‘ทำไมนโยบายรัฐต้องเอื้อต่างด้าว?’ คำถามสะท้อน‘อคติต่อแรงงาน – ประชากรข้ามชาติ’ในสังคมไทย (1/2)

ภาพที่ 1 : โพสต์ตั้งคำถามกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จัดอบรมความรู้กฎหมายกับแรงงานข้ามชาติ

ย้อนไปเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2568 มีเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่งแชร์ข่าวประชาสัมพันธ์จากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ที่จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้แทนกลุ่มแรงงานข้ามชาติ สู่การเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มแรงงานข้ามชาติให้เข้าถึงความยุติธรรม เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2568 โดยตั้งคำถามว่า ก่อนจะสอนให้แรงงานต่างด้าวเป็นนิติกรชุมชน ควรสอนให้เคารพกฎหมายแรงงานและกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองก่อนหรือไม่? พร้อมทั้งชี้ปัญหาแรงงานข้ามชาติทำงานอาชีพสงวน ทำงานนอกเหนือไปจากใบอนุญาต และแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการจัดงานของกรมฯ รวมถึงมีผู้แสดงความเห็นว่า หน่วยงานราชการของไทยกำลังถูกแทรกแซงโดยองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) 

โคแฟคจึงได้ไปตรวจสอบข้อมูลและรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ เนื้อหาการฝึกอบรม รวมถึงคำอธิบายถึงเหตุผลและความจำเป็นที่รัฐไทยต้องมีนโยบายกำกับดูแลแรงงานข้ามชาติให้พวกเขาทำงานอยู่ได้โดยยึดหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติตามกฎหมายไทยและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยผูกพันอยู่ และได้ตอบคำถามหรือข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิและการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติดังต่อไปนี้

– งานนี้จัดขึ้นเพื่ออะไร? มีใครร่วมจัดบ้าง? :ตามข่าวประชาสัมพันธ์ที่เผยแพร่บนเพจเฟซบุ๊ก กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรมระบุว่า สำหรับการประชุมฯ ในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนและทักษะการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้แทนกลุ่มแรงงานข้ามชาติ รวมถึงผู้ทำงานเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ โดยมุ่งหวังสามารถทำหน้าที่เชื่อมต่อให้กลุ่มแรงงานข้ามชาติได้รับการช่วยเหลือ เข้าถึงข้อมูล และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

นอกจากกรมฯ แล้ว ยังมีองค์กรพัฒนาเอกชนเข้ามาร่วมจัดงาน คือ  มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และมูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ(FNF) มีผู้เข้าร่วมคือผู้แทนแรงงานข้ามชาติ ผู้ปฏิบัติงานด้านแรงงานข้ามชาติ และผู้ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมจำนวนประมาณ 60 คน

แบ่งกิจกรรมเป็น “ช่วงเช้า” คือการระดมความคิดเห็นและเรียนรู้หลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน เน้นความเข้าใจตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ผ่านการทำงานกลุ่มแบบมีส่วนร่วม ซึ่งผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงเกี่ยวกับปัญหาการละเมิดสิทธิที่พบในพื้นที่ เช่น การถูกเอารัดเอาเปรียบด้านแรงงาน การไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข หรือการถูกจำกัดเสรีภาพ ทำให้ได้บทสรุปที่สืบเนื่องมาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง และร่วมกันค้นหาวิธีการช่วยเหลือที่เหมาะสมสำหรับบริบทของแรงงานข้ามชาติ

ส่วน “ช่วงบ่าย” เป็นการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม “เกมส์การ์ดพลังสิทธิ” ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้วิเคราะห์สถานการณ์สมมติของการละเมิดสิทธิ ตั้งแต่ปัญหาสิ่งแวดล้อม การถูกปฏิเสธสิทธิด้านเอกสาร การเข้าถึงการรักษาพยาบาล ไปจนถึงสิทธิในการศึกษาและความปลอดภัยของร่างกาย ทำให้ผู้เข้าร่วมได้ทดลองตัดสินใจและกำหนดแนวทางแก้ไขอย่างเป็นขั้นตอน 

