ถั่วลิสงเสี่ยงมะเร็งตับ? เปิดความจริงจากงานวิจัยและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 รายการ โคแฟคสนทนา: รวมพลคนเช็กข่าว EP.17 ได้ออกอากาศในหัวข้อ “มีสารก่อมะเร็งในถั่วลิสงจริงหรือ?” โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งCOFACT, นายณัฐฐศรัณฐ์ วงศ์เตชะ หัวหน้างานโภชนบริการและการกำหนดอาหาร สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และน้องออม สุมัณฑิรา ศรีสังวาลย์ ตัวแทนคนเช็กข่าว ดำเนินรายการโดยนายสุชัย เจริญมุขยนันท
ในรายการ นายณัฐฐศรัณฐ์ หรือ “พี่โด่ง” เปิดเผยว่าถั่วลิสงมีสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า “อัลฟาท็อกซิน” (Aflatoxin) ซึ่งเกิดจากเชื้อรา Aspergillus flavus และ Aspergillus parasiticus สารนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสารก่อมะเร็งระดับ 1 โดยองค์การอนามัยโลก(WHO) โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความสัมพันธ์ชัดเจนกับการเกิดมะเร็งตับ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเช่น ผู้ป่วยโรคตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซีซึ่งจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งตับเมื่อได้รับสารนี้อย่างต่อเนื่องในปริมาณมาก
นายณัฐฐศรัณฐ์ อ้างอิงงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน2555 ถึงมกราคม 2556 และตีพิมพ์ในปี 2559 โดยสุ่มตัวอย่างถั่วลิสงจากตลาดค้าปลีกในกรุงเทพมหานครจำนวน 60 ตัวอย่าง ผลพบว่า ถั่วลิสงดิบมีการปนเปื้อนอัลฟาท็อกซินสูงถึง 80% ส่วนถั่วลิสงแปรรูป เช่น ถั่วคั่วและถั่วบด พบการปนเปื้อน100% โดยปริมาณอัลฟาท็อกซินในถั่วบดสูงถึง 362 นาโนกรัมต่อกรัม เฉลี่ย 68 นาโนกรัมต่อกรัม ซึ่งเกินกว่าค่ามาตรฐานที่ประเทศไทยกำหนดถึง 18 เท่า
เพื่อลดความเสี่ยง นายณัฐฐศรัณฐ์แนะนำให้ผู้บริโภคสังเกตถั่วลิสงก่อนรับประทาน โดยใช้ประสาทสัมผัสพื้นฐาน ดังนี้
1. สายตา : ตรวจดูเปลือกถั่วลิสง หากมีจุดดำหรือรอยราบนเปลือก แสดงว่ามีความเสี่ยงการปนเปื้อนเชื้อรา
2. กลิ่น : ถั่วที่มีกลิ่นเหม็นหืนหรือกลิ่นอับ อาจบ่งชี้ถึงการปนเปื้อนเชื้อรา
3. รสชาติ : ถั่วมีรสขมผิดปกติ แทนที่จะมีรสมันตามธรรมชาติ ควรงดบริโภค
4. การล้าง : เมื่อล้างถั่วลิสง เมล็ดที่ลอยน้ำมักเป็นเมล็ดเสีย ส่วนเมล็ดที่จมน้ำมีโอกาสปลอดภัยกว่า
นอกจากนี้ เขายังแนะนำว่าไม่ควรเก็บถั่วลิสงไว้นานเกิน 3 วัน โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ร้อนชื้นอย่างประเทศไทย ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา การเก็บรักษาควรอยู่ในภาชนะที่แห้งและปิดมิดชิดเพื่อลดความชื้น และไม่แนะนำให้เก็บในตู้เย็นนานเกินไปเพราะความชื้นในตู้เย็นอาจกระตุ้นการเกิดเชื้อราได้

นายณัฐฐศรัณฐ์ ระบุว่า การปรุงอาหารด้วยความร้อนทั่วไป เช่น การต้มหรือนึ่งที่อุณหภูมิราว 100 องศาเซลเซียส ไม่สามารถทำลายอัลฟาท็อกซินได้เนื่องจากสารนี้จะถูกทำลายที่อุณหภูมิสูงถึง 260-270 องศาเซลเซียสเท่านั้น ดังนั้น ถั่วที่มีการปนเปื้อนตั้งแต่ต้นทาง เช่น ตั้งแต่การปลูกหรือเก็บเกี่ยว จะยังคงมีความเสี่ยง แม้จะผ่านการปรุงสุกแล้วก็ตาม
สำหรับผลิตภัณฑ์แปรรูปจากถั่วลิสง เช่น ขนมหรือถั่วบด นายณัฐฐศรัณฐ์แนะนำให้เลือกซื้อจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ มีบรรจุภัณฑ์ปิดมิดชิด และระบุวันหมดอายุชัดเจน โดยผลิตภัณฑ์จากโรงงานที่ได้มาตรฐาน เช่นผ่านการรับรอง ISO หรือกระทรวงสาธารณสุข มีโอกาสปนเปื้อนน้อยกว่าถั่วที่จำหน่ายแบบแบ่งใส่ถุงรัดยาง ซึ่งมักพบเชื้อราเกือบ 100%
นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กล่าวเสริมว่า ประเด็นเรื่องถั่วลิสงและสารก่อมะเร็งเป็น “ข่าวลวงแบบคลาสสิก” ที่วนเวียนกลับมาเป็นกระแสซ้ำๆ แต่ครั้งนี้มีงานวิจัยรองรับ ทำให้เกิดความตื่นตัวในสังคม เธอแนะนำให้ผู้บริโภคมีสติในการเลือกบริโภค โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคถั่วลิสงในปริมาณมากและต่อเนื่อง รวมถึงระมัดระวังการเก็บรักษาอาหารอื่นๆ เช่น ข้าวโพดพริกแห้ง หรืองาดำ ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนเชื้อราในลักษณะเดียวกัน
น้องออม สุมัณฑิรา ตัวแทนคนเช็กข่าว ถามถึงทางเลือกทดแทนถั่วลิสง โดยนายณัฐฐศรัณฐ์แนะนำให้พิจารณาถั่วชนิดอื่น เช่น อัลมอนด์ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ก็มีราคาสูงกว่า เขายังชี้ว่า การบริโภคอาหารควรหลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงจากการสะสมสารพิษ และแนะนำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อจากแหล่งที่ได้มาตรฐาน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายรับรองคุณภาพ (GAP) เพื่อความปลอดภัย
รายการปิดท้ายด้วยการย้ำเตือนให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความเสี่ยงจากถั่วลิสง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบถั่วต้มหรือถั่วคั่วที่ซื้อจากร้านค้าทั่วไป รวมถึงแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการเก็บรักษาอาหาร เพื่อลดโอกาสการสัมผัสสารก่อมะเร็งในระยะยาว
ขอบคุณที่มา ubon connect