ตรวจสอบ 4 เนื้อหาเท็จ ที่ปลุกปั่นความเกลียดชัง “อังคณา นีละไพจิตร”  

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

หลังจากที่อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภาและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2568 แสดงความกังวลกรณีกัมพูชาส่งจดหมายฟ้องสหประชาชาติเรื่องไทยเปิดเสียงโหยหวนผ่านลำโพงขนาดใหญ่รบกวนชาวบ้านกัมพูชากลางดึก เธอก็ตกเป็นเป้าของการสร้างความเกลียดชัง ทั้งด้วยประทุษวาจาและเนื้อหาเท็จโดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียและสื่อมวลชน

โคแฟคตรวจสอบเนื้อหาเท็จ 4 ประเด็น ที่อังคณาเผชิญในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งเนื้อหาเท็จวนซ้ำที่สร้างความบอบช้ำให้เธอและครอบครัวนีละไพจิตรมาตลอดหลายปี และเนื้อหาที่สร้างขึ้นใหม่ในบริบทสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เพื่อปลุกปั่นความเกลียดชังต่อนักต่อนักสิทธิมนุษยชน

1) บิดเบือนโพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ซาวด์หลอน” และคำให้สัมภาษณ์เรื่อง “F-16”

บิดเบือนข้อความในเฟซบุ๊ก

วันที่ 12 ต.ค. 2568 อังคณาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “Angkhana Neelapaijit” (ลิงก์บันทึก) ใจความสำคัญเป็นการแปลหนังสือร้องเรียนที่ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนกัมพูชาส่งถึงข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2568 คำแปลระบุว่า

“…หน่วยทหารแห่งราชอาณาจักรไทยได้กระจายเสียงที่มีลักษณะคล้ายเสียงโหยหวนของภูตผีผ่านลำโพงขนาดใหญ่ ตั้งแต่เวลา 22.44 น. จนถึงเวลา 00.04 น. จากนั้นได้เปิดเสียงเครื่องยนต์อากาศยานต่อเนื่อง ตั้งแต่เวลา 03.22 น. ถึงเวลา 03.53 น. โดยจงใจส่งเสียงไปยังชาวบ้านกัมพูชาในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งมีเจตนาเพื่อรบกวนและข่มขวัญ เสียงเหล่านี้ ซึ่งถูกอธิบายว่าเป็นเสียงดังแหลมสูงและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ได้สร้างความเดือดร้อนในการนอนหลับก่อให้เกิดความวิตกกังวลและสร้างความไม่สบายทางร่างกายในหมู่ชาวบ้าน รวมถึงสตรี เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และคนพิการ การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์และยั่วยุในลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและใจของพลเรือนกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน การกระทำดังกล่าวไม่มีในสังคมอารยะใด ๆ และขัดแย้งโดยตรงกับหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ…”

นอกจากคำแปลจดหมายของกัมพูชา อังคณาได้เขียนแสดงความเห็นว่า “ในช่วงความขัดแย้ง/สงคราม การปล่อยให้ #อินฟลู หรือกลุ่มบุคคลเข้าไปกระทำการเพื่อสร้างความกดดันหรือความหวาดกลัว ถือเป็นความท้าทายอย่างมากต่อรัฐบาลโดยเฉพาะ รมต. ต่างประเทศ ถึงแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อหาทางออกร่วมกัน รัฐบาลไทยควรตระหนักว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นถูกรายงานไปยังองค์การสหประชาชาติ” และ “รัฐบาลควรตระหนักว่า การกระทำใด ๆ ที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวหรือส่งผลกระทบต่อจิตใจของพลเรือนแม้จะเป็นคู่ขัดแย้งในสงคราม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาจเข้าข่าย #การทรมานทางจิตวิทยา (Psychological Torture) ตามอนุสัญญา CAT ที่ประเทศไทยเป็นภาคี อยากฟังว่ารัฐบาลจะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไรในเวทีระดับโลก”

สาเหตุหนึ่งที่โพสต์เฟซบุ๊กนี้ทำให้อังคณาถูกโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรงเป็นเพราะมีการนำไปเผยแพร่ต่อในลักษณะที่ทำให้เกิดความเข้าใจว่าอังคณา “ปกป้อง/เห็นใจชาวกัมพูชา” และ “โจมตีการเปิดเสียงดังรบกวนพลเรือนกัมพูชา” เช่น

  • เฟซบุ๊ก “ข่าวช่องวัน” พาดหัวข่าวว่า “อังคณาค้านอินฟลูฯ จุ้นเรื่องชายแดน”
  • คอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ระบุว่า สว.อังคณา “ออกมาตำหนิเรื่องที่ฝั่งไทยเปิดเสียงโหยหวนผ่านลำโพงให้ฝั่งเขมรฟัง”
  • บัญชี X “เจ๊จุก คลองสาม” โพสต์ข้อความว่า สว. อังคณา “ออกมาโจมตีการเปิดเสียงโหยหวยในยามค่ำคืนที่ชายแดนเขมรของกัน จอมพลัง ว่าไม่สมควร เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”

การบิดเบือนข้อความในโพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะนี้ ทำให้อังคณากลายเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับ “กัน จอมพลัง” อินฟลูเอนเซอร์ผู้จัดกิจกรรม “เปิดซาวด์หลอน” ซึ่งเป็นการโหมกระพือความไม่พอใจและความเกลียดชังอังคณาให้รุนแรงยิ่งขึ้น

อังคณาพยายามอธิบายหลายครั้งว่า ข้อความที่โพสต์เป็นคำแปลหนังสือร้องเรียนที่คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนกัมพูชาส่งถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนฯ ไม่ใช่คำพูดของเธอ วัตถุประสงค์ที่แปลมาก็เพื่อเตือนรัฐบาลว่าทางกัมพูชามีความเคลื่อนไหวแบบนี้ และการกระทำใดที่กระทบต่อพลเรือนในพื้นที่ขัดแย้งจะถูกนำไปร้องเรียนในระดับนานาชาติ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อไทย

“…ไม่ใช่การแสดงความเห็น แต่แปลและโพสต์ให้ดูว่ามีการร้องเรียนเรื่องที่ไปเปิดเสียง…ส่วนตัวไม่ได้วิจารณ์ว่าใครผิดใครถูก แค่แปลและตั้งข้อสังเกต แสดงความกังวล และมองว่าเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายต่อการทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อการที่กัมพูชาร้องเรียนเขมรในเรื่องนี้” อังคณากล่าวในรายการ “เปิดปากกับภาคภูมิ” ช่องไทยรัฐทีวีเมื่อวันที่ 13 ต.ค.

ตัดทอนและบิดเบือนคำให้สัมภาษณ์

ช่วงค่ำวันที่ 12 ต.ค. สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 นำเสียงสัมภาษณ์อังคณา ความยาวประมาณ 2.20 นาที มาออกอากาศในรายการ “ลุยชนข่าว” ช่วงแรกอังคณาอธิบายถึงเนื้อหาของโพสต์เฟซบุ๊กที่ถูกวิจารณ์ ช่วงหลังผู้สื่อข่าวถามความเห็นต่อกรณีที่เธอถูกกล่าวหาว่าไม่เคยออกมาพูดอะไรตอนที่กัมพูชายิงจรวด BM21 มาตกใส่ปั๊มน้ำมันใน จ.ศรีสะเกษ ทำให้พลเรือนไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต

อังคณาตอบว่า “อันนี้ไม่จริงเลยนะคะ ตอนที่มีการยิงเข้ามาในประเทศไทย คือตอนนั้นคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนก็กังวลมาก และอันนี้พูดตรง ๆ ตอนที่ประเทศไทยใช้ F-16 ยิงเข้าไปในประเทศกัมพูชา ประเทศเขาก็ได้รับความสูญเสียไม่น้อยทีเดียว เพราะ F-16 ก็มีประสิทธิภาพสูงมากเลยนะคะ”   

