‘ไทย-กัมพูชา’ชายแดนขัดแย้ง ‘สงครามข้อมูล’คนถูกปั่นได้ง่าย น่าห่วง‘เชื่อ-แชร์แม้ไม่จริง’เพราะตรงใจ

กิจกรรม

17 ก.ย. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สถาบัน ChangeFusion มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (ประเทศไทย)The Centre for Humanitarian Dialogue (HD)Tratpost news The Reporters และ ThaiPBS จัดเสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 29 (ภูมิภาค #1/2568)หัวข้อ สงครามข้อมูลกับแนวรบออนไลน์: ถอดบทเรียนวารสารศาสตร์แห่งความจริง กรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา” ณ ห้องพิบูลสงคราม อาคาร 60 พรรษามหาราชินี 2 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี

รศ.ดร.สุชาดา พงศ์กิตติวิบูลย์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพากล่าวว่า ปรากฎการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา อาจรู้สึกว่าไกลจาก ม.บูรพา แต่ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับรู้นั้นทำให้ไม่ไกลเพราะทะลุทะลวงติดตามเราไปทุกที่ ดังนั้นเราจะเรียนรู้จากปรากฏการณ์สงครามข้อมูลข่าวสาร และจะปรับตัวอยู่ในสังคมดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสารมาจากหลากหลายทิศทางนี้ได้อย่างไร 

เวทีนี้เป็นความร่วมมือที่สำคัญระหว่างสถาบันอุดมศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการที่เราจะสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมกันในการที่จะรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสาร เตรียมความพร้อมที่เราจะอยู่ร่วมกับสังคมดิจิทัลได้อย่างดี คิดว่าในการจัดเวทีในครั้งนี้จะเป็นการที่เราได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันประสบการณ์จากหลายภาคส่วน ก็คิดว่าเราจะได้มุมมองหรือข้อมูลอันเป็นประโยชน์ทั้งในเชิงที่เราจะขับเคลื่อนงานด้านนี้ต่อไป รศ.ดร.สุชาดา กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้เราจะขัดแย้งกันแต่การจะย้ายแผ่นดินหรือย้ายบ้านหนีก็คงยาก ท้ายที่สุดก็น่าจะมีทางที่จะกลับมาอยู่ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม จากความขัดแย้งที่ผ่านมา การสู้รบไม่ได้มีแต่ในส่วนของกองทัพหรือทหารเท่านั้น แต่ยังมีสมรภูมิบนโลกออนไลน์ที่ร้อนแรงมากจากทั้ง 2 ประเทศ นักรบออนไลน์ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและทำหน้าที่ของตนเอง ทั้งที่เป็นไปโดยธรรมชาติ (Organic) และที่เหมือนจะมีการเตรียมการมา หรือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ – Information Operation) อีกทั้งมาพร้อมกับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างภาพและเสียงปลอม (Deepfake) เกิดเป็นภาพหรือคลิปวิดีโอที่หลายคนอาจหลงเชื่อ

ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งไทย  กัมพูชาเท่านั้น เราได้เห็นว่าทั่วโลกมีความขัดแย้ง มีสงครามเกิดขึ้นที่โน่นที่นี่เยอะแยะไปหมด และสิ่งที่ตามมาจากปรากฎการณ์ทั่วโลกเหมือนกันคือ Information Warfare (สงครรมข้อมูลข่าวสาร) เต็มไปด้วยข่าวจริงบ้าง – ไม่จริงบ้าง ทุกคนต้องตั้งสติมากๆ เลยว่าตกลงเราจะเชื่ออะไร แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น หลายต่อหลายเรื่องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้วแต่คนก็ยังเลือกเชื่อตามความชื่อของตัวเอง พยายามมองข้ามไปไม่อยากคิดว่ามันไม่จริงเพราะตอบสนองอุดมการณ์ของเรา สุภิญญา กล่าว

