ช่างแซะ-โลภ-ซี้ซั้วเชื่อ’วงเสวนาชวน‘ตั้งสติ’รู้เท่าทันอารมณ์ร่วมสร้างโลกออนไลน์ให้ดีขึ้น

28 ต.ค. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน(สสย.) และมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย จัดงานรณรงค์เนื่องในสัปดาห์การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล MIDL WEEK 2025 ร่วมสร้างโลกออนไลน์ที่ดีกว่า ณ ห้องประชุม ดร. เทียม โชควัฒนา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รศ.ดร.อลงกรณ์ ปริวุฒิพงศ์ รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในยุคที่เทคโนโลยีดิติทัลเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง โลกออนไลน์กลายเป็นทั้งพื้นที่แห่งโอกาส ความท้าทาย ตลอดจนอุปสรรคและปัญหา  การรู้เท่าทันสื่อ เท่าทันเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลเป็นเรื่องจำเป็น และไม่ใช่แค่ทักษะแต่ต้องเป็นพลังแห่งปัญญา ในการช่วยให้เรารับข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณและรับผิดชอบ

การจัดงานครั้งนี้ภายใต้แนวคิด ร่วมสร้างโลกออนไลน์ที่ดีกว่า เป็นธีมที่สอดคล้องกับยูเนสโกด้วย จึงมีเป้าหมายที่จะปลูกฝังเรื่อง สติ ปัญญา ความรับผิดชอบ 3 คำนี้จะช่วยให้เราเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์แทบจะมาประดิษฐ์ปัญญาแทนเราอยู่แล้ว เรากำลังตั้งคำถามว่าในชีวิตของเราจะตามทันไหม? จะฉลาดรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ไหม?รศ.ดร.อลงกรณ์ กล่าว 

ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า คนไทยเข้ามาสู่ยุคที่เราใช้อินเตอร์เน็ตอย่างเข้มข้นมากและแพร่กระจายไปกว่าร้อยละ 91.2 ของประชาชนคนไทย และใช้งานเฉลี่ย 7 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน รวมถึงใช้อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อวัน ตลอดจนใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เฉลี่ย 2 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกทั้งสิ้น 

โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ ใช้อินเตอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 99.2 ซึ่งเป็นเรื่องปกติเนื่องจากประชากรกลุ่มนี้เป็นคนรุ่นที่เกิดมาพร้อมเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Native) แต่ในขณะที่เรากำลังใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่อีกด้านก็มีความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางออนไลน์ที่ทวีความรุนแรงและรวดเร็ว เช่น ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ข่าวลวง (Fake News) การสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) มิจฉาชีพที่อาศัยช่องทางออนไลน์ก่อเหตุ เป็นต้น

มาย้อนดูผลกระทบทางด้านมิจฉาชีพออนไลน์ เราจะเห็นว่าผลของการใช้สื่อออนไลน์สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจจำนวนมาก เราจะย้อนหลังกลับไป 3 ปี จะเห็นว่ามีอัตราการแจ้งความคดีเกี่ยวกับเรื่องของมิจฉาชีพกว่า 770,000 คดี มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 9 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยวันละ 77 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จำนวนมากเลยที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่เขาถึงสื่อออนไลน์ ดังนั้นการรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล หรือ Media Information Digital Literacy เรียกย่อๆ ว่า MIDL จึงเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญในโลกยุคนี้ ญาณี กล่าว 

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ STAY SATI รู้ทัน องค์ ในใจ โดย เข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้จัดการมูลนิธิส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน ฉายภาพของ คนช่างแซะ ที่คนคนหนึ่งอยู่ในสังคมจะแสดงออกในรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อไปอยู่หลังจอก็อาจลืมตัว อะไรที่อยู่ในหัวก็ปล่อยออกมาหมด เช่น วิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปร่างหน้าตา การแต่งกาย ภาษา ชาติพันธุ์ เพศสภาพ สิ่งเหล่านี้บางครั้งก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

ทั้งนี้ การเข้าถึงอาจไม่เพียงแต่อินเตอร์เน็ตหรือเทคโนโลยี แต่ต้องเข้าใจสิ่งแวดล้อมทางสังคมด้วย สังคมที่เราอาศัยอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ที่มีความหลากหลาย การล้อเลียน เช่น คนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย คนพูดสำเนียงเหน่อๆ พูดไม่ชัด คนที่แต่งตัวแล้วเรารู้สึกว่าเชยเหมือนคนบ้านนอก เรียกคนสูงอายุว่ามนุษย์ป้า ฯลฯ ดังนั้น เราอาจต้องเข้าใจการอยู่ร่วมกัน ผ่านการเข้าถึงข้อมูล  ข้อเท็จจริงที่หลากหลาย ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจคนอื่น เท่าทันการอยู่ร่วมกับคนอื่น และเท่าทันอารมณ์ของตนเองว่าเรามีอคติอะไรหรือไม่ 