ต่อมาสื่อมวลชนและผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยได้ตัดทอนคำให้สัมภาษณ์ของอังคณาเหลือเพียงข้อความที่พูดถึงการใช้ F-16 ตอบโต้กัมพูชา เช่น เพจเฟซบุ๊ก “คมชัดลึก” โพสต์ข้อความ “โหมไฟแรง? ‘สว.อังคณา’ ตอบสื่อ ปมเขมร โจมตีปั๊มฯ แต่คำตอบที่ได้คือ” ประกอบภาพคำพูดของอังคณาว่า “พูดตรง ๆ ตอนที่ประเทศไทยใช้ F-16 ยิงเข้าไปในประเทศกัมพูชา ประเทศเขาก็ได้รับความสูญเสียไม่น้อยทีเดียว” โพสต์นี้มีผู้เข้ามาคอมเมนต์มากกว่า 31,400 ครั้ง (ณ วันที่ 11 พ.ย.) ส่วนใหญ่โจมตีอังคณา และแชร์มากกว่า 3,500 ครั้ง (ลิงก์บันทึก) และยัง

หลังจากนั้นสื่อกัมพูชาก็นำข้อความที่ถูกตัดทอนนี้ไปบิดเบือนว่า สว.อังคณา “ยอมรับว่าไทยโจมตีกัมพูชาก่อน และใช้เครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิดใส่กัมพูชา” เช่น TNAOT, Kampuchea Thmey และ Troryorng TV ทั้งที่ในความเป็นจริง อังคณาไม่ได้พูดว่า “ไทยโจมตีกัมพูชาก่อน” เลย

การบิดเบือนคำพูดโดยสื่อกัมพูชาได้โหมกระพือความไม่พอใจและความเกลียดชังอังคณาให้รุนแรงยิ่งขึ้น บรรดาอินฟลูเอ็นเซอร์และผู้ใช้โซเชียลมีเดียต่างตำหนิด่าทออังคณาว่าเป็นฝ่ายหยิบยื่นคำพูดให้ฝ่ายกัมพูชานำไปบิดเบือน

ทั้งนี้ทางกองทัพบกไทยได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้การบิดเบือนของสื่อกัมพูชาโดยระบุว่า “จากกรณีที่สื่อกัมพูชานำเสนอข่าวโดยระบุว่านางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภาไทย ‘ออกมายอมรับกับสื่อว่าไทยใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 ทิ้งระเบิด MK-84 โจมตีกัมพูชาก่อน’ ซึ่งเมื่อตรวจสอบพบว่า เป็นการนำคำพูดของนางอังคณาที่กล่าวว่า ‘การใช้ F-16 ของไทยโจมตีกัมพูชาก็ทำให้กัมพูชาได้รับความสูญเสียไม่น้อย’ มาบิดเบือนและสร้างเนื้อหาข่าวให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม”

ตัวอย่างสื่อกัมพูชาที่นำคำพูดของอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ไปบิดเบือน

2) ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับทนายสมชาย นีละไพจิตร

ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับทนายสมชาย นีละไพจิตร ถูกผลิตและเผยแพร่มานานหลายปี และคราวนี้ก็กลับมาอีกครั้งเพื่อสร้างความเกลียดชังอังคณาผู้เป็นภรรยา ทั้งในลักษณะการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับเหตุการณ์และคดีความ รวมถึงการนำโศกนาฏกรรมของบุคคลที่ถูกบังคับสูญหายมาเยาะเย้ยถากถางในเชิงตลกขบขัน เช่น 

