สมรภูมิข่าวสาร’เนื้อหาเร้าอารมณ์โหมกระหน่ำรับเลือกตั้ง ขอสื่อนำเสนอรอบด้านเป็นหลักยึดให้สังคม
19 พ.ย. 2568 ที่สถานีโทรทัศน์ ThaiPBS ถ.วิภาวดีรังสิต หลักสี่ กรุงเทพฯ มีการจัดเสวนาหัวข้อ “สกัดข่าวปลอม : เตรียมพร้อมสู่สนามเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ Fact-Check Thailand 2026 เสริมพลังสังคมสู้ข่ำวลวงรำยงำนข่ำวเลือกตั้ง จัดโดยสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ร่วมกับ ThaiPBS ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน
สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ยกคำเตือนจากปาฐกถาเมื่อเดือน ก.ย. 2568 ของ มาเรีย เรสซา (Maria Ressa) ผู้สื่อข่าวชาวฟิลิปปินส์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2021 (พ.ศ.2564) ในเรื่องของ “มหาสงครามข้อมูล (Information Armageddon)” ที่หากไม่ตั้งหลักให้ดีก็จะปั่นป่วนมาก ในที่นี้ไม่ใช่วันสิ้นโลกแต่หมายถึงวันสิ้นสุดของข้อเท็จจริง ซึ่งการเลือกตั้งในประเทศไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ สมรภูมิข้อมูลจะเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ และไม่เฉพาะรูปแบบข้อความ แต่รวมถึงคลิปวิดีโอและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

หรือแม้กระทั่ง “มีม (Meme)” ที่ถูกมองอย่างตลกขบขันหรือเป็นการเสียดสีล้อเลียน (Satire หรือ Parody) อันเป็นเฉดสี (Spectrum) ที่อ่อนที่สุดในการจัดประเภทของข่าวลวง แต่มีมก็อาจนำไปสู่การผลิตซ้ำอคติหรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเล่นกับอารมณ์ความรู้สึก ความตลกขบขันก็อาจเร้าอารมณ์ความรู้สึกโดยที่ไม่ต้องสนใจข้อเท็จจริงก็ได้ และนี่ก็เป็นความท้าทายของคนทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact – Checking)เพราะคนไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงแต่สนใจในสิ่งที่ตนเองเชื่อ หรืออคติเพื่อยืนยันความคิดของตน (Confirmation Bias)

ทั้งนี้ ในช่วง 3 – 4 ปีล่าสุด สังคมไทยน่าจะไม่ต่างจากเยอรมนีหรืออีกหลายประเทศ ที่อารมณ์ความรู้สึกของคนเหมือนกับถูกบีบคั้นมากขึ้น ทั่วโลกมีปรากฎการณ์เอียงขวา ที่ไม่ได้หมายถึงการสนับสนุนอำนาจนิยมหรือเผด็ตการทหาร แต่เป็นความรู้สึกต้องทนทุกข์ทรมาน (Suffer) กับภาวะที่ไม่มีทางเลือก ดังนั้นมีแนวโน้มที่สุดท้ายอาจเกิดปรากฏการณ์การตัดสินใจเฉพาะหน้าแบบรวมหมู่
และที่น่ากังวลคือ “ปรากฏการณ์อารมณ์นำความรู้สึกซึ่งเกิดขึ้นได้กับคนทุกช่วงวัย (Generation)” หรือหากใช้ภาษาวัยรุ่นก็คือการ “ถูกปั่น” อย่างในอดีตที่บอกกันว่าผู้สูงอายุ (คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์) มักจะแชร์ข่าวลือขณะที่คนรุ่นใหม่จะเป็นผู้ทัดทาน แต่ระยะหลังๆ เห็นทิศทางที่น่ากังวลใจ คืออาจปั่นกันจนงงไม่ว่าประชากรรุ่นไหน – วัยใด โดยเฉพาะเมื่อบวกกับการเมืองไทยที่ไม่ได้แบ่งขั้วชัดเจนหากเทียบกับเมื่อ 4 ปีก่อน กล่าวคือ ปัจจุบันมีการแบ่งกันเองภายในอีกทั้งฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยและฝ่ายอนุรักษ์นิยม