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “สงครามข้อมูลกับแนวรบออนไลน์: ถอดบทเรียนวารสารศาสตร์แห่งความจริง กรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา”มีวิทยากร 5 ท่าน โดย ดร.วศิน ปั้นทอง อาจารย์ภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายปรากฏการณ์ข่าวลวง ว่า แบ่งได้ทั้ง 1.รูปแบบ ที่มีทั้ง “มุ่งเป้า” ส่งสารเจาะจงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มที่มีแนวคิดทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือกลุ่มช่วงอายุ และ “ทั่วไป” คือเผยแพร่แบบไม่เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย

กับ 2.ช่องทาง พบได้มากในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ทั้งที่เผยแพร่เป็นสาธารณะและที่เป็นกลุ่มปิด ซึ่งในกรณีของกลุ่มปิด ข่าวลวงจะถูกสร้างให้ตรงกับความเชื่อของคนในกลุ่มนั้นและทำให้ยิ่งเชื่อแบบถอนตัวไม่ขึ้น นอกจากนั้นยังพบในแอปพลิเคชั่นส่งข้อความ แพลตฟอร์มแชร์วิดีโอ ที่จะพบการใช้ AI สร้างวิดีโอเสมือนว่าเป็นเรื่องจริงทั้งที่ไม่จริง ตลอดจนเว็บไซต์และบล็อก (Website & Blog) ที่แม้จะเป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในยุคทศวรรษ 2000 (ปี 2543 – 2552) แต่ปัจจุบันก็ยังพบเห็นได้อยู่จำนวนหนึ่ง 

ถ้าเราจัดเป็นกลุ่ม เราจะเห็น 3 กลุ่มที่เป็นข้อมุลลวง 1.Text Base Disinformation (ข้อมูลลวงที่สื่อสารด้วยตัวอักษร) 2.Video Base Disinformation (ข้อมูลลวงที่เผยแพร่แบบคลิปวิดีโอ) และ 3.Image Base Disinformation (ข้อมูลลวงที่ใช้รูปภาพ) ทั้ง 3 อย่างนี้ผมจะใส่วงให้ซ้อนกันอยู่ เพราะในบางครั้ง Disinformation (ข้อมูลลวง) 1 ชิ้นอาจจะผสมทั้ง 3 อย่างนี้ อาจจะมี 2 ใน 3 ส่วนใหญ่เท่าที่ผมไปเจอมาจะใช้ทั้ง 3 อย่างนี้ไปพร้อมๆ กัน ดร.วศิน กล่าว

สมคิด เพชรประเสริฐ อาจารย์ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวถึงมุมมองของผู้รับสารต่อการรับมือข่าวลือหรือโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ว่า ท้ายที่สุดจะเกิดภาวะสับสนอลหม่านในการกรองข้อมูลว่าตกลงแล้วอะไรจริง – ไม่จริง แต่ด้วยธรรมชาติของมนุษย์จะมีสิ่งที่เรียกว่า อคติแบบเข้าข้างความเชื่อของตนเอง (Confirmation Bias)เช่น กรณีของตนมีพื้นเพเป็นคนที่เติบโตมาในบริเวณชายแดนไทย – กัมพุชา ฟังภาษาเขมรรู้เรื่องและคุ้นชินกับชาวกัมพูชา เมื่อรับรู้ข่าวสารเชิงลบเกี่ยวกับกัมพูชาก็จะยิ่งตอกย้ำ 

อาทิ มีคำพูดกันว่าเขมรเชื่อไม่ได้หลังเพล หมายถึงชาวกัมพูชามาขอข้าวปลาอาหารจากชาวไทย แต่เมื่อชาวกัมพูชากินอิ่มแล้วก็เชื่อถือไม่ได้อีก ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นอคติอย่างหนึ่งที่อาจทำให้เราตัดสินไปก่อนล่วงหน้า  ขณะที่เมื่อเราเลือกรับข้อมูลข่าวสาร เราก็อาจเลือกรับที่ยืนยันตรงกับอคติของเรา อย่างที่มีสำนวนไทยว่า ไม่มีมูลหมาไม่ขี้ ข้อมูลข่าวสารนั้นอาจมีข้อเท็จจริงเพียงร้อยละ 10 ที่เหลือเป็นการใส่สีตีไข่ แต่ผู้รับสารก็เลือกจะเชื่อไว้ก่อน นี่คือทุกขลาภของคนยุคปัจจุบัน และอย่าคิดว่าข้อมูลข่าวสารหรือสื่อไทยเป็นแบบเปิด (Open Gateway) ส่วนกัมพูชาเป็นแบบปิด (Single Gateway) แล้วข้อมูลข่าวสารในไทยจะน่าเชื่อถือไปทุกเรื่อง ผู้รับสารต้องมีความตระหนัก

พอสื่อสารออนไลน์ ทุกคนเป็นผู้สื่อข่าวได้ ปัญหาคือพอไม่ได้เรียนเรื่องของหลักการจริยธรรมเรื่องของความรับผิดชอบในแง่ของข้อมูล บวกกับยอดรายได้จาก Viral (การกระจายของข้อมูลอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง) มันก็เป็นปัญหาอยู่พอสมควร ถ้าเราดูในระบบของข้อมูลมันจะทำให้คนเกิดภาวะที่จะถูกปั่นได้ง่าย ในการปั่นไป  มาบางทีก็ทำให้เกิดการทะเลาะกัน สมมติแฟนลิเวอร์พูลปั่นแฟนแมนฯ ยูฯ (ทีมฟุตบอลในอังกฤษ) ก็ทะเลาะกัน ไม่ต้องพูดถึงไทยกับกัมพูชา ทั้งที่เราไม่เคยไปเมืองแมนเชสเตอร์ ไม่เคยไปเมืองลิเวอร์พูล เรายังตีกันได้ที่นี่ อาจารย์สมคิด กล่าว

จักรกฤชณ์ แววคล้ายหงษ์ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดตราด ตั้งข้อสังเกตในประเด็น นักข่าวเลือกข้าง เรียกว่านักข่าวสายนั้นบ้าง สายนี้บ้าง เปลี่ยนรัฐบาลก็นำเสนอข้อมูลด้านลบ เช่น ทำกันจนบอกว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชา จนมีกลุ่มอาชีวะรักสถาบันฯ มาทำกิจกรรมใน จ.ตราด มีรัฐมนตรีที่ไม่เคยเดินทางมา จ.ตราด ให้ความสนใจไปลงพื้นที่เกาะกูด ซึ่งชาวบ้านบนเกาะกูดรู้ดีว่าเกาะกูดเป็นของไทย 

แต่ปัญหาคือรัฐบาลไทยไปทำข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ อาทิ เรื่องน้ำมัน – ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 50,000 หรือ 1 ต่อ 200,000 ชาวบ้านไม่เข้าใจ แต่ชาวเกาะกูดและชาว จ.ตราด รู้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ทุกวันนี้กระแสสงครามข่าวสาร ข้อมูลโต้กันไป – มาจนไม่รู้ว่าอะไรจริง – ไม่จริง แม้กระทั่งตนเองก็เคยพลาด อาจเป็นเพราะเก็บข้อมูลได้ไม่ทั่วถึง 

สงครามข่าวสารยังไม่จบ แล้วมันเป็นสงครามข่าวสารที่เราไม่สามารถจะบอก อาจมีข่าวลวงเยอะมากกว่าที่มีความจริงด้วยซ้ำ ก็ผสมปนเปกันแล้วเราจะทำอย่างไร? โคแฟคเป็นองค์กรหนึ่งที่ต้องการจะตรวจสอบข้อเท็จจริง ใช้วิธีการอะไรต่างๆ AFP (สำนักข่าวฝรั่งเศส) ก็เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ทำเรื่องนี้ แม้กระทั่ง DE (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ก็กำลังทำ ชัวร์ก่อนแชร์ (อสมท.ก็เป็นจุดหนึ่ง แต่ผมอยากเห็นว่าอย่าพึ่งองค์กรพวกนี้ แต่พึ่งพวกเรา ให้ทุกคนช่วยกันตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนจะนำเสนออะไร เพราะวันนี้ทุกคนเป็นสื่อได้หมดจักรกฤชณ์ กล่าว

