ฝุ่นตลบชายแดนไทย-กัมพูชา: คนไทยเช็กข่าว

Top Fact Checks Health MisInfo

ขอบคุณที่มา Ubon Connect

วันที่ 17 มิถุนายน 2568 รายการ โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าว EP.5 ได้นำเสนอประเด็นร้อน “ข้อมูลชายแดนไทย-กัมพูชาสับสน คนไทยเช็กข่าวยังไงดี?” โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร หัวหน้าสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ“พี่กบ” คนเช็กข่าว ร่วมด้วย สุชัย เจริญมุขยนันท ดำเนินรายการ เพื่อชวนผู้ชมวิเคราะห์วิธีการตรวจสอบข้อมูลท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียลมีเดีย

คุณสุภิญญา กล่าวเปิดประเด็นว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้เต็มไปด้วย “สงครามข้อมูลข่าวสาร” โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ซึ่งสร้างความสับสนให้ประชาชนทั้งสองประเทศ “ตอนนี้คนไทยสับสนมาก เพราะมีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอมปะปนกัน สงครามข้อมูลออนไลน์กำลังหนักหน่วง ทุกฝ่ายต่างนำเสนอข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง บางครั้งมีการบิดเบือนเพื่อปลุกกระแสชาตินิยม ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่บานปลาย” 

เธอย้ำว่า ประชาชนต้องมีสติและตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งก่อนเชื่อหรือแชร์ เพื่อลดอคติและป้องกันการตกเป็นเครื่องมือของปฏิบัติการข้อมูล (IO) ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างมีกลยุทธ์นี้ “เราต้องตั้งหลัก อย่าให้อารมณ์ความรักชาติครอบงำจนขาดเหตุผล เป้าหมายคือสร้างพื้นที่ออนไลน์ที่สงบและใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่าย”

พี่กบ เปิดประเด็นถามถึง ข้อมูลชายแดนไทย-กัมพูชาสับสน คนไทยเช็กข่าวยังไงดี? โดย ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งติดตามประเด็นชายแดนมาโดยตลอด ได้แนะนำวิธีการตรวจสอบข่าวสารอย่างเป็นระบบ 

“สำหรับคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ควรเริ่มจากติดตามเพจทางการของรัฐบาล เช่น เพจนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมักมีข้อมูลใกล้เคียงความจริงมากที่สุด และสามารถเปรียบเทียบมุมมองจากเพจทางการของกัมพูชาได้ ด้วยฟังก์ชันแปลภาษาของโซเชียลมีเดียที่แม่นยำขึ้น” 

เขายังแนะนำให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน เช่น จังหวัดอุบลราชธานี ลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเอง เช่น การสังเกตการใช้ชีวิตประจำวันของคนกัมพูชาที่เข้ามาใช้บริการโรงพยาบาลในตัวเมือง ซึ่งยังคงมีอยู่แม้สถานการณ์จะตึงเครียด 

ผมไปโรงพยาบาลยังได้ยินภาษากัมพูชา แม้จะบางลง แต่ก็ยังมีคนมาใช้บริการ แสดงว่าสถานการณ์ในพื้นที่อาจไม่รุนแรงเท่าส่วนกลางมอง”

ดร.ธนเชษฐ ยังชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างมุมมองของคนในพื้นที่ชายแดนและส่วนกลาง “คนชายแดนเห็นการค้าขายและการไปมาหาสู่เป็นเรื่องปกติ แต่คนในส่วนกลางที่ถูกปลูกฝังเรื่องอธิปไตยอาจมองว่าแผ่นดินตารางนิ้วเดียวเสียไม่ได้ เมื่อเกิดความขัดแย้ง คนชายแดนจะกังวลเรื่องผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน เช่น ชาวบ้านในบุรีรัมย์ต้องพาวัวหนีหากเกิดสงคราม เพราะวัวคือทรัพย์สินสำคัญ” 

