‘ข่าวลวง-ข้อมูลบิดเบือน’ภัยคุกคามโลก ยุค ‘AI’ยิ่งเนียนแยกยาก ‘รู้เท่าทัน’ยิ่งจำเป็น ‘ตรวจสอบ’หน้าที่ทุกคน

กิจกรรม

11 ก.พ. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท. ThaiPBS และกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมจัดงานวันอินเทอร์เน็ตปลอดภัยสากล (Safer Internet Day 2025) ยกระดับรับมือข้อมูลลวง 4.0 เพื่อลดภัยคุกคามโลก

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum หรือ WEF) กำหนดให้ข่าวลวงเป็นวาระแห่งโลก โดยระบุว่า ในห้วงเวลา 2 – 3 ปีนี้ เรื่องของข้อมูลบิดเบือน – คลาดเคลื่อน (Disinformation , Misinformation) คือภัยคุกคามอันดับ 1 ของโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) 

งานที่เราทุกคนทำ นอกจากจะลดปัญหาในเมืองไทยแล้ว เราก็น่าจะช่วยลดภัยคุกคามโลกได้ด้วยเพราะเป็นปัญหาที่ใหญ่จริงๆ เป็นที่มาของการที่เรารับมือร่วมกัน สุภิญญา กล่าว

กุลธิดา สามะพุทธิ บรรณาธิการภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า รายงาน WEF Global Risk Report 2024 ระดมนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเกือบ1,500 คน ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม จัดลำดับความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อโลก และลงความเห็นว่า ข้อมูลบิดเบือน – คลาดเคลื่อน จะเป็นความเสี่ยงอันดับ 1 ในช่วงเวลาอันสั้นนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่หลายประเทศมีการเลือกตั้ง จึงคาดการณ์ว่าจะมีการใช้เนื้อหาเท็จเป็นเครื่องมือเอาชนะกันทางการเมืองจำนวนมาก

ซึ่งผลกระทบจากข้อมูลเท็จหวังผลในทางการเมือง เช่น อาจนำไปสู่การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ลุกลามสู่สถานการณ์ความรุนแรง ทำให้การรับรู้ความจริงของแต่ละคนแตกต่างกันอย่างสุดขั้วจนแทบจะคุยกันไม่ได้ในทุกเรื่อง และอีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นข้ออ้างเรื่องการต่อต้านข่าวปลอมให้รัฐบาลควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน โดยยอมให้เผยแพร่เฉพาะสิ่งที่รัฐบาลเห็นว่าถูกต้องเท่านั้น เป็นต้น

ขณะที่งาน Fact Checker หรือ นักตรวจสอบข้อเท็จจริง นั้นใช้เวลาไม่น้อยในการหาหลักฐานจากหลายแหล่งมาหักล้างข้อมูลเท็จอีกทั้งยังต้องเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายและน่าเชื่อถือ และแม้จะทำออกมาแล้วคนก็ยังไม่ค่อยช่วยกันแชร์ ตรงข้ามกับข่าวลวงหรือเนื้อหาเท็จที่มีจำนวนมหาศาลอีกทั้งผลิตและเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงยังดูหวือหวาน่าสนใจตื่นเต้นจนเห็นแล้วก็อยากแชร์ในทันที

อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นสิ่งจำเป็นและมีพลัง และเชื่ออย่างสนิทใจว่างานที่พวกเราทำจะช่วยลดความเสี่ยงหรือภัยคุกคามของข่าวลวงได้ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นข่าวลวง 1.0 ที่กุเรื่องโกหกขึ้นมาอย่างง่ายๆ หรือว่าเนื้อหาเท็จที่แนบเนียนเหมือนจริงมากด้วยเทคโนโลยีของ AIกุลธิดา กล่าว

ธนภณ เรามานะชัย Lead Trainer ของโคแฟคและ Certified Trainer ของ Google News Initiative เปิดประเด็นชวนคิดเรื่องการใช้ ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI)” เช่น ChatGPT โดยตั้งคำถาม รู้หรือไม่ว่า Generative AI นำข้อมูลจากไหนมาตอบ? และอยากให้ทำความเข้าใจว่า “Generative AI ไม่ใช่เครื่องมือสืบค้นข้อมูล แต่เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างสรรค์เนื้อหาและคิดไอเดียใหม่ๆ 

