อ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม เชิญมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2537 ในสมัยรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย แต่ทักษิณลาออกหลังจากอยู่ในตำแหน่งได้เพียง 101 วัน เนื่องจากรัฐธรรมนูญขณะนั้นระบุว่ารัฐมนตรีต้องไม่มีกิจการสัมปทานกับรัฐ 

จากนั้นวันที่ 28 พ.ค. 2538 ทักษิณได้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังธรรม และลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เขต 2 กรุงเทพมหานคร ในการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.ค. 2538 โดยชนะการเลือกตั้งได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 1 ในเขตที่ลงสมัคร หลังเลือกตั้ง ทักษิณเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2538 โดยรับผิดชอบงานด้านการจราจรและระบบขนส่งมวลชน แต่ได้ลาออกและพ้นจากตำแหน่งรองนายกฯ เมื่อ 23 พ.ค. 2539 และลาออกจากพรรคพลังธรรมในเวลาต่อมา

ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายทักษิณกลับมาเป็นรองนายกฯ อีกครั้งช่วงสั้น ๆ ระหว่าง 15 ส.ค. – 9 พ.ย. 2540 หลังกจากนั้นเขาจึงได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในปี 2541  

ข้อสรุปโคแฟค

ปี 2539 ซึ่งเป็นปีที่หลักสูตร บ.ย.ส. ถือกำเนิดขึ้นนั้น ประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีจากพรรคชาติไทย ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งวันที่ 13 ก.ค. 2538 และพ้นจากตำแหน่งวันที่ 25 พ.ย. 2539 จากการประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2539

ครม.บรรหารมีนายทักษิณ ชินวัตร (พรรคพลังธรรม) เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม (พรรคมวลชน) เป็นรัฐมนตรีว่ากระทรวงยุติธรรม 

แม้นายทักษิณจะดำรงตำแหน่งรองนายกฯ ใน ครม. บรรหารที่มีมติอนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมในการดำเนินการหลักสูตรอบรม บ.ย.ส. เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2539 แต่เขาเป็นรองนายกฯ ที่ดูแลเรื่องการจราจร ไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านยุติธรรม ซึ่งอยู่ในความดูแลของ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการประสานกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้เสนอโครงการอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. ให้ ครม.อนุมัติ นายทักษิณจึงไม่น่ามีความเกี่ยวข้องกับการริเริ่มหลักสูตร บ.ย.ส. และโคแฟคยังไม่พบหลักฐานอื่นที่ระบุว่านายทักษิณเป็นผู้ต้นคิดหลักสูตรนี้

โคแฟคสอบถามจากแหล่งข่าวผู้พิพากษาที่ติดตามการดำเนินงานของหลักสูตร บ.ย.ส. ได้รับคำยืนยันว่านายทักษิณไม่ได้มีส่วนในการก่อตั้งหลักสูตร บ.ย.ส. อย่างแน่นอน โคแฟคพยายามติดต่อ ร.ต.อ.เฉลิม เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมแต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ และยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 30 สิงหาคม 2568

ฝานมะนาวใส่แก้ว เติมน้ำร้อน ทิ้งไว้แล้วดื่ม สามารถรักษามะเร็งได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/rhuou32yjvlj


ไทยยิงกระสุนฟอสฟอรัสใส่พื้นที่พลเรือนกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/v73vurpddxvi


จีนซ้อมรบกับไทย ส่งสัญญาณเตือนกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1b3jln7qe3qq0


ชาวเขมรทำแกงกุ้งแม่น้ำอวดคนไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3itb7dy75m22e


คลิปเจ้าหน้าที่ไทยส่งยาให้ผู้ป่วยเขมร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3dhu3lkrkjt8s


คลิปกระสุนจิ๋วรูปทรงคล้ายจรวด อาวุธสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2z27h92g7vu9p


เตือนภัยไฟไหม้โทรศัพท์มือถือขณะชาร์จแบตฯ ทิ้งไว้ตอนกลางคืน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/4qfi3yabuyt0


นมแมลงสาบ ให้พลังงานมากกว่านมวัว 3 เท่า อาจเป็น “ซุปเปร์ฟู้ด” แห่งอนาคต

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2y0nk2eg75fny#_=_


ตำรวจภูธรจังหวัดยะลา และ สภ.เมืองยะลา ประกาศมาตรการห้ามเยาวชนออกนอกบ้านหลัง 4 ทุ่ม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18r7a92egl3ry


”สนามบินดอนเมือง“ ประกาศ ขึ้นค่าจอดรถ สูงสุด 140 บาท มีผล 1 ธ.ค. 68 เป็นต้นไป

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1znlhmq976i6l#_=_


ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ นายกฯ อิ๊งค์ พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนน 6 ต่อ 3 เสียง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/t1l38l64a8c3


กสทช. เคาะแผนช่วยประชาชน แพ็กเกจมือถือธงฟ้า 210 บาท/เดือน เน้นโทร + เน็ตความเร็วสูง คาดพร้อมใช้ไตรมาส 4 ปีนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tkcio6wsn5mi


มอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่ – กาญจนบุรี เปิดวิ่งฟรี 7 ด่าน เริ่ม 15 สิงหาคมนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/i141dsqj6krk


จับ-ส่งกลับ‘นักเรียนกัมพูชา’แม่พาลอบเข้าเมืองตั้งแต่เล็ก : กฎหมายคุ้มครองสิทธิ..แต่น่าห่วงกระแสเกลียดชัง

By : Zhang Taehun

เป็นข่าวใหญ่ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 28 ส.ค. 2568 เมื่อสื่อหลายสำนักเสนอข่าว ครูโพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่านักเรียนชายวัย 13 ปี ชาวกัมพูชา ถูกจับกุมและจะถูกผลักดันออกนอกประเทศไทย เนื่องจากเป็นบุคคลเข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงในสังคมไทย ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนให้ผลักดันออกนอกประเด็นกับฝ่ายที่เรียกร้องให้หาวิธีทำให้เด็กคนดังกล่าวได้เรียนในไทยต่อตามหลักมนุษยธรรม ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ หลังเกิดการสู้รบเมื่อวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา 

สถานการณ์ล่าสุด ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)ได้ประสานงานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อขอรับเด็กและมารดาเข้ารับการสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพที่บ้านพักเด็กและครอบครัว (บพด.) จังหวัดสุรินทร์ เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วนงานที่เกี่ยวข้องที่จะดำเนินการขั้นต่อไปทั้งในเรื่องการพิสูจน์สัญชาติและให้สัญชาติ โดยทางพม.เน้นย้ำการคุ้มครองสิทธิและสวัดดิภาพของเด็ก ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) มาตรา 22 ด้วยการดูแลเด็กไม่ว่าจะสัญชาติหรือเชื้อชาติใด ถ้าอาศัยอยู่ในประเทศไทย จะต้องได้รับการคุ้มครอง ทั้งสิทธิและสวัสดิภาพ

– ลำดับเหตุการณ์

สถานีโทรทัศน์ช่อง 7HD รายงานโดยระบุว่า ครูที่โพสต์คลิปดังกล่าวเล่าว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2568 หลังจากที่เคารพธงชาติเสร็จ ก็มีรถตำรวจมารับตัวนักเรียนรายนี้ไป เนื่องจากมีผู้ไปแจ้งความในข้อกล่าวหา เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต นักเรียนกับแม่ มีสัญชาติกัมพูชา มีสามีเป็นคนไทยในอำเภอบัวเชด ได้นำลูกศิษย์ของครูเข้ามาตั้งแต่วัยทารก และไม่เคยกลับเข้าไปที่กัมพูชาอีกเลย แต่ในเวลาต่อมาครูท่านเดิมชี้แจงเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบเอกสารตามใบเกิด (สูติบัตร) พบว่าชื่อพ่อของนักเรียนไม่ใช่คนไทย สิ่งที่ทำได้คือติดตามนักเรียนและหาวิธีการช่วยเหลือสนับสนุนแบบใกล้ชิด ซึ่งทุกอย่างดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการตามกฎหมาย

สำนักข่าว Nation รายงานว่าได้สอบถาม นายศิริโชค เผ่าเพ็ญ ชายชาวไทยซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของเด็กชาวกัมพูชา ซึ่งเดินทางมาให้ปากคำที่ สภ.บัวเชด จ.สุรินทร์ โดยนายศิริโชค เล่าว่า ตนเองเลี้ยงเด็กชาวกัมพูชามาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ และเข้าเรียนในโรงเรียนของประเทศไทยตั้งแต่เด็ก โดยตนรู้จักกับหญิงชาวกัมพูชา แม่ของเด็กคนนี้ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน เนื่องจากไปบวชอยู่ที่ประเทศกัมพูชา และหลังจากสึกมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ภรรยาก็ได้พาลูกวัย 3 ขวบมาอยู่ด้วย 

พ.ต.อ.สราวุธ  ศรีวิฑูรย์ศักดิ์  ผกก.สภ.บัวเชดชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2568 มีผู้แจ้งเบาะแสว่ามีชาวกัมพูชาในพื้นที่ อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ จึงส่งพนักงานสอบสวนลงพื้นที่ ซึ่งพบกับตัวของแม่เด็ก จึงนำตัวมาสอบสวน เตรียมจะผลักดันกลับประเทศ แต่ตัวของแม่บอกว่าลูกเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน ทำให้เจ้าหน้าที่กลับมาคิดว่าถ้าจะผลักดันแม่กลับไปคนเดียวแล้วลูกจะอยู่กับใคร จึงได้ให้ตำรวจไปเชิญตัวเด็กมาจากโรงเรียน ตามที่ปรากฏเป็นข่าว

จากการตรวจสอบพบหญิงชาวกัมพูชามีเอกสารติดตัวเพียงบัตรผ่านแดนชั่วคราว พบว่าผ่านเข้ามาทาง “ช่องสะงำ” จ.ศรีสะเกษ และมีตราประทับแค่ฝั่งของกัมพูชา แต่ไม่มีตราประทับของด่านตำรวจตรวจคนเข้าเมืองช่องสะงำ แสดงว่าไม่ได้ผ่าน ตม.ไทย อีกทั้งตามหลักแล้วบัตรผ่านแดนชั่วคราวจะอยู่ได้แค่ภายในจังหวัดนั้นๆ  คือ จ.ศรีสะเกษ ทำให้การเข้ามาไม่ถูกต้อง และยังพบอีกว่าบัตรผ่านแดนนั้นเข้ามาตั้งแต่ปี 2560 ส่วนเด็กชายไม่มีเอกสารบัตรผ่านแดนมีเพียงใบเกิด ที่ระบุว่าเกิดที่ไหนวันที่เท่าไหร่

ตลอดเวลาช่วงบ่าย มีรายงานที่ไม่ตรงกันจากสื่อต่างๆ ว่าเด็กและแม่ถูกผลักดันกลับประเทศกัมพูชาแล้วหรือไม่ กระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น. เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” เผยแพร่ข่าวระบุว่า นายวราวุธ  ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า ได้ประสานไปยังศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) จังหวัดสุรินทร์ และทีม พม.หนึ่งเดียวจังหวัดสุรินทร์ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) 

เจ้าหน้าที่จึงได้ลงพื้นที่และทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ โดยประสานงานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อขอรับเด็กและมารดาเข้ารับการสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพที่บ้านพักเด็กและครอบครัว (บพด.) จังหวัดสุรินทร์ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจากนี้ไป ต้องเป็นการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าจะมีการดำเนินการในลักษณะใด แต่ในมิติของกระทรวง พม. จะต้องส่งเสริมให้เด็กได้รับการศึกษาและจัดที่พักอาศัยให้ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) มาตรา 22 ด้วยการดูแลเด็กไม่ว่าจะสัญชาติหรือเชื้อชาติใด ถ้าอาศัยอยู่ในประเทศไทย จะต้องได้รับการคุ้มครอง ทั้งสิทธิและสวัสดิภาพ นายวราวุธ กล่าว 

อย่างไรก็ตาม นายวราวุธ ย้ำว่า กระทรวง พม. ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการให้สัญชาติกับใคร กรณีการพิสูจน์สัญชาติ ว่ามารดามีการเข้าเมืองมาอย่างไร เด็กมีสัญชาติใด คงจะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ เนื่องจากกระทรวง พม. ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการที่จะเข้าไปตรวจสอบแต่ระหว่างอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบนั้นเด็กและมารดาจะอยู่ภายใต้การดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพของกระทรวง พม.

ในช่วงเย็นของวันที่ 28 ส.ค. 2568 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์ เรื่อง เน้นย้ำหลักการประโยชน์สูงสุดของเด็ก กรณีตำรวจเข้าจับกุมนักเรียนรหัส เพื่อส่งกลับกัมพูชา โดยย้ำว่า อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม มีหลักการสำคัญระบุให้การดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ไม่ว่าจะกระทำโดยสถาบันทางสังคม หรือองค์กรใด ผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก และรัฐภาคีต้องยอมรับสิทธิของเด็กที่จะได้รับการศึกษาบนพื้นฐานของโอกาสที่เท่าเทียมกัน

กสม. เห็นว่า กรณีการจับกุมเด็กนักเรียนรายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักสิทธิเด็กและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เนื่องด้วยเป็นการจับกุมที่ไม่มีหมายจับ ไม่มีเหตุแห่งการกระทำความผิดซึ่งหน้า เด็กมีสถานะเป็นเพียงผู้ติดตามมารดาเข้าเมืองมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กและไม่มีเจตนาหลบหนี อีกทั้งการเข้าไปจับกุมเด็กในพื้นที่โรงเรียนอาจสร้างบาดแผลทางจิตใจให้แก่เด็กได้ในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น การส่งตัวกลับประเทศต้นทางในทันทีอาจทำให้เด็กนักเรียนรายดังกล่าวซึ่งไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาประเทศบ้านเกิดได้ เสียสิทธิ ขาดโอกาสและความต่อเนื่องในการได้รับการศึกษาโดยสิ้นเชิง แถลงการณ์ระบุ 

แถลงการณ์ กสม. ยังระบุด้วยว่า ขอให้การดำเนินการใดๆ ของทุกฝ่ายคำนึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นที่ตั้ง โดยไม่ควรมีกรณีการจับกุมเด็กต่างชาติในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ กสม. ขอให้สังคมร่วมกันยุติการสร้างความเกลียดชังด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติในทุกรูปแบบ เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมที่พึ่งพาอาศัยกันได้อย่างสันติ

– เด็กต่างด้าวกับการเข้าถึงการศึกษาในประเทศไทย เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายใดบ้าง?

ในระดับ กฎหมายระหว่างประเทศ ไทยมีพันธะต้องปฏิบัติตาม อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) เนื่องจากได้ร่วมลงนามร่วมเป็นภาคีไว้เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2535 อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก มีจำนวนทั้งสิ้น 54 ข้อ โดยในข้อ 1 ให้นิยามว่าเด็กคือมนุษย์ทุกคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เว้นแต่จะบรรลุนิติภาวะก่อนหน้านั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับแก่เด็กนั้น , ข้อ 2 ในส่วนข้อย่อย 2.1 รัฐภาคีจะเคารพและประกันสิทธิตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญานี้แก่เด็กแต่ละคนที่อยู่ในเขตอำนาจของตน โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติไม่ว่าชนิดใดๆ โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือทางอื่น ต้นกำเนิดทางชาติ ชาติพันธุ์ หรือสังคม ทรัพย์สิน ความทุพพลภาพ การเกิดหรือสถานะอื่นๆ ของเด็ก หรือบิดา มารดา หรือผู้ปกครองตามกฎหมาย และ 2.2 รัฐภาคีจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมทั้งปวง เพื่อที่จะประกันว่าเด็กได้รับการคุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติหรือการลงโทษในทุกรูปแบบ บนพื้นฐานของสถานภาพ กิจกรรมความคิดเห็นที่แสดงออก หรือความเชื่อของบิดา มารดา ผู้ปกครองตามกฎหมาย หรือสมาชิกในครอบครัวของเด็ก , 

ข้อ 22 ระบุว่า 22.1 รัฐภาคีจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมที่จะประกันว่า เด็กที่ร้องขอสถานะเป็นผู้ลี้ภัย หรือที่ได้รับการพิจารณาเป็นผู้ลี้ภัยตามกฎหมายหรือกระบวนการภายในหรือระหว่างประเทศที่ใช้บังคับ ไม่ว่าจะมีบิดามารดาของเด็กหรือบุคคลอื่นติดตามมาด้วยหรือไม่ก็ตามจะได้รับการคุม้ครองและความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมที่เหมาะสมในการได้รับสิทธิที่มีอยู่ ตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญานี้ และในตราสารระหว่างประเทศอื่นๆ อันเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหรือมนุษยธรรม ซึ่งรัฐดงักล่าวเป็นภาคี

22.2 เพื่อวัตถุประสงคนี้ รัฐภาคีจะให้ความร่วมมือตามที่พิจารณาว่าเหมาะสมแก่ความพยายามใดๆ ของทั้งองค์การสหประชาชาติและองค์การระดับรัฐบาล หรือองค์การที่มิใช่ระดับรัฐบาลอื่นที่มีอำนาจ ซึ่งร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติในการคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กเช่นว่า และในการติดตามหาบิดามารดาหรือสมาชิกอื่นของครอบครัวของเด็กผู้ลี้ภัย เพื่อให้ได้รับข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นสำหรับการกลับไปอยู่ร่วมกันใหม่เป็นครอบครัวของเด็ก ในกรณีที่ไม่สามารถค้นพบบิดามารดาหรือสมาชิกอื่นๆ ของครอบครัว เด็กนั้นจะได้รับการคุม้ครองเช่นเดียวกับเด็กที่ถูกพรากจากสภาพครอบครัว ทั้งที่เป็นการถาวรหรือชั่วคราวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ดังเช่นที่ได้ระบุไว้ในอนุสัญญานี้

ข้อ 28 ระบุว่า รัฐภาคียอมรับสิทธิของเด็กที่จะได้รับการศึกษา และเพื่อที่จะให้สิทธินี้บังเกิดผลตามลำดับและบนพื้นฐานของโอกาสที่เท่าเทียมกัน รัฐภาคีจะ 28.1 จัดการศึกษาระดับประถมเป็นภาคบังคับที่เด็กทุกคนสามารถเรียนได้โยไม่เสียค่าใช้จ่าย 28.2 สนับสนุนการพัฒนาของการศึกษาระดับมัธยมในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการศึกษาสายสามัญและสายอาชีพ จัดการศึกษาให้แพร่่หลายและเปิดกว้างแก่เด็กทุกคน และด าเนินมาตรการที่เหมาะสมเช่น การนำมาใช้ซึ่งการศึกษาแบบให้เปล่าและการเสนอให้ความช่วยเหลือทางการเงินในกรณีที่จา เป็น

28.3 ทำให้การศึกษาในระดับสูงเปิดกว้างแก่ทุกคนบนพื้นฐานของความสามารถ โดยทุกวิธีการที่เหมาะสม 28.4 ทำให้ข้อมูลข่าวสาร และการแนะแนวทางการศึกษาและอาชีพ เป็นที่แพร่หลายและเปิดกว้างแก่เด็กทุกคน และ 28.5 ดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการเขา้เรียนอย่างสม่ำเสมอ และลดอัตราการออกจากโรงเรียนกลางคัน