ซึ่งเมื่อไม่รู้ว่าจะอยู่จุดไหน ความได้เปรียบ – เสียเปรียบตรงนี้ทำให้คนที่มีแนวคิดสุดโต่งมีที่ยืนในพื้นที่สาธารณะ (Public Sphere) คือไม่ใช่เพียงแต่เรื่องของข้อมูลลวงหรือข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) แต่จะมาพร้อมกับถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ความสุดโต่งและเร้าอารมณ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้คนที่เป็นพลังเงียบส่วนหนึ่งเลือกที่จะปลีกตัว (Fade Out) ออกไปจากพื้นที่สาธารณะทางออนไลน์ ไม่ถกเถียงกับใครแล้วไม่ว่าในไลน์กลุ่มหรือในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เกิดภาวะเหนื่อยล้าและหลีกเลี่ยงการการรับข้อมูลข่าวสารที่มีเนื้อหาจริงจัง
“ทำไมคนเป็นสิบล้านคนถึงไปตามอินฟลูฯ (Influencer – บุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์) ที่ทำ Content (เนื้อหา) ตลกๆ ไม่ได้มีแก่นสารอะไร? เพราะว่าคนเริ่มเหนื่อยล้ากับสภาพการเมือง เศรษฐกิจ และแม้แต่เหนื่อยล้ากับการรับข่าวสารออนไลน์ด้วย โดยเฉพาะพวก Hard News (ข่าวที่มีเนื้อหาสาระจริงจัง) หรือ Debate (การถกเถียง) จริงจัง จนมีนักวิเคราะห์ว่าปีนี้การมานั่ง Debate เหมือน 4 ปีที่แล้วอาจไม่ได้รับความสนใจทั้งจากพรรคการเมืองและคนดู เพราะเหมือนกับทุกคนไปสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองแล้วก็จะทำทุกอย่างให้ดูขำขัน แต่ในความทำให้ขำขันจะซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ อาจทำให้ผลการเลือกตั้งออกมาพลิกล็อกผิดทิศผิดทาง ไม่มีทฤษฎีไปเลยก็ได้” สุภิญญากล่าว

ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สิ่งที่ร้ายกว่าข่าวลวงคือข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ที่ผู้ปล่อยอาจเป็นได้ทั้งผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคการเมืองหรือมวลชนผู้สนับสนุน เพื่อสร้างหรือทำลายคะแนนนิยม เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราต้องเท่าทันมากขึ้น ในมุมมองของตนเห็นว่าคนไทยเท่าทันข่าวลวงแล้ว แต่กับข้อมูลบิดเบือนยังเตาะแตะอยู่ โดยตัวอย่างของข้อมูลบิดเบือนที่เจอบ่อยๆเช่น ภาพประกอบข่าวหรือพาดหัวข่าวกับเนื้อหาข่าวเป็นคนละเรื่องกัน หรือนำภาพเก่ามาอ้างเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน
ทั้งนี้ เรารู้แล้วว่าสื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทมากขึ้นกับการแพ้ – ชนะการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมาแต่ครั้งนี้จะมากที่สุด ดังนั้นระหว่างที่สังคมไทยกำลังเรียนรู้ สื่อมวลชนก็ต้องเข้าใจว่าหน้าที่ของตนเองไม่ใช่เพียงการต่อต้านข่าวลวง แต่ต้องต่อต้านข่าวบิดเบือนด้วย คือกลไกการเลือกตั้งก็เหมือนกับทุกเรื่อง คือคนจำนวนมากจะรอดูว่าทิศทางของสังคมไปทางไหนแล้วก็ไปในทางเสียงที่เป็นกระแสนิยม (Popular) ไม่ต่างจากกลไกการทำงานของดาราหรือคนดัง หรือคนที่ไม่ควรจะดังกลับดังขึ้นมาได้ก็ด้วยบทบาทของสื่อ
