‘ไทย’เป้าหมาย‘สหรัฐฯ’ตั้งฐานยิงขีปนาวุธ : เมื่อ2บทความต่างประเทศถูกมัดรวมและนำเสนออย่างเกินเลย

By : Zhang Taehun

“ข้อมูลจาก RAND Corporation สถาบันวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่เป็นเบื้องหลังการวางหมากของกองทัพสหรัฐ เคยระบุไว้ตั้งแต่ปี 2565 แล้วว่าประเทศไทยคือจุดยุทธศาสตร์อันดับ 1 ที่เหมาะสมต่อการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางของสหรัฐฯ ระยะยิง 5,500 กิโลเมตร ที่ว่ามานี้ไม่ใช่แค่ป้องกันภัยใกล้ตัว แต่มันครอบคลุมทุกมณฑลของจีน ตั้งแต่ยูนนานไปจนถึงซินเจียง
พูดให้ชัดคือกรุงเทพฯจะเป็นชนวนสงครามนิวเคลียร์เอเชีย หากฐานยิงขีปนาวุธของสหรัฐฯ เกิดขึ้นที่ จ.พังงา แล้วใครคือคนที่ RAND รอคอยเปิดดีล คำตอบคือรัฐบาลไทยภายใต้ผู้นำที่สหรัฐฯหนุนหลัง ทักษิณ และธนาธร นี่ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด แต่คือเอกสารจริงจาก RAND ที่ยังสามารถค้นอ่านได้จนถึงวันนี้”
ตามที่ปรากฏคลิปวีดีโอในTikTok ที่ถูกโพสต์โดยบัญชีผู้ใช้งานชื่อ “satangkomonjinda” เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2568 พร้อมกับภาพแผนที่ประเทศไทย และ คำบรรยาย “ทำไมยุทธศาสตร์ของมะกันถึงเกี่ยวกับไทย” โดยมีการอ้างรายงานRAND Corporation สถาบันวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐที่แนะนำรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ว่าประเทศไทยเหมาะสมกับการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง ซึ่งยิงได้ทุกพื้นที่ของจีน และยังอ้างชื่อนักการเมืองไทยที่รัฐบาลสหรัฐฯ น่าจะเจรจาให้อนุมัติได้ด้วย
คลิปดังกล่าวมีที่มาอย่างไร?
โคแฟคได้ตรวจสอบคลิปดังกล่าวพบว่า ในช่วงประมาณ 1 นาที 15 วินาทีแรกของคลิป ใช้ภาพประกอบจากช่องยูทูบ “Why History” ซึ่งเป็นช่องการสื่อสารความรู้เชิงประวัติศาสตร์ ก่อนจะต่อด้วยการใช้ภาพข่าวต่างๆ รวมถึงภาพที่สร้างจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
อย่างไรก็ตาม คลิปต้นฉบับในช่อง Why History ถูกตั้งชื่อว่า “ทำไมสหรัฐอเมริกาต้องการตั้งฐานทัพเรือที่พังงา?” โพสต์เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2568 โดยเนื้อหาอธิบายปัจจัยและเหตุผลหากสหรัฐฯ สามารถขอใช้พื้นที่ จ.พังงา ของไทยเพื่อตั้งฐานทัพเรือไว้ดังนี้ คือ 1.ทำเลที่ตั้งของ จ.พังงา เปรียบเหมือนประตูควบคุมเส้นทางเดินเรือสำคัญของโลก เชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านช่องแคบมะละกา
2.เติมเต็มช่องว่างของฐานทัพสหรัฐฯ ในฝั่งมหาสมุทรอินเดีย เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯ มีเพียงฐานทัพในฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก การมีฐานทัพใน จ.พังงา จะทำให้สหรัฐฯ สามารถปิดล้อมจีนได้ทั้ง 2 ฝั่ง
3.ฐานทัพเรือสหรัฐฯ ใน จ.พังงา หากเกิดขึ้นจะเป็นการตอบโต้การขยายอิทธิพลของจีน ซึ่งมีการสร้างฐานทัพใน จ.พระสีหนุ (สีหนุวิลล์) ของกัมพูชา และ
4.เชื่อมโยงกับโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งเป็นโครงการของไทยที่ต้องการสร้างถนน ท่าเรือและเส้นทางรถไฟเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย อย่างไรก็ตาม “คลิปของช่อง Why History ไม่มีการกล่าวถึงการตั้งฐานยิงขีปนาวุธของสหรัฐฯ แต่อย่างใด” โดยทิ้งท้ายไว้เพียงว่า ไทยไม่มีแผนที่จะให้สหรัฐฯใช้ จ.พังงา ตั้งฐานทัพเรือ เพราะอาจตกเป็นเป้าหมายของความขัดแย้งทางทหารระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่เริ่มก่อตัวขึ้น

“บทความ 2 บท” ที่น่าจะถูกนำมาเชื่อมโยงกันกับประเด็นการตั้งฐานยิงจรวดในไทย?
