กมธ. การพัฒนาการเมือง และภาคีโคแฟค ร่วมหาแนวทางตรวจสอบข่าวลวงช่วงเลือกตั้ง  

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน 2568 นักการเมือง นักวิชาการ กกต. สื่อมวลชน และภาคีโคแฟค เข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลม หัวข้อ “แนวทางการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อการเลือกตั้ง 2026 ที่เป็นธรรมบนหลักการ Fact Free Fair” ซึ่งร่วมจัดโดยคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร โคแฟค (ประเทศไทย) และมูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ ณ ห้องประชุมสัมมนา B 1-2 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา กรุงเทพมหานคร

พริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ กล่าวเปิดการประชุมว่า ข่าวปลอมเป็นปัญหาอันดับแรก ๆ ที่ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ ให้ความสนใจแก้ไขอย่างจริงจัง ซึ่ง กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ มองเห็นความท้าทายของการทำงานรับมือข่าวลวง 5 ประการ คือ 1.วิวัฒนาการของารผลิตเนื้อหาข่าวลวงแนบเนียนมากขึ้น เนื่องจากการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้แยกแยะเนื้อหาได้ยากขึ้นกว่าในอดีต โจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้สังคมในฐานะผู้เสพสื่อมีเครื่องมือ หรือคู่มือหลักการในการแยกแยะเนื้อหาจริงออกจากเนื้อหาไม่จริง 2. ผู้ไม่หวังดีแสวงหาผลประโยชน์จากข่าวปลอม โดยการเผยแพร่ข่าวปลอมอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่มีเจตนา (Misinformation) หรือโดยมีเจตนา (Disinformation) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทต้องการมาตรการแก้ไขที่ไม่เหมือนกัน 3. ข่าวปลอมที่เผยแพร่ทางออนไลน์จะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำอย่างไรที่ข้อมูลแก้ไขข่าวปลอมจะถูกเผย่แพร่ได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางเช่นกัน 4. ความน่าเชื่อถือขององค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริง องค์กรที่จะมาทำหน้าที่นี้ ต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชน และ 5. องค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ควรเป็นภาครัฐ เพราะภาครัฐหรือรัฐบาลเองอาจเป็นผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับข่าวในหลายมิติ ดังนั้นหากให้รัฐเป็นผู้เล่นหลักในการวินิจฉัยว่าอะไรเป็นข่าวจริง-ข่าวปลอม หากเจอรัฐบาลที่ไม่ทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง แทนที่กลไกนี้จะเป็นเครื่องมือปกป้องประชาชนให้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง จะกลายเป็นเครื่องมือปิดกั้นความเห็นต่างด้วยการตีตราว่าเป็นข่าวปลอม

ทั้งนี้ สิ่งที่ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ และทุกภาคส่วนต้องการคือ ข้อเสนอเชิงนโยบาย ซึ่งช่วงนี้ที่กำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้ง จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการคุยเรื่องข้อเสนอนโยบายว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร และ ข้อเสนอเฉพาะหน้า ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้-ส่วนเสีย องค์กรภาคประชาสังคม แม้กระทั่งสื่อมวลชน จะมีบทบาทอย่างไรได้บ้าง ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลาง และมีบทบาทเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. …. และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกล่าวว่า วันนี้พรรคการเมืองต้องทำงานกับสื่อ เพราะประชาชนฟังสื่อไม่ได้ฟังนักการเมือง มีผู้เชี่ยวขาญจากประเทศโรมาเนียเคยกล่าวไว้ว่า ความเชื่อมั่นของประชาชนร้อยละ 80 เกิดจากรายงานของสื่อ ไม่ได้เกิดจากข้อเท็จจริงของหน่วยงาน แม้หน่วยงานจะมีข้อเสนอดี ๆ แต่หากไม่มีสื่อ ก็ไม่เป็นที่รับรู้  