นอกจากนี้ วิทยากรยังให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติเมื่อพบกรณีการละเมิดสิทธิ เช่น การประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การเก็บข้อมูลเบื้องต้น การให้คำแนะนำทางกฎหมาย และการส่งต่อกรณีไปยังกลไกที่เกี่ยวข้อง และยังได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์การให้ความช่วยเหลือกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ทั้งด้านความสำเร็จ และข้อห่วงกังวลต่อการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายดังกล่าว

– กฎหมายกำกับการทำงานของชาวต่างชาติในประเทศไทยอย่างไรบ้าง? : กฎหมายหลักคือ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ระบุไว้ใน “มาตรา 59 วรรคหนึ่ง” ว่า คนต่างด้าวซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองซึ่งมิใช่เพื่อการท่องเที่ยวหรือการเดินทางผ่านราชอาณาจักร จะทำงานได้ก็แต่เฉพาะงานที่มิได้มีประกาศห้ามคนต่างด้าวทำตามมาตรา 7 วรรคหนึ่ง และต้องได้รับใบอนุญาตทำงาน

ขณะที่ “มาตรา 7” ระบุว่า (วรรคหนึ่ง) รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว อาจประกาศกําหนดให้ งานใดเป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำก็ได้โดยจะห้ามเด็ดขาดหรือห้ามโดยมีเงื่อนไขอย่างใดก็ได้ , (วรรคสอง) การกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้คำนึงถึงความมั่นคงของชาติโอกาสในการประกอบอาชีพและวิชาชีพของคนไทย การส่งเสริมภูมิปัญญาและเอกลักษณ์ไทย และความต้องการแรงงานต่างด้าวที่จําเป็นต่อการพัฒนาประเทศ รวมตลอดทั้งความผูกพันหรือพันธกรณีที่ประเทศไทยมีอยู่ในลักษณะถ้อยทีถ้อยปฏิบัติประกอบด้วย

ภาพที่ 2 : 40 อาชีพสงวน (ทั้งที่ห้ามเด็ดขาดและที่อนุญาตให้ทำได้แบบมีเงื่อนไข) 

ที่มา : สำนักงานแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร

จึงเป็นที่มาของการออก ประกาศกระทรวงแรงงานเรื่องกำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 21 เม.ย. 2563 รวม 40 อาชีพ แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ งานที่ห้ามชาวต่างชาติทำเด็ดขาด จำนวน 27 อาชีพ คือ 1.งานแกะสลักไม้ 2.งานขับขี่ยานยนต์หรืองานขับขี่ยานพาหนะที่ไม่ใช้เครื่องจักรหรือเครื่องกลในประเทศ ยกเว้น งานขับขี่เครื่องบินระหว่างประเทศ หรืองานขับรถยก (Forklift) 3.งานขายทอดตลาด 4.งานเจียระไนหรือขัดเพชรหรือพลอย 5.งานตัดผม งานดัดผม หรืองานเสริมสวย 6.งานทอผ้าด้วยมือ 7.งานทอเสื่อ หรืองานทำเครื่องใช้ด้วยกก หวาย ปอ ฟาง ไม้ไผ่ เยื่อไม้ไผ่ พืชหญ้า ขนไก่ ก้านทางมะพร้าว เส้นใย ลวด หรือวัสดุอื่น 8.งานทำกระดาษสาด้วยมือ 9.งานทำเครื่องเขิน 10.งานทำเครื่องดนตรีไทย 11.งานทำเครื่องถม 12.งานทำเครื่องทอง เครื่องเงิน หรือเครื่องนาก 13.งานทำเครื่องลงหิน 14.งานทำตุ๊กตาไทย 15.งานทำบาตร 16.งานทำผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมด้วยมือ 17.งานทำพระพุทธรูป 18.งานทำร่มกระดาษหรือผ้า 19.งานนายหน้า หรืองานตัวแทน ยกเว้นงานนายหน้าหรืองานตัวแทนในธุรกิจการค้าหรือการลงทุน ระหว่างประเทศ 

