ระวังข่าวลวง! เปิดความจริงท่ามกลางความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

กิจกรรม

วันที่ 26 สิงหาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าว” ออกอากาศตอนที่ 14 โดยมีนายสุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ ร่วมด้วยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, นายสุผจญ กลิ่นสุวรรณผู้สื่อข่าวพิเศษไทยรัฐ และนายบัญชา จันทร์สมบูรณ์จากกองบรรณาธิการโคแฟค เพื่อถกประเด็นข่าวลวงที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาพร้อมแนะแนวทางรับมือเพื่อให้ประชาชนตั้งสติและตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ

สุภิญญา กลางณรงค์: เรียกร้องสติและข้อเท็จจริง

สุภิญญา กลางณรงค์: เรียกร้องสติและข้อเท็จจริง

นางสาวสุภิญญา เริ่มต้นด้วยการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตั้งสติท่ามกลางกระแสข้อมูลที่ล้นทะลักโดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาซึ่งแม้จะเริ่มคลี่คลาย แต่ข่าวลือและข้อมูลบิดเบือนยังคงสร้างความสับสนทั้งในหมู่ประชาชนไทยและกัมพูชา เธอชี้ว่า ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเพียงพอแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องบิดเบือนเพื่อเพิ่มความขัดแย้ง พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก เพื่อลดความเกลียดชังและความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น เธอยังยกตัวอย่างปรากฏการณ์ “ปีงู” ที่แสดงถึงความร้อนแรงในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง ศาสนา หรือการทหาร ทั้งนี้ แม้จะรักชาติแต่ก็ต้องอยู่บนข้อเท็จจริง และเน้นย้ำบทบาทของสื่อมวลชนที่ต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนด้วยการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง

สุผจญ กลิ่นสุวรรณ: ประสบการณ์ลงพื้นที่และความท้าทายในการแปล

นายสุผจญ เล่าประสบการณ์การลงพื้นที่สัมภาษณ์คณะผู้แทนจากอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งรวมถึงทูตเยอรมันและตัวแทนจากองค์กร Golden West ที่ทำงานด้านการกู้ระเบิด เขายกตัวอย่างกรณีคลิปสัมภาษณ์ที่ถูกนำไปตัดต่อและแชร์ในกัมพูชา จนกลายเป็นไวรัลด้วยยอดวิว 4.3 ล้านครั้ง พร้อมข้อความโจมตีว่าเขาเป็น “ขี้ขโมย” ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ข้อมูลบิดเบือนเพื่อปลุกกระแสชาตินิยม นอกจากนี้ เขายังชี้ถึงปัญหาการแปลข้อมูลจากภาษาอังกฤษเป็นไทย โดยเฉพาะกรณีการสัมภาษณ์คณะผู้แทนเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับระเบิดที่พบในพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งคำว่า “new” (ใหม่) ถูกตีความผิดพลาดจนทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นระเบิดที่ฝังใหม่ สร้างความสับสนในวงกว้าง เขาเน้นย้ำว่า ความละเอียดอ่อนในการแปลและการรายงานข่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

นายสุผจญ ยังเปรียบเทียบเสรีภาพสื่อระหว่างไทยและกัมพูชา โดยระบุว่าไทยอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียนในด้านเสรีภาพสื่อ โดยติมอร์ – เลสเต อยู่อันดับ 1 ขณะที่กัมพูชาอยู่อันดับ 9 จาก 180 ประเทศ ซึ่งแสดงถึงข้อจำกัดของสื่อกัมพูชาที่ถูกควบคุมผ่านนโยบาย Single Gateway ทำให้ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจากกัมพูชาในเวทีสากลลดลง เขาแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวและหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพื่อป้องกันการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา

(หมายเหตุ : เป็นการจัดอันดับโดยองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน – RSF ในรายงาน World Press Freedom Index 2025 อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน ติมอร์ – เลสเตยังเป็นเพียงว่าที่สมาชิกอาเซียนเท่านั้น โดยจะมีการรับรองการเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์ ในเดือน ต.ค. 2568 ในการประชุม ASEAN Summit ที่มาเลเซีย)

