รับมือ ‘มีม’ โลกออนไลน์ล้ำเส้นความฮาอาจกลายเป็นข่าวลวงสร้างความเกลียดชังผู้เชี่ยวชาญชี้ต้องรู้เท่าทันก่อนแชร์

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 รายการโคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว คุยเรื่อง “เท่าทัน ‘มีม’ ล้อเลียน เสียดสี” ดำเนินรายการโดยสุชัย เจริญมุขยนันท เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมการล้อเลียนในโลกออนไลน์ ที่อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองได้แก่ ณัฐกร ปลอดดี Southeast Asia editor, AFP Fact Check ,  สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค และ เฌอญดา สายตา (เจส) ตัวแทนคนรุ่นใหม่จากภาคีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

สุภิญญา กลางณรงค์ เปิดประเด็นว่า “มีม” (Meme) มักมาจากการล้อเลียนเสียดสีทางการเมืองและสังคม ซึ่งในมุมหนึ่งช่วยสร้างความขบขันคลายเครียด แต่ในอีกมุมหนึ่งอาจก่อให้เกิดความเกลียดชังได้ โดยเฉพาะในยุคที่มีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เส้นแบ่งระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องล้อเล่นมีความก้ำกึ่ง ในระดับสากลจัดให้การล้อเลียนเสียดสี (Satire/Parody) เป็นหนึ่งใน 7 ประเภทของข้อมูลลวง แม้จะเป็นประเภทที่รุนแรงน้อยที่สุด แต่หากผู้รับสารไม่เข้าใจบริบท หรือนำไปใช้นอกบริบทเดิม ก็อาจสร้างความเข้าใจผิดขยายวงกว้างได้ ปัญหาสำคัญคือช่องว่างระหว่างวัย ที่ผู้ใหญ่บางคนอาจไม่เข้าใจบริบทของมีมและเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

ด้านเฌอญดา สายตา (เจส) ตัวแทนคนรุ่นใหม่ สะท้อนปัญหาว่าปัจจุบันในโซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่มีมจำนวนมากจนแยกแยะยาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มักหลงเชื่อข้อมูลเหล่านี้ได้ง่าย จึงตั้งคำถามถึงวิธีการตรวจสอบว่าข้อมูลใดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อบิดเบือน

ณัฐกร ปลอดดี อธิบายว่า ธรรมชาติของมีมในวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตคือการไปไวและเน้นความตลกขบขัน ซึ่งแบ่งได้เป็นการล้อเลียน (Parody), การเสียดสี (Satire) และโพสต์ดัก สิ่งเหล่านี้จะกลายสภาพเป็น “ข้อมูลเท็จ” (Disinformation) ก็ต่อเมื่อถูกแชร์ต่อไปโดยขาดบริบทสำคัญ หรือผู้รับสารไม่เข้าใจว่าเป็นมุกตลกสำหรับวิธีการตรวจสอบนั้น นายณัฐกรระบุว่าใช้วิธีเดียวกับการตรวจสอบข่าวลวงทั่วไป คือการหาต้นตอของภาพและคำกล่าวอ้างโดยสังเกตว่าเพจต้นทางระบุตัวตนว่าเป็นเพจตลกหรือเสียดสีหรือไม่

ณัฐกร ยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่ AFP เคยให้คะแนนว่าเป็นข้อมูลเท็จแต่ถูกท้วงติง คือกรณีเพจ “หลวงพ่อพุทธะอิสระ โซดาลาย” นำภาพจากเกมโปเกมอนโกในไต้หวันมาโพสต์ล้อเลียนการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งในตอนแรกผู้ตรวจสอบไม่เข้าใจบริบทมุกตลกจึงระบุว่าเป็นข่าวปลอม แต่ภายหลังได้แก้ไขเรตเป็นเนื้อหาเสียดสี เนื่องจากเพจระบุชัดเจนว่าเป็นเพจล้อเลียน อย่างไรก็ตาม ความยากอยู่ที่การตีความของแต่ละบุคคล ซึ่งขึ้นอยู่กับชุดความเชื่อและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

ประเด็นเรื่องภาพตัดต่อของบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น กรณีภาพ “ลิซ่าBLACKPINK” ในชุดข้าราชการ หรือภาพตัดต่อ “ปูติน” และ “กันจอมพลัง” นางสาวสุภิญญามองว่า หากเป็นเรื่องขำขันที่ไม่สร้างความเสียหายร้ายแรงอาจไม่จำเป็นต้องหักล้างข้อมูลทุกเรื่อง เพราะต้องคำนึงถึงทรัพยากรที่มีจำกัด แต่หากเรื่องนั้นสร้างความเข้าใจผิดในวงกว้าง หรือส่งเสริมความเกลียดชัง ก็จำเป็นต้องมีการตรวจสอบ

ณัฐกรเสริมว่า AFP จะพิจารณาเป็นรายกรณี (Case by Case) โดยดูจากยอดแชร์ ผลกระทบต่อสังคม และเจตนาของผู้โพสต์ หากเพจระบุว่าเป็นตลก (Comedy) จะไม่เข้าไปแตะต้อง เว้นแต่จะมีการแอบอ้างความเป็นตลกเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือที่เรียกว่า “Mal-information”

ในช่วงท้าย นางสาวสุภิญญาได้ให้ข้อคิดว่า การเสพสื่อในยุคปัจจุบันต้องมีภูมิคุ้มกัน แม้มีมจะดูเป็นเรื่องสนุกสนาน แต่หากสะสมความเกลียดชังหรือการเลือกปฏิบัติ ก็เปรียบเสมือนขนมหวานเคลือบยาพิษ ดังนั้นหากไม่แน่ใจไม่ควรแชร์ต่อ เพื่อไม่ให้เป็นการขยายผลข้อมูลที่ไม่จริง

ขณะที่ณัฐกรเตือนให้ระวังเพจที่ใช้ข้ออ้างว่าเป็นเพจตลกในการปล่อยข่าวลวง ซึ่งผู้บริโภคสื่อต้องใช้วิจารณญาณอย่างมากในการแยกแยะ โดยนายสุชัย ผู้ดำเนินรายการ ได้สรุปทิ้งท้ายว่า แม้จะมีความสนุกคึกคะนองเพียงใด แต่หากการล้อเลียนนั้นไปทำร้ายผู้อื่นสังคม หรือละเมิดสิทธิ ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง