‘ปัญญารวมหมู่’สู้ข่าวลวง! ‘คนรุ่นใหม่’ เลือกเสพข้อมูล ‘มีสติ’ไม่ชัวร์อย่าแชร์ต่อ

สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ร่วมกับ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) อีสานโคแฟค สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) Ubon Connect และมูลนิธิสื่อสร้างสุข จัดงานเสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 31 “บทบาทของสื่อและอินฟลูฯ สู่สังคมออนไลน์สันติประชารรรม (Role of Media & Influencers to debunk disinformation, promote Peace & Democracy)” ณ ห้องปทุมวัน ชั้น 5 โรงแรมสุนีย์แกรนด์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคโคแฟค (ประเทศไทย) อ้างถึง มาเรีย เรสซา (Maria Ressa) ผู้สื่อข่าวชาวฟิลิปปินส์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2021 (พ.ศ.2564) ได้กล่าวในการประชุมสหประชาชาติเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา  ว่าเราต้องรับมือกับ “มหาสงครามข้อมูล (Information Armageddon)” โดยทำให้มีข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ เพราะหลายครั้งข้อมูลลวงนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความเกลียดชัง และปัจจุบันผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นจริงสื่อสารออกมาได้จากทุกคนไม่เฉพาะแต่องค์กรสื่อเท่านั้น แต่ผู้รับสารคาดหวังให้สื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือมีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ หลายคนที่ใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ แม้ไม่ได้เป็นสื่อมวลชนมืออาชีพแต่มีผู้ติดตามจำนวนมาก กลายเป็นผู้ทรงพลัง หรือเรียกว่า ผู้นำทางความคิดในโลกออนไลน์ KOL (Key Opinion Leader)  มีการคาดการณ์ว่าในประเทศไทยมี KOL 3 – 9 ล้านคน ตั้งแต่ระดับนาโนที่มีผู้ติดตามหลักร้อยหลักพัน ไปจนถึงผู้ที่มีคนติดตามหลักล้าน 

การที่ใครๆ สามารถเป็นสื่อได้นั้นจริงหรือไม่ เพราะการเป็นสื่อต้องมีหลักในการข้อมูลที่ถูกต้อง ข้อเท็จจริงที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว จึงได้เห็นบทบาทของอินฟลูฯ มากมายทั้งทางบวกและลบ นอกจากนั้นเรายังเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เช่น สั่ง AI ให้สร้างภาพหรือคลิปวิดีโอตัวเราไปอยู่ที่ไหนก็ได้โดยง่าย แต่อีกด้านก็ทำให้เกิดความสับสนว่าภาพที่เห็นจริงหรือไม่ 

การที่เรารับข่าวสารมาและติดตามกับเนื้อหาสาระเรื่องนั้นอย่างเต็มที่ ก่อให้เกิดความเครียดเหมือนกัน คือห้ามเชื่ออะไรใดๆ ทั้งสิ้นเลย แม้แต่เหตุการณ์ที่น้ำท่วมภาคใต้ มีเปิดรับบริจาคมากมายที่เป็นเพจ AI เพจมิจฉาชีพบ้างอะไรบ้าง การใช้ชีวิตของเราทุกวันนี้มันยากขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งสติมากๆ ดังนั้นหากเป็นอินฟลูฯ มีคนติดตามจำนวนมาก ยิ่งต้องระวังมากขึ้น สุภิญญากล่าว

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “บทบาทของสื่อและอินฟลูเอนเซอร์ต่อการรับมือข้อมูลเท็จเพื่อสร้างสันติภาพและความปลอดภัย (Role of Media & Influencers to debunk disinformation, promote peace & Safety)”  โดย สุชัย เจริญมุขยนันท ผู้ก่อตั้ง Ubon Connect บอกเล่าถึงบทบาทของสื่อท้องถิ่นในการลดความเข้าใจผิด เช่น การพยากรณ์อากาศ จากที่ได้ทำระบบ Open Chat เตือนภัยร่วมกับหลายฝ่าย โดยมีเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ภาครัฐที่เกี่ยวข้องและชาวบ้านอยู่ในระบบ  เพื่อเตือนและช่วยกันแจ้งเรื่องที่ส่งผลกระทบกับเรากันเอง  ในขณะที่สื่อส่วนกลางอาจไม่ได้ติดตามสถานการณ์เพื่อรายงานข่าว สิ่งนี้เรียกว่า “ปัญญารวมหมู่” ใน Open Chat มีการเตือนภัย อย่างกรณีมีพายุเข้ามาจะมีเว็บไซต์ให้ติดตามเส้นทางของพายุแบบวันต่อวัน จากพายุเริ่มก่อตัวจนถึงใกล้สลายตัว หรือการให้ AI ช่วยคำนวณทิศทางและปริมาณน้ำที่คาดว่าจะไหลเข้าท่วมพื้นที่ เมื่อรู้แล้วจะได้เตรียมตัวรับมือ