อย่างไรก็ตาม หากบ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้า สื่อต้องสร้างสันติภาพ โดยยึดถือ หลักประชาธิปไตย คือหลักที่คนเท่าเทียมกัน เมื่อคนส่วนใหญ่มีความเห็นร่วมกัน ต้องเคารพเสียงข้างมาก หลักสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องเท่าเทียมกัน และ หลักนิติธรรม ดังนั้น ตนคิดว่านอกจากข่าวจริงหรือไม่จริงแล้ว ยังมีเรื่องของข่าวจริงที่มีเจตนาไม่ดี ข่าวจริงที่เป็นอันตราย จึงควรมีองค์กรที่ไม่ใช่รัฐมาร่วมตรวจสอบด้วย

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงคำ “มหาสงครามข้อมูล (Information Armageddon)” จากสุนทรพจน์ของ มาเรีย เรสซา (Maria Ressa) ผู้สื่อข่าวชาวฟิลิปปินส์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2021 (พ.ศ.2564) ในการประขุมสหประชาชาติเมื่อเดือนกันยายน 2568 ซึ่งหากไม่มีการรับมือก็จะนำไปสู่วันสิ้นสุดของข้อเท็จจริง โดยเฉพาะบทบาทของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่ส่วนหนึ่งก็ได้รับผลประโยชน์จากการมีอยู่ของข่าวลวง 

อย่างไรก็ตาม โคแฟคซึ่งเป็นภาคประชาสังคม ไม่มีอำนาจเชิญผู้แทนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มาพูดคุยหาแนวทางรับมือข่าวลวงในช่วงเลือกตั้งได้ จึงเสนอให้ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ เป็นผู้เชิญ ซึ่งต้องมีหน่วยงานภาครัฐเป็นเจ้าภาพที่แต่ผ่านมายังไม่ค่อยเห็น อย่างไรก็ตาม ต้องอยู่บนพื้นฐานของสมดุลระหว่างเสรีภาพกับความรับผิดชอบ ส่งเสริมการสื่อสารข้อมูลบนพื้นฐานข้อเท็จจริง (Fact Base) ไม่ใช้ข้อมูลลวงในการต่อสู้กันทางการเมือง 

สุภิญญาย้ำว่า ยังมีเรื่องการใช้อารมณ์นำในการตัดสินใจออกเสียงลงคะแนน ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยสื่อสังคมออนไลน์โดยเฉพาะในรูปแบบคลิปวิดีโอสั้น โดยสิ่งที่เจอคือ อคติยืนยัน (Confirmation Bias)” ถึงแม้ข่าวลวงนั้น จะถูกหักล้าง (Debunk) ด้วยข้อเท็จจริงไปแล้ว แต่ผู้คนก็ยังเลือกเชื่อข่าวลวงนั้นตามอคติของตนเอง เป็นเรื่องที่แต่ละพรรคการเมืองอาจต้องมีแนวทางในการรับมือต่อไป

กุลธิดา สามะพุทธิ หัวหน้ากองบรรณาธิการโคแฟค (ประเทศไทย) นำเสนอ ‘บทเรียนการตรวจสอบข่าวช่วงเลือกตั้งในการเลือกตั้งปี 2566’โดยกล่าวถึงเรื่องเล่าในบริบทการเมืองช่วงการเลือกตั้งปี 2566 ว่า ส่วนใหญ่เป็นการอ้างผลงานว่าเป็นของรัฐบาลชุดปัจจุบัน หรือพรรคการเมืองตนเอง การโยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง การบิดเบือนนโยบาย การใช้ทฤษฎีสมคบคิดเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือหรือป้ายสีนักการเมืองหรือพรรคคู่แข่ง การใช้ประเด็นศาสนามาสร้าความเข้าใจผิด ตลอดจนการนำเรื่องส่วนตัว หรือข้อมูลดิจิทัลของนักการเมืองมาเผยแพร่อย่างไม่เหมาะสม ส่วนการใช้เอไอดีปเฟคยังไม่แพร่หลายในช่วงการเลือกตั้งปี 66 แต่เริ่มมีพัฒนาการที่ชัดมากขึ้นในช่วงความขัดแย้งพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา และล่าสุดในช่วงสถานการณ์น้ำท่วมเมืองหาดใหญ่