  • เพจเฟซบุ๊ก “เสธPlay” ผู้ติดตามเกือบ 1.2 แสนราย โพสต์ข้อความว่า “อ่านโพสต์นางคนนี้แล้ว รู้สึกในใจอย่างเดียวว่า ตอนนั้นพวกผู้ก่อการไม่น่าเอาไปแค่ทนายสมชาย” (ลิงก์บันทึก)
  • บัญชี X “เจ๊จุก คลองสาม” โพสต์ข้อความว่า “…เรื่องที่ผัวมันหายไป จริงๆ อาจจะไม่ได้ตายก็ได้นะ แต่หายไปมีเมียใหม่” (ลิงก์บันทึก)
  • บัญชี X “นอนอ” โพสต์ข้อความว่า “ความลับที่แท้จริงคือ ทนายสมชายไม่ได้ตาย ตอนนี้อยู่มาเลเซีย ภายใต้การดูแลของลูกชายนายอันวา (อดีตนายกฯมาเลฯ) ซึ่งเป็นหัวหน้าก่อการร้ายภาคใต้เป็นแผนเพื่อทำลายประเทศไทย” และทั้งหมดนี้อังคณาทราบดี (ลิงก์บันทึก)

เกิดอะไรขึ้นกับทนายสมชาย?

โคแฟคสรุปข้อมูลเกี่ยวกับการบังคับสูญหายทนายสมชายและคำพิพากษาของศาลในคดีนี้ โดยเรียบเรียงจากรายงานของคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล รายงานข่าวของสื่อมวลชน และปาฐกถา 14 ตุลาคม 2563 หัวข้อ “สิทธิมนุษยชนที่สูญหาย การไม่มีอยู่ และวัฒนธรรมไร้ยางอายในการรับผิดของรัฐ” โดยอังคณา นีละไพจิตร ดังนี้ 

สมชาย นีละไพจิตร เป็นทนายความสิทธิมนุษยชนที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาถูกอุ้มหายไปขณะอายุ 53 ปี

คำให้การของประจักษ์พยานในชั้นศาลระบุว่า วันที่ 12 มี.ค. 2547 เวลาประมาณ 20.00 น. ทนายสมชายขับรถยนต์ออกจากซอยรามคำแหง 65 ไปตาม ถ.รามคำแหง เวลาประมาณ 20.30 น. รถยนต์ที่ตามหลังมาได้เฉี่ยวชนรถของทนายสมชาย เขาจึงลงจากรถมาพูดคุยกับชาย 5 คนที่โดยสารมากับรถที่มาเฉี่ยวชน ระหว่างนั้นก็ถูกผลักเข้าไปในรถคันดังกล่าว เวลาต่อมามีผู้พบรถยนต์ของทนายสมชายจอดทิ้งไว้ที่ ถ.กำแพงเพชร ใกล้สถานีขนส่งหมอชิต    

การลักพาตัวทนายสมชายเกิดขึ้นเพียงสองวันก่อนที่เขามีกำหนดการเดินทางไป จ.นราธิวาส เพื่อยื่นหนังสือต่อทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ระหว่างวันที่ 8-29 เม.ย. 2547 ศาลอาญาออกหมายจับตำรวจ 5 นาย ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์นายสมชายและข่มขืนใจโดยใช้กำลังประทุษร้ายให้นายสมชายเข้าไปในรถ สามในห้าผู้ต้องหาเป็นตำรวจที่อยู่ในชุดสอบสวนคดีปล้นอาวุธปืนที่ค่ายปิเหล็ง จ.นราธิวาส เหตุเกิดเช้ามืดวันที่ 4 ม.ค. 2547 หนึ่งในนั้นคือ พ.ต.ต. เงิน ทองสุก ตำรวจสังกัดกองบังคับการปราบปราม

อังคณา ซึ่งนิยามตัวเองว่า “เป็นเพียงหญิงสามัญที่ไม่มีใครรู้จัก” ได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมและต่อสู้คดีที่กินเวลายาวนานนับสิบปี โดยศาลชั้นต้นอนุญาตให้ครอบครัวเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการในคดีนี้