“ผมว่าเริ่มต้นจากมีคนที่จริงใจ เกาะติด ติดตามและเสียสละมารวมตัวกัน ผมว่าสมัยนี้บางทีความสนใจของผู้คนจะแยกเป็นเรื่องๆ ไป บางคนสนใจเรื่องน้ำท่วม สัตว์เลี้ยง ท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นประเด็นอะไร ก็รวมกันเป็นหมู่แล้วสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ในทุกเรื่อง” สุชัย กล่าว

นพภา พันธุ์เพ็ง ประธานมูลนิธิสื่อสร้างสุข กล่าวถึงผลกระทบของข่าวลวง ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคลคือเกิดความเครียดและสับสน เช่น ดูภาพหนึ่งแล้วไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ หรือมีกรณีคนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพถูกหลอกสูญเสียเงินจนกลายเป็นคนไม่กล้ารับโทรศัพท์ และที่น่าเจ็บปวดคือช่องทางการสื่อสารอย่างเฟซบุ๊กปล่อยให้มีการหลอกลวงเพราะมีผลประโยชน์ หรือตัวอย่างระดับชุมชน กรณีที่เคยมีข่าวออกมาว่าอาวุธจากฝั่งกัมพูชายิงได้ไกล 130 กิโลเมตร ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จแต่ทำให้คนเกิดความหวาดกลัวแล้ว หรือการตั้งคำถามว่าจะยกระดับจากสงครามชายแดนเป็นสงครามเต็มรูปแบบหรือไม่ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น  หรือมีคำถามว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ และเมื่อเกิดข่าวแบบนี้แล้วคนจะกล้าลงทุนหรือไม่ หากไม่กล้าลงทุนก็จะไม่มีการจ้างงาน คนก็ไม่มีงานทำและไม่มีรายได้ แล้วเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ไม่โตอยู่แล้วจะเป็นอย่างไร อีกทั้งยังมีคนเผยแพร่ภาพที่ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม อ้างว่าโรงงานในไทยย้ายไปประเทศอื่น ก็อาจมีความคิดว่าเป็นเรื่องจริง ทำไมเขาย้ายหนี กลายเป็นยิ่งตอกย้ำ

ตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงมากคือ ปัญหาชายแดน เราไม่ได้ห่วงว่าสงครามจบแล้วมันจะจบ มันยังมีความรู้สึกอคติที่ฝังลึก แล้วเราต่างคนต่างปั่นกระแสให้เกิดความเกลียดชังกัน จริงๆ แล้วพี่น้องชายแดนเป็นพี่น้องกัน แต่ตอนนี้กลายเป็นคนละพวกกันเพราะคนหนึ่งเป็นเขมร อีกคนเป็นสุรินทร์ เป็นบุรีรัมย์ แล้วความรู้สึกอย่างนี้มันจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนความเป็นมิตรจึงจะกลับคืนมาประธานมูลนิธิสื่อสร้างสุข กล่าว

อังคณา พรหมรักษา อาจารย์ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เปิดเผยว่า เคยไปจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) กับกลุ่มเป้าหมาย และได้รับข้อมูลจากลูกศิษย์ที่ไปร่วมเป็นทีมงาน บอกว่าพบกลุ่มเป้าหมายที่เคยผ่านการอบรมไปแล้วถูกหลอก ซึ่งเป็นไปได้ว่ารูปแบบของมิจฉาชีพที่เข้ามาในชีวิตประจำวันนั้นเปลี่ยนไปเรื่อย อย่างที่มีคนบอกว่า AI เปลี่ยนแทบจะทุกวินาที และบริบทโลกเปลี่ยนเร็วมาก บางทีเราก็ต้องตั้งคำถามกับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต 