ขณะที่ กฎหมายในประเทศ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 22 ระบุว่า การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม การกระทำใดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก หรือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็กหรือไม่ ให้พิจารณาตามแนวทางที่กำหนดในกฎกระทรวง , 

มติคณะรัฐมนตรี 5 ก.ค. 2548 นำไปสู่การออก ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษา เข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548 ซึ่งในข้อ 5 ระบุว่า ให้สถานศึกษาถือเป็นหน้าที่ในการที่จะรับเด็กที่อยู่ในวัยการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับเข้าเรียนในสถานศึกษา กรณีเด็กย้ายที่อยู่ใหม่ สถานศึกษาต้องอำนวยความสะดวก และติดตามให้เด็กได้เข้าเรียนในสถานศึกษาที่ใกล้กับที่อยู่ใหม่ , 

ข้อ 6 ระบุว่า การรับนักเรียน นักศึกษาในกรณีที่ไม่เคยเข้าเรียนในสถานศึกษามาก่อน ให้สถานศึกษาเรียกหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งตามลำดับเพื่อนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา ดังต่อไปนี้ (1) สูติบัตร (2) กรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม (1) ให้เรียกหนังสือรับรองการเกิด บัตรประจำตัวประชาชนสำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน หรือหลักฐานที่ทางราชการจัดทำขึ้นในลักษณะเดียวกัน (3) ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม (1) หรือ (2) ให้เรียกหลักฐานที่ทางราชการออกให้ หรือเอกสารตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ใช้ได้

(4) ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม (1) (2) และ (3) ให้บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือองค์กรเอกชน ทำบันทึกแจ้งประวัติบุคคลตามแบบแนบท้ายระเบียบนี้เป็นหลักฐานที่จะนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา (5) ในกรณีที่ไม่มีบุคคล หรือองค์กรเอกชนตาม (4) ให้ซักถามประวัติบุคคลผู้มาสมัครเรียน หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำลงรายการบันทึกแจ้งประวัติบุคคลตามแบบแนบท้ายระเบียบนี้เป็นหลักฐานที่จะนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา

ระเบียบดังกล่าวยังถูกย้ำอีกครั้งใน ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การรับนักเรียน นักศึกษาที่ไม่มีหลักฐาน ทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2562 ระบุในข้อ 3 ว่า ให้สถานศึกษารับเด็กหรือบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย เข้าเรียนตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ.2548 และตรวจสอบเอกสาร หลักฐานทางทะเบียนราษฎรของเด็กหรือบุคคลที่สมัครเข้าเรียน 

หากมีเอกสารหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือเลขประจำตัว 13 หลัก ให้ดำเนินการตามขั้นตอนปกติของสถานศึกษา หากไม่มีเอกสารหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือเลขประจำตัว 13 หลัก ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนในการกำหนดรหัสประจำตัวผู้เรียนในระบบกำหนดรหัสประจำตัวผู้เรียนเพื่อเข้ารับบริการการศึกษาสำหรับผู้ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ไปจนกว่าจะได้รับการจัดทำทะเบียนราษฎรและได้เลขประจำตัว 13 หลัก ตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร

นอกจากนั้น มติ ครม.วันที่ 5 ก.ค. 2548 ยังให้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวให้แก่สถานศึกษาที่จัดการศึกษาให้แก่กลุ่มบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลายในอัตราเดียวกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จัดสรรให้แก่เด็กไทย , ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาดำเนินการออกระเบียบให้สอดคล้องกับระเบียกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548 , ให้หน่วยงานฝึกอาชีพทุกส่วนราชการยอมรับหลักฐานทางการศึกษาที่ออกให้แก่เด็กตามระเบียบฯ เป็นต้น 

– พ.ร.บ.อุ้มหาย ห้ามผลักดันออกหากมีแนวโน้มว่าออกไปแล้วจะเป็นอันตราย : โคแฟคได้รับความเห็นเพิ่มเติมจาก นายวุฒิชัย พุ่มสงวน อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุดศูนย์อัยการคุ้มครองสิทธิเด็กเยาวชนและสถาบันครอบครัว ที่ระบุว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 13 กำหนดห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ส่งกลับหรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากเห็นควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย

ดังนั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐตามนิยามศัพท์ของกฎหมายฉบับนี้ เมื่อตามข้อเท็จจริงก็รับรู้กันอยู่ทั่วไปว่าปัจจุบันกัมพูชามีสถานการณ์ความไม่สงบ กับประเทศไทย ย่อมไม่มีความแน่ชัดว่าส่งเด็กคนนี้ข้ามกลับไปที่กัมพูชา อาจจะถูกมองว่าเป็นสายลับของคนไทย และอาจจะถูกกระทำที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมก็ได้ จึงเข้าข้อห้ามตามมาตรา 13 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่สามารถส่งตัวเด็กคนดังกล่าวกลับไปได้ นายวุฒิชัย กล่าว 

นายวุฒิชัย ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนั้น เด็กดังกล่าวมีอายุต่ำกว่า 18 ปีจึงเป็นเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก และอาจจะเป็นกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการสงเคราะห์ หรือคุ้มครองสวัสดิภาพตามกฎหมาย ตามที่เจ้าพนักงานคุ้มครองเด็กจะไปสืบเสาะข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการช่วยเหลือเด็กดังกล่าว ตามกฎหมาย ต่อไป

ทั้งหมดข้างต้นนี้เป็นเรื่องราวในมุมกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่ที่น่าห่วงกว่าคือ กระแสความเกลียดชังบนโลกออนไลน์ เพราะหากดูความเห็นตามเพจสำนักข่าว ความเห็นจำนวนมากเรียกร้องให้ผลักดันทั้งแม่และเด็กออกไป (แม้กระทั่งในเพจของกระทรวง พม. เองก็เกิดปรากฏการณ์ ทัวร์ลง มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นเชิงตำหนิเป็นจำนวนมากในโพสต์ข่าวและคลิปที่รัฐมนตรีแถลงเว่า พม.ได้รับแม่และเด็กไปดูแล) นอกเหนือจากความไม่รู้ในข้อกฎหมายที่รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยต้องปฏิบัติตาม!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.ch7.com/sports/823755 (ครูน้ำตาร่วง นร. 13 ปี พ่อเป็นไทยแม่เป็น กพช. โดนแจ้งจับต่างด้าว : ช่อง 7HD 28 ส.ค. 2568)

https://www.ch7.com/sports/823762 (เคส 13 ปี ถูกจับต่างด้าว ครูชี้แจงตรวจสอบใบเกิด พ่อเด็กก็เป็น กพช. : ช่อง 7HD 28 ส.ค. 2568)

https://www.nationtv.tv/news/social-news/378966106 (เปิดใจพ่อเลี้ยง ด.ช.กัมพูชา หลังถูกตำรวจจับผลักดันกลับประเทศ : Nation 28 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/share/p/1BUpo9F1ST/ (UPDATE: ตม.สุรินทร์ นำตัวเด็กและแม่กัมพูชา กลับมาที่ พม.สุรินทร์ เพื่อสอบสวนเพิ่มเติม ยังไม่ส่งกลับกัมพูชา : The Reporters 28 ส.ค. 2568)

https://tna.mcot.net/region-1577979 (เด็กชายวัย 13 ปี กลับกัมพูชาพร้อมแม่แล้ว : สำนักข่าวไทย อสมท. 28 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/share/v/1AQrgbSmuN/(“วราวุธ” เผย พม. รับ ด.ช. 13 ปี-มารดา เข้าคุ้มครองสวัสดิภาพตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) มาตรา 22 : กระทรวง พม. 28 ส.ค.2568)

https://humanrights.mfa.go.th/human-rights-for-youth/convention-on-the-rights-of-the-child/ (อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก : กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ)

https://law.m-society.go.th/law/view/33 (พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 : กองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)

https://reapdd.moe.go.th/wp-content/uploads/2025/02/หนังสือ-A4-2024_คู่มือการจัดการเด็กไม่มีสัญชา_compressed.pdf (หนังสือ คู่มือและแนวปฏิบัติสำหรับการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย (ฉบับปรับปรุงใหม่ พ.ศ.2567) โดยกระทรวงศึกษาธิการ , หน้า 10 – 22)

https://resolution.soc.go.th/?prep_id=204015 (มติ ครม. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐาน วัน เดือน ปีเกิด ในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. …. (การจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย) 5 ก.ค. 2548)

คลิปวิดีโอ AI เผยแพร่เนื้อหาบิดเบือน อ้าง “จีนร่วมซ้อมรบกับไทย ส่งสัญญาณเตือนกัมพูชา” 

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2568 อ้างว่ากองทัพจีนซ้อมรบร่วมกับไทยเพื่อส่งสัญญาณเตือนที่กัมพูชาหักหลังจีน พบว่าเป็นเนื้อหาบิดเบือน เนื่องจากข้อมูลจากกองทัพไทยยืนยันได้ว่า ไม่มีการซ้อมรบร่วมไทย-จีน นับตั้งแต่เกิดเหตุความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 จนถึงปัจจุบัน (27 ส.ค. 2568)