โคแฟคได้ค้นหาเพิ่มเติมด้วยข้อความ “RANDUS Thailand missiles” พบโพสต์เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2568 จากบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “Stapnavatr Vajira” ที่เนื้อหาคล้ายกับคลิป TikTok ของบัญชีsatangkomonjinda ที่กล่าวถึงข้างต้น โดยในโพสต์กล่าวถึงข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์วิจัยทางการทหารของสหรัฐ คือ RAND corporation เมื่อปี 2565 ว่าประเทศไทยไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการตั้งฐานทัพ แต่ประเทศไทยเป็นลำดับที่ 1 ในเชิงกลยุทธที่สหรัฐต้องหาทางมาติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์พิสัยกลาง คือ ยิงได้ไกลถึง 5,500 กิโลเมตร ซึ่งระยะขนาดนี้ คือ สามารถยิงครอบคลุมได้ไกลไปถึงซินเจียง หรือหมายความว่าครอบคลุมพื้นที่ได้ทั้งประเทศจีน โดยในบทวิเคราะห์ ระบุชัดว่าเขารอคอยการต่อรองกับรัฐบาลที่สหรัฐให้การสนับสนุนเบื้องหลังอยู่ คือ ทักษิณ หรือ ธนาธร คนไทยจึงต้องจับตาการเคลื่อนไหวของพรรคแดงส้มในครั้งนี้ ที่อาจนำพาซึ่งความเสียหายใหญ่หลวงกับประเทศไทยได้ จีนจะไม่อยู่เฉยแน่ ถ้ามีฐานยิงนิวเคลียร์ไปได้ทุกมณฑลของจีนในไทย
โพสต์ดังกล่าวแม้จะอ้างอิงบทความจาก RAND แต่ภาพประกอบมีการกล่าวถึงบทความ 2 บท คือ 1.Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific Assessing the Positions of U.S. Allies เขียนโดย Jeffrey W. Hornung เป็นบทความที่เผยแพร่บน www.rand.org เว็บไซต์ทางการของ RAND corporation ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองซานตาโมนิกา รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2565 และ 2.Washington’s Indo-Pacific “Allies” Refuse to Host US Missiles เขียนโดย Brian Berletic เป็นบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ journal-neo.su ของวารสารด้านภูมิรัฐศาสตร์ New Eastern Outlook ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงมอสโกของรัสเซีย เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2565
ในบทความแรก Jeffrey ได้วิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะขอเข้าไปใช้พื้นที่ในประเทศพันธมิตร 5 ชาติ ประกอบด้วย ไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและญี่ปุ่น เพื่อติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากภาคพื้นดิน (GBIRM) ในส่วนของประเทศไทย เขากล่าวถึงปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการที่สหรัฐจะเจรจากับไทยเรื่องขอตั้งฐานยิงจรวด GBIRM ถึงแม้ว่าไทยเป็นพันธมิตรระดับภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2361 และได้ลงนามในสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ ในปี 2376 ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกของสหรัฐฯ กับประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกและยังมีมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นผ่านกรอบความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงระดับภูมิภาค เช่น สนธิสัญญามะนิลา (Manila Pact) ในปี 2497 ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO)และแถลงการณ์วิสัยทัศน์ถนัด-รัสก์ (Thanat-Rusk communique) ระหว่างดร.