ทั้งนี้ ข้อมูลที่ไม่จริงหรือไม่ถูกต้อง บางครั้งคนที่ส่งมาก็ไม่รู้และส่งต่อไปโดยไม่มีเจตนา แต่กรณีที่ผู้ส่งรู้ว่าข้อมูลนั้นไม่ถูกต้องหรือบิดเบือนแต่ยังส่งต่อไปโดยมีเจตนาบางอย่าง เช่น ผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจ  มีรายได้จากการหลอกลวง หรือในเชิงการเมืองที่ทำให้เกิดความเกลียดชัง และเนื้อหาที่หลอกลวงเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลแค่ในปัจจุบันแต่ส่งผลในระยะยาว เช่น อีกไม่นานจะมีการเลือกตั้งหลายภาคส่วนเริ่มมีกระแส เริ่มถูกปล่อยข้อมูลอะไรบางอย่างออกมาและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราทั้งหมด ก่อนหน้านี้เราพูดถึงการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ปัจจุบันไม่พอแล้ว ต้องรู้เท่าทันปัญญาประดิษฐ์ (AI Literacy) รู้เท่าทันจริยธรรมของข้อมูล (Data Ethics Literacy) ต้องมีการฝึกให้ตั้งคำถามถึงความผิดปกติทางตรรกะ เช่น การยอมขายของทั้งที่ขาดทุน หรือตั้งคำถามว่าใครได้ประโยชน์จากการแผยแพร่ข้อมูลชุดนี้ ตระหนักรู้การทำงานของอัลกอริทึม (Algorithm Awareness) ที่เมื่อเราสนใจเรื่องใดที่ปรากฎในอินเตอร์เน็ตหรือสื่อสังคมออนไลน์ที่ไหลบ่าเข้ามาหาเรา ในขณะที่ข้อมูลอื่นๆ จะไม่เข้ามา 

สิ่งสุดท้าย ทำอย่างไรเราจะสร้างกลไกนี้ให้เกิดกับคนทุกคน เราจะมีวินัยในการแชร์ข้อมูลอย่างไร? อาจหมายถึงว่า เราอาจต้องสร้างความตระหนักมากขึ้นก่อนที่เราจะเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ออกไป แล้วเราควรที่จะต้องมั่นใจในข้อมูลหลายๆ อย่างที่เรากำลังจะสื่อสาร ทั้ง Social Media ทั้งการพดคุยสื่อสารซึ่งกันและกัน ฉะนั้นบางเรื่องที่เรารู้มาอาจจะต้องอยู่กับตัวเองก่อนที่จะเผยแพร่หรือส่งต่อออกไป อาจารย์อังคณา กล่าว

ดร.วศิน ปั้นทอง อาจารย์ภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เล่าถึงงานวิจัย “การพัฒนาเครื่องมือเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลวงทางการเมือง : การประยุกต์ใช้ภาษาศาสตร์แบบคลังข้อมูล (Corpus Linguistics)” เพื่อทำความเข้าใจกลไกและแบบแผนที่อยู่เบื้องหลังข่าวลวง เช่น การใช้คำที่ปลุกเร้าอารมณ์ ผ่านการเก็บข้อมูลถ้อยคำหรือข้อความจำนวนมากแล้วนำมาวิเคราะห์ โดยเฉพาะจากบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่มักเผยแพร่ข่าวลวง ว่าใช้ถ้อยคำอย่างไรบ้าง แล้วใครแชร์ต่อไปบ้าง มีตัวอย่างจากการรวบรวมชุดถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับข่าวลวงในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 พบว่า 5 อันดับคำที่พบมากที่สุด คือ Virus China Coronavirus Health และ People ตามลำดับ และมักจะมาเป็นคำคู่กัน เช่น Corona กับ Virus หรือ Public กับ Health เป็นต้น ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเก็บข้อมูลถ้อยคำที่เชื่อมโยงกับข่าวลวงทางการเมืองได้เช่นกัน

“ในเบื้องต้นงานชิ้นนี้อยู่ในระยะเริ่มต้นมากๆ อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ แต่ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่พวกเราช่วยกันทำได้เลย คือเข้าไปที่โคแฟค(Cofact) สามารถบริจาคข่าวลวงได้ เพราะโคแฟคจะเก็บข้อมูลเป็นคลังไว้เหมือนกัน ซึ่งผมจะดึงข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ และสุดท้ายอาจจะได้เห็นว่าในภาษาไทยเรามีวิธีการสื่อสารข่าวลวงด้วยถ้อยคำแบบไหน มีสไตล์การสื่อสาร และแบบแผนการสื่อสารอย่างไร” อาจารย์วศิน กล่าว

ะวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) กล่าวว่า วันนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ของความเป็นคนไทยที่มีความหวังดีและห่วงใยโดยไม่รู้ข้อมูลต้นทาง เราห่วงญาติ ห่วงคนข้างบ้าน ห่วงคนนั้นคนนี้ เช่น มีคนโพสต์ด่าอาสาสมัครที่ขี่เจ็ตสกีด้วยความเร็วลุยน้ำท่วมหาดใหญ่ โพสต์นี้มีคนดูเป็นล้าน ซึ่งต่อมาทั้งคนขี่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจงว่าจำเป็นต้องใช้ความเร็วเพราะหากไม่เร็วน้ำก็เข้าเครื่อง  ไม่สามารถไปช่วยผู้ประสบภัยได้ หรืออย่างอินฟลูเอนเซอร์สายสวยงาม แต่งหน้าขายของ จู่ๆ ก็โพสต์ขึ้นมาว่าสื่อไม่รายงานข่าวน้ำท่วม ปล่อยประชาชนช่วยเหลือกันเอง คนแชร์กว่า 2 หมื่น ด่าสื่อกันเละ ทั้งที่ไม่เห็นว่ามีสื่อช่องใดที่จะไม่รายงานข่าวน้ำท่วมเลยแต่มีข้อสังเกตว่า ในการติดตามข่าวสารโดยทั่วไปเราจะไม่ค่อยแชร์ข่าว แต่เมื่อใดที่เราไปมีส่วนร่วมกับข่าวนั้น เช่น กดถูกใจ (Like) หรือแสดงความคิดเห็น (Comment) ข่าวต่อๆ ไปที่ให้เราเห็นจะมีเนื้อหาคล้ายๆ กัน อาทิ เมื่อเรามีส่วนร่วมกับข่าวดาราเป็นหนี้ 400 ล้าน ต่อไปก็จะมีข่าวดาราคนอื่นๆ มาให้เห็นอีก หลังจากนั้นเราจะไม่เห็นข่าวน้ำท่วม นี่คือกลไกของอัลกอริทึม 

หรือกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา มีโอกาสเข้าไปช่วยงานกองทัพแล้วต้องต่อสู้กับอินฟลูฯ ชายขอบ หมายถึง ประชาชนทั่วไปที่กลายเป็นอินฟลูฯ ขึ้นมา เช่น คนที่มีบ้านอยู่ใกล้ชายแดน วันดีคืนดีได้ยินเสียงดัง ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรแต่ก็โพสต์ไปแล้วว่าเป็นเสียงระเบิด แถมสื่อกระแสหลักก็ไปหยิบโพสต์เหล่านี้มาแชร์ต่อโดยไม่ถามด้วยซ้ำว่าโพสต์นั้นแหล่งข่าวเป็นใคร ทำให้คนกลุ่มนี้ได้ยอดแชร์เพิ่มขึ้น และเมื่อมีโพสต์ยอดสูงๆ แบบนี้ต่อเนื่องก็ยังได้เงินจากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ด้วย ในขณะที่กองทัพทำงานสื่อสารกันไม่ทันเพราะทุกคนเป็นอินฟลูฯ กันหมด แล้วคนไทยก็ชอบกับการที่อะไรที่ตื่นตระหนกต้องแชร์ก่อน 

คำว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้จำกัดแค่ Generation (ช่วงวัย) คนรุ่นใหม่คือพวกเราทุกคนไม่ว่าจะอายุ 90 80 70 60 50 หรือเด็กอายุ 14 ทุกคนเป็นคนรุ่นใหม่หมด  ถ้ามีอินเตอร์เน็ต เมื่อไหร่ที่มนุษย์บวกอินเตอร์เน็ตแล้วมีมือถือ  ก็นับว่าเป็นคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่คือคนที่เเลือกเสพข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเสพข้อมูลที่มีประโยชน์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าว

ในช่วงท้ายของงาน ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ที่ปรึกษาาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวสรุปว่า สิ่งที่วิทยากรทั้ง 5 ท่านร้อยเรียงมา คือให้เรามีสติในการรับข้อมูล อย่าส่งต่อหากไม่มั่นใจว่าข้อมูลนั้นถูกต้อง ขณะที่การรวมกันเป็นเครือข่ายจะเป็นเกราะป้องกันข้อมูลลวงไม่ให้มาถึงเรา