เนื้อหาโดยสรุป

วันที่ 23 ส.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “หาไสได้ ว๊า” โพสต์คลิป Reel ฝังข้อความว่า “เขมรเดือด!! จีนซ้อมรบกับไทย ตื่นตระหนกถึงฮุนเซน” “เมื่อจีนโดนเขมรหักหลัง” และ “จีนซ้อมรบไทย โชว์อาวุธท็อปคลาส ฮุนเซนผวา” เสียงบรรยายพูดว่า “จีนส่งกองเรือรบชุดใหญ่พร้อมเครื่องบินขับไล่มาซ้อมรบครั้งประวัติศาสตร์กับกองทัพไทยในอ่าวไทย นี่ไม่ใช่การซ้อมรบธรรมดา ๆ แต่เป็นการส่งสารฉบับใหญ่ที่สุดเขียนด้วยดินปืนและเชื้อเพลิงไอพ่นส่งตรงไปถึงตระกูลฮุนว่าแกคิดผิดแล้วที่มาหักหลังฉัน”  

บัญชีเฟซบุ๊ก “หาไสได้ ว๊า” โพสต์คลิป Reel ฝังข้อความว่า “เขมรเดือด!! จีนซ้อมรบกับไทย ตื่นตระหนกถึงฮุนเซน”

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคสืบค้นต้นตอของคลิปนี้จากเครดิตที่อ้างอิงในวิดีโอ พบว่าเป็นคลิปที่ตัดมาจากวิดีโอความยาว 8.31 นาที ที่เผยแพร่ทางบัญชีติ๊กตอกชื่อ “propertyexpertlive” เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2568 ซึ่งมียอดเข้าชมกว่า 2 ล้านครั้งและถูกแชร์ต่อกว่า 4,000 ครั้ง (ณ วันที่ 27 ส.ค. 2568) ต่อมาวันที่ 24 ส.ค. 2568 วิดีโอนี้ได้ถูกเผยแพร่ทางช่องยูทูบ “สันติเล่าข่าว” มียอดเข้าชมกว่า 34,000 ครั้ง

เสียงและผู้บรรยายในวิดีโอนี้ถูกสร้างขึ้นจากเอไอ และแทรกภาพประกอบจากหลายแหล่งที่มา เสียงบรรยายสรุปใจความได้ว่า จีนได้ร่วมซ้อมรบกับไทยซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเตือนกัมพูชาว่าจีนไม่พอใจที่รัฐบาลกัมพูชามีทีท่าหันเข้าหาสหรัฐอเมริกา ทั้งที่ที่ผ่านมาจีนได้ทุ่มเททรัพยากรช่วยเหลือกัมพูชามาตลอด 

ภาพจากวิดีโอที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ “สันติเล่าข่าว” เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2568 โดยใช้ผู้บรรยายที่สร้างจากเอไอ
ส่วนภาพประกอบมีทั้งที่นำมาจากสำนักข่าวและที่สร้างจากเอไอ

วิดีโอนี้อ้างถึงการซ้อมรบระหว่างกองทัพจีนกับไทย 2 ครั้ง คือ Blue Strike 2025 และ Falcon Strike 2025 ในลักษณะที่สร้างความเข้าใจว่าการซ้อมรบนี้เกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. 2568  

โคแฟคสืบค้นข้อมูลจากเว็บไซต์ของกองทัพเรือและกองทัพอากาศพบว่า Blue Strike และ Falcon Strike เป็นรหัสการซ้อมรบร่วมระหว่างไทยกับจีนที่ดำเนินการมาเป็นเวลานานหลายปี สำหรับปี 2568 การซ้อมรบร่วม Blue Strike 2025 ครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มี.ค.- 2 เม.ย. 2568 ณ เมืองจ้านเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วน Falcon Strike 2025 เดิมกำหนดจัดในวันที่ 28 ก.ค. – 8 ส.ค. 2568 ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี แต่ล่าสุดได้เลื่อนออกไปเป็นเดือน ก.ย. 2568

ไทม์ไลน์ซ้อมรบร่วมไทย-จีน

การซ้อมรบทางทะเล Blue Strike

ข้อมูลจากกองทัพเรือระบุว่า การฝึกผสมกองทัพเรือไทย-กองทัพเรือสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้รหัสการฝึก Blue Strike จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ต.ค.-14 พ.ย. 2553 บริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และอ่าวไทยตอนบน นับจากนั้นกองทัพเรือทั้งสองประเทศก็สลับกันเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกผสม ดังนี้

  • Blue Strike 2012 จัดที่เมืองจ้านเจียง และเมืองซ่านเหวย สาธารณรัฐประชาชนจีน
  • Blue Strike 2016 จัดที่ จ.จันทบุรี
  • Blue Strike 2019 จัดที่เมืองซ่านหวุ่ย มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
  • Blue Strike 2023 จัดที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
  • Blue Strike 2025 จัดที่เมืองจ้านเจียง มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 25 มี.ค. – 2 เม.ย. 2568 ซึ่งสำนักข่าวซินหัวรายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายอู๋เชียน โฆษกกระทรวงกลาโหมของจีนเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2568 ว่าการซ้อมรบร่วมทางทะเลระหว่างกองทัพเรือจีนกับไทยภายใต้รหัส Blue Strike นี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางทะเล โดยกองทัพเรือทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายยกระดับความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้งเสริมสร้างมิตรภาพและความไว้วางใจผ่านการกระชับความร่วมมือในการซ้อมรบร่วมซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค
เพจเฟซบุ๊ก “กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ” โพสต์ภาพพิธีปิดการฝึกผสม Blue Strike 2025 ณ ค่าย NANTING
เมืองจ้านเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568

การซ้อมรบทางอากาศ Falcon Strike

ข้อมูลจากรายงานข่าวของสำนักข่าวต่าง ๆ และข้อมูลที่เผยแพร่โดยกองทัพอากาศระบุว่า การฝึกผสมกองทัพอากาศไทย-จีน รหัส Falcon Strike จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2558 ในชื่อ Falcon Strike 2015 ระหว่างวันที่ ระหว่างวันที่ 16-27 พ.ย. 2558  ณ กองบิน 1 จ.นครราชสีมา จากนั้นจัดขึ้นอีกหลายครั้งเกือบทุกปี เช่น Falcon Strike 2018, Falcon Strike 2019, Falcon Strike 2022, Falcon Strike 2023 และ Falcon Strike 2024 ทั้งหมดจัดขึ้น ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี

สำหรับการฝึกร่วมกองทัพอากาศไทย-จีน Falcon Strike 2025 นั้น เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “RTAF News” ซึ่งเป็นเพจข่าวทางการของกองทัพอากาศที่เผยแพร่ข้อมูลโดยกองประชาสัมพันธ์ กองกิจการพลเรือนทหารอากาศ ได้โพสต์ภาพการลงนามบันทึกข้อตกลงการฝึกผสม Falcon Strike 2025 ระหว่างผู้แทนกองทัพอากาศไทย คือ พล.อ.ต.สิทธิพล ป้อมตรี กับผู้แทนกองทัพอากาศจีน คือ น.อ. (พิเศษ) Sun Jun ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี โดยมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ก.ค.-8 ส.ค. 2568 ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี

เพจเฟซบุ๊ก RTAF News โพสต์ภาพการลงนามบันทึกข้อตกลงการฝึกผสม Falcon Strike 2025 ระหว่างผู้แทนกองทัพอากาศไทยกับผู้แทนกองทัพอากาศจีน เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2568 ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี

จากนั้นวันที่ 2 มิ.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “กองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force” โพสต์ภาพและข้อความว่าผู้อำนวยการกองอำนวยการฝึกผสมของกองทัพอากาศไทยและจีนร่วมประชุมวางแผนขั้นสุดท้ายและลงนามบันทึกข้อตกลงการฝึก ณ เมืองคุณหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยย้ำกำหนดการเดิม คือ 28 ก.ค.-8 ส.ค. 2568 ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี

แต่สุดท้ายแล้ว การฝึกผสม Falcon Strike 2025 ก็ได้เลื่อนออกไป โดยเจ้าหน้าที่กองประชาสัมพันธ์ฯ ให้ข้อมูลกับโคแฟคเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2568 ว่าการฝึกผสม Falcon Strike 2025 จะจัดขึ้นในช่วงกลางเดือน ก.ย. 2568

ข้อสรุปโคแฟค

คลิปวิดีโอ “จีนซ้อมรบไทย ส่งสัญญาณเตือนกัมพูชา” ซึ่งใช้ภาพและเสียงผู้บรรยายที่สร้างจากเอไอ ให้ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับการซ้อมรบร่วมไทย-จีน

การตรวจสอบของโคแฟคพบว่า แม้กองทัพเรือและกองทัพอากาศของไทยและจีนจะมีการซ้อมรบร่วมกันจริง ได้แก่ การซ้อมรบทางทะเล รหัส Blue Strike และการซ้อมรบทางอากาศ รหัส Falcon Strike แต่การซ้อมรบทางทะเลในปี 2568 หรือ Blue Strike 2025 ได้เสร็จสิ้นไปตั้งแต่เดือน เม.ย. 2568 ที่ประเทศจีน ส่วนการซ้อมรบทางอากาศ Falcon Strike 2025 นั้น กองทัพอากาศไทยและจีนได้ลงนามในข้อตกลงตั้งแต่เดือน มี.ค. 2568 ว่าจะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือน ก.ค. 2568 แต่ได้เลื่อนไปเป็นเดือน ก.ย. 2568 การซ้อมรบร่วมระหว่างไทยกับจีนจึงไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่เริ่มตึงเครียดมาตั้งแต่ปลายเดือน พ.ค. 2568 จนเกิดการปะทะที่ชายแดนระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 นอกจากนี้เนื้อหาในคลิปยังนำการฝึกผสมระหว่างกองทัพไทยและจีนที่มีมานานแล้ว มาบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับท่าทีของจีนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาอีกด้วย

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

ระวังข่าวลวง! เปิดความจริงท่ามกลางความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

