‘บิดเบือน – คลาดเคลื่อน’ มีทุกยุคตั้งแต่โทรเลขถึงเอไอ! ‘ตั้งสติ-รู้เท่าทัน’ทักษะสำคัญรับมือข้อมูลลวง
20 ส.ค. 2568 รายการ Cofact Live Talk โดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค”และ “Ubon connect” ชวนพูดคุยกับ วิจิตรา สุริยกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการกองวิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม สำนักวิชาการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ในหัวข้อ “จากยุคโทรเลขถึงเอไอ เทคโนโลยีการสื่อสารจะนำเราไปสู่จุดใด?” เนื่องในเดือนวิทยาศาสตร์

คุณวิจิตรา ไล่เรียงประวัติศาสตร์นวัตกรรมการสื่อสารของมนุษยชาติ เริ่มจากการสนทนาปากเปล่าต่อหน้า แต่เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมต้องการสื่อสารให้ได้ไกลมากขึ้น จึงมีการพัฒนานวัตกรรมมาตามลำดับ อาทิ ในศตวรรษที่ 19 (ปี 2343 – 2442) หรือยุคโทรเลข เกิดการพัฒนารหัสมอร์ส (Morse code) ที่เป็นการเข้ารหัสเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน เช่น ไฟดับ – ไฟสว่าง จะเรียกว่ายุคนี้เป็นยุคอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้
แต่ก็มีเรื่องข้อมูลที่ถูกบิดเบือน หรือมองว่าบิดเบือนระหว่างส่งผ่านตัวกลาง ข้อมูลมีไม่มากแต่ก็ทำให้คนเข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อน ตัวอย่างของความผิดพลาดในยุคโทรเลข เช่น เกิดจากความเข้าใจของคนกลางนำสาร (Messenger) ที่ไม่เชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือ อย่างรหัสมอร์สที่มีทั้งตัวสั้นและตัวยาวก็ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ หรือจากคนกลางที่บิดเบือนโดยการตีความสารตามความเข้าใจของตนเอง ซึ่งการเกิดสถานการณ์บางอย่าง อาทิ สงคราม อาจทำให้เกิดความกลัวและกังวล นำไปสู่การบิดเบือนข้อมูลผิดพลาดขึ้นได้