ทั้งนี้ AI จะได้คำตอบมาก – น้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ AI ได้เรียนรู้ (Training Model) ดังนั้นหากถามในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือถามในสิ่งที่เป็นการตีความทางสังคม ศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งข้อมูลประเภทนี้สามารถตีความได้อย่างหลากหลาย รวมถึงการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายกำกวมไม่ชัดเจน ลักษณะนี้ Generative AIอาจให้คำตอบอย่างไม่ครบถ้วนรอบด้าน หรือแม้แต่สมมติข้อมูลขึ้นมา ทำให้ไม่ได้ข้อมูลตรงกับที่ต้องการ

ในฐานะที่ทำเรื่องการปลูกฝังความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเครื่องมือ AI อย่างสร้างสรรค์ ผมอาจสรุปมาเป็น 4 ข้อด้วยกัน 1.เราต้องใช้ Generative AI เป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ผลงาน เราต้องคิดว่า AI เสมือนว่าเป็นผู้ช่วยส่วนบุคคล เหมือนกับเราสั่งงานกับมัน 2.เราต้องไม่ใช่ Generative AI เป็นแหล่งอ้างอิงหลัก ควรตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่มาต้นฉบับ และค้นหาร่วมกับ Search Engine (เครื่องมือสืบค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตด้วย 3.การเขียนคำสั่ง หรือ Prompt ต้องเน้นการออกคำสั่ง Prompt คือคำสั่งไม่ใช่คำถาม 

ดังนั้นการใช้ Generative AI ที่ดีคือสั่งงานให้มันทำ เราถึงจะเป็นผู้ใช้งาน Generative AI ที่มีประสิทธิภาพ ใช้งานแล้วได้คำตอบ สั่งให้ทำงานแทนที่จะถามคำถาม และสุดท้าย 4.ผมก็อยากจะส่งเสริมการเรียนการสอนในปัจจุบันนี้ แน่นอนเราหลีกเลี่ยงการใช้ Generative AI ในการเรียนการสอนไม่ได้ จึงอยากให้หลายๆ ครั้งกลับมามองว่าเราจะส่งเสริมการสอบแบบ Generative AI เน้นกระบวนการทำเป็นลำดับขั้น โดยเฉพาะทักษะการเขียนคำสั่ง Prompt อาจต้องเริ่มจากการลำดับประโยคและพื้นฐานไวยากรณ์ที่จำเป็นต่อการออกคำสั่ง ธนภณกล่าว

พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์สำนักข่าวไทย อสมท กล่าวถึงประสบการณ์ 10 ปี ของการทำงานตรวจสอบข้อมูลของศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ นับจากรายการโทรทัศน์ในปี 2558 ซึ่งพบความท้าทาย เช่น คนเลือกจะเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ ข้อมูลลวงสามารถผลิตและส่งต่อได้ง่ายและเร็ว บวกกับกลไกตลาดยังกระตุ้นให้ข้อมูลเหล่านี้เกิดขึ้นด้วยเห็นว่ายิ่งทำให้แปลก รุนแรงหรือตื่นเต้นเพียงใด ก็จะยิ่งมีคนสนใจจำนวนมาก นำมาซึ่งรายได้ของคนที่ทำ แต่ข้อมูลที่ไม่จริงเหล่านี้เมื่อเข้าระบบไปแล้วการแก้ไขกลับทำได้ยาก

ทั้งนี้ บทบาทของชัวร์ก่อนแชร์ ที่ผ่านมาทำหน้าที่ของสื่อมวลชน โดยจากเดิมที่สื่อมวลชนจะไม่รายงานเรื่องที่ไม่จริง แต่ปัจจุบันเรื่องไม่จริงสื่อมวลชนก็ต้องรายงานว่าไม่จริงด้วย เพราะปัจจุบันสื่อตัวเล็กลงแต่มวลชนตัวใหญ่ขึ้น สามารถส่งสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น มวลชนทั้งสร้าง ส่งและเสพ ขณะที่สื่อทำหน้าที่สร้างและส่ง ดังนั้นสิ่งที่ชัวร์ก่อนแชร์พยายามทำคือการส่งต่อความรู้และประสบการณ์ไปยังมวลชนให้มีแนวคิดที่ปลอดภัยกับสังคม 

ที่ผ่านมาพยายามหักล้างข้อมูล เราอยากทำ 3 อย่าง คือปกปัก หักล้างและสร้างภูมิ จริงๆ หักล้างเริ่มก่อน แล้วก็การทำให้คนมีภูมิคุ้มกันเราก็อยากทำมากขึ้น แล้วระยะยาวเราก็พยายามทำเรื่อง Literacy Education (การศึกษาเพื่อรู้เท่าทัน) พีรพล กล่าว