ถนัด คอมันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และนาย ดีน รัสก์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ในปี 2505 และแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมสำหรับพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศไทย-สหรัฐฯ ปี 2555 ซึ่งถือเป็นรากฐานของพันธกรณีด้านความมั่นคงของสหรัฐฯที่มีต่อประเทศไทย ทั้งนี้การที่กองทัพไทยทำรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค. 2557 ส่งผลให้ความสัมพันธ์ไทย – สหรัฐฯ สะดุดลง ซึ่งรวมถึงการลดความช่วยเหลือด้านความมั่นคงกับไทย และการฟื้นฟูความสัมพันธ์อันดีแบบเดิมก็ทำได้ยากขึ้น
Jeffry กล่าวถึง “เหตุผล 2 ประการที่ทำให้ประเทศไทยยังคงมีโอกาสน้อยมากที่จะยอมให้ใช้พื้นที่เป็นฐานติดตั้ง GBIRM” คือ 1. การที่รัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2562 ยังคงเป็นรัฐบาลที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารที่ขึ้นสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม และทำให้สถาบันประชาธิปไตยของไทยอ่อนแอลง ทำให้สหรัฐไม่อาจกลับมามีความสัมพันธ์ขั้นปกติได้ และ 2. รัฐบาลไทยแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับจีน นับตั้งแต่เกิดรัฐประหาร โดยงานวิจัยเผยให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ไทยไม่ว่าฝ่ายทหารหรือไม่ก็ตาม มองว่าอิทธิพลของจีนที่มีต่อนโยบายความมั่นคงของไทยในปัจจุบันเทียบเท่ากับอิทธิพลของสหรัฐฯ และนักวิเคราะห์หลายคนมองจีนเป็นประเทศที่อ่อนโยนมากกว่าที่จะเป็นมหาอำนาจที่เน้นการแก้ไขหรือเป็นภัยคุกคามทางทหาร โดยปัจจัยเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการพี่งพาทางทหารระหว่างกันที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องจากการซื่อรถถังและเรือดำน้ำจากจีนหรือการอนุญาตให้กองทัพเรือจีนเข้าถึงฐานทัพเรือสัตหีบ (ซึ่งเป็นท่าเรือที่เรือรบสหรัฐฯ มักแวะจอด) รวมถึงการฝึกซ้อมรบกับจีนเป็นประจำทุกปี โดยความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นเหล่านี้ถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ไม่ควรมีภาพลวงตาว่าไทยจะเป็นพันธมิตรที่แข็งขันในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจีน
“เมื่อพิจารณาปัจจัยเหล่านี้โดยรวมแล้ว ถือเป็นเหตุผลที่หนักแน่นที่จะสรุปได้ว่าสหรัฐฯ คงไม่ต้องการให้ไทยเป็นที่ตั้ง GBIRM และแม้สหรัฐฯ จะร้องขอก็คงเป็นไปได้สูงที่ไทยจะไม่ยินยอม” Jeffrey W. Hornung ผู้เขียนบทความเรื่องนี้ของ RAND กล่าว
ส่วนบทความที่สองซึ่งเขียนโดย Brian เน้นวิพากษ์วิจารณ์ข้อค้นพบและการวิเคราะห์ของJeffryในบทความแรก โดยในช่วงแรกเขาอ้างถึงเรื่องสหรัฐฯได้ถอนตัวจาก Intermediate-Range Nuclear Forces (INF) Treaty หรือ สนธิสัญญากำลังนิวเคลียร์พิสัยกลาง และวัตถุประสงค์ของบทความของ Jeffry คือการพิจารณาตำแหน่งที่ดีที่สุดในการติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากภาคพื้นดิน (GBIRM) ใน5 ประเทศที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก คือไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและญี่ปุ่น และในส่วนของประเทศไทย Brianได้ยกข้อความจากบทความของJeffry ที่อ้างถึงการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ซึ่งเกิดขึ้นหลังรัฐประหารว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม และหากรัฐบาลที่สนับสนุนโดยกองทัพยังอยู่ ก็จะเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างไทยกับสหรัฐฯ นั่นหมายถึงความเป็นไปได้น้อยมากที่สหรัฐฯ จะขอใช้พื้นที่ประเทศไทยติดตั้งระบบ GBIRM
อย่างไรก็ตาม “เนื้อหาหลังจากนั้นเป็นทรรศนะของ Brian เอง ไม่ได้ปรากฏอยู่ในเนื้อหาที่ Jeffryเขียนไว้ในบทความข้างต้นของ RAND” โดย Brian ได้วิจารณ์ความคิดเห็นของ Jeffry ที่ว่าการเลือกตั้งในประเทศไทย “ไม่ยุติธรรมเลย” นั้น ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่าขั้วอำนาจที่สหรัฐฯเป็นผู้เลือก ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มพันธมิตรของมหาเศรษฐีที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ อย่างทักษิณ ชินวัตร และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ได้ชนะเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดและฟอร์มรัฐบาลเสียงข้างมาก โดยกลุ่มการเมืองที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์สูงสุดของไทยกลับได้เข้ารับตำแหน่ง ทำให้นโยบายต่างประเทศของไทยถูกกำหนดขึ้นในลักษณะที่นำไปสู่อุปสรรคประการที่ 2 (ท่าทีของไทยที่อิงเข้าหาจีน ตามบทความของ Jeffry) ในการที่ขีปนาวุธของสหรัฐฯ จะถูกติดตั้งในไทย
ทั้งนี้ Brian ได้ขยายความต่อไปอีกในประเด็นความสัมพันธ์จีน – ไทย ว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด นักลงทุนรายใหญ่ที่สุด และแหล่งการท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดของไทย จึงเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยที่หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรที่สำคัญยิ่งขึ้นเรื่อยๆในการลดการพึ่งพาอาวุธและความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศจากสหรัฐฯ และถึงแม้ว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับจีนนั้นจะเป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศเท่านั้น แต่การดำเนินความสัมพันธ์ก็กระทำอย่างมีสติเพื่อรักษาระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เอาไว้
“อาจสันนิษฐานได้ว่าผู้กำหนดนโยบายที่อยู่เบื้องหลังรายงาน RAND ฉบับนี้อยากเห็นนโยบายของไทยและรัฐบาลเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าว แต่นั่นก็หมายความว่านโยบายของไทยจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะทำลายผลประโยชน์สูงสุดของไทย เพียงเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของวอชิงตัน เนื่องจากกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมืองและการทหารของไทยในปัจจุบันปฏิเสธที่จะให้ผลประโยชน์ของวอชิงตันเหนือกว่าผลประโยชน์ของตนเอง วอชิงตันจึงได้ดำเนินนโยบายเพื่อเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมืองและการทหารของไทย” Brian ให้ความเห็นในบทความของตน
หมายเหตุ : สามารถอ่านประวัติ Brian Berleticและความเกี่ยวข้องกับ New Eastern Outlook ได้จากงานเขียนของโคแฟค เรื่อง “กกต.-ไอลอว์ ร่วมจับตาเลือกตั้ง 2566 กับการกลับมาของข้อกล่าวหา “อเมริกาแทรกแซงการเมืองไทย”” เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2566 https://blog.cofact.org/article-election2023-brian-berletic/

Brian ตั้งข้อสังเกตว่า บทความของ RAND ไม่ได้เพียงแค่ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในประเทศไทยที่ขัดขวางไม่ให้สหรัฐฯ ติดตั้งขีปนาวุธในดินแดนของตน รวมถึงความพยายามอื่นๆ ที่จะปิดล้อมและจำกัดจีนทางทหารและเศรษฐกิจ แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังพยายามอย่างแข็งขันที่จะแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้ผ่านการแทรกแซงทางการเมืองตั้งแต่การบังคับขู่เข็ญไปจนถึงการพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
เขาได้ให้ข้อสรุปว่า เป็นเพราะแนวทางของสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่กับไทยเท่านั้น แต่กับประเทศต่างๆ ที่กล่าวถึงในรายงานของ Jeffry ที่ทำให้หลายประเทศเหล่านี้เริ่มกระจายการลงทุนออกจากการพึ่งพาเศรษฐกิจและการทหารจากตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสหรัฐฯ และการค้าที่เพิ่มขึ้นกับจีนและนโยบายต่างประเทศที่ไม่แทรกแซงของจีนทำให้การหันไปพึ่งจีนเป็นทางเลือกที่ง่ายดาย ในขณะที่สหรัฐฯ จะพยายามโน้มน้าวประเทศต่างๆ ในอินโด-แปซิฟิกให้ทบทวนจุดเปลี่ยนนี้ด้วยการบีบบังคับและการแทรกแซงอย่างจริงจังเท่านั้น

ผู้นำทางความคิดร่วมแชร์ – สื่อร่วมเสนอข่าว
ในวันที่ 15 ก.ค. 2568 รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความ “เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ “ยูเครน 2” ไปครึ่งตัวแล้ว ยังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ?” เผยแพร่ผ่านบัญชีเฟซบุ๊กของตนเอง อ้างถึงประเทศยูเครนที่สหรัฐฯ บอกว่าเข้าไปช่วยสร้างประชาธิปไตย แต่สุดท้ายกลายเป็นสนามรบและประชาชนต้องสูญเสีย โดยในโพสต์ของเขาได้อ้างรายงานของ RAND ในลักษณะเดียวกับโพสต์บัญชีเฟซบุ๊ก “Stapnavatr Vajira” ที่โพสต์ในวันเดียวกัน อย่างไรก็ตาม โคแฟคไม่สามารถตรวจสอบช่วงเวลาได้ว่าใครเป็นผู้โพสต์ก่อน อนึ่ง ในวันที่ 16 ก.ค. 2568 พบสื่อนำบทความดังกล่าวไปนำเสนอ อาทิ เว็บไซต์ นสพ.แนวหน้า และเว็บไซต์ นสพ.ไทยโพสต์
ที่มาของประเด็นสหรัฐฯ ขอตั้งฐานทัพเรือที่ จ.พังงา
ในเดือน ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายที่คณะผู้แทนไทยต้องหาทางเจรจากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ลดภาษีนำเข้าสินค้า โดยเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2568 มีรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันจะเก็บภาษีสินค้าไทยเข้าสหรัฐฯ ที่อัตราร้อยละ 36 เท่ากับที่ประกาศไปก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 และไทยมีเวลาเจรจาจนถึงวันที่ 1 ส.ค. 2568 อันเป็นวันที่มาตรการภาษีจะมีผลบังคับใช้ (ก่อนที่ไทยจะได้ลดภาษีลงเหลืออัตราร้อยละ 19 ซึ่งสหรัฐฯ ประกาศในวันที่ 1 ส.ค. 2568)