“ทีนี้พอมาถึงยุคที่เราเรียกว่าเป็นยุคดิจิทัล หรือยุคที่เราบอกว่าเรามีการแพร่ภาพส่งสัญญาณทางอินเตอร์เน็ต เรามี Social Media (สื่อสังคมออนไลน์) เรามีความรวดเร็วในการแพร่ภาพกระจายสัญญาณ ข้อมูลหลากหลายแต่ขาดการกลั่นกรอง อันนี้ต้องบอกว่าการที่เรามีโซเชียลหลายๆ อัน ทุกคนสามารถทำตัวเหมือนเป็น อาจใช้คำว่าผู้ให้ข้อมูล แต่ข้อมูลนั้นมันมีมากมายมหาศาล คนก็เลยต้องกลับไปพิจารณากันใหม่ว่าข้อมูลอะไรที่จะทำให้เราแยกแยะความจริงกับความไม่จริงออกจากกันได้อย่างไรบ้าง”
จากยุคโทรเลขสู่ยุคดิจิทัล ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 (ปี 2443 – 2542) มาจนถึงปัจจุบันที่พูดถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ – AI)ทุกอย่างแปลเป็นค่าทางคณิตศาสตร์แล้วสร้างภาพจำลองขึ้นมา อย่างที่เห็น AI สามารถสร้างคลิปวีดีโอเป็นใบหน้าเหมือนกับเราแล้วขยับปากพูดได้ทั้งที่ตัวเราไม่ได้พูดสิ่งนั้น ซึ่งแทบจะแยกไม่ออกระหว่างคนคนนั้นพูดจริงๆ หรือการใช้เครื่องมือสร้างภาพขึ้นมาแล้วพูดตามบทที่ใครบางคนเขียนไว้ อย่างที่เรียกกันว่า “Deepfakr” หรือการปลอมแปลงใบหน้าและเสียงของบุคคล เพื่อให้พูดอะไรแล้วคนฟังเชื่อ นำไปสู่การหลอกลวงให้เกิดความเสียหาย
ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ “รู้เท่าทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป” โดยมีหลักคือ “ตั้งสติ” ค่อยๆ ดู เช่น ข้อมูลไหนมาจากใคร น่าเชื่อถือหรือไม่ แหล่งข้อมูลเป็นอย่างไร ซึ่งในปรัชญาทางวิทยาศาสตร์คือจะเชื่อก็ต่อเมื่อข้อมูลนั้นผ่านการพิสูจน์แล้วว่าจริงหรือไม่จริง แต่ในอนาคตจะเป็นเรื่องยากขึ้น ระหว่างความจริงกับสิ่งที่เราเชื่อว่าจริงจะมีเพียงเส้นบางๆ ที่เราอาจรู้เท่าทันไม่ได้ ต้องดึงสติกลับมาก่อน อย่าใช้อารมณ์ เช่น ความโกรธ ความกลัว
ประการต่อมา “ต้องมีทักษะในการตรวจสอบข่าว” ไม่เชื่อไปเสียทั้งหมด เหลือพื้นในในการตรวจสอบไว้บ้าง ซึ่งต้องบอกว่าปัจจุบันก็มีทั้งเครือข่ายที่น่าเชื่อถือ เช่น โคแฟค และเครือข่ายที่เป็นสำนักข่าวต่างๆ ( อาทิ ชัวร์ก่อนแชร์) ตลอดจนมีเครื่องมือที่ให้คนทั่วไปใช้ตรวจสอบ (อาทิ Google Lens) หรือการสังเกต URL เว็บไซต์ อินเตอร์เน็ตมีทั้งประโยชน์และสิ่งที่คุกคาม แต่จะทำอย่างไรให้เราสร้างเกราะป้องกันตนเอง เข้าไปอยู่ในชุดข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยเหลือในยามที่ต้องการทางออกได้
“เช่น ตรวจสอบข้อมูลจากตรงนี้เราใช้แพลตฟอร์มของโคแฟคที่มีข้อมูล เขาเคยมีเรื่องนี้อยู่ในฐานข้อมูลไหมนะ? เราลองเข้าไปดู เห็นหลายๆ ข้อมูลเป็นประโยชน์มากๆ เลย ถ้าเรารู้ก่อน รู้ว่าจะมีความเสี่ยงแบบนี้ขึ้นมา เราก็จะสามารถเป็นคนที่ช่วยป้องกันการแพร่ของข่าวปลอมได้ แล้วก็ช่วยป้องกันตัวเองให้รอดพ้นจากการถูกภัยคุกคามจากการหลอกลวงทางออนไลน์ได้”
อีกส่วนหนึ่ง “ความรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล(Digital Literacy) เป็นเรื่องสำคัญ” เช่น เข้าใจกลไกการตลาดของสื่อสังคมออนไลน์ ที่อาจมีความพยายามสร้างกระแสเพื่อนำไปสู่มูลค่าอะไรบางอย่าง หรือ “รอยเท้าดิจิทัล (Digital Footprint)” ไปแสดงความคิดเห็น โพสต์หรือทำธุรกรรมใดๆ ไว้ จะทิ้งร่องรอยซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตในอนาคต เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทุกคนต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจแม้ไม่ได้อยู่ในการศึกษาภาคบังคับ
อนึ่ง อพวช. เป็นหน่วยงานภาครัฐ มีบทบาทส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงวิทยาศาสตร์และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี แต่ก็จะมี่หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ที่หากมี่ความร่วมมือ มีเครือข่ายแล้วสามารถสร้างสังคมให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ เกิดความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลและสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ซี่งสิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน อย่างโคแฟคก็มีภาคีที่เข้มแข็งและต่อยอดให้ผู้คนเกิดการรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัลและภัยคุกคามในอนาคต ยังไม่นับรวมว่าการมีนวัตกรรมใหม่ๆ อาจใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นก็ได้
“การสื่อสารการผิดพลาด ข่าวปลอม มันเกิดขึ้นตลอดเวลา ในยุคแห่ง AI การเข้าใกล้ความจริงจะเป็นสิ่งที่เราอาจมองไม่เห็นเลยก็ได้ หรือว่าในอนาคตที่มีตัว VR (Virtual Reality – เทคโนโลยีสร้างสภาพแวดล้อมจำลองเสมือนจริง) , AR (Augmented Reality – นำข้อมูลเสมือนมาผสานกับโลกจริง) การมีอยู่ของความเป็นจริงหรือการที่เราเห็นกันตัวต่อตัว เราคิดว่าเป็นความจริงแล้ว บางทีอาจเป็นการสร้างบอทมาคุยแล้วเอารูปภาพใส่ อาจเป็นเรื่องหนึ่งที่อนาคตก็ทำได้ ซึ่งถามว่ามันก็อาจมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดบางอย่าง แต่เราก็ต้องมีความตระหนักรู้ว่าเทคโนโลยีมันทำได้นะ ก็รู้ให้เท่าทันแล้วก็ทำใจเอาไว้ว่าความจริงอาจไม่ใช่สิ่งที่เราเชื่อตลอดเวลาก็ได้ ให้มีพื้นที่ในการที่จะเรียนรู้ตลอดเวลาไว้ด้วย”

หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://web.facebook.com/CofactThailand/videos/1182382533912725/ (ในระยะเวลา 30 วัน นับจากวันที่แพร่ภาพสด ตามข้อกำหนดของ Facebook)
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-