ชุตินธรา วัฒนกุล บรรณาธิการบริหารด้านข่าวออนไลน์ ThaiPBS เล่าถึงความยากในการนำเสนอข่าวสถานการณ์ความขัดแย้งไทย – กัมพูชา ในยุคที่ใครก็สามารถสื่อสารได้ ว่า ข้อมูลที่ ณ เวลานี้บอกว่าจริง ผ่านไปไม่กี่นาทีก็อาจกลายเป็นเท็จได้ เช่น เพจทางการของกองทัพให้ข้อมูลอย่างหนึ่ง สื่อก็นำเสนอไป ต่อมามีอีกเพจที่ก็เป็นเพจทางการเหมือนกัน หรือไม่ก็เป็นโฆษกของหน่วยงานออกมาบอกว่าไม่จริง แต่ในวันเดียวกันก็มีการออกมาแก้ข่าวอีกว่าเป็นเรื่องจริง สถานการณ์แบบนี้ทำให้คนทำสื่อสับสนมาก 

ซึ่งจากการคุยกันภายในทีมงาน ได้ข้อสรุปว่าเราไม่สามารถนำเสนออย่างรวดเร็วได้ นอกจากข่าวลวงยังมีเรื่องของชุดความจริง หมายถึงเป็นความจริง ณ ช่วงเวลานี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก้อาจไม่ใช่ความจริงอีก เพราะถูกหักล้างโดยชุดความจริงหรือข้อมูลอีกประเภทหนึ่งเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง หรือความเข้าใจที่แตกต่างกันของคำว่า พิกัด ระหว่างทหารกับสื่อมวลชน มีการถกเถียงกันว่าพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาสามารถรายงานได้หรือไม่ 

โดยฝ่ายทหารมองว่าไม่ควรเผยแพร่เพราะทำให้ฝ่ายกัมพูชารู้ว่าปฏิบัติการสำเร็จ แต่สื่อมวลชนก็อยากรายงานให้เห็นผลกระทบของคนในพื้นที่ แต่เมื่อนำเสนอไปแล้วก็มีประชาชนตำหนิสื่อว่าไปบอกพิกัดทำไมเดี๋ยวกัมพูชาก็รู้ แม้จะบอกเพียงกว้างๆ ไม่ได้ระบุตำแหน่งที่ชัดเจน ปรากฏการณ์แบบนี้ตนก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในการทำงานข่าว ในการมีบริบทสังคมบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและคล้ายกับเป็นการควบคุมว่าไม่ควรทำ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นหน้าที่ของสื่อ การทำงานในบริบทสังคม ณ เวลานั้นก็ต้องประนีประนอมพอสมควร

เชื่อไหมว่าเวลาผ่านไปหลังจากเจรจาหยุดยิง สิ่งที่ประชาชนกังวลเรื่องพิกัดหายไปเลย ไม่มีใครพูดถึงเลย ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 2 อาทิตย์เรื่องนี้หายไปเลย เห็นไหมว่าการนำเสนอไม่ได้เป็นแค่เรานำเสนอ ในฐานะที่เป็นสื่อไม่ได้นำเสนอแค่ข้อเท็จจริงอย่างเดียว เรื่องของความรอบด้านหรือข้อมูลต่างๆ เรายังต้องคำนึงถึงเรื่องของบริบทสังคม ณ ช่วงเวลานั้นๆ ด้วยว่า ณ วันนี้เรานำเสนออะไรได้  ไม่ได้บ้าง แล้วจะต้องนำเสนอด้วยความรอบคอบอย่างไร ชุตินธรา กล่าว

ระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) กล่าวถึงคำว่า การสร้างความได้เปรียบทางข้อมูล (ไอเอ  Information Advantage)” ซึ่งมาจากเอกสารผลการศึกษาชื่อ “ADP 3-13” โดยกองทัพสหรัฐอเมริกา การทำไอเอจะแตกต่างจากการทำไอโอ กล่าวคือ ไอโอหรือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร จะเป็นการระดมกำลังเพื่อสนับสนุนฝ่ายตนเองและลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามหรือคู่แข่งเท่านั้น หรือคิดได้เพียงใช่หรือไม่ (Yes or No) ในขณะที่ไอเอเป็นการใช้ข้อมูลจริง แต่จะใช้อย่างไรให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ 

เช่น หากต้องการสื่อสารข้อมูลชุดหนึ่งกับกลุ่มคนที่ชอบกีฬาฟุตบอล ก็จะเริ่มด้วยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลก่อน เพราะหากเริ่มด้วยเรื่องสงครามในทันทีกลุ่มเป้าหมายอาจไม่เข้าใจ หรือหากจะสื่อสารกับคนเป็นครูบาอาจารย์ก็ต้องเริ่มด้วยการกล่าวถึงทฤษฎี หรือหากเป็นการทำบนพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ ก็ต้องควบคุมให้กลุ่มความเห็นที่ได้รับความนิยมสูงสุด (Top Comments) หรือความเห็นแรกๆ อยู่ในทิศทางที่เป็นบวกกับฝ่ายเรา เพราะพฤติกรรมผู้รับสารในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์มักมีแนวโน้มจะเชื่อความเห็นกลุ่มนี้ 

อนึ่ง มีตัวอย่างจากความขัดแย้งไทย – กัมพุชา ที่เมื่อออกไปดูกระแสสังคมระดับโลก พบว่าชาวโลกมีแนวโน้มเชื่อกัมพูชามากกว่าไทย เนื่องจากอินเตอร์เน็ตเป็นพื้นที่ที่ใครปักธงก่อนได้เปรียบฝ่ายกัมพูชาสื่อสารออกไปก่อนเป็นภาษาอังกฤษ แต่ฝ่ายไทยการสื่อสารภาษาอังกฤษยังกระท่อนกระแท่น ซึ่งเมื่อทดลองค้นหาในอินเตอร์เน็ต ตั้งเงื่อนไขคัดกรองว่าไม่นับข้อมูลจากสื่อมวลชนของไทยและกัมพูชา พบผลการค้นหาเป็นไปในทางไทยเป็นฝ่ายทำร้ายกัมพูชา ไม่ใช่กัมพูชาเป็นฝ่ายโจมตีไทย 

ใครบอกว่านักนิเทศศาสตร์กำลังจะตาย ผมว่าไม่ใช่ นักนิเทศศาสตร์นี่ละคือเรื่องใหญ่ที่ต้องสร้างตัวตนขึ้นมาให้ได้ แต่นิเทศศาสตร์จะทำอย่างไรที่ต้องเข้าใจคนอื่นและเข้าใจบริบท ไม่ใช่แค่ใช้เฟซบุ๊กเป็น ใช้ทวิตเตอร์ ใช้ติ๊กค๊อกเก่ง มันต้องเข้าใจว่าเรากำลังจะขายของหรือขายข้อมูลนี้ให้คนประเภทไหน โดยข้อมูลประโยคเดียวกัน บิดนิดหนึ่งได้นักศึกษา ได้อาจารย์ ได้นักข่าว ระวี กล่าว 

ยังมีการสวนาหัวข้อ ถอดบทเรียนการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรณีความขัดแย้งไทย – กัมพูชาจากวิทยากร 4 ท่าน โดย กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ตั้งข้อสังเกต 3 ประการเกี่ยวกับปรากฏการณ์ข่าวลวงในสถานการณ์ไทย – กัมพูชา คือ 1.พบการใช้วิธีการทุกรูปแบบ ตั้งแต่ 1.0 เช่น กุคำพูดขึ้นมาดื้อๆกรณีโพสต์ภาพ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (ในขณะนั้น) พร้อมข้อความบอกว่าเขมรไม่ใช่ญาติ หากจะตายก็ให้ตายไป ซึ่ง พล.อ.ณัฐพล ไม่ได้พูดถ้อยคำดังกล่าว 