กุลธิดาให้ข้อสังเกตจากการทำงานในช่วงนั้นว่า พรรคก้าวไกล (พรรคประชาชนในปัจจุบัน) ตกเป็นเป้าหมายของข่าวลวงมากที่สุด อาจเพราะอยู่ในความสนใจของคน และเป็นพรรคที่เข้าถึงพื้นที่การสื่อสารในโลกออนไลน์ได้มากกว่าพรรคอื่น ส่วนความท้าทายในการทำงานตรวจสอบข่างลวงคือข้อมูลบางอย่างยากที่จะฟันธงได้ว่าจริงหรือเท็จทั้งหมด เพราะการเล่าเรื่องมาในรูปแบบที่หลากหลาย มีทั้งการหยิบข้อเท็จจริงมาบางส่วนปะปนกับความคิดเห็นและการอธิบายที่อ้างอิงทฤษฎีสมคบคิด หรือการเชื่อมโยงกับภาพหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน นอกจากนี้ข่าวลวงที่วนซ้ำ และการไม่สนใจความจริงของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน ก็เป็นความท้าทายในการทำงานที่สำคัญ

อภิเดช เตปิน นักวิจัย บริษัม นีโอโมเมนตัม จำกัด นำเสนอ ‘The Digital Political Landscape and The Fragility of Thailand’s Democratic Process.’ ได้กล่าวถึงภูมิทัศน์การสื่อสารทางการเมืองในพื้นที่ดิจิทัลภายหลังการเลือกตั้งปี 2566 ว่า ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยปริมาณของข้อความที่แสดงความเกลียดชังและข้อมูลจริงที่ถูกนำมาใช้โดยแฝงเจตนาร้ายกลับเพิ่มสูงขึ้น และเป้าหมายการโจมตีเปลี่ยนจากพรรคการเมืองหรือนโยบาย ไปสู่การโจมตีตัวบุคคล และสถาบันทางการเมือง โดยอาศัยเรื่องเล่าเกี่ยวกับคดีความ ภาพลักษณ์ส่วนตัว การตีความข้อมูลผิด เป็นเครื่องมือในการลดทอนความชอบธรรมของรัฐบาลใหม่ในขณะนั้น นอกจากนี้ ผู้เล่นในเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีความขัดแย้งได้ขยายตัวมากขึ้น ส่งผลให้ความไว้วางใจสาธารณะโดยรวมเสื่อมถอยลง เนื่องจากสารที่ได้รับส่วนใหญ่เป็นเรื่องของอคติเชิงลบ และถูกขับเคลื่อนด้วยทางอารมน์

สำหรับบริบทในปัจจุบัน อภิเดชมองว่า การสื่อสารทางการเมืองในพื้นที่ดิจิทัลได้ขยายไปสู่ความขัดแย้งทางสังคม วัฒนธรรม และความมั่งคงของชาติ โดยที่กระแสชาตินิยม ความรู้สึกเกลียดกลัวต่างชาติ และการเหมารวมทางชาติพันธุ์ได้เติบโตขึ้นอย่างเป็นระบบ เห็นได้ชัดจากรณีศึกษาประเด็นเฮทสปีช (Hate Speech) เกี่ยวกับสิทธิและการปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา และความขัดแย้งพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา “อารมณ์ก้าวร้าว ความกลัว และความรู้สึกว่าถูกคุกคามถูกใช้เป็นตัวขับเคลื่อนปฏิกิริยาสังคม อภิเดชสรุป 

จากนั้น ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ และที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) ได้นำผู้เข้าร่วมประชุมเข้าสู่การเสวนาโต๊ะกลม โดยใช้กรอบความท้าทายในการรับมือข่าวลวง 5 ข้อที่ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ กล่าวเปิดการประชุมไว้ ให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้อภิปรายและเสนอแนะ ทั้งนี้ ผู้แทนพรรคประชาชาติ พรรคไทยก้าวใหม่ พรรคประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน รวมถึงฝ่ายประชาสัมพันธ์สำนักงาน กกต. มีส่วนร่วมในการอภิปรายอย่างเข้มข้น

ดร.วศิน ปั้นทอง อาจารย์ภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมและจัดทำ ข้อเสนอแนะจากการประชุมโต๊ะกลม หัวข้อ แนวทางการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อการเลือกตั้ง 2026 ที่เป็นธรรมบนหลักการ Fact Free Fair’ เพื่อเสนอต่อประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ ดังต่อไปนี้ 