อาจารย์ยกตัวอย่างเพิ่มเติมจากงานวิจัยชายแดนไทย-ลาวว่า คนในพื้นที่มองชายแดนเป็นเรื่องยืดหยุ่น เช่น การข้ามฝั่งไปจับปลา แต่เมื่อมีผลประโยชน์ เช่น การท่องเที่ยว ชายแดนก็ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างมูลค่า “มุมมองของคนชายแดนและส่วนกลางจึงต่างกัน ประชาชนต้องเข้าใจบริบทนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของข้อมูลที่บิดเบือน”

เมื่อถูกถามถึงวิธีสังเกตข่าวปลอม ดร.ธนเชษฐ แนะนำให้ดูที่แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น เพจกองบัญชาการกองทัพไทย หรือเพจไทยคู่ฟ้า ซึ่งมักตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว รวมถึงการตรวจสอบจากชุมชนท้องถิ่น เช่น กลุ่มไลน์ของอบต. ที่มักแจ้งเตือนสถานการณ์จริงในพื้นที่ นอกจากนี้ เขายังแนะนำแหล่งข้อมูลวิชาการ เช่น ผลงานของอาจารย์ทรงฤทธิ์ โพนเงิน อาจารย์อัครพล ค่ำคูณ และอาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ ซึ่งให้ข้อมูลที่เป็นกลางและไม่ปลุกอารมณ์โกรธแค้น  รวมถึงพอดแคสต์อย่าง Point of View และ Average History ที่ให้ความรู้สั้นกระชับเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

“พี่กบ” กล่าวเสริม ถึงความท้าทายในการรับข้อมูลที่ถูกต้องในยุคที่โซเชียลมีเดียรวดเร็วและรุนแรง “กระแสชาตินิยมมักมีนัยยะซ่อนเร้น บางครั้งข้อมูลที่ได้รับอาจไม่ถูกต้อง แต่เมื่อประชาชนมีอารมณ์ร่วม ก็อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความตึงเครียด โดยเฉพาะบริเวณชายแดนที่ประชาชนสองฝ่ายมีการไปมาหาสู่และค้าขายเป็นปกติ” เขาเสนอว่า ประชาชนควรใช้วิจารณญาณในการแยกแยะข้อมูล โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศหรือภายในประเทศ “เราต้องแยกให้ออกว่านี่เป็นเรื่องของผู้นำหรือประชาชน ทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจบริบทและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขร่วมกัน”

คุณสุภิญญา ปิดท้ายด้วยคำเตือนว่า “ในภาวะความขัดแย้ง ความจริงคือสิ่งแรกที่ถูกทำลาย ทุกฝ่ายมีปฏิบัติการข้อมูล (IO) เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ประชาชนต้องรู้เท่าทันว่าโซเชียลมีเดียถูกควบคุมด้วยอัลกอริทึมที่ทำให้เราอยู่ใน ‘ห้องแห่งเสียงสะท้อน’ เห็นแต่ข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อของเรา” เธอแนะนำให้ประชาชนตั้งคำถามและมองผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก “ทางออกที่ดีที่สุดคือทางที่ประชาชนทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ อย่าเพิ่งอินกับข้อมูลมากเกินไป ต้องเช็กให้ชัวร์ ใช้เหตุผล และสร้างพื้นที่ออนไลน์ที่เป็นเสียงของความจริงและมนุษยชาติ

จากรายการ โคแฟคสนทนา วิทยากรแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น เพจทางการของรัฐบาลทั้งไทยและกัมพูชา รวมถึงเพจนักวิชาการที่มีข้อมูลเป็นกลาง เช่น อาจารย์ทรงฤทธิ์ โพนเงิน หรือพอดแคสต์ Point of View ประชาชนในพื้นที่ชายแดนควรลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเองเพื่อยืนยันข้อเท็จจริง ขณะเดียวกัน ต้องระวังอคติและอารมณ์ชาตินิยมที่อาจถูกปลุกผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในยุคที่อัลกอริทึมขับเคลื่อนข้อมูลให้อยู่ใน “ห้องแห่งเสียงสะท้อน” สุดท้าย ควรยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก เพื่อสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้งทั้งในโลกออนไลน์และพื้นที่จริง