หรือกรณีโพสต์ภาพ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมข้อความว่าขอประณามโรงพยาบาลที่ไม่รับรักษาผู้ป่วยชาวกัมพูชา ซึ่งแม้ทางพรรคประชาชนจะเคยให้ความเห็นเกี่ยวกับท่าทีของโรงพยาบาลในประเด็นการรักษาผู้ป่วยชาวกัมพูชา แต่ไม่มีคำพูดดังกล่าวแต่อย่างใด การใช้ภาพที่ไม่เกี่ยวข้อง กรณีฝ่ายกัมพูชาใช้ภาพเครื่องบินโปรยสารเคมีดับเพลิงกล่าวหาไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา หรือภาพฝูงนกที่ถูกนำมาทำให้เข้าใจว่าเป็นฝูงแร้งกินซากศพทหารกัมพูชา ไปจนถึง การใช้ AI สร้างภาพปลอม เช่น ภาพของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ยกมือไหว้และยอมให้ ฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา ใช้มือลูบศีรษะ เป็นต้น

2.สื่อมวลชนมีส่วนเผยแพร่เนื้อหาเท็จ เช่น รายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ แชร์ข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” บอกว่าฝ่ายไทยเข้ายึดปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งต่อมาทางกองทัพบกได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง , รายการไทยรัฐนิวส์โชว์ แชร์คลิปจากเพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” ที่อ้างว่าเป็นชายชราชาวกัมพูชาวัย 87 ปี บอกลาลูกหลานเตรียมไปออกรบ แต่ต่อมาผู้ถ่ายคลิปดังกล่าวได้โพสต์คลิปชี้แจงว่าชายชราคนนี้เป็นเพียงอดีตทหารที่แต่งเครื่องแบบมาซื้อยาที่ร้านขายยา ล่าสุดทางไทยรัฐนิวส์โชว์น่าจะลบข่าวนี้ไปแล้ว , 

สถานีโทรทัศน์ PPTV นำภาพจากสื่อสังคมออนไลน์ที่ถูกแชร์ต่อกันมาว่าทหารกัมพูชากำลังซ้อมตาย ทั้งที่จริงๆ เป็นภาพการฝึกปฐมพยาบาลที่เกิดขึ้นก่อนหน้าการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งแม้ผู้ประกาศข่าวจะบอกในระหว่างการนำเสนอว่าไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ในภาพข้อเท็จจริงคืออะไร แต่การเป็นสื่อนั้นสิ่งใดที่ไม่ชัดเจนก็ไม่ควรนำเสนอหรือไม่  และ 3.คนบางส่วนรับได้กับเนื้อหาเท็จหากสอดคล้องกับความเชื่อหรือความคิดของตนเอง เช่น ทำให้ฝ่ายที่เป็นศัตรูดูแย่ 

อย่างกรณีข่าวนกแร้งที่เราตรวจสอบว่าภาพไม่ใช่นกแร้ง ก็มีคนมาบอกว่ารู้มันไม่จริงแต่มันสะใจดี ปั่นประสาทเขมรดี หรือว่าเอาฮาคุณจะไปสนใจอะไร หรือข่าวปลอมว่ากรมศิลปากรไฟเขียวให้ทำลายปราสาทได้เพื่อรักษาดินแดน รักษาอธิปไตย ซึ่งกรมศิลปากรไม่เคยออกมาพูดแบบนั้น คนที่มาแสดงความเห็นบอกว่าเนื้อหาอาจเป็นเท็จแต่เห็นด้วยในสาระสำคัญ เพราะมันก็จริงว่าปราสาททำลายไปเถอะมันไม่สำคัญ ดินแดนของเราสำคัญกว่า กุลธิดา กล่าว