อนึ่ง การเลือกตั้งก็เหมือนกับการซื้อ – ขายสินค้า ที่ผู้บริโภคต้องมีข้อมูลเพียงพอจึงจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่ดีที่สุด แต่ตลาดการเมืองจะได้เปรียบตรงที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคการเมืองและนโยบายให้ผู้บริโภคได้เลือกอย่างครบถ้วน ขณะที่ตลาดสินค้าทั่วไปผู้บริโภคอาจไม่รู้ว่าสินค้าประเภทเดียวกันมีขายที่ไหนบ้าง แต่ความยากของตลาดการเมืองคือการหาเสียงแน่นอนว่าการขายสินค้าก็ต้องมีการโฆษณาให้ซื้อสินค้า ไม่ต่างจากพรรคการเมืองที่ก็ต้องโฆษณาให้ประชาชนเลือก แต่สิ่งสำคัญคือการสกัดสินค้าที่โฆษณาเกินจริงหรือของปลอมไม่ตรงปก
สำหรับ “การวางบทบาทของสื่อ” ที่ต้องมี“ความเป็นกลาง” หมายถึงในความเป็นบุคคลคนหนึ่ง ในใจเราอาจชอบนักการเมืองหรือพรรคการเมืองใดก็ได้ เวลาไปเลือกตั้งก็ได้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ (เลือก สส. แบ่งเขต กับ สส. บัญชีรายชื่อ) เหมือนกับประชาชนทั้งประเทศ แต่การทำหน้าที่สื่อต้องไม่นำความรู้สึกในใจมาเกี่ยวข้อง หากใครทำไม่ได้ตนก็เสนอว่าควรล้างมือออกไปจากวงการ เพราะประชาชนเจออิทธิพลของข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนมากพออยู่แล้ว และที่สิ่งเหล่านี้มีมากก็เพราะมีสื่อจำนวนหนึ่งเข้าไปร่วมเผยแพร่ด้วยไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
“ผมเปรียบเทียบอย่างนี้ สื่อมวลชนในการแข่งขันฟุตบอล หน้าที่คืออะไรตอนถ่ายทอดสด? คุณก็ต้องถ่ายทอดเหตุการณ์ทั้งหมดให้ครบถ้วนที่สุด ดูเหมือนว่าสื่อไทยในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมาจะเป็นแบบนี้ สื่อที่มีสีก็จะถ่ายทีมฝ่ายตรงข้ามที่ตัวเองไม่ชอบ เล่นผิดเล่นโกงเล่นผิดกติกาก็จะย้ำอยู่นั่น แต่พอข้างที่ตัวเองเลือก ที่ตัวเองชอบผิดบ้างไม่ถ่าย ท่านเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? แต่ที่ผ่านมาเรามีสื่อแบบนี้ตอนที่สื่อแบ่งสีเป็นเหลืองกับแดง นี่ยุคก่อนหน้าปี 2562 เรายังเป็นเหลืองกับแดงอยู่ 2562 ปุ๊บมันเกิดพรรคส้มขึ้นมามันก็เลยเกิดการเมืองแบบหลายฝ่ายในปัจจุบัน ซึ่งก็ทำให้เกิดความซับซ้อนมากขึ้น” ผศ.ดร.ปริญญา กล่าว

ก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าว ThaiPBS กล่าวว่า ในขณะที่สังคมเรียกร้องหาความจริงหรือความถูกต้องจากสื่อ ก็ยังมีคำถามอีกว่า “ความจริง (หรือความถูกต้อง) ของใคร?”เพราะแต่ละคนก็จะมีมุมมองที่แตกต่างกัน ทัศนคติ ภูมิหลังและความเชื่อที่คนคนหนึ่งมีจะส่งผลต่อการรับรู้ความจริงและความถูกต้องของคนคนนั้น หรือคำถามที่ว่า “ทุกวันนี้เราเสพข่าวเอาความถูกต้องหรือถูกใจ?” การเลือกแหล่งข้อมูลในการตรวจสอบข่าวก็ทำให้มองเห็นได้แล้วว่าบุคคลนั้นมีทัศนคติภูมิหลังและความเชื่อเป็นอย่างไร
โดยสื่อเป็นเพียงพาหนะนำข้อมูลไปส่ง แต่การตัดสินใจเสพสื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผู้รับสารที่ขณะนี้มีข้อมูลมหาศาลไหลเข้ามาถึง ดังนั้นอารมณ์ความรู้สึก ทัศนคติ ภูมิหลังและความเชื่อ เป็นคำสำคัญที่ต้องตระหนักถึง ความจริงที่ไม่ตรงกับความรู้สึกความเชื่อจะถูกบอกว่าไม่จริง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) หรือข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation) หรือเป็นเครื่องมือของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยผู้ที่รับข่าวสารนั้นเองเป็นคนแยกแยะ
