เงินภาษีอุดหนุนพรรคการเมือง-เงินที่ กกต. จัดสรรให้จะไปไหนเมื่อพรรคถูกยุบ ?

กองบรรณาธิการโคแฟค

บัญชีโซเชียลมีเดียของฝ่ายตรงข้ามพรรคประชาชนเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับการจัดการเงินบริจาคและเงินอุดหนุนพรรคการเมืองเมื่อพรรคถูกยุบ โดยอ้างว่าหากพรรคประชาชนถูกยุบ เงินภาษีที่ประชาชนอุดหนุนให้แก่พรรคการเมืองและเงินที่ กกต. จัดสรรให้ จะถูกโอนไปยังมูลนิธิก้าวหน้าซึ่งมีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธานมูลนิธิ

โคแฟคตรวจสอบข้อกฎหมายและสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พบว่า เมื่อพรรคการเมืองถูกยุบหรือเลิกกิจการ เงินภาษีที่ประชาชนอุดหนุนให้พรรคการเมือง และเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองที่ กกต. จัดสรรให้พรรคการเมือง จะต้องโอนกลับคืนมายังกองทุนฯ ไม่ได้โอนเข้าองค์กรสาธารณะกุศล

เนื้อหาที่ตรวจสอบ

วันที่ 22 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร V2” โพสต์ข้อความว่า “#ทุกคนคะ หากพรรคส้มปิดหรือถูกยุบไป เงินและทรัพย์สินที่ประชาชน และ ภาษีที่ กกต. จัดสรรไปให้พรรคส้ม จะถูกโอนไปยัง ‘มูลนิธิก้าวหน้า’ ที่มีบอสเอกเป็นประธานมูลนิธิ” (ลิงก์บันทึก) ส่วนภาพประกอบมีรูปของรักชนก ศรีนอก สส. กทม. พรรคประชาชน และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานมูลนิธิคณะก้าวหน้า, ข้อบังคับพรรคประชาชนที่ระบุว่า “เมื่อพรรคเลิกตามข้อ 134 และมีการชำระบัญชีโดยหักหนี้สินและค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าใด ให้โอนแก่มูลนิธิคณะก้าวหน้าทั้งสิ้น” และประกาศจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิคณะก้าวหน้าที่มีชื่อธนาธรเป็นผู้ยื่นคำขอจัดตั้ง ด้านล่างมีข้อความ “ถ้าพรรคส้มล้มไป ทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของมูลนิธิก้าวหน้าที่ธนาธรเป็นประธาน”

โพสต์นี้ถูกแชร์ต่อมากกว่า 500 ครั้ง และยังมีการนำไปโพสต์ในบัญชี X “วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร” ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

วันที่ 23 ต.ค. เพจเฟซบุ๊ก “The METTAD” โพสต์เนื้อหาลักษณะเดียวกัน โดยแชร์คลิปเวทีสาธารณะ “ทำไมต้องปลดล็อกท้องถิ่น” จัดโดยคณะก้าวหน้าที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2565 ซึ่งช่วงหนึ่งประชาชนที่มาร่วมฟังได้ลุกขึ้นแสดงความเห็นว่าประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรได้กำหนดอนาคตตัวเองรวมถึงเรื่องเอกราช

เพจเฟซบุ๊ก The METTAD นำคลิปนี้มาเผยแพร่และเขียนข้อความว่า “ตามข้อบังคับของพรรค เมื่อพรรคส้มถูกยุบ เงินบริจาคทั้งหมดจะโอนเข้า มูลนิธิคณะก้าวหน้า และ มูลนิธิคณะก้าวหน้า ก็จะเอาเงินมาทำกิจกรรมแบบนี้ ผมอยากถามว่า การสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน มันตรงกับจุดประสงค์ของคนบริจาคไหมครับ” (ลิงก์บันทึก)

โพสต์เหล่านี้ถูกเผยแพร่ราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่รักชนก สส. พรรคประชาชน ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการเปิดรับบริจาคและการบริหารจัดการเงินของมูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ นำไปสู่การเปิดเผยข้อบังคับมูลนิธิกันจอมพลังฯ ที่ระบุว่าถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไป “ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ในตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า”  