20.งานนวดไทย 21งานมวนบุหรี่ด้วยมือ 22.งานมัคคุเทศก์หรืองานจัดนำเที่ยว 23.งานเร่ขายสินค้า 24.งานเรียงตัวพิมพ์อักษรไทยด้วยมือ 25.งานสาวหรือบิดเกลียวไหมด้วยมือ 26.งานเสมียนพนักงานหรือเลขานุการ และ 27.งานให้บริการทางกฎหมายหรืออรรถคดี ยกเว้นงานดังต่อไปนี้ (ก) งานปฏิบัติหน้าที่อนุญาโตตุลาการ (ข) งานให้ความช่วยเหลือหรือทำการแทนในการดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการ ในกรณีที่กฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ข้อพิพาทที่พิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการนั้นมีใช่กฎหมายไทย 

งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำโดยมีเงื่อนไขให้คนต่างด้าวทำงานได้ตามข้อตกลงระหว่างประเทศหรือพันธกรณีที่ประเทศไทยมีความผูกพันภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย จำนวน 3 อาชีพ คือ 1.งานควบคุม ตรวจสอบ ปฏิบัติงาน หรือให้บริการทางบัญชี ยกเว้นงานดังต่อไปนี้ (ก) งานตรวจสอบภายในเป็นครั้งคราว (ข) งานตามข้อตกลงระหว่างประเทศหรือพันธกรณีที่ประเทศไทยมีความผูกพัน โดยที่สภาวิชาชีพเป็นผู้ให้การรับรองคุณสมบัติ 

2.งานในวิชาชีพวิศวกรรม สาขาวิศวกรรมโยธาที่เกี่ยวกับงานให้คำปรึกษา งานวางโครงการ งานออกแบบและคำนวณ งานควบคุมการก่อสร้าง หรือการผลิต งานพิจารณาตรวจสอบ งานอำนวยการใช้ จัดระบบ วิจัย ทดสอบ ยกเว้นเป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมและวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตามข้อตกลงยอมรับร่วมคุณสมบัตินักวิชาชีพของอาเซียน (MRA) รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศอื่นที่เกี่ยวกับการ ให้บริการวิศวกรรมข้ามแดน หรือผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม สาขาวิศวกรรมโยธา ตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร 

และ 3.งานในวิชาชีพสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานศึกษาโครงการ งานออกแบบ งานบริหารและอำนวยการก่อสร้าง งานตรวจสอบ หรืองานให้คำปรึกษา ยกเว้นเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรม และวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมตามข้อตกลงยอมรับร่วมคุณสมบัตินักวิชาชีพของอาเซียนด้านบริการสถาปัตยกรรม (MRA) รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศอื่นที่เกี่ยวกับการให้บริการสถาปนิกข้ามแดนจากสภาสถาปนิก หรือผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยสถาปนิก 

งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำโดยมีเงื่อนไขให้คนต่างด้าวทำงานฝีมือหรือกึ่งฝีมือนั้นได้ก็แต่เฉพาะงานที่มีนายจ้าง มี 8 อาชีพ คือ 1.งานกสิกรรม งานเลี้ยงสัตว์ งานป่าไม้ หรืองานประมง 2.งานช่างก่ออิฐ งานช่างไม้ หรืองานช่างก่อสร้างอาคาร 3.งานทำที่นอนหรือผ้าห่มนวม 4.งานทำมีด 5.งานทำรองเท้า 6.งานทำหมวก 7.งานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย และ 8.งานปั้นหรือทำเครื่องปั้นดินเผา 

งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำโดยมีเงื่อนไขให้คนต่างด้าวทำงานนั้นได้ก็แต่เฉพาะงานที่มีนายจ้างและได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้บันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ มี 2 อาชีพ คือ 1.งานกรรมกร 2.งานขายของหน้าร้าน 

นอกจากมาตรา 59 แล้ว ตาม พ.ร.ก.ฉบับนี้ ยังกล่าวถึงแรงงานข้ามชาติกลุ่มอื่นๆ เช่น มาตรา 62” คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม หรือกฎหมายอื่น , มาตรา 63/1 – 63/2” ซึ่งจะเกี่ยวข้องทั้งกลุ่มคนที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน รวมถึงชาวต่างชาติที่เข้าเมืองแล้วได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทยผ่านกลไกมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)  และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และ มาตรา 64” แรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงานตามฤดูกาล 