หลังจากนั้นเริ่มมีกระแสข่าวว่าสหรัฐฯ นำเรื่องภาษีมาต่อรองให้ไทยยอมให้สหรัฐฯ ใช้ จ.พังงา ตั้งฐานทัพเรือ ซึ่งในวันที่ 15 ก.ค. 2568 เว็บไซต์ นสพ.ไทยรัฐ รายงานข่าว พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (ในขณะนั้น) ชี้แจงกับสื่อที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า กระทรวงกลาโหมยังไม่ได้รับการติดต่อมา เห็นเพียงจากการนำเสนอของสื่อ ยืนยันว่าไม่ใช่หนึ่งในเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ยื่นให้กับประเทศไทยในการเจรจาเรื่องภาษีและการค้า ยังไม่มีการพูดคุยเจรจากันเลย และเมื่อกระทรวงกลาโหมไม่รับทราบ ก็ไม่ทราบว่าจะมาจากทางไหน
ในวันเดียวกัน สำนักข่าว ThaiPBS รายงานโดยระบุว่า ยังไม่มีเอกสารยืนยันว่าสหรัฐฯ เสนอขอตั้งฐานทัพเรือที่ฐานทัพเรือทับละมุ จ.พังงา เป็นเงื่อนไขเจรจากำแพงภาษี ทั้งนี้ รักษาการนายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น) ภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวว่า ยังไม่มีความชัดเจนในประเด็นนี้ แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องชี้แจงหากเป็นจริง ขณะที่กองทัพเรือ ก็ยืนยันเช่นกันว่าไม่มีแผนอนุญาตให้สหรัฐฯ ใช้ฐานทัพเรือทับละมุเป็นฐานถาวร
นายภูมิธรรมอธิบายว่า การที่เรือรบสหรัฐฯ เข้ามาเทียบท่าหรือใช้พื้นที่เป็นไปตาม “ข้อตกลงว่าด้วยการส่งกำลังบำรุงไทย-สหรัฐฯ” ที่มีมานาน และไม่เคยมีข้อเสนอหรือเอกสารอย่างเป็นทางการจากสหรัฐฯ เรื่องการสนับสนุนงบประมาณหรือร่วมพัฒนาฐานทัพทับละมุ อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือมีแผนพัฒนาฐานทัพทับละมุอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในฝั่งอันดามัน ซึ่งปัจจุบันมีขนาดเล็กและรองรับภารกิจได้จำกัด
ผกล่าวโดยสรุป เรื่องสหรัฐฯ ต้องการตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากภาคพื้นดิน (GBIRM) ตามบทความของ RAND ที่ถูกอ้างถึง เป็นเพียงการประเมินความเป็นไปได้เท่านั้น (ซึ่ง ณ ช่วงเวลาที่บทความเผยแพร่ ถูกประเมินว่าเป็นไปได้น้อยมาก) แต่มีการนำไปขยายความต่อในบทความที่เผยแพร่ใน New Eastern Outlook ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในปี 2565กระทั่งเวลาผ่านเกือบ 3 ปี เมื่อรัฐบาลไทยเปลี่ยนแปลง ประกอบกับแรงกดดันจากนโยบายภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ทำให้ 2 บทความดังกล่าวถูกนำกลับมาแชร์อีกครั้งในลักษณะ “จับมัดรวม” ราวกับเป็นบทความเดียวกันโดยผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์รวมทั้งนักวิชาการทางการเมือง-ความมั่นคงและสื่อมวลชนบางสำนักที่มีทัศนะที่เห็นแย้งกับบทบาทของสหรัฐในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิค อย่างไรก็ตาม โคแฟคไม่สามารถระบุได้ว่าบัญชีผู้ใช้งานเหล่านี้มีพฤติกรรมที่ประสานงานกันหรือเกี่ยวโยงกันหรือไม่ อย่างไร นอกจากความเชื่อมโยงในเนื้อหา และเวลาที่โพสต์ข้อความ!!!