กิจกรรม

วันที่ 26 สิงหาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าว” ออกอากาศตอนที่ 14 โดยมีนายสุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ ร่วมด้วยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, นายสุผจญ กลิ่นสุวรรณผู้สื่อข่าวพิเศษไทยรัฐ และนายบัญชา จันทร์สมบูรณ์จากกองบรรณาธิการโคแฟค เพื่อถกประเด็นข่าวลวงที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาพร้อมแนะแนวทางรับมือเพื่อให้ประชาชนตั้งสติและตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ

สุภิญญา กลางณรงค์: เรียกร้องสติและข้อเท็จจริง

สุภิญญา กลางณรงค์: เรียกร้องสติและข้อเท็จจริง

นางสาวสุภิญญา เริ่มต้นด้วยการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตั้งสติท่ามกลางกระแสข้อมูลที่ล้นทะลักโดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาซึ่งแม้จะเริ่มคลี่คลาย แต่ข่าวลือและข้อมูลบิดเบือนยังคงสร้างความสับสนทั้งในหมู่ประชาชนไทยและกัมพูชา เธอชี้ว่า ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเพียงพอแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องบิดเบือนเพื่อเพิ่มความขัดแย้ง พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก เพื่อลดความเกลียดชังและความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น เธอยังยกตัวอย่างปรากฏการณ์ “ปีงู” ที่แสดงถึงความร้อนแรงในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง ศาสนา หรือการทหาร ทั้งนี้ แม้จะรักชาติแต่ก็ต้องอยู่บนข้อเท็จจริง และเน้นย้ำบทบาทของสื่อมวลชนที่ต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนด้วยการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง

สุผจญ กลิ่นสุวรรณ: ประสบการณ์ลงพื้นที่และความท้าทายในการแปล

นายสุผจญ เล่าประสบการณ์การลงพื้นที่สัมภาษณ์คณะผู้แทนจากอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งรวมถึงทูตเยอรมันและตัวแทนจากองค์กร Golden West ที่ทำงานด้านการกู้ระเบิด เขายกตัวอย่างกรณีคลิปสัมภาษณ์ที่ถูกนำไปตัดต่อและแชร์ในกัมพูชา จนกลายเป็นไวรัลด้วยยอดวิว 4.3 ล้านครั้ง พร้อมข้อความโจมตีว่าเขาเป็น “ขี้ขโมย” ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ข้อมูลบิดเบือนเพื่อปลุกกระแสชาตินิยม นอกจากนี้ เขายังชี้ถึงปัญหาการแปลข้อมูลจากภาษาอังกฤษเป็นไทย โดยเฉพาะกรณีการสัมภาษณ์คณะผู้แทนเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับระเบิดที่พบในพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งคำว่า “new” (ใหม่) ถูกตีความผิดพลาดจนทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นระเบิดที่ฝังใหม่ สร้างความสับสนในวงกว้าง เขาเน้นย้ำว่า ความละเอียดอ่อนในการแปลและการรายงานข่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

นายสุผจญ ยังเปรียบเทียบเสรีภาพสื่อระหว่างไทยและกัมพูชา โดยระบุว่าไทยอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียนในด้านเสรีภาพสื่อ โดยติมอร์ – เลสเต อยู่อันดับ 1 ขณะที่กัมพูชาอยู่อันดับ 9 จาก 180 ประเทศ ซึ่งแสดงถึงข้อจำกัดของสื่อกัมพูชาที่ถูกควบคุมผ่านนโยบาย Single Gateway ทำให้ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจากกัมพูชาในเวทีสากลลดลง เขาแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวและหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพื่อป้องกันการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา

(หมายเหตุ : เป็นการจัดอันดับโดยองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน – RSF ในรายงาน World Press Freedom Index 2025 อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน ติมอร์ – เลสเตยังเป็นเพียงว่าที่สมาชิกอาเซียนเท่านั้น โดยจะมีการรับรองการเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์ ในเดือน ต.ค. 2568 ในการประชุม ASEAN Summit ที่มาเลเซีย)

บัญชา จันทร์สมบูรณ์: ตรวจสอบข่าวลวงด้วยเครื่องมือดิจิทัล

นายบัญชา แบ่งปันประสบการณ์การตรวจสอบข่าวลวง โดยยกตัวอย่างกรณีคลิปที่อ้างว่าเป็นการรื้อบ้านชาวกัมพูชาในบริเวณชายแดน แต่เมื่อตรวจสอบด้วยGoogle Lens พบว่าเป็นเหตุการณ์ในอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับการรื้อสถานบันเทิงที่พัวพันกับยาเสพติดอีกกรณีคือคลิปที่อ้างว่าเป็นรถถังกัมพูชาระเบิด แต่แท้จริงแล้วมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์เดอะซันของอังกฤษตั้งแต่ปี 2567 เขาอธิบายว่า การตรวจสอบภาพและคลิปที่มีแคปชั่นซับซ้อนอาจใช้เวลานานถึงครึ่งวันหรือมากกว่า และแนะนำให้ประชาชนใช้เครื่องมืออย่าง Google Lens เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของภาพหรือคลิปก่อนแชร์นอกจากนี้ เขายังชี้ถึงความท้าทายในยุค AI ที่ข่าวลวงถูกสร้างด้วยเทคโนโลยีที่แนบเนียนมากขึ้น จึงอยากได้เครื่องมือตรวจสอบที่ตามทันมากขึ้น

นายบัญชายังยกบทความจากนิตยสาร The Diplomat ที่เขียนโดยนักวิชาการชาวกัมพูชา ซึ่งระบุว่าสื่อกัมพูชาขาดเสรีภาพและถูกควบคุมอย่างเข้มงวดเมื่อเทียบกับไทย ซึ่งมีสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศและสำนักข่าวระดับโลกตั้งสำนักงานอยู่ ส่งผลให้ไทยได้รับความน่าเชื่อถือในเวทีสากลมากกว่า

จากประเด็นที่วิทยากรทั้งสามท่านนำเสนอ สามารถสรุปแนวทางปฏิบัติเพื่อรับมือข่าวลวงได้ดังนี้:

1. ตั้งสติก่อนแชร์ : ประชาชนควรรอตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีอารมณ์ชาตินิยมเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของการปลุกปั่น

2. ใช้เครื่องมือตรวจสอบ: ใช้ Google Lens หรือเครื่องมือดิจิทัลอื่นๆ เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของภาพและคลิป โดยเฉพาะเมื่อมีแคปชั่นที่อาจบิดเบือนความจริง

3. ยึดข้อเท็จจริง : สื่อมวลชนต้องรายงานตามคำให้การของแหล่งข่าวอย่างตรงไปตรงมา และระบุชัดเจนหากข้อมูลยังไม่ได้รับการยืนยัน เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ

4. เพิ่มความรอบคอบในการแปล : ในสถานการณ์ระหว่างประเทศ การแปลข้อมูลต้องคำนึงถึงบริบทและความละเอียดอ่อน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง

5. ส่งเสริมเสรีภาพสื่อ : สนับสนุนให้สื่อในภูมิภาคอาเซียนยกระดับความเป็นมืออาชีพและทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล

รายการนี้สะท้อนถึงความท้าทายของข่าวลวงในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น โดยเฉพาะในบริบทความขัดแย้งไทย-กัมพูชา วิทยากรทั้งสามเน้นย้ำว่า สื่อมวลชนและประชาชนต้องร่วมกันตั้งสติ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และใช้เครื่องมือดิจิทัลให้เกิดประโยชน์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวงที่อาจนำไปสู่ความเกลียดชังและความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น พร้อมทั้งเรียกร้องให้รักษาเสรีภาพสื่อและเพิ่มความรับผิดชอบในการรายงาน เพื่อให้สังคมยึดมั่นในข้อเท็จจริงและลดผลกระทบจากข้อมูลบิดเบือน


เอ๊ะ!! ยังไง? ‘อยู่จังหวัดที่ประกาศแต่ไม่ได้-ได้แต่ข้อความภาษาอังกฤษ’

บทความ

เสียงสะท้อนถึงระบบ ‘Cell Broadcast’พายุคาจิกิ

By : Zhang Taehun

ภาพ 01 ตัวอย่างข้อความแจ้งเตือนพายุ าจิกิ (Kajiki)” เป็นภาษาอังกฤษ (2 ภาพซ้าย – ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาษาไทย (2 ภาพขวา ภาคใต้ ภาคกลางและภาคตะวันออกเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2568

ตามข้อความในภาพข้างบนที่ปรากฎในโทรศัพท์มือถือของประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันอาทิตย์ที่ 24 ส.ค. 2568 แปลและสรุปความจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยได้ว่า ขอให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ริมตลิ่ง ที่ลาดเชิงเขา ระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่งและดินโคลนถล่ม ผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงดังกล่าวขอให้ยกสิ่งของขึ้นที่สูง ย้ายสมาชิกในครัวเรือนที่เป็นกลุ่มเปราะบางไปอยู่ในที่ปลอดภัย และเตรียมการอพยพหากจำเป็น โดยอ้างถึงพายุ คาจิกิ (Kajiki) และลงท้ายด้วย “DDPM” ซึ่งก็ทำให้หลายคนตื่นตกใจ รวมถึงบ้างก็สงสัยว่าเป็นการส่งข้อความจากมิจฉาชีพเพื่อทำกลอุบายหลอกลวงเหยื่อหรือไม่ 