รายงาน สถิติจำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานทั่วราชอาณาจักร (มิ.. 2568)” โดยสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ตามข้อมูล ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2568 แบ่งแรงงานข้ามชาติออกตามกฎหมาย พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ดังนี้ มาตรา 59” มี 2 กลุ่ม คือ 1.ประเภททั่วไป จำนวน 132,621 คน กับ 2.นำเข้าตาม MOU (บันทึกความตกลง/ความเข้าใจ) จำนวน 692,312 คน , 

มาตรา 62” กลุ่มส่งเสริมการลงทุนและกฎหมายอื่นๆ จำนวน 60,275 คน , มาตรา 63/1” ชนกลุ่มน้อย จำนวน 100,410 คน , มาตรา 63/2” ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.มติ ครม. 24 ก.ย. 2567 (จดทะเบียนสถานะไม่ถูกกฎหมาย) จำนวน 1,010,592 คน กับ 2.มติ ครม. 24 ก.ย. 2567 และมติ ครม. 4 ก.พ. 2568 (ต่ออายุ) จำนวน 2,030,695 คน และ มาตรา 64” คนต่างด้าวที่เข้ามาทำงาน ไป-กลับหรือตามฤดูกาล จำนวน 37,905 คน 

ภาพที่ 3 : จำนวนแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยณวันที่ 25 มิ.ย. 2568 

ที่มา : สถิติจำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงาน ทั่วราชอาณาจักร (มิ.ย. 2568) โดยสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว

– เปิดศูนย์การเรียนรู้แรงงานข้ามชาติ – จ้างชาวต่างชาติเป็นครูได้หรือไม่? : ทีมงานโคแฟคสอบถามไปยัง อดิศร เกิดมงคลผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) ได้รับคำอธิบายว่า ประเด็นนี้ต้องแยกเป็น 2 ส่วนคือ 1.การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ใน “คู่มือสำหรับประชาชน: : การขอจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียนตามสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน (เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศไทย)” จัดทำโดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ 

คู่มือดังกล่าวอ้างอิงกฎหมาย 2 ฉบับคือ กฎกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน..2555 และ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการปรับใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน.. 2551 สำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ได้ระบุเงื่อนไขการขอจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในรูปแบบศูนย์การเรียนองค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในรูปแบบศูนย์การเรียน ซึ่งจะแตกต่างกันในรายละเอียดระหว่างองค์กรชุมชนหรือองค์กรเอกชนที่จดกับไม่จดทะเบียนในประเทศไทย รวมถึงการจัดทำแผนการศึกษา 

เช่น กรณีเป็นองค์กรที่จดทะเบียนในประเทศไทย หากเป็นองค์กรชุมชน 1.เป็นคณะบุคคลประกอบด้วยผู้ที่บรรลุนิติภาวะไม่น้อยกว่า 7 คน 2.มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในชุมชนหรือท้องถิ่นร่วมกัน 3.มีวัตถุประสงค์ขององค์กรร่วมกันเพื่อดำเนินกิจกรรมที่เป็นสาธารณประโยชน์และไม่แสวงหากำไร 4.มีที่ตั้งองค์กรอยู่ในท้องที่เดียวกันกับศูนย์การเรียนที่ขอจัดตั้ง 5.รายการตามข้อ 1 และข้อ 3 ต้องได้รับการรับรองจากสมาชิกในชุมชนซึ่งเป็นผู้บรรลุนิติภาวะจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน 

แต่หากเป็นองค์กรเอกชน 1.เป็นสมาคม มูลนิธิ หรือองค์กรที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล หรือเป็นส่วนงานหรือโครงการในองค์กรนิติบุคคล 2.มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจกรรมที่เป็นสาธารณประโยชน์และไม่แสวงหากำไร 3.มีที่ตั้งหรือมีส่วนงานหรือโครงการรับผิดชอบอยู่ในท้องที่เดียวกันกับศูนย์การเรียน เป็นต้น 