หมายเหตุ : ลำดับเหตุการณ์ – สิงหาคม 2562 : สหรัฐอเมริกา ถอนตัวออกจากสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง หรือสนธิสัญญา INF (Intermediate-range Nuclear Forces Treaty) ที่เคยทำกับสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) เมื่อปี 2530 และเริ่มทดสอบขีปนาวุธประเภทดังกล่าว – 28 เมษายน 2565 : RAND เผยแพร่บทความ Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific ว่าด้วยความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะขอเข้าไปใช้พื้นที่ในประเทศพันธมิตร 5 ชาติ ประกอบด้วย ไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและญี่ปุ่น เพื่อติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากภาคพื้นดิน (GBIRM) ซึ่งในกรณีของไทย สหรัฐฯ จะไม่สามารถขอความร่วมมือในเรื่องนี้ได้ เพราะการเลือกตั้งของไทยในปี 2562 รัฐบาลที่ได้มายังคงเป็นรัฐบาลที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารที่ขึ้นสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม และมีท่าทีหันเข้าหาจีน – 6 พฤษภาคม 2565 : New Eastern Outlook เผยแพร่บทความ Washington’s Indo-Pacific “Allies” Refuse to Host US Missiles เนื้อหาวิพากษ์บทความ Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific ของ RAND โดยในกรณีของไทย ที่บทความของ RAND บอกว่าการเลือกตั้งจัดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม มีนัยแฝงหมายถึงไม่เป็นคุณกับบุคคลสำคัญทางการเมืองไทยที่สหรัฐฯ สนับสนุน โดยยกตัวอย่าง ทักษิณ ชินวัตร(ผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งต่อมาคือพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย ตามลำดับ) และ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งต่อมาคือพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน ตามลำดับ) – พฤษภาคม – สิงหาคม 2566 : การเลือกตั้ง สส. ในประเทศไทย แม้พรรคก้าวไกลจะได้ที่นั่ง สส. ในสภามาเป็นอันดับ 1 แต่ไม่สามารถรวมเสียง สส. จากพรรคการเมืองอื่นเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ จึงต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่พรรคเพื่อไทยแม้จะได้ที่นั่ง สส. มาเป็นอันดับ 2 แต่สามารถรวมเสียง สส. ได้ ทำให้ได้เป็นฝ่ายรัฐบาล – เมษายน 2568 : โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศมาตรการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยถูกเรียกเก็บอยู่ที่อัตราร้อยละ 36 แต่ได้ระงับมาตรการนั้นไว้เป็นเวลา 90 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศได้เข้ามาเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ – 7 กรกฎาคม 2568 : โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งหนังสือแจ้งทางการไทย ยืนยันว่ายังคงเก็บภาษีสินค้าไทยที่จะนำเข้าไปขายในสหรัฐฯ ที่อัตราร้อยละ 36 มีผลบังคับใช้ 1 ส.ค. 2568 – 15 กรกฎาคม 2568 : เริ่มพบการโพสต์และแชร์บทความของ RAND และ New Eastern Outlookในลักษณะผสมกันจนทำให้เข้าใจว่าทั้ง 2 เป็นบทความเดียวกัน และสื่อไปในทางว่าสหรัฐฯ ต้องการใช้ไทยเป็นที่ตั้งฐานยิงขีปนาวุธ โดยอ้างถึงการขอตั้งฐานทัพที่ จ.พังงา ซึ่งอาจทำให้ไทยตกอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจ คือสหรัฐฯ กับจีน ขณะที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม(ในขณะนั้น) ชี้แจงว่า กระทรวงกลาโหมยังไม่ได้รับการติดต่อมา และยืนยันว่าไม่ใช่หนึ่งในเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ยื่นให้กับประเทศไทยในการเจรจาเรื่องภาษีและการค้า – 1 สิงหาคม 2568 : สหรัฐฯ ลดอัตราการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทย จากร้อยละ 36 เหลือร้อยละ 19 เท่ากับกัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการสู้รบ 5 วันระหว่างไทย – กัมพูชา ช่วงวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 และตกลงหยุดยิงกันในวันที่ 29 ก.