โคแฟคตรวจสอบ

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 (พ.ร.ป.พรรคการเมือง) ระบุว่าพรรคการเมืองอาจมีรายได้จากเงินทุนประเดิมจากการจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง, เงินค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรคการเมืองตามที่กำหนดในข้อบังคับพรรคการเมือง, เงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการของพรรคการเมือง, เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง, เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการรับบริจาค, เงินอุดหนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง, ดอกผลและรายได้ที่เกิดจากเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดของพรรคการเมือง 

เนื้อหาที่เผยแพร่ในเพจวันนี้พรรคส้มโกหกอะไรและ The METTAD ระบุว่า “เงินและทรัพย์สินที่ประชาชน และ ภาษีที่ กกต. จัดสรรไปให้พรรคส้ม” และ “เงินบริจาคทั้งหมด” ซึ่งตีความได้ว่าหมายถึงรายได้ของพรรคการเมือง 2 ส่วน คือ เงินที่ประชาชนบริจาคให้พรรคการเมือง และ เงินที่ กกต. จัดสรรให้พรรคการเมือง ที่ทางเพจอ้างว่าหากถูกยุบพรรคจะตกไปเป็นของมูลนิธิคณะก้าวหน้า

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงจาก พ.ร.ป.พรรคการเมือง และสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากสำนักบริหารกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองของ กกต. ได้ข้อมูลดังนี้

1) เงินที่ประชาชนบริจาคให้พรรคการเมือง

ตาม พ.ร.ป. พรรคการเมือง เงินที่ประชาชนบริจาค/อุดหนุนให้พรรคการเมืองประกอบด้วย

  • “การอุดหนุนเงินภาษีให้แก่พรรคการเมือง” ตามมาตรา 69 ซึ่งหมายถึงจำนวนเงินที่ผู้เสียภาษีเงินได้ซึ่งมิใช่นิติบุคคลแสดงเจตนาในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ให้รัฐนำเงินที่เสียภาษีไว้ไปอุดหนุนพรรคการเมืองที่เลือกหนึ่งพรรคปีละ 500 บาท โดยเงินภาษีจำนวนนี้ผู้เสียภาษีไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่จะถูกหักจากเงินภาษีที่ต้องส่งให้กับกรมสรรพากร
  • “เงินที่บุคคลหรือนิติบุคคลบริจาคเงินแก่พรรคการเมือง” ตามมาตรา 70 ซึ่งระบุว่าผู้บริจาคมีสิทธินำจำนวนเงินที่บริจาคให้พรรคการเมืองไปหักเป็นค่าลดหย่อนตามจำนวนที่บริจาคแต่ไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับบุคคลธรรมดา และไม่เกิน 50,000 บาท สำหรับนิติบุคคล 

2) เงินที่ กกต. จัดสรรให้พรรคการเมือง

เงินที่ กกต. จัดสรรให้พรรคการเมืองนั้นมาจาก “กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง” ตามมาตรา 78 ของ พ.ร.ป. พรรคการเมือง เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายในการสนับสนุนพรรคการเมือง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และส่งเสริมการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน

เจ้าหน้าที่สำนักบริหารกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง กกต. ให้ข้อมูลว่าเงินของกองทุนฯ มาจากหลายส่วน เช่น เงินภาษีที่ประชาชนอุดหนุนให้พรรคการเมืองตามมาตรา 69 ที่กรมสรรพากรโอนมาให้  ซึ่ง กกต. จะต้องโอนให้พรรคการเมืองตามจำนวนที่ได้รับการอุดหนุนจริง, งบประมาณรายจ่ายประจำปี, ค่าธรรมเนียมสมัคร สส., เงินและดอกเบี้ยที่เรียกคืนจากพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และทรัพย์สินที่เหลือหลังจากเคลียร์บัญชีของพรรคการเมืองที่ถูกยุบหรือเลิกพรรค และไม่ได้กำหนดว่าจะบริจาคให้กับมูลนิธิใด

คณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งประกอบด้วย ประธาน กกต. เป็นประธานกรรมการ, กรรมการการเลือกตั้ง, ผู้แทนกระทรวงการคลัง, ผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน เป็นผู้ควบคุมดูแลกองทุนและจัดสรรเงินสนับสนุนแก่พรรคการเมืองตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน พ.ร.ป.พรรคการเมือง พรรคการเมืองใดต้องการนำเงินจากกองทุนไปใช้จะต้องเขียนโครงการเสนอให้คณะกรรมการกองทุนพิจารณาอนุมัติ 