กับ 2.การจัดหาครูและผู้บริหารศูนย์การเรียนรู้ ในส่วนของครูนั้น แม้ไม่ได้จัดอยู่ในบัญชีอาชีพสงวนสำหรับคนไทยแต่อาชีพครูจัดเป็นวิชาชีพควบคุม ดังนั้นหากจะเป็นครูในระบบโรงเรียน (ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐหรือเอกชน) ก็ต้องผ่านการเรียนตามหลักสูตรและได้รับใบประกอบวิชาชีพตาม ...สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา.. 2546 โดยมีรายละเอียดที่เกี่ยวข้องดังนี้ 

มาตรา 43” (วรรคหนึ่ง) ให้วิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษาเป็นวิชาชีพควบคุม การกำหนดวิชาชีพควบคุมอื่นให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ตามพระราชบัญญัตินี้ , (วรรคสอง) ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพควบคุมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้เว้นแต่กรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ 1.ผู้ที่เข้ามาให้ความรู้แก่ผู้เรียนในสถานศึกษาเป็นครั้งคราวในฐานะวิทยากรพิเศษทางการศึกษา 

2.ผู้ที่ไม่ได้ประกอบวิชาชีพหลักทางด้านการเรียนการสอนแต่ในบางครั้งต้องทำหน้าที่สอนด้วย 3.นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการฝึกอบรมหรือผู้ได้รับใบอนุญาตปฏิบัติการสอน ซึ่งทำการ ฝึกหัดหรืออบรมในความควบคุมของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาซึ่งเป็นผู้ให้การศึกษาหรือฝึกอบรม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด 4.ผู้ที่จัดการศึกษาตามอัธยาศัย 

5.ผู้ที่ทำหน้าที่สอนในศูนย์การเรียนตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ หรือสถานที่เรียนที่หน่วยงานจัดการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์ และสถาบันสังคมอื่นเป็นผู้จัด 6.คณาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษาในระดับอุดมศึกษาระดับปริญญา ทั้งของรัฐและเอกชน 7.ผู้บริหารการศึกษาระดับเหนือเขตพื้นที่การศึกษา และ 8.บุคคลอื่นตามที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด 

ซึ่ง อดิศร ขยายความในส่วนนี้โดยระบุว่า ตามข้อกฎหมายข้างต้น ทำให้คนที่สอนในโรงเรียนกวดวิชา (ติวเตอร์) หรือคนที่สอนในศูนย์การเรียนรู้ เข้าข่ายได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพครู อย่างไรก็ตาม “โดยทั่วไปแล้วชาวต่างชาติหากจะทำงานในประเทศไทยต้องมีนายจ้าง” จึงจะสามารถยิ่นขอใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ได้ โดยในกรณีนี้ก็คือศูนย์การเรียนรู้เป็นผู้ว่าจ้าง

ภาพที่ 4 : อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG)

ที่มา : mwgthailand.org

ชาวต่างชาติทำงานเป็นล่ามแปลภาษาได้หรือไม่? : เนื่องจากล่ามไม่ได้อยู่ในกลุ่มอาชีพสงวนสำหรับคนไทย ชาวต่างชาติจึงสามารถทำงานนี้ได้หากมีนายจ้าง ซึ่ง อดิศร กล่าวว่า ในอดีตไทยเคยประสบปัญหาขาดแคลนล่ามในโรงพยาบาล ในขณะที่แรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านก็ยังถูกกำหนดให้ทำได้เพียงงานกรรมกรกับงานรับใช้ในบ้านเท่านั้น จึงไม่สามารถเป็นล่ามได้เพราะถือเป็นอาชีพที่ใช้ทักษะ ในเวลาต่อมาจึงได้มีการออกแนวปฏิบัติให้แรงงานข้ามชาติมาทำงานเป็นล่ามในลักษณะผู้ช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ โดยมีโรงพยาบาลหรือองค์กรพัฒนาแอกชน (NGO) เป็นผู้ว่าจ้าง 