กมล หอมกลิ่น อีสานโคแฟค กล่าวว่า ในความยากของการสื่อสารคือจะทำอย่างไรให้คนในพื้นที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด แต่จากการพูดคุยกับคนทำงานสื่อในพื้นที่ด้วยกัน เช่น ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งใน อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ได้รับคำตอบว่า พูดอะไรไม่ได้ เพราะหากพูดออกไปว่าเสียงคนชายแดนเรียกร้องอย่ายิงกันเลยแล้วจะถูกทัวร์ลง ความยากคือไม่รู้จะสื่อสารแบบไหนเพราะมีกระแสบางอย่างอยู่ แต่คนในพื้นที่ที่กำลังเตรียมตัวอพยพคาดหวังอย่างเดียวว่าเมื่อใดเหตุการณ์จะสงบ จะได้กลับไปทำไร่ทำนา ลูกหลานจะได้กลับไปเรียนหนังสือ เป็นต้น 

โดยในช่วงที่ผ่านมา อีสานโคแฟคพยายามทำงานค่อนข้างมาก แต่ก็มีคำถามว่ายังทำไม่ถึงหรือไม่ เพราะหลายอย่างเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็ไม่สามารถไปรายงานให้เกิดการหักล้างข้อมูลได้ หรือเจอข่าวในพื้นที่ก็ไม่สามารถรายงานให้เป็นกระแสได้เพราะเป็นเพียงทีมงานกลุ่มเล็กๆ ช่องทางที่ทำคนติดตามก็ยังมีไม่มาก แต่ก็ได้พูดคุยกันว่าในเมื่อเป็นทีมสื่อเล็กๆ ก็คงไม่ต้องเน้นยอดการติดตามที่ทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้น แต่ขอให้การสื่อสารออกไปเป็นประโยชน์กับชาวบ้านให้มากที่สุด 

เราจะต้องให้ชาวบ้านเขาได้เหมือนกับมีสิทธิ์มีเสียงในการส่งเสียงของพวกเขาบ้าง อย่างเช่นเราจะต้องลงไปทำข่าวในจุดที่มีการอพยพ เราก็ต้องไปถามว่าเขามีสุขมีทุกข์เกี่ยวกับอะไร มากกว่าที่จะเล่าเรื่องของตัวเอง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่เทรนด์ มากกว่าเรื่องเทรนด์ของสังคม ซึ่งมันไม่ใช่เทรนด์แต่เป็นวิถีชีวิตที่พวกเขาจะได้ประโยชน์มากที่สุด กมล กล่าว 

ณัฐพล ทุมมา เจ้าหน้าที่เนื้อหาสื่อดิจิทัลอาวุโสThaiPBS เล่าว่า จาการจับตาสถานการณ์ขัดแย้งไทย – กัมพูชา ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2568 พบข่าวในช่วงแรกๆ เป็นภาพปลอม ภาพ AI ทำขึ้น เป็นการสร้างความไม่ชอบฝ่ายเรา – ฝ่ายเขา ต่อมาจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทางออนไลน์ในรูปแบบข่าวลวงจากมวลชนทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา กระทั่งเมื่อเกิดการปะทะกันจะเริ่มเห็นข่าวลวงทั้งจากสื่อไทยและกัมพูชา 

โดยในกรณีของสื่อไทย ช่วงที่หลงไปนำเสนอข่าวลวงเพราะการเข้าถึงข้อมูลหรือแหล่งข่าวทำได้จำกัด เพราะช่วงที่ปะทะกันกองทัพกำลังยุ่งอยู่กับภารกิจการปะทะ และสื่อเข้าใจว่าเพจบางแห่งนำเสนอภาพที่กองทัพปล่อยออกมา ทั้งนี้ ลักษณะของข่าวลวงมีทั้งภาพปลอม คลิปวิดีโอปลอม หรือภาพเก่า คลิปวิดีโอเก่าที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไทย – กัมพูชา อย่างล่าสุดที่เจอคือนำคลิปวิดีโอการประท้วงที่เนปาล มาอ้างว่าเป็นการประท้วงในไทยขอให้เปิดพรมแดน ในช่วงที่มีการประชุม GBC ระหว่างไทยกับกัมพูชา  