แจ้งเตือนจริง ไม่ใช่มิจฉาชีพ

โคแฟคได้ตรวจสอบไปที่เพจเฟซบุ๊ก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM” ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พบว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการแจ้งเตือนจริง” โดยตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 24 ส.ค. 2568 ปภ.ได้แชร์โพสต์จากเพจเฟซบุ๊กของกรมอุตุนิยมวิทยา ที่ระบุว่า พายุโซนร้อนกำลังแรง คาจิกิ บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ห่างจากเมืองดองฮอย ประเทศเวียดนาม ประมาณ 570 กม. กำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตกด้วยความเร็ว 20 กม./ชม.(ช้าลงเล็กน้อย) 

กรมอุตุฯได้ชี้แจงว่า พายุนี้มีแนวโน้มจะมีกำลังแรงขึ้นได้อีก เมื่อเคลื่อนเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับหลังจากเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ช่วงวันที่ 25 -26 ส.ค. 2568 อิทธิพลของพายุ คาดว่าจะทำให้ในช่วงวันที่ 24–27 ส.ค. 2568 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณภาคอีสานตอนบน ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรงยังต้องติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดในระยะนี้ สถานการณ์ยังมีการเปลี่ยนแปลง

ในโพสต์ต่อมา ปภ. ระบุว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 24 ส.ค. 2568 ที่ห้องประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ของปภ. นายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์การเฝ้าระวังพายุโซนร้อนกำลังแรง “คาจิกิ” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ช่วงวันที่ 24 – 27 ส.ค. 2568 โดยนายสหรัฐ กล่าวว่า ปภ. ได้ทำการแจ้งให้ประชาชนให้ทราบและเตรียมพร้อมรับมือกับพายุคาจิกิ และได้เตรียมพร้อมระบบ Cell Broadcast เพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง” เพื่อให้รับทราบสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที และจะได้สามารถอพยพกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้ทันท่วงที

จากนั้นในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน เพจเฟซบุ๊กของ ปภ. ระบุเริ่มส่งข้อความแจ้งเตือนประชาชนผ่าน Cell Broadcast จำนวน 4 โพสต์ โดย โพลต์แรก ระบุพื้นที่เสี่ยง 17 จังหวัดภาคเหนือ คือ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ นครสวรรค์และอุทัยธานี , โพสต์ที่สอง ระบุพื้นที่เสี่ยง 15 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) คือ เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมาและอุบลราชธานี, โพสต์ที่สาม ระบุพื้นที่เสี่ยง 15 จังหวัดในภาคกลางและภาคตะวันออก คือ กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ชัยนาท ลพบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ และ โพสต์ที่สี่ ระบุพื้นที่เสี่ยง 5 จังกวัดในภาคใต้ คือ ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ตและกระบี่ ทั้งนี้ จังหวัดที่ถูกระบุในทั้ง 4 โพสต์ดังกล่าว จะมีข้อความลงท้ายด้วยว่าให้ติดตามข่าวสารราชการอย่างใกล้ชิด และในช่วงเวลาเดียวกัน สื่อมวลชน อาทิ ไทยรัฐ , TNN , The Nation เป็นต้น ได้เริ่มรายงานข่าวแล้ว

– ประชาชนงงจังหวัดเดียวกัน เหตุใดบางคนได้รับข้อความแจ้งเตือนแต่บางคนม่ได้

อย่างไรก็ตาม หากเข้าไปดูความคิดเห็น (Comment) ในเพจเฟซบุ๊ก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM ของ ปภ. ในโพสต์ซึ่งระบุจังหวัดที่ ปภ. แจ้งเตือนพายุคาจิกิผ่านระบบ Cell Broadcast จะพบเสียงสะท้อนจากประชาชนบางส่วนว่าตนเองไม่ได้รับข้อความแจ้งเตือน แม้จะอยู่ในจังหวัดที่ถูกประกาศว่าจะมีการแจ้งเตือนก็ตาม เช่น บางคนบอกว่าคนรอบข้างได้รับข้อความกันหมดแต่ตนเองไม่ได้ ขณะที่มีบางความเห็นพยายามช่วยเหลือด้วยการแนะนำวิธีเปิดระบบแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือ ตามที่สื่อและหน่วยงานต่างๆ เคยแนะนำไว้หลังเกิดกรณีประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบแต่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา

ภาพ 02 เสียงสะท้อนจากประชาชน กรณีเตือนพายุคาจิกิ 

– อีกหนึ่งข้อข้องใจบางคนได้เฉพาะภาษาไทย บ้างได้เฉพาะภาษาอังกฤษ หรือบ้างก็ได้ทั้ง 2 ภาษา : แม้หลายคนจะได้รับข้อความแจ้งเตือน (ดังตัวอย่างในภาพนี้) แต่ในเพจของ ปภ. วันที่ 24 ส.ค. 2568 นับตั้งแต่เมื่อเริ่มทยอยส่งข้อความแจ้งเตือน ก็มีเสียงสะท้อนอยู่บ้างว่ามีบางคนได้รับเฉพาะภาษาไทย หรือเฉพาะภาษาอังกฤษ ซึ่งในส่วนของผู้ที่ได้รับข้อความแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast เฉพาะภาษาอังกฤษ ก็แสดงความเป็นห่วงเรื่องผู้รับที่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ นอกจากนั้นในส่วนของผู้ที่ได้รับข้อความแจ้งเตือนทั้ง 2 ภาษา ก็อยากให้เรียงจากภาษาไทยก่อนแล้วค่อยตามด้วยภาษาอังกฤษ 

นอกจากเพจของ ปภ. เองแล้ว จากที่สำรวจเพจสำนักข่าวและอื่นๆ ที่พูดถึงเรื่องการแจ้งเตือนพายุคาจิกิผ่าน Cell Broadcast พบความเห็นส่วนใหญ่ระบุว่าได้รับข้อความแจ้งเตือน โดยมีรายงานเริ่มได้รับตั้งแต่เวลาประมาณ 15.00 น. แต่ก็มีเสียงสะท้อนเช่นเดียวกัน คือบางคนไม่ได้แม้จะอยู่ในจังหวัดที่ประกาศแจ้งเตือน หรือบางคนก็ได้เฉพาะข้อความภาษาอังกฤษ รวมถึงบ้างก็ตกใจในทีแรกเพราะเข้าใจว่าเป็นมิจฉาชีพ  

จึงขอฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสียงสะท้อนเหล่านี้ไปปรับปรุงระบบการแจ้งเตือนภัยพิบัติให้ดีขึ้นเพื่อป้องกันความสับสนและให้ประชาชนในพื่นที่เสี่ยงได้รับข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วนเพื่อเตรียมตัวป้องกันได้ทันท่วงที!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.facebook.com/DDPMNews/posts/pfbid0JVXURNnBNUr95jbqU6i6uT44fx2hfNCmTH8EtBbRr6hPfAzk9vR1nxQoFc9LXozdl?rdid=1AlNen5twA4Vs2UM# (กรมอุตุนิยมวิทยาอัปเดตสถานการณ์พายุหมุนเขตร้อนเช้าตรู่วันนี้ (24/8/68) : ปภ.แชร์โพสต์จากกรมอุตุฯ)

https://www.facebook.com/share/p/1D5HapAXMH/ (ปภ.ประชุมติดตามสถานการณ์พายุ“คาจิกิ” กำชับพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังรับมือสถานการณ์ พร้อมส่งเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำการพื้นที่เสี่ยงเป็นการล่วงหน้า และเตรียมพร้อมระบบ Cell Broadcast แจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบอย่างรวดเร็วและทั่วถึง) 

https://www.facebook.com/share/p/16pXf46Xsy/ (โพสต์ ปภ. เตือนพายุคาจิกิ 17 จังหวัดภาคเหนือ)

https://www.facebook.com/share/p/15DpS2JfnA/(โพสต์ ปภ. เตือนพายุคาจิกิ 15 จังหวัดภาคอีสาน)

https://www.facebook.com/share/p/1BHnpC9bef/(โพสต์ ปภ. เตือนพายุคาจิกิ 15 จังหวัดภาคกลางและตะวันออก)

https://www.facebook.com/share/p/1EwXyG8pft/(โพสต์ ปภ. เตือนพายุคาจิกิ 5 จังหวัดภาคใต้)

https://www.thairath.co.th/news/local/2878505 (ปภ.ส่ง Cell Broadcast แจ้งเตือนพายุ “คาจิกิ” เช็ก 15 จังหวัดเตรียมรับมือ : ไทยรัฐ 24 ส.ค. 2568) 

https://www.tnnthailand.com/earth/209194/ (ปภ. ส่ง Cell Broadcast แจ้งเตือน “พายุคาจิกิ” 17 จังหวัดระวังน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าหลาก : TNN 24 ส.ค. 2568) 

https://www.nationthailand.com/news/general/40054443 (DDPM issues cell broadcast alerts to 15 provinces as storm Kajiki brings risk of flash floods, run-offs, and heavy rain from August 24–27. : The Nation 24 ส.ค. 2568)

https://www.scira.kmitl.ac.th/5101/ (Cell Broadcast เทคโนโลยีเตือนภัยที่เป็นมากกว่าระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหว : สำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ สจล.)

https://ndwc.disaster.go.th/ndwc/cms/7017?id=130360 (ปักหมุดวันทดสอบแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast : ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ  29 เม.ย. 2568)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=979311737714551&set=a.243987694580296 (วิธีเปิดแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน ” Cell Broadcast Service ” : ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท. 27 เม.ย. 2568)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1131116305717372&set=a.976089214553416 (วิธีเปิดแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน ” Cell Broadcast Service ” : NBT Connext 28 เม.ย. 2568)