พรวุฒิ พิพัฒนเดชศักดิ์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคดูข้อมูลบิดเบือนแบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1.ภัยคุกคามทางออนไลน์ เช่น มิจฉาชีพ การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล 2.เมืองที่เป็นธรรม เช่น โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ นานา  และ 3.ความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภค เช่น โฆษณาอาหารและยาที่เกินจริง

ขณะที่งานนวัตกรรมที่ตนดูแลอยู่ เป็นการรับข้อมูลทั้งจากเรื่องร้องเรียน ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ จากภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม โดยการประมวลผลมีทั้งการประชุมกลุ่มเฉพาะ (Focus Group) พูดคุยกับกลุ่มผู้เสียหายว่าปัญหาคืออะไร ส่วนที่เป็นข้อมูลเชิงเทคนิคก็ให้นักวิชาการมาทำวิจัย หรือขอความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ เชิญมาร่วมประชุมระดมสมอง

เราสนับสนุนให้มีการร้องทุกข์ เพราะว่ายิ่งเรามีเรื่องร้องเรียนมากเท่าไร เราก็จะยิ่งมีข้อมูลต่างๆ ที่จะนำไปสู่กระบวนการจัดการและกรองออกมาเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค กล่าว

กนกพร ประสิทธิ์ผล ผู้อำนวยการสื่อสำนักดิจิทัลThaiPBS กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดในเดือน ก.พ. 2568 โดย We Are Social พบว่า ค่าเฉลี่ยการใช้เวลากับอินเตอร์เน็ตต่อวันของคนไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก และหากเป็นการใช้อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือจะอยู่ในอันดับ 5 ของโลก อีกทั้งไทยยังมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก 

แต่ในทางกลับกัน ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ ปี 2567 พบว่า คนไทยเจอภัยออนไลน์ เช่น แก๊งคอลเซ็นตอร์ ถูกหลอกขายสินค้า หลอกลงทุน – กู้เงิน ทุกอย่างเหมือนเหรียญที่มีสองด้านเทคโนโลยีไม่ได้มีแต่เรื่องที่ดี ยังมีมิจฉาชีพอยู่ด้วยเช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านหนึ่งถูกใช้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล แต่อีกด้านก็มีมิจฉาชีพนำไปใช้ อย่างประสบการณ์ที่เคยนำภาพและคลิปวีดีโอที่ AI ทำขึ้นไปให้บุคคลหลากหลายช่วงอายุและระดับการศึกษาดู พบว่ามีคนทุกช่วงวัยและการศึกษาที่ตอบผิด ดังนั้นความเนียนของ AI ก็เป็นภัยได้เช่นกัน

และแม้ข่าวลวงมีมานานแล้ว แต่มีปัจจัยที่ทำให้แพร่กระจายได้มากขึ้น 1.การมาของสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่ทำให้ข้อมูลถูกส่งต่อได้ง่าย เช่น แสดงความคิดเห็น (Comment) ปุ่มส่งต่อ (Share) 2.การพัฒนาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เมื่อ AI สามารถผลิตข้อมูลที่เนียนมากขึ้น สวนทางกับแพลตฟอร์มที่ไม่มีเทคโนโลยีควบคุมได้ทัน 3.ขาดทักษะ คนยังขาดความรู้เท่าทัน ยิ่งยุค AI ที่ทำให้แยกแยะได้ยาก ประกอบกับพฤติกรรมคนเปลี่ยนไปตามการใช้สื่อสังคมออนไลน์ อ่านน้อยลง สมาธิสั้น 4.ข่าวลวงสามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้างรายได้ และ 5.ช่องโหว่การกำกับดูแล ทั้งจากภาครัฐและแพลตฟอร์ม

ThaiPBS ที่เป็นสื่อสาธารณะทำอะไร? ได้เกิด ThaiPBS Verify ขึ้นมา วัตถุประสงค์ตอนนี้ ช่วยตรวจสอบ ช่วยเสริมทักษะ สร้างชุมชนหรือรวบรวมเนื้อหาให้คนเข้าไปตรวจสอบได้ พยายามให้เข้ากับมาตรฐาน IFCN (International Fact Checking Network) สร้างบรรทัดฐานอุตสาหกรรมสื่อ จะตรวจสอบคนอื่นได้ตัวเองก็ต้องไม่ผิดด้วย เพราะถ้าผิดคือมหันตภัยหนักกว่าอีก ก็ต้องยกระดับทั้งข้างนอกและข้างในด้วย กนกพร กล่าว