เมื่อเป็นเช่นนี้ “สื่อต้องพยายามหนักแน่นต่อการเสนอข้อเท็จจริงอย่างสมดุล” ยึดความเป็นภววิสัย (Objection) ไม่ใช่ยึดตัวตน ซึ่งขัดแย้งกับค่านิยมของคนเสพสื่อในปัจจุบัน อย่างที่ได้ยินคำว่าอินฟลูเอนเซอร์ KOL หรือ Key Opinion Leader (ผู้นำทางความคิด) ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ที่ตัวบุคคล ผู้คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องสถาปนาความน่าเชื่อถือโดยตัวบุคคล คิดแต่ว่าทำอย่างไรจะให้คนมาสนใจ และท้ายที่สุดพูดอะไรคนก็เชื่อ
ซึ่งผู้ที่ทำแบบนี้ไมได้มีแต่นักการเมือง นักโฆษณาหรือนักการตลาด แต่รวมถึงสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งด้วย ตนไมได้บอกว่าสิ่งใดถูกหรือผิด แต่ทั้งหมดยิ่งเพิ่มความสลับซับซ้อนและความยากในการเข้าถึงความจริงของคนในสังคม จนถึงขณะนี้ตนยังมองไม่เห็นแนวโน้มที่ดี ที่จะทำให้สังคมโลกหรือใครก็ตามเข้าถึงความจริงที่เป็นจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องยาก หรือตนก็เพิ่งได้ยินว่ามีคนที่เบื่อหรือปฏิเสธการรับรู้ข้อมูลข่าวสารแล้วหันไปเสพเนิ้อหาตลกแทน แต่ในเนื้อหาตลกนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยค่านิยมให้เกลียดบุคคลอื่นอีกแล้วให้มาเลือกตนเองหรือซื้อสินค้าของตนเอง
ส่วนท่าทีต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ในส่วนของ ThaiPBS จะใช้หลักของสื่อทั่วๆไปในการนำเสนอ คือ 1.สิ่งที่ผู้คนอยากรู้ (Want to know) เช่น เกาะติดสถานการณ์พรรคการเมืองลงพื้นที่หาเสียง พื้นที่ใดพรรคไหนมีคะแนนนำ กับ 2.สิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องรู้ (Need to know) คือนโยบาย เพราะอุดมคติของการเลือกตั้งคือตนตัดสินใจเลือกด้วยนโยบายที่แต่ละพรรคนำมาขาย แต่จะขายแบบเกินจริงหรือไม่ตรงปกหรือไม่ผู้ชมก็ต้องช่วยกันดู
“ต้องถอยออกมาจากความเชื่อ ความรัก ความโกรธ ความเกลียดของตัวเอง ออกมาระยะหนึ่ง แล้วก็ดูว่าแต่ละพรรคเขาหาเสียงอย่างไร นโยบายควรจะเป็นกำหนดซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ที่เลือกกันไม่ได้คำนึงถึงประเด็นนี้ แต่ ThaiPBS จะเน้นเรื่องนี้มากว่าคุณขายนโยบายอะไร แล้วพอขายไปแล้วหลังจากเป็นรัฐบาลก็จะติดตามต่อว่าได้ทำตามที่พูดนั้นไว้หรือไม่ ที่ปรากฏก็คือ Policy Watch ที่เราทำอยู่ อันนี้ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่เราคิดว่าเราจะต้องให้ข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อที่ให้ประชาชนได้เลือก” ก่อเขต กล่าว
สำหรับวงเสวนา “สกัดข่าวปลอม: เตรียมพร้อมสู่สนามเลือกตั้ง” รวมถึงพิธีเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ Fact-Check Thailand 2026 เสริมพลังสังคมสู้ข่ำวลวงรำยงำนข่ำวเลือกตั้ง สามารถรับชมย้อนหลังได่ที่ https://www.youtube.com/watch?v=Unuj_d7U8Ls
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-