ภาพ 03 วิธีเปิดรับการแจ้งเตือนผ่านระบบ Cell Broadcast 

ที่มา : เพจเฟซบุ๊ก “NBT Connext’ ของสถานีโทรทัศน์ NBT กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 28 เม.ย. 2568): บทความ “Cell Broadcast เทคโนโลยีเตือนภัยที่เป็นมากกว่าระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหว เขียนโดย กฤษฎา แก้ววัดปริง ที่ปรึกษาสำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) อ้างถึงเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 ชี้ให้เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องมีระบบ Cell Broadcast เพื่อแจ้งเตือนประชาชน เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เหตุร้ายในพื้นที่สาธารณะ และอื่นๆ อีกมากมาย 

“Cell Broadcast เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่ออกแบบมาเพื่อส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่เป้าหมาย โดยไม่จำเป็นต้องทราบเบอร์โทรศัพท์หรือข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ เทคโนโลยีนี้ทำงานผ่านเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Towers) จึงสามารถส่งข้อความพร้อมกันในวงกว้างได้ภายในไม่กี่วินาที แม้ในสถานการณ์ที่เครือข่ายโทรศัพท์อาจมีการใช้งานหนาแน่น ความพิเศษของ Cell Broadcast อยู่ที่การทำงานแบบ One-to-Many คือสามารถส่งข้อความเดียวไปถึงผู้ใช้จำนวนมากพร้อมกัน ต่างจากการส่ง SMS ทั่วไปที่เป็นแบบ One-to-One ทำให้ไม่เกิดความล่าช้าหรือคอขวดในการส่งข้อความ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในสถานการณ์ฉุกเฉิน บทความดังกล่าว อธิบายการทำงานของ Cell Broadcast 

ในวันที่ 29 เม.ย. 2568 เว็บไซต์ ndwc.disaster.go.th ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ แจ้งว่าจะมีการทดสอบส่งข้อความแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast 3 ระดับ ได้แก่ 1.ระดับเล็ก (ภายในอาคาร) ใน 5 พื้นที่ ได้แก่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรี ศาลากลางจังหวัดสงขลา และอาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคาร A และอาคาร B กรุงเทพมหานคร ในวันศุกร์ที่ 2 พ.ค. 2568 เวลา 13.00 น. 

2.ระดับกลาง (ระดับอำเภอ) ใน 5 พื้นที่ ประกอบด้วย อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ อ.เมืองนครราชสีมา จ. นครราชสีมา อ.เมืองสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี และเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ในวันพุธที่ 7 พ.ค. 2568 เวลา 13.00 น. และ 3.ระดับใหญ่ (ระดับจังหวัด) ใน 5 พื้นที่ ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่ จ.อุดรธานี จ.พระนครศรีอยุธยา จ.นครศรีธรรมราช และกรุงเทพมหานคร ในวันอังคารที่ 13 พ.ค. 68 เวลา 13.00 น.

ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 27 เม.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท.’ ของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โพสต์ภาพอินโฟกราฟิก แนะนำวิธีการเปิดรับการแจ้งเตือนระบบ Cell Broadcast ดังนี้ 

สำหรับโทรศัพท์มือถือระบบ iOS” 1.ไปที่หน้าหลักเลือก ตั้งค่า (Settings) 2.เลือก ทั่วไป (General) 3.เลือก เกี่ยวกับ (About) 4.รอสักครู่ ระบบจะอัปเดตให้โดยอัตโนมัติ เมื่อมีข้อความเด้งขึ้นมา กด”ตกลง” 5.กลับไปยังหน้า การตั้งค่า เลือก การแจ้งเตือน 6.เลื่อนลงมาด้านล่างสุด จะพบหัวข้อ TH-ALERT (ติดตั้ง iOS 18 ขึ้นไป และ ไม่รองรับ iPhone X หรือเก่ากว่า) ผู้ให้บริการเวอร์ชันล่าสุด คือ AIS 63.0.1, TRUE 63.0.1 และ DTAC 63.0.1

สำหรับโทรศัพท์มือถือระบบแอนดรอยด์ 1.ไปที่ การตั้งค่า (Setting) เลือก >> ความปลอดภัยและเหตุฉุกเฉิน (Safety and emergency) เลือก >> แจ้งเตือนฉุกเฉินไร้สาย (Earthquake alerts) 2.เลื่อน เปิด “ อนุญาตการแจ้งเตือน ” 3.เลื่อน เปิด การแจ้งเตือน “ทุกเมนู” จะดีที่สุด (Android ติดตั้งเวอร์ชัน 12 ขึ้นไป) โดยหลังจากนั้นมีสำนักข่าวหลายแห่งได้นำไปเผยแพร่ต่อ


ผู้เชี่ยวชาญระบุ ไฟลุกไหม้โทรศัพท์ขณะชาร์จแบตฯ ทิ้งไว้ตอนนอน เกิดขึ้นได้จริงจากหลายปัจจัย

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาเตือนภัยจากการชาร์จแบตเตอรีโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ขณะนอนหลับว่าเสี่ยงต่อการเกิดไฟลุกไหม้หัวชาร์จและโทรศัพท์ โดยนักวิชาการด้านวิศวกรรมไฟฟ้าระบุว่าเนื้อหานี้ “เป็นจริง” แต่การเกิดไฟลุกไหม้โทรศัพท์ขณะชารจ์แบตเตอรีอาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ใช่เฉพาะการชาร์จทิ้งไว้นานหลายชั่วโมงขณะนอนหลับเท่านั้น

เนื้อหาโดยสรุป

วันที่ 6 ก.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Abdulhakim Maming” โพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพโทรศัพท์มือถือเกิดเปลวไฟลุกไหม้หัวชาร์จและโทรศัพท์มือถือขณะชาร์จแบตเตอรีไว้ข้างเตียงนอน พร้อมคำบรรยายว่า “อันตรายจากการชาร์จโทรศัพท์ตอนนอน” โดยไม่ได้ให้รายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติม ส่วนภาพวิดีโอประกอบน่าจะเป็นภาพที่สร้างขึ้นจากเอไอ ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์จริง ณ วันที่โคแฟคตรวจสอบ (26 ส.ค. 2568) คลิปนี้ถูกแชร์ไปแล้วมากกว่า 6,100 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบ

ดร.สุพรรณ ทิพย์ทิพากร หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลกับโคแฟคว่า เหตุไฟลุกไหม้โทรศัพท์ขณะชาร์จแบตเตอรีเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุประกอบกัน ไม่ใช่เพียงเพราะเสียบสายชาร์จทิ้งไว้นานหลายชั่วโมงขณะนอนหลับ

ดร.สุพรรณอธิบายว่า โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันใช้แบตเตอรีลีเธียม-ไอออน (Lithium-ion: Li-ion) ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีคือมีความหนาแน่นในการเก็บพลังงานที่สูง มีน้ำหนักเบาและไม่มีปัญหา “memory effect” (แบตเตอรีถูกใช้ไฟไม่หมดประจุแล้วมีการนำไปชาร์จไฟใหม่บ่อย ๆ ทำให้แบตเตอรีไม่สามารถจำค่าสูงสุดที่เคยเก็บไว้ได้ แบตเตอรีจึงเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว) แบตเตอรีของโทรศัพท์มือถือรุ่นปัจจุบันจึงสามารถชาร์จเมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องรอให้แบตเตอรีหมดเหมือนอย่างแบตเตอรีนิกเกิล-แคดเมียม (Nickel-Cadmium: Ni-Cd)

อย่างไรก็ตาม แบตเตอรีลีเธียม-ไอออนจะมีความไวต่อความร้อนสูง กระบวนการทางเคมีภายในของแบตเตอรีจากการชาร์จจะทำให้เกิดความร้อน ซึ่งหากมีความร้อนสะสมมากเกินไปและควบคุมไม่ได้จนเกิด Thermal Runaway ก็จะทำให้เกิดการลุกไหม้ระเบิดขึ้นได้ 

นอกจากนี้ สาเหตุประกอบที่ทำให้เกิดไฟไหม้โทรศัพท์มือถือ ได้แก่ การใช้หัวชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน การเสื่อมตามอายุหรือการตกกระแทก การชาร์จในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงเช่น ตากแดด มีการใช้งานหนักขณะชาร์จ เช่น เล่นเกม และการชาร์จใต้หมอน ฟูก หรือที่นอน 

ดร.สุพรรณเตือนว่า แม้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ๆ จะมีระบบจำกัดไฟป้องกันการ overcharged ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟไหม้ต่ำลง หรือแม้จะใช้หัวชาร์จ สายชาร์จและแบตเตอรีของแท้จากผู้ผลิต แต่การเสียบชาร์จทิ้งไว้ขณะนอนหลับในเวลากลางคืนก็ไม่ถือว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะหากระบบป้องกันนั้นไม่ทำงานในขณะที่ผู้ใช้งานนอนหลับก็อาจไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองหรือระงับเหตุได้ทัน เพราะการลุกไหม้ของแบตเตอรีมีความรุนแรงและรวดเร็วมาก 

ที่ผ่านมามีรายงานเหตุไฟไหม้จากการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนแบตเตอรีโดยไม่ได้มาตรฐาน หรือจากการใช้แบตเตอรีที่เก่าและเสื่อมสภาพ หรือมีความเสียหายจากการถูกกระแทกมาก่อน 

ระทึก! ชาร์จมือถือไว้ในครัว ไฟชอร์ตควันคลุ้งเต็มบ้าน | ข่าวช่อง 8 วันที่ 3 ต.ค. 2566
https://youtu.be/fnYNsoBHEp4?si=O2l5kw8wCO4mfpD5
อุทาหรณ์! ชาร์จมือถือข้างที่นอน จู่ ๆไฟลุกไหม้ลามพุ่งเข้าหาตัว หนุ่มสะดุ้งตื่นดับได้ทัน | เรื่องเล่าเช้านี้ วันที่ 27 ก.ค. 2565
https://youtu.be/gaTdEkJLakk?si=kniuQrNGEzGJ933k