คู่มือการจัดสรรและการใช้จ่ายเงินอุดหนุนของพรรคการเมืองที่ได้รับจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองประจำปี พ.ศ.2567 ระบุว่า กกต. จะเป็นผู้อนุมัติวงเงินและโอนเงินอุดหนุนให้กับพรรคการเมืองพรรคโดยเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยที่พรรคการเมืองต้องเปิดไว้ พรรคการเมืองจะสามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนได้เป็นรายปี และการใช้จ่ายจะต้องไปไปตามที่ กกต. กำหนด และเมื่อได้รับเงินแล้ว พรรคการเมืองต้องออกใบเสร็จรับเงินและต้องส่งรายงานการใช้จ่ายเงินให้กับ กกต. ทุก 3 เดือน

พรรณิการ์ วานิช คณะกรรมการมูลนิธิคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์โคแฟคว่า หลายคนเข้าใจว่าเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองนั้นถูกโอนเข้ามาในบัญชีธนาคารของพรรคการเมืองในทันที ซึ่งความเป็นจริงคือ พรรคการเมืองต้องเขียนโครงการเสนอคณะกรรมการเพื่อขออนุมัติเงินจากกองทุน ซึ่งจะอนุมัติหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุน

3) เมื่อพรรคถูกยุบหรือปิดตัว เงินจะไปไหน

เจ้าหน้าที่สำนักบริหารกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง กกต. อธิบายว่า เมื่อถึงสิ้นปีพรรคการเมืองจะต้องโอนเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองที่ใช้ไม่หมดคืนกองทุนฯ แต่ในกรณีที่พรรคการเมืองถูกยุบหรือเลิกพรรค คณะกรรมการกองทุนฯ จะแจ้งไปยังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ดำเนินการชำระบัญชี ซึ่ง สตง. จะนำเงินของกองทุนฯ ที่โอนให้พรรคการเมืองนั้นไปปิดหนี้และค่าใช้จ่ายที่พรรคการเมืองยังค้างเอาไว้ เมื่อทำการชำระบัญชีเสร็จแล้ว สตง. ก็จะคืนเงินส่วนที่ยังเหลือกลับมาที่กองทุนฯ 

“เพราะฉะนั้นเมื่อพรรคการเมืองใดถูกยุบหรือเลิกพรรค เงินที่โอนไปจากกองทุนฯ จะถูกโอนกลับเข้ากองทุนฯ ทุกบาท จะไม่มีก้อนไหนโอนเข้าไปยังมูลนิธิหรือหน่วยงานอื่นเลย ยกเว้นว่าจะเป็นเงินหรือทรัพย์สินของพรรคการเมืองนั้นเอง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกองทุนฯ เงินที่พรรคได้จากการที่ประชาชนอุดหนุนเงินภาษีให้แก่พรรคการเมืองไม่ได้เป็นทรัพย์สินของพรรคการเมือง เพราะกฎหมายกำหนดให้เงินอุดหนุนภาษีแก่พรรคการเมืองเป็นรายได้ของกองทุนฯ เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองต้องส่งคืนเข้ากองทุนฯ” เจ้าหน้าที่สำนักบริหารกองทุนฯ กล่าว 

สำหรับการชำระบัญชีของพรรคการเมืองที่สิ้นสภาพหรือถูกยุบพรรคนั้น กกต. ระบุไว้ใน คู่มือการเงินและบัญชีของพรรคการเมือง สรุปได้ดังนี้

  • ให้หัวหน้าพรรคการเมืองส่งบัญชี และงบแสดงฐานะทางการเงิน รวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการเงินของพรรคการเมืองภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพหรือยุบพรรคการเมือง และให้ สตง.ชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายใน 180 วัน
  • สตง. มีอำนาจใช้จ่ายเงินของพรรคการเมืองหรือจำหน่ายทรัพย์สินของพรรคการเมือง เพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการชำระบัญชีได้
  • เมื่อหักหนี้สินและค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าใดให้โอนให้แก่องค์การสาธารณกุศลตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับพรรคการเมือง ถ้าในข้อบังคับไม่ระบุไว้ ให้ทรัพย์สินที่เหลือตกเป็นของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง
  • พรรคการเมืองที่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ให้หัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองนำเงินอุดหนุนเหลือจ่ายพร้อมดอกผลที่ต้องคืน กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง บันทึกบัญชีเป็นเจ้าหนี้ และเร่งรัดคืนเงินอุดหนุนเหลือจ่ายพร้อมดอกผลให้กับกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ก่อนมีประกาศราชกิจจานุเบกษาให้พรรคการเมืองสิ้นสภาพ

