‘AI’คือเครื่องมือ อยู่ที่มนุษย์จะใช้อย่างไร ‘จริยธรรม’จำเป็น ‘งานสื่อ’ผู้สื่อข่าว-ช่างภาพลงพื้นที่ยังสำคัญ

27 ก.พ. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมจัดเสวนาหัวข้อ “ปัญญาประดิษฐ์กับมิติความเป็นมนุษย์ โจทย์สู่ความจริงและสันติภาพ” โดยมี สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) เป็นผู้ดำเนินรายการ การเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน “Soul Connect Fest 2025 มหกรรมพบเพื่อนใจ” จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาวะทางปัญญา ระหว่างวันที่ 27 ก.พ. – 2 มี.ค. 2568 ที่สามย่านมิตรทาวน์

รณพงศ์ คำนวณทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บจก.มายด์ เอไอ เซาท์อีสเอเชีย กล่าวว่า ณ วันนี้ สามารถพูดได้เต็มปากว่าเราเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ – AI) เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร – อาชีพไหนต่างก็ใช้ AI ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ตัวก็ตาม อย่างไรก็ตาม ปัญญาประดิษฐ์คือการใช้เทคโนโลยีสร้างหรือเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ขึ้น ดังนั้นย่อมมีบางอย่างที่ไม่เหมือนมนุษย์ กล่าวคือ “คอมพิวเตอร์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต..เมื่อไม่มีชีวิตก็เท่ากับไม่มีจิตวิญญาณ” ไม่มีมโนสำนึกหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเป็นของตนเอง
ขณะที่ความฉลาดของมนุษย์ หากดูการทำงานของสมองจะมีทั้ง “ซีกซ้าย” คือตรรกะ เรียนรู้จากภาษา อย่างวิชาแรกๆ ที่มนุษย์เรียนก็คือวิชาด้านภาษา หากไม่รู้ภาษาก่อนก็ไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้กับ “ซีกขวา” คืออารมณ์ความรู้สึก เรียนรู้จากประสบการณ์ เช่น จับอะไรแล้วรู้สึกร้อนก็ต้องปล่อยมือออก ส่วนการเรียนรู้ของ AI คือเรียนรู้จากข้อมูล(Data) ขนาดมหาศาล ทำให้ AI คาดเดาได้ว่าเราต้องการอะไร “AI เรียนรู้จากพฤติกรรมของเราและคาดเดาไปเรื่อยๆ” และสิ่งนี้เป็นที่มาของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI)
ถึงกระนั้น สมองซีกซ้ายหรือการเรียนรู้เชิงตรรกะก็สำคัญไม่แพ้กันและอยู่กับ AI มาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ที่ผ่านมาถูกกลบกระแสด้วยการเรียนรู้แบบสมองซีกขวา ในขณะที่คนเราจะตัดสินใจโดยไม่ใช้ตรรกะได้หรือไม่ ก็อาจได้บางเรื่องแต่จะไม่สมบูรณ์ อาจผิดพลาดได้ จึงต้องใช้ตรรกะมาช่วย ทั้งนี้ เมื่อมองดูสถานการณ์ในประเทศไทย หากเป็นการนำ AI มาใช้ (Adoption) มองว่าเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคนไทยชอบลองอะไรใหม่ๆ
ส่วนการพัฒนา AI ในประเทศไทยก็มีบริษัทที่ทำเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย มีการพัฒนาโมเดล AI ภาษาไทย ในลักษณะเดียวกับ AI เจ้าดังอย่าง ChatGPT ซึ่งการพัฒนา AI ของไทยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการไปพึ่งพาข้อมูลหรืออัลกอริทึมของต่างประเทศเพียงอย่างเดียว สิ่งที่ตามมาคือความลำเอียง (Bias) ที่บอกกันว่ามนุษย์ลำเอียงแต่เทคโนโลยีไม่ลำเอียง ในความเป็นจริงคือมนุษย์ใส่ความลำเอียงให้เทคโนโลยีตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ข้อมูลที่ใช้ วิธีการคิดนโยบาย

“ไทยเองก็เป็นประเทศที่มีนักพัฒนาเก่งๆ อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แล้วเราก็พัฒนา AI ขึ้นมาได้ค่อนข้างจะดี แต่อันนั้นเป็นการพัฒนาที่เหมือนตามแบบของคนอื่น ยังไม่ใหม่เสียทีเดียว แต่ก็ยังมี AI อีกหลายประเภท ยังมีอีกหลายสาขามากๆ ที่เรียกว่าเราพัฒนาได้ดี แต่สิ่งที่สำคัญ คือ เราขาดทิศทางว่าประเทศเราควรจะสร้างจุดแข็งเรื่องเทคโนโลยีในด้านไหน ถ้าเราแค่พัฒนาเอาไปใช้งาน อันนี้ไม่ยาก แต่ถ้าเราจะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ให้เกิดขึ้น ให้สร้างความแตกต่างจริงๆ อันนี้ต้องใช้พละกำลังมหาศาล ทั้งในเรื่องของเงินทุน ระยะเวลา ความมุ่งมั่น ไปให้สุดทาง กัดไม่ปล่อย บางทีต้องใช้เวลา 10 – 20 ปี” รณพงศ์ กล่าว

บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย กล่าวว่า หากมองตามความเห็นส่วนตัวแล้ว AI หรือปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้ช่วยอะไรทั้งเรื่องจิตวิญญาณ ความเป็นเพื่อนร่วมทุกข์และความหวัง เพราะ AI ไม่มีวิญญาณ คุยกับ AI มากๆ อาจเป็นทุกข์ก็ได้ และมีคำถามว่า AI สร้างความหวังอะไรให้กับเรา? การคุยกันเรื่อง AI จึงเป็นการคุยกันในเรื่องเทคโนโลยี และไม่ได้เป็นเครื่องมือที่เรามีอำนาจเหนือเสมอไป บางครั้งเราก็ถูกควบคุมเช่นกัน
ทั้งนี้ AI จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ใช้งาน อย่างตนเป็นบาทหลวง เป็นคนของศาสนา ก็ต้องมองในมุมศาสนา ซึ่งก็คือคุณธรรม (Ethics) และศักดิ์ศรีของมนุษย์ ก็ต้องพยายามใช้ AI เพื่อส่งเสริมคุณธรรมและสร้างศักดิ์ศรีให้กับมนุษย์ แต่หากเป็นนักธุรกิจก็จะมองว่า AI จะช่วยธุรกิจได้อย่างไร หรือเป็นนักการศึกษาก็ใช้ AI ในเรื่องการศึกษา ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในมุมของศาสนา คือต้องช่วยแนะนำการใช้ AI ในเรื่องจริยศาสตร์ ทำอย่างไรที่ใช้ AI แล้วจะเป็นคนที่ดีขึ้น

“เราสนใจเรื่องจริย เรื่องคุณค่าของมนุษย์ ดังนั้นในศาสนาคริสต์จะเริ่มมีคำใหม่ นั่นก็คือคำว่าดิจิทัล มิชชันนารี คือแต่ก่อนเวลาเราได้ยินได้ฟังโรงเรียนของคาทอลิก เราจะเป็นคุณพ่อ (นักบวช) มาจากต่างประเทศแล้วมาแพร่ธรรมในประเทศไทยโดยมีความคิดว่าเขาได้เอาสิ่งดีๆ มาให้ แต่การแพร่ธรรมสมัยใหม่ มิชชันนารีไม่ต้องเดินทางมา แต่ทำ Social Media (สื่อสังคมออนไลน์) ให้น่าสนใจ เขาสามารถอยู่ที่ประเทศของเขา แต่เขาสามารถร่วมกันเผยแพร่เรื่องราวของสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง น่าสนใจและมีคุณค่า แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ จะทำอย่างไรให้มีความน่าสนใจ ทำอย่างไรให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่” บาทหลวงอนุชา กล่าว

สุวิตา จรัญวงศ์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Tellscoreกล่าวว่า Tellscore มีอินฟลูเอนเซอร์ลงทะเบียนอยู่ประมาณ 8 หมื่นคน ซึ่งจะมีบริษัทต่างๆ มาจ้างให้อินฟลูเอนเซอร์ประชาสัมพันธ์แบรนด์สินค้า แต่ก่อนจะร่วมงานกันลูกค้าจะขอให้ตรวจสอบประวัติอินฟลูเอนเซอร์ เช่น ย้อนหลัง 3 ปี ไม่ปลุกปั่นรุนแรง หยาบคาย วับๆ แวมๆ แม้ต้องการยอดการรับชมเยอะๆ แต่ต้องผ่านเกณฑ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ ระยะหลังๆ สังคมไทยตื่นตัวขึ้นมาก เนื่องมาจากความระมัดระวังมิจฉาชีพ เช่น ในอินเตอร์เน็ต มีคนแต่งตัวดี เรียกตนเองเป็นอินฟลูเอนเซอร์แต่อาจไปชักชวนคนให้เล่นการพนัน ลักษณะนี้ยังแยกออกว่าใครขาว เทาหรือดำ การขับเคลื่อนเรื่องจริยธรรมนั้นสำคัญ เพราะสื่อสังคมออนไลน์มีพื้นที่ใหญ่มาก ลองนึกถึงคนไทย 70 ล้านคน ใช้สื่อสังคมออนไลน์กว่า 60 ล้านคน และทุกคนก็มีโอกาสผลิตเนื้อหาหรือเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เพราะสื่อสังคมออนไลน์ใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม ผู้จ้างงานรีวิวสินค้าก็ต้องการทราบว่ามีการใช้ AI ช่วยเล่าเรื่องหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เพียงเรื่องจริยธรรมแต่เป็นเรื่องเสมือนหรือไม่เสมือน ยิ่งทุกวันนี้การใช้ AI ถูกกว่าใช้มนุษย์ ดังนั้นผู้ให้บริการก็ต้องระบุให้ชัดเจน เช่น Live สินค้าแบบ 24 ชั่วโมง แต่ใช้ AI รันไปเรื่อยๆ ใช้สคริปต์เป็นสารตั้งต้นสัก 1 ย่อหน้า ไล่เรียงสินค้าไปว่ามีอะไรบ้าง แต่สิ่งที่ AI ทำไม่ได้คือ การให้ความหวัง