ค. 2568 โดยสหรัฐฯ ได้แสดงบทบาทสนับสนุนมาเลเซีย ในการเป็นคนกลางเจรจาระหว่าง 2 ชาติคู่ขัดแย้ง – 6 สิงหาคม 2568 : ช่องยูทูบ Why History เผยแพร่คลิปสั้นอธิบาย ทำไมสหรัฐอเมริกาต้องการตั้งฐานทัพเรือที่พังงา? แต่เนื้อหาไม่มีการพูดถึงเรื่องสหรัฐฯ ขอตั้งฐานยิงขีปนาวุธ – 25 สิงหาคม 2568 : บัญชี TikTok ชื่อ “satangkomonjinda” นำคลิปวิดีโอของช่อง Why History มาตัดต่อเพิ่มภาพข่าวและภาพจาก AI พร้อมบรรยายเนื้อหาที่อ้างเนื้อหาที่เกิดจากการผสมระหว่างบทความของ ของ RAND และ New Eastern Outlook |
อ้างอิง
https://www.tiktok.com/@satangkomonjinda/video/7542442960885959954 (คลิปต้นทางจากบัญชี TikTok ชื่อ “satangkomonjinda” อ้างรายงานRAND เผยแพร่ในวันที่ 25 ส.ค. 2568)
https://www.youtube.com/shorts/99jKd5528UM (ทำไมสหรัฐอเมริกาต้องการตั้งฐานทัพเรือที่พังงา? : Why History 6 ส.ค.2568)
https://web.facebook.com/share/p/15g2DuKyN3/(โพสต์ของ Stapnavatr Vajira 15 ก.ค. 2568)
https://www.rand.org/pubs/research_reports/RRA393-3.html (Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific : RAND 28 เม.ย. 2565
)
https://journal-neo.su/2022/05/06/washington-s-indo-pacific-allies-refuse-to-host-us-missiles/ (Washington’s Indo-Pacific “Allies” Refuse to Host US Missiles : New Eastern Outlook 6 พ.ค. 2565)
https://web.facebook.com/share/p/1RfTkcpeQS/ (เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ “ยูเครน 2” ไปครึ่งตัวแล้ว ยังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ? : สุวินัย ภรณวลัย 15 ก.ค. 2568)
https://www.naewna.com/politic/899405 (‘สุวินัย’เปิดข้อมูล‘RAND สหรัฐ’ เปรียบไทยไทยตกอยู่ในสถานะ‘ยูเครน 2’ไปครึ่งตัวแล้ว : แนวหน้า 16 ก.ค. 2568)
https://www.thaipost.net/x-cite-news/824781/ (‘นักวิชาการ’ เตือน เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ ‘ยูเครน 2’ ไปครึ่งตัวแล้ว : ไทยโพสต์ 16 ก.ค. 2568)
https://www.thaipbs.or.th/news/content/354045 (ปฏิกิริยา “ภาษีทรัมป์” หลังร่อนจดหมายคงอัตราเก็บภาษีไทย 36% : ThaiPBS 8 ก.ค. 2568)
https://www.thaipbs.or.th/news/content/354924(“ทรัมป์” ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 19% เท่ากัมพูชา มาเลเซีย มีผล 1 ส.ค. : ThaiPBS 1 ส.ค. 2568)
https://www.thairath.co.th/news/politic/2870465 (“บิ๊กเล็ก” ปัดสหรัฐฯ ขอใช้ฐานทัพเรือพังงา เงื่อนไขภาษีทรัมป์ โต้ข่าวสร้างรั้วตาเมือนธม : ไทยรัฐ 15 ก.ค. 2568)
https://www.thaipbs.or.th/news/content/354256 (ทัพเรือไทยยืนยัน สหรัฐฯ ไม่มีข้อเสนอตั้งฐานทัพที่ทับละมุ จ.พังงา 15 ก.ค. 2568)
https://www.thaipbs.or.th/news/content/283126 (สหรัฐฯ ทดสอบขีปนาวุธพิสัยกลางหลังออกจากสนธิสัญญา INF : ThaiPBS 20 ส.ค. 2562)
https://www.naewna.com/inter/874663 (‘ทรัมป์’จัดชุดใหญ่‘กำแพงภาษี’สินค้านำเข้าทั่วโลก ‘ไทย’โดนไปจุกๆ36% : แนวหน้า 3 ส.ค. 2568)
https://www.naewna.com/politic/876709 (‘ทรัมป์’ประกาศยืดเวลาอีก90วัน เลื่อนรีดภาษีโหด เปิดช่องหลายปท.เข้าเจรจา : แนวหน้า 11 เม.ย.2568)
https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/404132 (“ทรัมป์” ส่งจดหมายถึงไทย ยืนยันเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 36% มีผล 1 สิงหาคมนี้ : กรมประชาสัมพันธ์ 8 ก.ค. 2568)