ข้อสรุปโคแฟค

ข้อบังคับพรรคประชาชนระบุไว้จริงว่า เมื่อพรรคเลิกดำเนินการและมีการชำระบัญชีโดยหักหนี้สินและค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าใด ให้โอนแก่มูลนิธิคณะก้าวหน้า ซึ่งปัจจุบันมีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธานคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ข้อความในโพสต์เพจเฟซบุ๊กและบัญชี X “วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร” และ “The METTAD” ที่เขียนว่า “หากพรรคส้มปิดหรือถูกยุบไป เงินและทรัพย์สินที่ประชาชน และ ภาษีที่ กกต. จัดสรรไปให้พรรคส้ม จะถูกโอนไปยัง ‘มูลนิธิก้าวหน้า’ ที่มีบอสเอกเป็นประธานมูลนิธิ” และ “ตามข้อบังคับของพรรค เมื่อพรรคส้มถูกยุบ เงินบริจาคทั้งหมดจะโอนเข้า มูลนิธิคณะก้าวหน้า” นั้นเป็นการบิดเบือนทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเงินที่ประชาชนอุดหนุนให้พรรคการเมืองผ่านการจ่ายภาษีเงินได้ และเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองที่ กกต. จัดสรรให้พรรคการเมืองนั้นจะถูกโอนแก่มูลนิธิคณะก้าวหน้า

โคแฟคตรวจสอบจาก พ.ร.ป. พรรคการเมือง, คู่มือการจัดสรรและการใช้จ่ายเงินอุดหนุนของพรรคการเมืองที่ได้รับจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองประจำปี, คู่มือการเงินและบัญชีของพรรคการเมือง และจากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่สำนักบริหารกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองของ กกต. ได้ข้อสรุปว่า เงินภาษีที่ประชาชนอุดหนุนให้พรรคการเมืองนั้นจัดเป็นรายได้ของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ซึ่งเมื่อพรรคการเมืองถูกยุบหรือเลิกกิจการ เงินที่พรรคได้รับการจัดสรรจากกองทุนฯ จะถูกนำไปชำระหนี้และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หากมีเงินเหลือจะต้องโอนคืนเข้ากองทุนฯ 

เงินและทรัพย์สินที่จะโอนแก่มูลนิธิคณะก้าวหน้าตามที่ระบุในข้อบังคับพรรคประชาชนนั้นมีเพียงทรัพย์สินของพรรคการเมืองเอง ซึ่งตาม พ.ร.ป. พรรคการเมืองระบุว่ารายได้ของพรรคการเมืองอาจมาจากเงินทุนประเดิมจากการจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง เงินค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรคการเมือง เงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการของพรรค เงินที่ได้จากกิจกรรมระดมทุน เป็นต้น

สังเกตได้ว่าเนื้อหาดังกล่าวใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือว่า “เงินบริจาค” หรือ “เงินและทรัพย์สินที่ประชาชนให้” นั้นหมายถึงอะไร อาจมีเจตนาทำให้เข้าใจว่ารวมถึงเงินภาษีที่ประชาชนเลือกอุดหนุนให้พรรคการเมืองตอนเสียภาษีเงินได้ประจำปีด้วย ทั้งที่จริงแล้ว เงินส่วนนี้ถือเป็นเงินที่กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจัดสรรให้พรรคการเมือง ซึ่งพรรคที่ถูกยุบหรือเลิกกิจการต้องโอนคืนเข้ากองทุนฯ หากยังเหลืออยู่หลังการชำระบัญชี

การเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้ของพรรคการเมืองหลังการยุบพรรคเช่นนี้ ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อพรรคประชาชน แต่ยังเป็นการสร้างความเข้าใจผิดต่อ พ.ร.ป. พรรคการเมืองและการดำเนินการของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ซึ่งอาจนำไปสู่การทำลายความเชื่อมั่นและความไม่ไว้วางใจในระบบพรรคการเมืองได้

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