1ความท้าทายด้านการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิตข่าวลวงที่ตรวจสอบยากขึ้น

1.1 ลักษณะปัญหา

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมาเริ่มเห็นการใช้เทคโนโลยีการผลิตเนื้อหาอัตโนมัติในการรณรงค์หาเสียงทางการเมือง และเริ่มเห็นสัญญาณการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางการเมือง ทั้งในฝ่ายการเมืองและผู้ผลิตเนื้อหาที่เป็นบุคคลทั่วไป

1.2 ข้อเสนอแนะ

1.2.1 จัดทำมาตรการเฝ้าระวัง โดยสร้างหน่วยตรวจสอบเฝ้าระวังอัลกอริทึม (Algorithm watch) ประกอบกับการเก็บข้อมูลบนโลกออนไลน์เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิอารมณ์และเรื่องเล่าของแต่ละคลัสเตอร์บนโลกออนไลน์เพื่อตรวจดูพฤติกรรมต้องสงสัยว่าเป็นผู้ดำเนินการปฏิบัติการข่าวสาร (Coordinated behavior)

1.2.2 จัดทำมาตรการขอความร่วมมือ โดยย้ำพรรคการเมืองให้ระบุอย่างชัดแจ้งว่าเนื้อหาที่ตนเผยแพร่นั้นผลิตด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)

1.2.3 จัดทำมาตรการทางกฎหมาย โดยพิจารณาออกกฎการกำกับดูแล มีเกณฑ์คือพิจารณาว่าข่าวลวงทางการเมืองชิ้นนั้นส่งผลกระทบหรือเป็นอันตรายต่อการเลือกตั้งมากน้อยเพียงใด

2. ความท้าทายด้านการแสวงประโยชน์ทางการเมืองและประโยชน์ทางธุรกิจจากการเผยแพร่ข่าวลวง

2.1 ลักษณะปัญหา

ในปัจจุบัน จะพบว่าเป้าหมายของผู้ผลิตเนื้อหาทั้งที่เป็นรายบุคคล อินฟลูเอนเซอร์ นักการเมือง ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองในลักษณะแฟนคลับ (Fan club) หรือกระทั่งสื่อมวลชนเอง คือการใช้ข่าวลวงทางการเมืองโจมตีลดทอนความชอบธรรมของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันผู้เล่นดังกล่าวจำนวนหนึ่งก็มีเป้าหมายซ้อนในเรื่องการแสวงหารายได้จากการผลิตเนื้อหาที่เร่งเร้าอารมณ์หรือชวนให้เกิดความขัดแย้ง อันไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง โดยหวังรายได้จากยอดแชร์มากกว่าการผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ 

2.2 ข้อเสนอแนะ

2.2.1 การเชิญพรรคการเมือง ลงนาม ‘Code of conduct’ หรือการประกาศเจตนารมณ์แสดงความมุ่งมั่นในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ด้วยความรับผิดชอบ ในระยะยาว ‘Code of conduct’ นี้ ก็จะสร้างบรรทัดฐานในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่ยอมรับร่วมกันได้  

2.2.2 จัดทำมาตรการรับมือกับการหาเงินจากการผลิตและเผยแพร่เนื้อหาทางการเมืองเพื่อเรียกกระแสแต่ไม่ยืนบนฐานข้อเท็จจริง

2.2.3 การทำความเข้าใจกับอินฟลูเอนเซอร์เรื่องการใช้ปัญญาประดิษฐ์ด้วยความรับผิดชอบและสอดคล้องกับหลักการ ‘Fact Free Fair’

3. ความท้าทายด้านความเร็วที่ข่าวลวงทางการเมืองแพร่กระจายสู่สังคม

3.1 ลักษณะปัญหา

ในปัจจุบัน เนื้อหาที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ หรือข่าวลวงทางการเมืองถูกเผยแพร่ในวงกว้างด้วยระยะเวลาที่รวดเร็ว หลายกรณีส่งผลกระทบต่อนักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่ตกเป็นเป้าหมาย 