ศาลชั้นต้นเริ่มการพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2548 ใช้เวลาราว 4 เดือนกว่าก็มีคำพิพากษาในวันที่ 12 ม.ค. 2549 ให้จำคุก พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปี ในข้อหาข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้าย แต่อนุญาตให้ประกันระหว่างอุทธรณ์ ขณะที่จำเลยอีก 4 คน ศาลยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอ

อังคณาอุทธรณ์ แต่ระหว่างอุทธรณ์นั้น วันที่ 19 ก.ย. 2551 ตำรวจรายงานว่า พ.ต.ต.เงิน หายตัวไปในเหตุการณ์โคลนถล่มและศาลแพ่งได้ประกาศให้ พ.ต.ต. เงิน เป็นบุคคลสาบสูญ

วันที่ 11 มี.ค. 2554 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยอื่นพิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น และไม่อนุญาตให้ครอบครัวเป็นโจทก์ร่วมในคดีต่อไป

อังคณายื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา วันที่ 29 ธ.ค. 2558 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ คือ ยกฟ้องผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นาย  

อังคณากล่าวในงานปาฐกถา 14 ตุลาคม 2563 ว่า “ด้วยความเคารพต่อศาล แต่ดิฉันมิอาจเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาว่า ‘ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าสมชาย นีละไพจิตรถูกคนกลุ่มหนึ่งบังคับขึ้นรถนำตัวไป’ แม้มีผู้เห็นเหตุการณ์มากมาย แต่ประจักษ์พยานต่างถูกคุกคามจนไม่กล้ายืนยันผู้ต้องหาในชั้นศาล พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เจ้าหน้าที่ชั้นสอบสวนยืนยันว่ามีหลักฐานมากมาย แต่กลับไม่ปรากฏพยานหลักฐานในชั้นศาล และสุดท้ายแม้คำพิพากษาของศาลจะยืนยันเป็นที่ยุติว่ามีคนกลุ่มหนึ่งเอาตัวสมชายไป แต่กฎหมายกลับทำอะไรไม่ได้เลย กฎหมายไม่สามารถคุ้มครองเหยื่อของอาชญากรรมโดยรัฐในลักษณะนี้ได้เลย”

ขณะที่คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) ระบุว่า แม้ว่ารัฐบาลไทยจะจ่ายค่าชดเชยแก่ครอบครัวนีละไพจิตรโดยถือว่านายสมชายเป็นบุคคลสาบสูญ “แต่ความล้มเหลวในการสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับการบังคับนายสมชายให้สูญหายนั้นขัดแย้งกับคำประกาศเจตจำนงโดยนายกรัฐมนตรีในหลายสมัย รวมทั้งอัยการสูงสุดและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องว่าจะแสวงหาความยุติธรรมหรืออย่างน้อยที่สุดโดยการทำความจริงให้ปรากฏ”

ดังนั้นเนื้อหาในโซเชียลมีเดียที่อ้างว่าทนายสมชายถูกผู้ก่อการร้ายสังหาร หรือยังมีชีวิตอยู่ในต่างประเทศ หรือตั้งใจทิ้งภรรยาและครอบครัวไป จึงเป็นคำกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและไม่ตรงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าทนายสมชายถูกคนกลุ่มหนึ่งบังคับขึ้นรถนำตัวไป แต่ศาลยกฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นายที่เป็นจำเลยในคดีนนี้เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ

3) นักสิทธิมนุษยชนปกป้องแต่คนเขมร ไม่ปกป้องคนไทย

หนึ่งในข้อกล่าวหาที่นำมาโจมตีอังคณาในกรณีไทย-กัมพูชา คือ นักสิทธิมนุษยชนไม่เคยออกมาพูดอะไรตอนที่กัมพูชาโจมตีไทยจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ เช่น