ชนิดา จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) กล่าวว่า SONP ทำโครงการ Cyber Booster ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ รายการสถานีประชาชน ทาง ThaiPBS  และ Tellscore แพลตฟอร์มรวมอินฟลูเอนเซอร์ ร่วมกันผลิตสื่อที่ต้องการบอกกับประชาชนว่าให้เท่าทันกับภัยออนไลน์

“Cyber Booster ก็คือการรวมตัวของตำรวจ โครงการนี้จะมีความแตกต่าง วิทยากรแต่ละท่านจะเตือนเราเรื่องข้อมูลลวง ดังนั้นในการทำโครงการเราก็เลยคิดว่าคนที่จะให้ข้อมูล คนที่จะเตือนภัยได้ดีที่สุดก็คือเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นตำรวจ การที่เขาคลุกคลีและมีข้อมูลอยู่ในมือ เขาจะต้องเป็นคนที่ให้ข้อมูล ผลิตและสร้างสรรค์คลิปจำนวน 16 คลิป รวบรวมภัยทุกรูปแบบในการเตือน ไม่ว่าจะเป็นลวงให้รัก หลอกลงทุน ชนิดา กล่าว

ตรี บุญเจือ ผู้อำนวยการสำนักรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงาน กสทช. กล่าวว่า เมื่อพูดถึงการรู้เท่าทันสื่อ เราพูดถึงประสบการณ์ ความรู้ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร จะสามารถทำให้เราคิด วิเคราะห์ ประเมินผลและตรวจสอบข้อมูลที่จริงและลวงได้ แต่ความท้าทายคือสื่อในรูปแบบความคิดเห็นมากกว่าข้อเท็จจริง ซึ่งบางครั้งก็ไม่ใช่ข้อมูลที่สามารถเชื่อถือได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องวิเคราะห์มากขึ้น ประเมินค่าที่เกิดขึ้นกับตัวเราและสังคมมากขึ้น

ปัจจุบันเราทำอะไรอยู่บ้าง เรามีองค์ประกอบอยู่หลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีเครื่องมือเป็นกฎหมาย เป็นนโยบายต่างๆ เราสามารถขับเคลื่อนได้ ภาครัฐเราอาจมีทุน มีทรัพยากรบางอย่างที่ส่งต่อให้หน่วยงานต่างๆ มีกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มี กสทช. มีกองทุน กทปส. ด้วย เรามีทุนที่จะสามารถขับเคลื่อนได้ ภาคส่วนที่เป็นสื่อเองเราพูดถึงความรับผิดชอบกันอยู่แล้วในการตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงแต่สามารถทำได้มากกว่านั้น เราสามารถร่วมรณรงค์และใช้พื้นที่ของเราในการณรงค์ได้ 

ตัวแพลตฟอร์ม เจ้าของพื้นที่ มีทั้งผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและแพลตฟอร์มต่างๆ แล้วก็ภาคประชาสังคมเองร่วมขับเคลื่อน หลายๆ องค์กร อย่างโคแฟคที่พูดถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริง เราก็คงจะสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกัน  สร้างความร่วมมือ บูรณาการระหว่างหน่วยงานในมิติต่างๆและหลังจากเทคโนโลยีพัฒนาไป เราก็อาจต้องพัฒนาเทคโนโลยีเข้ามาตรวจสอบเฝ้าะรังด้วยผอ.สำนักรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงาน กสทช.กล่าว

ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวถึงแนวคิดการกำกับดูแลเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เช่น Principles for Trustworthy AI โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) มี AI Convention ส่วนกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีหลักการและจริยธรรมในการพัฒนา AI (Principles และ Ethics) 

หลักการของการพัฒนา AI ที่ดี หลักการสำคัญอันหนึ่งคือ Transparency (ความโปร่งใส) เรื่องเกี่ยวกับความโปร่งใสของข้อมูล ฉะนั้นจะต้องแสดงให้เห็นว่าในมิติของการพัฒนา ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร ภาพ เสียง มันถูก AI เข้าไปแก้ไขตรงไหนได้บ้าง แต่ต้องยอมรับว่าถ้าเกิดมีมิจฉาชีพที่ตั้งใจ รู้อยู่แล้วว่าเราใช้ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ทำ แต่ก็ตั้งใจเอามาหลอกคนอื่น ที่เราเรียกว่า Impersonation (การปลอมตัวเป็นบุคคลอื่นนี่คือสิ่งที่เป็นปัญหา รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-