มองกระแส ‘เกลียดกลัวอิสลาม’ จาก‘9/11’ถึงยุคดิจิทัล น่าห่วงพื้นที่ออนไลน์ปั่นทำสังคมแตกแยก
รายการ Cofact Live Talk ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ช่วงค่ำของวันที่ 11 ก.ย. 2568 ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และ ฟาอิก กรระสี ที่ปรึกษา กมธ.วิสามัญสันติภาพชายแดนใต้ และตัวแทนเยาวชน ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองในหัวข้อ “Fact over Fear: จากอคติ สู่การบูลลี่ ให้ความจริงแทนความกลัว” กับ 3 แขกรับเชิญ เนื่องในวาระครบ 24 ปี เหตุวินาศกรรมอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 หรือ 9/11 และนำมาซึ่งกระแสหวาดกลัวอิสลาม (Islamophobia) ซึ่งยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบันอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ ที่หญิงชาวมุสลิมถูกคู่กรณีใช้ถ้อยคำรุนแรงพาดพิงศาสนาบนรถไฟฟ้า เป็นต้น

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ยืนยันว่า จากการทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Checker) ข้อมูลข่าวสารในพื้นที่สังคมออนไลน์ (Social Media) ข้อมูลที่สร้างความเกลียดชังต่อผู้นำถือศาสนาอิสลาม หรือชาวมุสลิมนั้นมีอยู่จริง แม้หลายคนอาจไม่ค่อยได้เห็นก็ตาม โดยมีทั้งการใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) และเนื้อหาเท็จ อย่างเมื่อช่วงต้นปี 2568 ได้ทำการรวบรวมเนื้อหาที่สร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในช่วง 4 – 5 ปีล่าสุด
หลังการรวบรวมคลิปวิดีโอด้วยถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ รวม 250 ชิ้น ซึ่งจริงๆ แล้วมีมากกว่านี้ พบตัวอย่างเนื้อหาที่เป็นข้อมูลเท็จ เช่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี นับถือศาสนาอิสลาม เป็นเนื้อหาที่ถูกเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีคำชี้แจงจากทั้งตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงมีภาพที่ชี้ชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ นับถือศาสนาพุทธก็ตาม โดยเนื้อหานี้มักถูกนำไปเชื่อมโยงกับความเชื่อที่ว่ารัฐบาลไทยมีนโยบายเอื้อต่อชาวมุสลิมมากกว่าชาวพุทธ ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างศาสนิกชนของทั้ง 2 ศาสนาในประเทศไทย
หรือเนื้อหาที่พบช่วงปลายปี 2567 ที่มีเหตุการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ พบคลิปวิดีโอที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ มีการทำให้เสมือนว่าเป็นชาวมุสลิมพูด โดยขึ้นข้อความว่า“พวกเราชาวมุสลิมขอไม่รับอาหารที่ไม่มีฮาลาลพวกเรายอมอดตายดีกว่าถ้าทำผิดต่ออัลเลาะห์”คลิปนี้ตนไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นคำพูดของบุคคลนั้นจริงหรือไม่ หรือเป็นการที่ผู้ใช้บัญชี TikTok ดังกล่าวสร้างเนื้อหาขึ้นมาเพื่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดี มองว่าชาวมุสลิมเป็นคนเรื่องมาก ไม่ต้องการรับความช่วยเหลือ
“ในฐานะที่เป็น Fact Checker เราก็ยังไม่ได้มีการมาตรวจสอบเนื้อหานี้มากเท่าไร เพราะอาจจะมีหลายอย่าง เราก็โฟกัสเรื่องสุขภาพบ้าง เรื่องการเมืองบ้าง จึงอยากจะเชิญชวนว่า นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เราควรจะมาร่วมกันใส่ใจเนื้อหาเหล่านี้แล้วก็ช่วยกันเผยแพร่ข้อเท็จจริงหรือว่าหักล้างความเท็จที่เกี่ยวกับคนมุสลิม ที่ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนต่างศาสนิกในสังคมเรา” กุลธิดา กล่าว
ชุมพล ศรีสมบัติ แอดมินเพจข่าวมุสลิมเชียงใหม่เล่าว่า ตนเป็นชาวมุสลิมและยังเป็นคนเชื้อสายจีน ซึ่งกระแสความรู้สึกเกลียดกลัวอิสลามยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ เช่น ล่าสุดตนเพิ่งเห็นการแชร์ภาพและข้อความ “2 หนุ่มแขกปาทาน ผู้เสนอ พ.ร.บ.อิสลาม!! และขยายมัสยิด ทั่ว..” รวมถึงกรณีที่มีข่าวว่า ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นบุตรสาวของ ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย กำลังจะได้ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ทำให้เกิดกระแสความกังวลว่าอาจกระทบต่อขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมไทยหรือหนึ่งในถ้อยคำที่พบบ่อยๆ คือทำไมต้องเอาศัตรูมาไว้ที่บ้าน