เรื่องการตรวจสอบเราจะเน้นไม่เดินไปตามเขา เพราะเราไม่ต้องการความเร็ว เราต้องการความถูกต้อง เราเสนอข่าวช้าได้แต่เสนอข่าวที่ผิดไม่ได้ เพราะการที่ปล่อยเขาเดินไปก่อนเหมือนกับเราถอยมา 1 ก้าว ข่าวที่บอกว่า ร.31 รอ. ยิงถล่ม ที่เป็นคลิปภาพสีเขียวๆ ยิงถล่มตอนกลางคืน อันนั้นก็เล่นกันหลายช่อง แต่ไปตรวจสอบแล้วเป็นคลิปการซ้อมรบในเวลากลางคืน ต้องเข้าใจก่อนว่าช่วงที่เกิดเหตุทุกคนอยากเป็นคนที่อยู่แนวหน้า อยากใกล้ชิดกับเหตุการณ์มากที่สุด อยากจะแชร์ แต่อย่าลืมว่าเรื่องเหล่านี้ถ้าเราไปแชร์ผิดๆ โดยเฉพาะเราเป็นสื่อ เราจะยิ่งเหมือนถูกผลกระทบ 2 เท่า ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสื่อ” ณัฐพล กล่าว 

สุชานาถ อินทปิ่น  นิสิตวาขานิเทศศาสตร์ชั้นปีที่ 3 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทาลัยบูรพา กล่าวว่า ข่าวที่มีแนวโน้มเป็นข้อมูลเท็จ มักตั้งพาดหัวแบบล่อเป้าให้เข้าไปติดตาม (Clickbait) เมื่อกดเข้าไปอ่านจะมีการอ้างแหล่งข้อมูลที่ไม่รู้ที่มาที่ไป แต่ไม่พบเนื้อหาข่าวเดียวกันปรากฏในสื่อกระแสหลักในว่าสำนักข่าวของไทยหรือของต่างประเทศ ดังนั้นเด็กยุคนี้ต้องได้รับการส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) อย่างมาก 

หรืออย่างโพสต์ข่าวแล้วมีผู้มาแปะ Link อ้างอิงในช่องแสดงความคิดเห็น ซึ่งอาจเป็น Link เว็บไซต์ที่รายงานข่าวจริงหรือข่าวลวงก็ได้ จึงแนะนำว่าอยากให้ทุกคนจำ URL เว็บไซต์ของสำนักข่าวที่เชื่อถือได้ไว้ ส่วน URL ชื่อแหล่งข่าวที่ดูแปลกๆ มีตัวเลขแปลกๆ ไม่ควรกด ก่อนจะกดอะไรเข้าไปก็สังเกตดีๆ ว่าชื่อ URL เป็นชื่อสำนักข่าวจริงๆ ใช่หรือไม่ รวมถึงตรวจสอบจากสำนักข่าวหรือแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง ว่ารายงานตรงกันหรือไม่

อย่างต่ำๆ เลยเราจะหาอย่างน้อย 2 แหล่งที่มา คือถ้าเราเห็นอะไรสักอย่างใน Social Media เราก็จะเริ่มหาข้อมูล ค้นหาเว็บไซต์ว่าเรื่องนี้จริงไหม? ออกข่าวสำนักไหนบ้าง? หรือมีใครพูดถึงเกี่ยวกับอะไรของมันอีกไหม? ใน Comment (ช่องแสดงความเห็น) บอกว่าอย่างไร? อย่างน้อยๆ คือ 2 แหล่งที่มา ถึงจะชัวร์ว่าอันนี้ดูจะจริ สุชานาถกล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-