5 เรื่องเด่น Cofact สนทนา “รวมพลคนเช็กข่าว” ปี 2568

รายการ โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว เป็นรายการที่นำประเด็นข้อมูลจริงหรือข้อมูลลวงที่ประชาชนสงสัย และให้ตัวแทนเข้ามาสอบถามผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น  ด้วยตัวเอง โดยมี สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และ สุชัย เจริญมุขยนันท UbonConnect ร่วมดำเนินรายการ

นำเสนอทางเพจ,ยูทูป Cofact Thailand UbonConnect และเครือข่าย

ทุกวันอังคารเวลา 19.00-19.30 .

ในปี 2568 ทางรายการได้คัดเรื่องเด่น 5 เรื่อง ตามความนิยมของผู้ชมดังนี้

1.ยาลดไขมัน Statin มีโทษมหันต์จริงหรือ ? นำเสนอเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568

ผู้ตอบคำถามคือ นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ (หมอหม่อง) หน่วยวิชาโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ คุณเมย์ เป็นคนเช็กข่าว ผู้สอบถาม

ในช่วงที่ผ่านมา กระแสต่อต้านยาลดไขมันในกลุ่มสแตติน (Statin) ได้สร้างความสับสนในสังคม ด้วยข้อมูลที่ระบุว่ายานี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่ออวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ไต และกล้ามเนื้อ ทำให้หลายคนสงสัยว่ายาลดไขมันสแตตินเป็น “พระเอก” ที่ช่วยปกป้องหัวใจ หรือเป็น “ผู้ร้าย” ที่ก่อโทษต่อร่างกายกันแน่

คุณหมอหม่องได้ตอบคำถามใจความโดยสรุปว่า ยาลดไขมัน Statin ไม่ได้มีโทษมหันต์ อย่างที่ถูกกล่าวอ้างในโซเชียล ผลข้างเคียงมีจริงแต่พบได้น้อยมากและแพทย์เฝ้าระวังได้

ในผู้ที่มีความเสี่ยงหรือเคยเป็นโรคหัวใจ Statin ช่วยลดโอกาสหัวใจวายและอัมพาตได้ชัดเจน ประโยชน์มากกว่าโทษ

อันตรายที่แท้จริงคือ การหยุดยาเองจากข้อมูลผิด ๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์ซึ่งเสี่ยงต่อการกำเริบของโรคอย่างรุนแรง

วอนอินฟลูเอนเซอร์ อย่าทำให้คนไข้เสี่ยงด้วยข้อมูลที่คลาดเคลื่อน

2.ถั่วลิสงมีสารก่อมะเร็งจริงหรือ? นำเสนอเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 

ผู้ตอบคำถามนี้คือ นายณัฐฐศรัณฐ์ วงศ์เตชะ หัวหน้างานโภชนบริการและการกำหนดอาหาร สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ผู้สอบถามคือ น้องออม สุมัณฑิรา ศรีสังวาลย์

จากกระแสในโซเชียลมีเดียที่แชร์กันมาก ว่าถั่วลิสงมีสารก่อมะเร็งจริงหรือไม่ และถ้าทานได้ ควรบริโภคในปริมาณเท่าใด?” คำถามนี้สะท้อนความกังวลของประชาชนที่ติดตามข่าวสารและต้องการคำตอบที่ชัดเจน

นายณัฐฐศรัณฐ์ ตอบคำถามว่า ถั่วลิสง ไม่ได้เป็นสารก่อมะเร็งโดยตัวมันเอง แต่เสี่ยงได้หากปนเปื้อนสารอะฟลาท็อกซินจากเชื้อรา เมื่อเก็บในที่ชื้นหรือร้อนนาน

ถั่วลิสงที่คัดคุณภาพดี ผ่านการคั่วหรืออบอย่างถูกวิธี ปลอดภัยและทานได้ไม่จำเป็นต้องงด

ควรบริโภคในปริมาณพอดี ไม่มากเกินไป หลีกเลี่ยงถั่วที่มีกลิ่นอับหรือรสผิดปกติ และเลือกแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้

3.มัตจะดื่มทุกวันเป็นอันตรายจริงหรือ นำเสนอวันที่ 23 กันยายน 2568

ผู้ตอบคำถามนี้คือ รองศาสตราจารย์ ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศอาจารย์ประจำหลักสูตรโภชนาการและการกำหนดอาหาร สถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล ผู้สอบถามคือ ธัญพิชชา สร้อยสุวรรณ์