ซึ่งในส่วนของตนก็จะพยายามชี้แจงด้วยการสร้างสื่อ เพื่อให้เห็นถึงวิถีวัฒนธรรมอันงดงาม โดยเฉพาะมุสลิมทางล้านนา จะมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากมุสลิมในกรุงเทพฯ หรือใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะหากไล่สืบสาวสายบรรพชนกันจริงๆ ทางล้านนา ฝ่ายหญิงมักจะเป็นชาวพุทธ แต่งงานกับฝ่ายชายที่เป็นชาวมุสลิมเชื้อสายอินเดีย บังกลาเทศ จีน ในเรื่องวิถีวัฒนธรรมส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างจะเข้าใจกันและอยู่ร่วมกันในพหุสังคม กระทั่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ 9/11 ก็เริ่มมีการตีข่าวให้ร้าย ส่งผลต่อวิธีคิดที่เปลี่ยนไปของคนที่อยู่ร่วมกัน เช่น มองว่าชาวมุสลิมน่ากลัว
“จริงๆ แล้วถ้าเราไม่ไปตอบโต้อะไรมาก มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก เพราะเราอย่าไปให้ความสำคัญกับสื่อ แต่ว่าเราก็ต้องชี้แจง เอาความงดงามมาสะท้อนให้ทุกฝ่ายได้เห็นว่าจริงๆ แล้วอิสลามไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เราอย่าไปกลัว อย่าไปเกลียด ไม่ใช่ว่าเห็นเขาใส่หมวก เห็นเขามีเครา หรือเขาคลุมฮิญาบ อย่างกรณีบนรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นมา เราก็จะเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกับอีกฝ่าย ในเคสที่เชียงใหม่ก็ยังเคยมี ผู้หญิงมุสลิมใส่ฮิญาบขับมอเตอร์ไซค์ มีผู้ชายขับรถยนต์มาเปิดกระจกข้างๆ แล้วก็ด่า จนถึงไฟแดงถึงได้แยกกันไป ผู้หญิงก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร”ชุมพล กล่าว
มะรูฟ เจะบือราเฮง ประธานมูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ กล่าวว่า จากกรณีเหตุการณ์บนรถไฟฟ้า ทำให้ตนนึกถึงคนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องไปทำงานในกรุงเทพฯ ตนวิเคราะห์ว่าที่เหตุการณ์เกิดขึ้นเนื่องจาก 1.การเป็นผู้หญิงทำให้อาจถูกคุกคามได้ง่าย 2.การเป็นคนต่างถิ่น อาจไม่รู้สึกชิน ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นพื้นที่ของเรา จึงไม่ค่อยกล้าที่จะโต้ตอบ ยิ่งโดยเฉพาะการเป็นคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีภาษาและวัฒนธรรมแตกต่างกัน 3.การเป็นมุสลิม อาจทำให้รู้สึกว่าเป็นคนส่วนน้อยที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ
ซึ่งเมื่อสิ่งเหล่านี้มาปนกันก็จะเรียกว่าเป็นการกดขี่ที่ทับซ้อน อย่างให้ตนจินตนาการว่าไปอยู่ตรงจุดนั้นก็คงไม่กล้าทำอะไรเหมือนกัน จึงน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หญิงมุสลิมคนดังกล่าวไม่โต้ตอบแต่อีกมุมหนึ่ง สิ่งที่น่าชื่นชมคือผู้หญิงคนนี้มีความอดทนอดกลั้น รวมถึงการเลือกที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจด้วยการปฏิเสธไม่ขอออกสื่อใดๆ เพราะไม่อยากให้กระทบถึงคู่กรณีจนไม่มีที่ยืนในสังคมทั้งที่อีกฝ่ายมาคุกคามตนเอง เรื่องนี้เป็นสิ่งพิเศษที่สอนใครหลายคน ซึ่งหลายๆ ศาสนา รวมถึงอิสลามก็สอนเรื่องความอดทนแม้ในสถานการณ์ที่ถูกคุกคาม
อนึ่ง ก่อนหน้านี้หากพูดถึงคำว่า “ดราม่า” กระแสต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม สิ่งนี่เปรียบเสมือนเป็นไฟที่ลุกลามไปทั่ว จากเดิมที่การลงโทษฝ่ายที่คุกคามเป็นไปตามระบบกฎหมาย เมื่อมีสื่อสังคมออนไลน์ มีการถ่ายและเผยแพร่คลิป แล้วก็มีคนคอยเชียร์หรือสุมไฟ เรื่องก็ยิ่งกว้างขึ้น ซึ่งตนมองว่าไม่สมสัดส่วน โดยการลงโทษนั้น การพึ่งพาระบบกฎหมายหรือจริยธรรมในที่ทำงานก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่การเลยไปและสุมไฟให้ใหญ่โตกว่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรส่งเสริม เรื่องดราม่าซ้ำเติมคนกระทำผิดเกินกว่าสัดส่วนที่ควรได้รับนั้นเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
“สิ่งหนึ่งที่อยากพูดถึงก็คือความกลัว อคติเหล่านี้ถ้าสมมติว่าในระดับปัจเจกมันเป็นสิ่งที่อารมณ์ความกลัว มันเป็นสิ่งที่ถูก Trigger (กระตุ้น) ได้ง่าย ทำให้เกิดความกลัวได้ง่าย ความอคติก็จะเกิดได้ง่ายเหมือนกัน แต่ถ้าสมมติว่าเรามองเห็น มองดูเกี่ยวกับความกลัวหรืออคติที่เกิดขึ้นในสังคม มันไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติแต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา โดยอาจจากคนกลุ่มหนึ่งหรือคนที่ไม่หวังดี ด้วยกลไกของข่าวลวง – ข่าวปลอม หรือการใช้ Hate Speech การอคติเหมารวมคนกลุ่มหนึ่ง ก็ทำให้สิ่งเหล่านี้เหมือนกับลาวาที่อยู่ใต้ภูเขาไฟ ถ้าสมมติว่ามันปะทุขึ้นมา มันก็จะระเบิดขึ้นมา” มะรูฟ กล่าว
หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://web.facebook.com/CofactThailand/videos/1536454984402992/ และอ่านรายงาน “สำรวจเนื้อหาสร้างความเกลียดกลัวอิสลามใน TikTok”ได้ที่ https://blog.cofact.org/islamophobic-disinformation-on-tiktok/
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-