บัญชา จันทร์สมบูรณ์: ตรวจสอบข่าวลวงด้วยเครื่องมือดิจิทัล

นายบัญชา แบ่งปันประสบการณ์การตรวจสอบข่าวลวง โดยยกตัวอย่างกรณีคลิปที่อ้างว่าเป็นการรื้อบ้านชาวกัมพูชาในบริเวณชายแดน แต่เมื่อตรวจสอบด้วยGoogle Lens พบว่าเป็นเหตุการณ์ในอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับการรื้อสถานบันเทิงที่พัวพันกับยาเสพติดอีกกรณีคือคลิปที่อ้างว่าเป็นรถถังกัมพูชาระเบิด แต่แท้จริงแล้วมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์เดอะซันของอังกฤษตั้งแต่ปี 2567 เขาอธิบายว่า การตรวจสอบภาพและคลิปที่มีแคปชั่นซับซ้อนอาจใช้เวลานานถึงครึ่งวันหรือมากกว่า และแนะนำให้ประชาชนใช้เครื่องมืออย่าง Google Lens เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของภาพหรือคลิปก่อนแชร์นอกจากนี้ เขายังชี้ถึงความท้าทายในยุค AI ที่ข่าวลวงถูกสร้างด้วยเทคโนโลยีที่แนบเนียนมากขึ้น จึงอยากได้เครื่องมือตรวจสอบที่ตามทันมากขึ้น

นายบัญชายังยกบทความจากนิตยสาร The Diplomat ที่เขียนโดยนักวิชาการชาวกัมพูชา ซึ่งระบุว่าสื่อกัมพูชาขาดเสรีภาพและถูกควบคุมอย่างเข้มงวดเมื่อเทียบกับไทย ซึ่งมีสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศและสำนักข่าวระดับโลกตั้งสำนักงานอยู่ ส่งผลให้ไทยได้รับความน่าเชื่อถือในเวทีสากลมากกว่า

จากประเด็นที่วิทยากรทั้งสามท่านนำเสนอ สามารถสรุปแนวทางปฏิบัติเพื่อรับมือข่าวลวงได้ดังนี้:

1. ตั้งสติก่อนแชร์ : ประชาชนควรรอตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีอารมณ์ชาตินิยมเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของการปลุกปั่น

2. ใช้เครื่องมือตรวจสอบ: ใช้ Google Lens หรือเครื่องมือดิจิทัลอื่นๆ เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของภาพและคลิป โดยเฉพาะเมื่อมีแคปชั่นที่อาจบิดเบือนความจริง

3. ยึดข้อเท็จจริง : สื่อมวลชนต้องรายงานตามคำให้การของแหล่งข่าวอย่างตรงไปตรงมา และระบุชัดเจนหากข้อมูลยังไม่ได้รับการยืนยัน เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ

4. เพิ่มความรอบคอบในการแปล : ในสถานการณ์ระหว่างประเทศ การแปลข้อมูลต้องคำนึงถึงบริบทและความละเอียดอ่อน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง

5. ส่งเสริมเสรีภาพสื่อ : สนับสนุนให้สื่อในภูมิภาคอาเซียนยกระดับความเป็นมืออาชีพและทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล

รายการนี้สะท้อนถึงความท้าทายของข่าวลวงในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น โดยเฉพาะในบริบทความขัดแย้งไทย-กัมพูชา วิทยากรทั้งสามเน้นย้ำว่า สื่อมวลชนและประชาชนต้องร่วมกันตั้งสติ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และใช้เครื่องมือดิจิทัลให้เกิดประโยชน์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวงที่อาจนำไปสู่ความเกลียดชังและความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น พร้อมทั้งเรียกร้องให้รักษาเสรีภาพสื่อและเพิ่มความรับผิดชอบในการรายงาน เพื่อให้สังคมยึดมั่นในข้อเท็จจริงและลดผลกระทบจากข้อมูลบิดเบือน