ข้อแนะนำสำหรับการชาร์จแบตเตอรีโทรศัพท์มือถืออย่างปลอดภัย  

  • ควรชาร์จมือถือในขณะที่ผู้ใช้สามารถมีสติอยู่สังเกตเห็นได้
  • ใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานจากผู้ผลิตและไม่เสื่อมสภาพ ไม่ใช้แบตเตอรีที่บวมหรือมีความเสียหาย
  • ชาร์จในสภาพแวดล้อมที่ไม่ร้อน ตากแดด
  • ขณะชาร์จไม่ควรใช้งานมือถือหนัก เช่น เล่นเกม
  • ไม่ชาร์จใกล้วัสดุติดไฟง่ายหรือกักความร้อนเช่นหมอน ฟูก ที่นอน  
  • สังเกตโทรศัพท์มือถือว่ามีความร้อนสูงมากขณะชาร์จหรือไม่

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

TikTok ยกระดับความปลอดภัย ร่วมมือ 12 หน่วยงาน สานต่อโครงการ

กิจกรรม

คนไทยรู้ทันซีซัน 2 เติมองค์ความรู้และป้องกันภัยดิจิทัลแก่คนไทย

ประเทศไทย, กรุงเทพฯ – 25 สิงหาคม 2568 – TikTok ประเทศไทย แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำของโลก ประกาศขยายความร่วมมือในโครงการ #คนไทยรู้ทันซีซัน 2 สู้ภัยออนไลน์ในปี 2568 ผนึกกำลังพันธมิตรเพิ่มอีก 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA), สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CCIB) ร่วมกับ 8 หน่วยงานหลักทั้งจากภาครัฐและประชาสังคม ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES), สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA), โครงการโคแฟค (Cofact), สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (OCPB), กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB), สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC), ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) รวมเป็น 12 หน่วยงาน เพื่อยกระดับองค์ความรู้และสร้างเกราะป้องกันภัยออนไลน์ที่แข็งแกร่งและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นให้กับคนไทย

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “กระทรวงดิจิทัลฯ ได้มุ่งมั่นปรับปรุงนโยบายและมาตรการทางกฎหมายให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยการสร้างความตระหนักรู้ด้านดิจิทัลให้กับประชาชนถือเป็นภูมิคุ้มกันที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์อย่างยั่งยืน เมื่อภาคประชาชนมีความเข้มแข็งและรู้เท่าทันภัยออนไลน์ต่าง ๆ โอกาสที่จะตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงจะน้อยลง กระทรวงดิจิทัลฯ ขอชื่นชมความมุ่งมั่นของ TikTok และพันธมิตรทั้ง 12 หน่วยงานที่ได้ร่วมมือในโครงการ #คนไทยรู้ทันซีซัน 2 ในครั้งนี้ เพราะเราเชื่อมั่นว่าการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางการรับมือกับการหลอกลวงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งภาครัฐและประชาสังคมจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนและสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นาวสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการโคแฟค(ประเทศไทย) กล่าวว่า ข้อมูลเท็จแพร่กระจายได้เร็วเท่ากับการปัดหน้าจอ เพื่อต่อสู้กับมัน ข้อเท็จจริงต้องรวดเร็วกว่า สร้างสรรค์กว่า และน่าสนใจกว่า ความร่วมมือของเรากับ TikTok ผ่านโครงการ #คนไทยรู้ทัน คือการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อความจริง เราจะสนับสนุนให้ครีเอเตอร์กลายเป็นเครือข่าย ‘ผู้มีอิทธิพลด้านข้อเท็จจริง’ ทั่วประเทศ เพื่อผลิตคอนเทนต์วิดีโอสั้นที่ทรงพลัง สามารถดักทางกลโกงที่พบบ่อยและสอนทักษะการคิดเชิงวิพากษ์แก่ผู้คนนับล้าน

นางชนิดา คล้ายพันธ์ Head of Public Policy for Southeast Asia, TikTok กล่าวว่า “TikTok มุ่งมั่นสร้างอนาคตดิจิทัลที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง จากความสำเร็จโครงการ “คนไทยรู้ทัน” ในปีแรก ที่มีผู้ทำคลิป TikTok ร่วมกิจกรรม #คนไทยรู้ทัน มากกว่า 2.5 ล้านคลิป และมียอดรับชมสูงถึง 3,400 ล้านครั้ง โดยมุ่งเน้นการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและอาศัยความเชี่ยวชาญของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมแบ่งบันข้อมูลที่น่าสนใจ ให้ความรู้ด้านภัยออนไลน์ให้กับคนไทยมาโดยตลอด นอกจากเราจะขยายพันธมิตรเพิ่มเป็น 12 หน่วยงานแล้ว เรายังได้ยกระดับการพัฒนาเนื้อหา สาระต่าง ๆ ให้ทันสมัย ครอบคลุม และตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ใช้มากยิ่งขึ้น โดยมุ่งหวังปลูกฝังเป็น New Online Behavior ใหม่ให้กับคนไทย เพื่อป้องกันตัวเองจากการหลอกลวงออนไลน์ ผ่านการสร้าง Big Idea ต่อยอดคอนเทนต์ให้ผู้คนจดจำได้และนำไปปฏิบัติจริงได้”

“TikTok เชื่อว่าการสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการมอบองค์ความรู้ด้านดิจิทัล ยังเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้แพลตฟอร์มของเราเป็นพื้นที่ปลอดภัย และมอบโอกาสให้คนไทยได้ต่อยอดพลังความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างต่อเนื่อง โดย #คนไทยรู้ทัน เป็นการยกระดับความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในมิติที่เข้มข้นกว่าเดิม เพราะการต่อสู้กับภัยออนไลน์ไม่ใช่งานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวจากทุกฝ่าย” นางชนิดา กล่าวเพิ่มเติม

การขยายความร่วมมือกับพันธมิตร: ครอบคลุมความปลอดภัยยิ่งขึ้น
โครงการ #คนไทยรู้ทันซีซัน 2 ในปี 2025 ได้รับแรงสนับสนุนจากพันธมิตรสำคัญจากทั้ง 12 หน่วยงาน ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ โดยสามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม หลัก ๆ ดังนี้
สร้างการตื่นตัวต่อภัยหลอกลวง – ที่จะร่วมกันสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับรูปแบบการหลอกลวงใหม่ ๆ ประกอบด้วย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES), กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB), สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA)


การซื้อขายออนไลน์ที่ปลอดภัย – เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่ง ทั้งยกระดับความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาสินค้าปลอมและสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ฟื้นความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ผู้ขาย และตลาด ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA), สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA), สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (OCPB), กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CCIB), และสภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC)


การป้องกันการหลอกลวงด้านการเงิน/การลงทุน – เพื่อรับมือกับการหลอกลงทุนที่มีรูปแบบซับซ้อนมากขึ้น ประกอบด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และโครงการโคแฟค (Cofact)

TikTok มุ่งสร้างความตระหนักรู้ การมีส่วนร่วม สู่การสร้างพื้นที่ดิจิทัลที่ปลอดภัย โดยตั้งเป้าหมายให้โครงการ #คนไทยรู้ทัน ซีซัน 2 เข้าถึงชาวไทยทุกคน ผ่านการสร้างเนื้อหาที่หลากหลายและเข้าใจง่าย และอาศัยพลังครีเอเตอร์มากกว่า 10 ราย ที่มีผู้ติดตามรวมกว่าหลายล้านราย อาทิ ช่อง พยาบาลอัญ (Aunnyc), Brighten_Studios, Prewery Land, 1 นาที รีวิว, mightyptk, Auichocky รีวิวไปเรื่อย, AMPOSSIBLE, KWA, นักพากย์ตั่วเฮีย🎤 บน TikTok เป็นต้น ช่วยส่งต่อสาระความรู้ โดยเน้นไปที่การให้ความรู้เชิงป้องกันและเสริมสร้างทักษะการรู้เท่าทันภัยออนไลน์ในทุกรูปแบบ ตั้งแต่การหลอกลวงพื้นฐานไปจนถึงเทคนิคหลอกลวงใหม่ ๆ ที่ซับซ้อน

นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษ “เอ๊ะ ถาม อ๋อ” หรือ #Hashtag Challenge ชวนครีเอเตอร์ร่วมสร้างสรรค์เนื้อหาวิดีโอไวรัล ตั้งแต่วันนี้ถึง 25 กันยายน 2568 เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยออนไลน์ เนื้อหาที่มีคุณภาพและมียอดชมสูงสุดจะได้ลุ้นรับรางวัลพิเศษ ซึ่งจะช่วยกระจายความรู้ไปสู่ชุมชนในวงกว้างและสร้างกระแสการตื่นตัวอย่างยั่งยืน เพราะการต่อสู้กับภัยออนไลน์ต้องอาศัยความร่วมมือและการดำเนินการร่วมกันจากทุกฝ่าย เมื่อทุกคนมีส่วนร่วม เราจะสามารถสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและมั่นคงได้

คนไทยรู้ทันซีซัน2 #TikTokThailand #DigitalSafety #OnlineSafety #ThaiAware2.0

เกี่ยวกับ TikTok
TikTok คือแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลก ที่มีพันธกิจหลักในการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์และมอบความสุขให้กับผู้คน TikTok มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ลอสแองเจลิสและสิงคโปร์ และสำนักงานสาขาอื่น ๆ ได้แก่ นิวยอร์ค ลอนดอน ดับลิน ปารีส เบอร์ลิน ดูไบ จาการ์ตา โซล และโตเกียว www.tiktok.com