  • บัญชีติ๊กต็อก “yaaikinv11” โพสต์คลิปเมื่อวันที่ 15 ต.ค. กล่าวโจมตีอังคณาซึ่งเธอเรียกว่า “ป้าอังขแมร์” ว่า “ป้าอังขแมร์เห็นใจชาวเขมรที่โดนคลิปเสียงผีจากฝั่งประเทศไทย ป้าอังขแมร์สงสารชาวเขมรที่โดน F-16 จากประเทศไทย แต่ป้าอังขแมร์ไม่เคยออกมาแสดงความเห็นอกเห็นใจพี่น้องประชาชนคนไทยที่ต้องสูญเสียชีวิต หรือแม้กระทั่งทหารหาญที่สูญเสียขาจากระเบิด และสูญเสียชีวิตจากการรบที่ผ่านมาเลย…”
  • บัญชี X “Ton Patiwat” โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 15 ต.ค. ว่า “ไปดูเฟซบุ๊กอังคณาย้อนหลัง…ไม่มีสักโพสต์เดียวที่ประณามพฤติกรรมกัมพูชา ที่เข่นฆ่าชาวไทยด้วยจรวดในช่วง 24-28 กรกฎาคม 2568”
  • บัญชีเฟซบุ๊ก “Jo Montanee” โพสต์ข้อความว่า “คุณเธอเงียบสนิทเมื่อแม่คนไทยกอดลูกหลบระเบิดกัมพูชาแล้วตายคา 7/11 เธอยังเงียบเมื่อทหารกล้าขาขาดพิการจากการลอบวางระเบิดของกัมพูชา ชาติที่คุณเธอปกป้อง เธอยังกล้าเอาเงินภาษีคนไทยไปเป็นเงินเดือนตัวเองเดือนละหลายแสนบาท เพื่ออะไร” (ลิงก์บันทึก)

โคแฟคตรวจสอบพบว่าอังคณาเคยประณามกัมพูชาเรื่องการวางกับระเบิด โดยเธอได้โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 23 ก.ค. เรียกร้องให้กัมพูชาเคารพหลักมนุษยธรรมและยึดแนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดน

“การใช้กับระเบิดในพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเรื่องที่สมควรถูกประณาม ทั้งนี้ ทั้งไทยและกัมพูชาต่างเป็นประเทศที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการ ห้ามใช้ สะสม ผลิต และถ่ายโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (anti-personnel landmines) กัมพูชาจึงต้องเคารพและปฏิบัติตามอนุสัญญาอย่างเคร่งครัด” อังคณาระบุในโพสต์เฟซบุ๊ก

นอกจากนี้ วันที่ 4 ส.ค. 2568 อังคณาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่รัฐสภาถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชาที่ประเทศมาเลเซีย โดยวิจารณ์การกระทำของกัมพูชาที่อาจเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และเสนอให้คณะผู้แทนไทยกำชับกัมพูชาให้ปฏิบัติตามข้อตกลง

ในส่วนของการเหตุปะทะระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. ที่ทำให้พลเรือนและทหารไทยเสียชีวิตจากอาวุธของกัมพูชานั้น อังคณาไม่ได้โพสต์เฟซบุ๊กหรือให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้โดยตรงก็จริง แต่เธออธิบายว่าในสถานการณ์ขณะนั้น กองทัพไทยได้ตอบโต้กัมพูชาอย่างได้สัดส่วนแล้ว และนักสิทธิมนุษยชนก็กังวลต่อความปลอดภัยของประชาชนอย่างยิ่ง

อังคณายืนยันว่าเธอให้ความสำคัญกับการปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนไทยมาโดยตลอด เช่น เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เธอจะออกมาประณามแทบทุกครั้งที่มีการระเบิดวัดหรือโรงเรียน และอีกหลายกรณีที่เธอได้ทำงานในช่วงที่เป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม การทำงานด้านสิทธิมนุษยชนไม่ใช่การปกป้องพลเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น และรัฐมีหน้าที่หลักในการปกป้องสิทธิมนุษยชนของประชาชน