พอกฎหมายใหม่มามันไม่ได้อยู่ในงานห้ามก็ทำได้ตามปกติเพียงแต่ว่าคุณต้องมีนายจ้างใครเป็นคนจ้างคุณอย่างเช่นถ้าเกิดวันนี้เรามี NGO ไปจ้างไปช่วยงานตำรวจในโรงพักมันก็ชัดเจน NGO เป็นนายจ้างคุณแต่เขามอบหมายคุณไปทำงานเป็นล่ามให้โรงพักให้โรงพยาบาล อดิศร กล่าว 

ผู้เขียนยังได้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานประสานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐของไทย พบตัวอย่างที่ชัดเจน คือ พนักงานสาธารณสุขต่างด้าว (พสต.) – อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.)” โดยกระทรวงสาธารณสุข และมีการฝึกอบรมทักษะที่จำเป็นเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคนกลุ่มนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการดูแลสุขภาพของกลุ่มประชากรข้ามชาติที่อยู่ในประเทศไทย ที่มักมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสิทธิต่างๆ 

(โปรดติดตามต่อในตอนที่ 2)

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/- 

อ้างอิง 

https://web.facebook.com/RLPD.PR.FANPAGE/posts/pfbid02SgYNryqEMqREjyx8NTGEVguDU6jyPo2ZHcSexUq26jf1BrrV5xyVCcqnLa3epBD8l (คุ้มครองสิทธิฯ จับมือ มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย IOM และมูลนิธิฟรีดิช เนามัน พัฒนาศักยภาพผู้แทนกลุ่มแรงงานข้ามชาติ สู่การเป็นนิติกรชุมชน นำความรู้ทางกฎหมายช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติให้เข้าถึงความยุติธรรมอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และไม่เลือกปฏิบัติ : กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ 17 พ.ย. 2568) 

https://www.doe.go.th/prd/assets/upload/files/legal_th/3ad8fb156a32cbb000e303125ced6af7.pdf (พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ((update ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2561) : สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน) 

https://web.facebook.com/share/p/17uEVoBmv7/ (40 อาชีพสงวนสำหรับคนไทย : สำนักงานแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร 20 ธ.ค. 2567) 

https://www.doe.go.th/prd/assets/upload/files/legal_th/68c9bf9be8ce0073681f327e8455e35f.pdf (ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ) 

https://www.doe.go.th/prd/assets/upload/files/alien_th/c9b9dded69538324b212c16301f2d347.pdf (รายงาน “สถิติจำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงาน ทั่วราชอาณาจักร (มิ.ย. 2568) : สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน) 

https://web.cmi4.go.th/wp-content/uploads/2024/10/me-5-manual.pdf (คู่่มือสำหรับประชาชน: : การขอจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียนตามสิทธิขององค์กรชุมชน และองค์กรเอกชน (เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศไทย) : สพฐ.) 

https://www.moe.go.th/backend/wp-content/uploads/2020/10/1.-พรบ.-สภาครู.pdf (พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ) 

https://www.hfocus.org/content/2022/10/26301 (โฆษก สธ.เผยรายละเอียดข้อเสนอพัฒนา “พนักงานสาธารณสุขหรืออาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว” : Hfocus 30 ต.ค. 2565) 

https://ddc.moph.go.th/uploads/publish/1011820200514091130.pdf (หลักสูตร อบรมอาสาสมัครแรงงานต่างด้าว ด้านสุขภาพ อาชีวอนามัยและความปลอดภัย (อสต อช.) : ศูนย์พัฒนาวิชาการอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จังหวัดสมุทรปราการ กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข) 

https://www.hss.moph.go.th/show_topic.php?id=5029 (คู่มืออาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าวและหลักสูตรครูฝึกอบรมมาตรฐานอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว : กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข) 

https://section09.thaihealth.or.th/2024/03/20/อาสาสมัครสาธารณสุขต่าง/ (เป็นเพื่อนบ้าน เป็นพี่เลี้ยง เป็นคนดูแล เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว นี่คือ ‘อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.)’ กลุ่มคนที่ทำงานเพราะอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี : สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สสส. , 20 มี.ค. 2567)