“ทางเศรษฐกิจเราให้ความหวังคน ส่วนใหญ่ก็ต้องยอมรับว่าทุนนิยม ความหวังทางด้านเศรษฐกิจก็คือ เงิน พอมีเงินเขามีความหวัง แต่เป็นความหวังทางโลก อีกความหวังหนึ่งที่เราสังเกต ถ้าเกิดสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตมันปลอดภัยคนเราก็จะมีความหวัง เราจะสิ้นหวังเมื่อสภาพแวดล้อมบางอย่างพร่องไป เศรษฐกิจไม่ดี ภัยคุกคาม มีสงครามเข้ามา เราก็เลยรู้สึกว่ามีสิ่งเร้าในฐานะมนุษย์เดียวกัน ในฐานะคนที่บอกต่อเรื่องราว ต้องให้ความสำคัญในการผลิตเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ที่สร้างเนื้อหาน้ำดีที่เป็นเรื่องของความหวังด้วย” สุวิตา กล่าว
ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters และผู้สื่อข่าวรายการข่าวสามมิติ ช่อง 33HD กล่าวว่า AI อาจใช้ช่วยงานได้ในบางกรณีที่ต้องใช้เทคนิคของเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น การทำอินโฟกราฟิก การอธิบายข้อมูล แต่สำหรับผู้สื่อข่าวที่ต้องไปหาข่าวจากสถานที่จริงก็อาจไม่ได้ใช้ AI ซึ่งแม้ผู้สื่อข่าวจะต้องรู้เท่าทัน AI หรือเทคโนโลยี แต่การลงพื้นที่ไปเห็นสถานที่ด้วยตาและได้สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องด้วยตนเองเพื่อนำมารายงาน สิ่งนี้คือความน่าเชื่อถือ คนที่ติดตามก็จะเชื่อว่าเราทำข่าวจริงไม่ใช่ตกแต่งขึ้น
เพราะการไปลงพื้นที่คือได้เห็น ได้ตั้งคำถาม ได้เขียนข่าวและรายงานทุกอย่างด้วยตนเองจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นทั้งหมด และแม้จะมีการอ่านข่าวโดยผู้ประกาศข่าวที่เป็น AI ก็เป็นการอ่านในสิ่งที่ผู้อื่นเขียนมาให้ นี่คือความแตกต่าง ถามว่าคนจะเชื่อใครระหว่าง AI ที่อ่านข่าวในสตูดิโอ หรือผู้สื่อข่าวที่ไปลงพื้นที่ การได้เข้าไปในพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้สัมภาษณ์ชาวต่างชาติที่ถูกหลอกมาเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ แต่การส่งผู้สื่อข่าวและช่างภาพลงพื้นที่ย่อมต้องมีค่าใช้จ่าย ทำให้สื่อในปัจจุบันไม่ค่อยลงทุนในส่วนนี้
“Content Creator (ผู้ผลิตเนื้อหา) เป็นอีกงานหนึ่งที่สำคัญในการใช้ข้อมูลมาแล้วก็คิดสร้างเนื้อหา แต่จะแตกต่างจากความเป็นนักข่าว (Reporter หรือ Journalist) ยังอยากที่จะให้ย้ำความสำคัญของนักข่าวและคนที่มาทำข่าวในพื้นที่ภาคสนาม หรือไปหาข่าวด้วยตัวเอง เพราะนี่คือคนที่เป็นต้นทุนสำคัญในการหาข้อมูล หาแหล่งเนื้อหาต่างๆ และอยากให้พวกเขาเหล่านี้ได้รับการสนับสนุน เพราะสุดท้ายเราต่างก็ย่อมได้ข้อมูลจากนักข่าวซึ่งเป็นคนแรกที่ลงพื้นที่ไปทำข่าว สัมภาษณ์และรายงานมา แล้วถึงจะเอาไปสร้างเนื้อหาในรูปแบบต่างๆ ออกมา” ฐปณีย์ กล่าว
หมายเหตุ : เนื่องจาก ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters และผู้สื่อข่าวรายการข่าวสามมิติ ช่อง 33HD ติดภารกิจลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ บริเวณชายแดนไทย – เมียนมา จึงได้บันทึกความเห็นของตนเป็นคลิปวีดีโอให้ทีมงานนำมาเปิดในวงเสวนาครั้งนี้
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-