ความนิยมในมัตจะที่กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ราคาเครื่องดื่มมัตจะพรีเมียมอาจสูงถึงแก้วละ 80-300 บาท ตั้งข้อสังเกตว่า “มัตจะอาจเป็นอันตรายต่อกระเป๋าสตางค์!!” และแสดงความกังวลว่าการดื่มทุกวันอาจส่งผลต่อสุขภาพ เช่น การนอนไม่หลับจากคาเฟอีน หรือผลกระทบต่อผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีปัญหาการนอนหลับ

ดร.วันทนีย์ ได้ตอบคำถามว่า การดื่มมัตจะ ไม่อันตรายหากดื่มในปริมาณเหมาะสม แต่มัตจะมีคาเฟอีนและสาร EGCG สูงกว่าชาเขียวทั่วไป

ดื่มมากหรือดื่มทุกวันหลายแก้ว อาจเสี่ยงนอนไม่หลับ รบกวนการดูดซึมธาตุเหล็ก และกระทบผู้ที่มีโรคประจำตัวบางกลุ่ม

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ไม่เกินวันละ 1 แก้ว (ประมาณ 16 ออนซ์) และไม่จำเป็นต้องดื่มทุกวัน เพื่อความปลอดภัยและสมดุลสุขภาพ

4.ไขข้อข้องใจยาดมสมุนไพรมีเชื้อราจริงหรือ นำเสนอวันที่ 24 มิถุนายน2568

ผู้ตอบคำถามคือ ผศ.ดร.พัชรี กัมมารเจษฎากูล ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลชีววิทยาคลินิก จากคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ผู้สอบถามคือ น้องจอย

กระแสโซเชียลที่ระบุว่ายาดมสมุนไพรแบบกระปุกที่หลายคนใช้เป็นประจำอาจมีการปนเปื้อนเชื้อรา โดยมีผู้ป่วยบางรายพบเชื้อราในปอดและสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับยาดม หลังตรวจพบคราบสีดำที่ก้นกระปุกยาดม เรื่องนี้สร้างความกังวลในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ยาดมสมุนไพรที่เชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและปลอดภัย

ดร.พัชรี ชี้จากงานวิจัยพบว่า ยาดมสมุนไพรอาจมีเชื้อราปนเปื้อนจริง โดยเฉพาะชนิดสมุนไพรแห้ง แต่ยัง ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นสาเหตุโดยตรงของเชื้อราขึ้นปอด เชื้อราที่พบส่วนใหญ่เป็น “เชื้อราฉวยโอกาส” ซึ่งมักไม่อันตรายในคนสุขภาพดี แต่เสี่ยงในผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ

ยาดม ไม่อันตรายหากเลือกที่ได้มาตรฐาน ใช้พอเหมาะ เก็บให้แห้งสะอาด และหยุดใช้ทันทีเมื่อพบความผิดปกติ

5.น้ำดื่มแถมจากปั๊มน้ำมันอันตรายจริงหรือ นำเสนอวันที่ 20 พฤษภาคม2568

ผู้ตอบคำถามคือ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ (อ.เจษฎ์) อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้สอบถามคือ พลอยและน้าติ๊ก

มีคลิปไวรัลระบุว่า ขวดน้ำพลาสติกมีรูพรุนขนาดเล็ก ที่มองไม่เห็น อาจทำให้สารเคมี ฝุ่น หรือเชื้อโรคซึมเข้าไปได้เมื่อขวดถูกความร้อน ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้

อ.เจษฎ์ อธิบายว่า น้ำดื่มแจกฟรีจากปั๊มน้ำมันได้มาตรฐาน ปลอดภัยต่อการดื่ม ข่าวลือเรื่องสารเคมีซึมเข้า ทำให้มะเร็ง ฮอร์โมนเพี้ยน เป็นข้อมูลเกินจริง ขวด PET มีรูพรุนจริงแต่เล็กมาก เชื้อโรคหรือสารอันตราย แทบไม่สามารถซึมเข้าได้ในสภาพปกติ แม้ตากแดดช่วงสั้น

อย่างไรก็ตาม ควรดื่มให้หมดเร็ว ไม่เก็บนาน ไม่ใช้ซ้ำ และการชงนม ล้างแผล หรือทำอาหาร ควรใช้น้ำต้มสุกหรือน้ำปลอดเชื้อ เพื่อความปลอดภัย