“หลักการพื้นฐานของการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน เราถือว่ามนุษย์เท่าเทียมกันและจะต้องไม่ถูกแบ่งแยกด้วยเชื้อชาติ สีผิว หรือศาสนา ความเห็นต่างทางการเมืองทั้งหลาย” อังคณาให้สัมภาษณ์โคแฟค

4) ปลอมแปลงประวัติในวิกิพีเดีย

วันที่ 15 ต.ค. มีผู้เข้าไปแก้ไขประวัติและข้อมูลของอังคณาในเว็บไซต์วิกิพีเดีย โดยใส่ข้อมูลเท็จ เขียนถ้อยคำหยาบคายและหมิ่นศาสนา เช่น “อังคณาเกิดที่จังหวัดปอยเปต สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยปอยเปต 168 เรียนจบมาผันตัวเป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่” “เป็นสมาชิกวุฒิสภากลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง” และเป็นที่รู้จักในฐานะ “นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนเขมร” เป็นต้น

แม้ภายหลังจะมีผู้เข้าไปแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง แต่เนื่องจากเว็บไซต์วิกิพีเดียสามารถเข้าไปดูประวัติย้อนหลังได้ จึงมีผู้นำภาพข้อมูลเท็จไปเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้งติ๊กตอกและ X ทำให้ข้อมูลอันเป็นเท็จเกี่ยวกับ สว. อังคณาในวิกิพีเดียถูกเผยแพร่ไปในวงกว้างและยังคงเข้าถึงได้ในปัจจุบัน

จากประวัติชีวิตและการทำงานอย่างเป็นทางการของอังคณาที่เผยแพร่โดยทั่วไปและจากการให้สัมภาษณ์โคแฟค ยืนยันได้ว่า อังคณาเกิดที่เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ได้รับการศึกษาชั้นประถมและมัธยมจากโรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์ ธนบุรี ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อที่คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และรับราชการเป็นพยาบาลวิชาชีพที่โรงพยาบาลศิริราช ก่อนจะผันตัวมาเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลังจากทนายสมชายผู้เป็นสามีถูกลักพาตัวและถูกบังคับสูญหาย 

อังคณาเคยดำรงตำแหน่งสำคัญมากมาย เช่น กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบัน ซึ่งระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องล้วนกำหนดว่าผู้ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ต้องมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด

…………………………

ตลอดระยะกว่า 20 ปี ที่อังคณาทำงานด้านการปกป้องสิทธิมนุษยชน เธอตกเป้าของการสร้างความเกลียดชังทั้งด้วยประทุษวาจา (hate speech) และเนื้อหาเท็จจำนวนมากมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อเธอออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อังคณาก็ถูกโจมตีอีกครั้งด้วยการบิดเบือนข้อความและคำพูด, ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการบังคับสูญหายทนายสมชาย, ข้อกล่าวหาว่าไม่ปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนไทย และการปลอมแปลงประวัติในเว็บไซต์วิกิพีเดีย

แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกโจมตีด้วยเนื้อหาเท็จ แต่อังคณาไม่เคยรู้สึกชิน ผลกระทบทางจิตใจเธอเผชิญครั้งนี้หนักหนากว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะนี่คือการสร้างความบอบช้ำแล้วซ้ำเล่า

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหา 4 ประเด็นนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาเท็จถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกปั่นความโกรธและความเกลียดชังต่อบุคคลอย่างไร

ผลกระทบของประทุษวาจาอาจลดลงไปเมื่อเวลาผ่านไปหรือเมื่อสังคมหันไปสนใจเรื่องอื่น ๆ  แต่เนื้อหาเท็จทำให้ผู้คนเข้าใจผิดหรือได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องต่อบุคคลหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ในระยะยาว อีกทั้งยังสร้างความสับสนปั่นป่วนให้ผู้คนในสังคมที่ต้องเผชิญกับข้อมูลมหาศาลที่ยากจะแยกแยะหรือตรวจสอบว่าเนื้อหาใดเป็นจริงหรือเท็จ

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