3.2 ข้อเสนอแนะ

3.2.1 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ชุมชนผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (ทั้งในสื่อมวลชนและภาคประชาสังคม) และผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ควรร่วมหารือเรื่องนโยบายเฉพาะของแพลตฟอร์มในช่วงการเลือกตั้งที่เน้นสร้างเงื่อนไขให้เอื้อกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงและสร้างความโปร่งใส

3.2.2 หากสื่อมวลชนหรือผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงสื่อสารผิดพลาดหรือนำเสนอการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่พบในภายหลังว่าผิดพลาด ควรกำหนดกรอบเวลาในการชี้แจงให้รวดเร็ว ชัดเจน และทันท่วงที   

3.2.3 กำหนดว่าจะตรวจสอบใครบ้าง อาทิ นักการเมือง พรรคการเมือง และผู้สนับสนุนทางการเมืองทั้งที่เป็นธรรมชาติและจัดตั้ง 

3.2.4 สร้างช่องทางเร่งด่วน (Fast track) สำหรับผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงติดต่อกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้าถึงข้อมูลที่เป็นทางการอย่างทันท่วงที 

4. ความท้าทายด้านความน่าเชื่อถือและมาตรฐานการทำงานขององค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริง

4.1 ลักษณะปัญหา

ในปัจจุบันสื่อมวลชนต้องพึ่งพารายได้จากการผลิตเนื้อหาที่ดึงดูดผู้ใช้งานโลกออนไลน์ อีกทั้งต้องทำงานแข่งกับเวลา และเกาะติดกระแสเพื่อรักษายอดผู้ชม นอกจากนี้สื่อมวลชนจำนวนหนึ่งก็มีการพึ่งพาสปอนเซอร์ที่อยู่ในภาคการเมืองด้วย กรณีเหล่านี้ส่งผลต่อคุณภาพการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมือง 

4.2 ข้อเสนอแนะ

4.2.1 ด้านความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงควรหาข้อมูลชั้นปฐมภูมิ แต่ก็ต้องระวังเรื่องแหล่งข่าวให้ข้อมูลต่างกันหน้าฉากหลังฉากด้วย 

4.2.2 ความน่าเชื่อถือของเครื่องมือ ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและสื่อมวลชน ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐควรทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มเพื่อออกแบบเครื่องมือการตรวจสอบร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่จะอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบเนื้อหาที่ผลิตโดยปัญญาประดิษฐ์  

4.2.3 ความน่าเชื่อถือของกระบวนการตรวจสอบ อาจพิจารณาตั้งทีมตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกำหนดกรอบเวลาทำงานให้สั้นและทันเวลา และกำหนดเวลาการเผยแพร่ข้อมูลที่ตรวจสอบแล้วสู่สาธารณะให้รวดเร็ว เช่น ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง

4.2.4 รักษาคุณภาพการให้บริการสายด่วน 1444 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

4.2.5 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้อำนายความสะดวก เช่น จัดทำแพลตฟอร์มกลางให้พรรคการเมืองนำเสนอประเด็นนโยบาย ตลอดจนแลกเปลี่ยนและนำเสนอข้อมูลชี้แจง 

5. ความท้าทายด้านการเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาสังคมเป็นผู้เล่นหลักในการตรวจสอบข้อเท็จจริง

5.1 ลักษณะปัญหา

ในระดับสากล การตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยรัฐมีแนวโน้มจะถูกมองว่าเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นอิสระอันเนื่องมาจากส่วนได้ส่วนเสียทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นกับรัฐบาล ณ เวลานั้น 

5.2 ข้อเสนอแนะ

5.2.1 การสร้างแนวร่วมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีเจ้าภาพชัดเจนและครอบคลุมหลากหลายภาคส่วนทั้งสื่อมวลชน สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชน ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม องค์กรภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป  

5.2.2 ในระยะยาวจะต้องขับเคลื่อนให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองมีความเป็นสถาบัน ไม่ได้ทำเป็นครั้งคราว

หลังการประชุม สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) เป็นผู้แทนภาคีโคแฟคและผู้เข้าร่วมประชุม ยื่นข้อเสนอจากการประชุมนี้ต่อ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ เพื่อร่วมมือกันดำเนินการต่อไป