การเข้าถึงข้อมูลตรงนี้ ถ้าเราไปเรียกเขาว่าแบบนี้เขารู้สึกอย่างไร กลุ่มชาติพันธุ์แบบหลากหลายมากเลย คือในกรุงเทพฯ เราอาจไม่เห็น แต่ถ้าเราไปอยู่ต่างจังหวัดเราจะเห็นแบบเผ่าม้ง เผ่าเมี่ยน เผ่าแม้ว เยอะแยะมากเลย ภาคใต้ก็มีชาติพันธุ์เยอะ เราอาจไม่เคยรับรู้มาก่อนในสังคม ฉะนั้นการเข้าถึงตัวข้อมูลข้อเท็จจริง หรือความหลากหลายในสังคม หรือถ้าเราเรียกเขา LGBT (กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ) ก็มหลากหลายอีก ร่างกายเป็นแบบหนึ่ง สภาพ วิถี จิตใจ หรือการที่เขาใช้ชีวิตอยู่ หรือการใช้ภาษา บางคนพูดเหน่อ แต่จริงๆ ถ้าไปรู้ข้อมูล ศึกษาประวัติศาสตร์ คนพูดเหน่อกลายเป็นคนกรุงเทพฯ เพราะภาคกลางเขาพูดภาษาหรือพื้นเมืองต่างๆ มาก่อน เข็มพร กล่าว 

พ.ต.ท.ประวิทย์ วงษ์เกษม รองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กล่าวว่า ความโลภ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งไม่ใช่เฉพาะมนุษย์แต่ยังรวมถึงสัตว์ด้วย เช่น การสะสมอาหาร หรือคำว่า ความอยาก เมื่อเราเห็นหรือได้ยินก็เกิดความอยาก ความรู้สึกภายใน (Inner) ก็มา ดังนั้นทุกคนมีความโลภในตัว แต่ สติ เท่านั้นที่จะช่วยได้ เมื่อทุกคนมีสติก็จะเสพสื่ออย่างสร้างสรรค์ 

โดยหนึ่งในตัวอย่างบนโลกออนไลน์ที่ส่งผลกับความโลภคือ ็บพนัน ที่จะเห็นการโฆษณาตามสื่อต่างๆ หรือมี อินฟลูเอนเซอร์ คนดังบนอินเตอร์เน็ตมาบอกว่า เล่นแล้วได้จริง – ได้เยอะแต่ตนขอตั้งคำถามว่า เชื่อคำโฆษณาเหล่านี้จริงหรือ? เพราะไม่มีกิจการใดที่ยอมขาดทุน กิจการทำเพื่อกำไรแต่ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นการชวนเชื่อเพื่อให้เข้าไปใช้งานแล้วก็โดนหลอก แต่เราไปรู้สึกเชื่อกับสิ่งที่เขาบอกง่ายเกินไป คิดว่าทุกสิ่งบนโลกออนไลน์เป็นเรื่องจริงไปหมด แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่

ถ้าเรารู้ตัวเองก่อนว่าความโลภมันอยู่ใน DNA ของเรา คือทุกคนจะชอบโลกสวย บอกว่าฉันไม่โลภ ฉันสมถะ แต่ไม่ใช่ มันอยู่ใน DNA ของทุกคน ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน เข้าใจตัวเองก่อน ถ้าเราเข้าใจตัวเอง เราไปเจอสื่ออะไร ันจะต้องไม่โลภนะแล้วสะกดใจตัวเองไว้ ให้มีสติ นี่ละสำคัญ แต่ถ้าบอกตัวเองฉันไม่โลภๆ แต่โดดใส่ทุกอันเลย เล่นพนันไป ชวนลงทุนไป เรียบร้อยเพราะไม่รู้ตัวเอง ต้องรู้จักตัวเองก่อน มีสติกับตัวเองก่อน แล้วพอเห็นอะไรตัวเองจะเข้าใจมัน พ.ต.ท.ประวิทย์ กล่าว 

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ตั้งข้อสังเกตว่า การที่หลายคนรับข้อมูลแล้วเชื่ออะไรต่างๆ โดยง่าย อาจเป็นเพราะยุคนี้เรายุ่งกับการต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกัน (Multitask) จนไม่ทันได้ใช้ความคิดพินิจพิเคราะห์ เมื่อมีข้อมูลที่ตรงกับจริตของเราก็พร้อมจะเชื่อทันที เช่น มิจฉาชีพโทรศัพท์มาหาในขณะที่เรากำลังทำงานแล้วเรายังไม่ทันตั้งสติ ตกใจแล้วก็เผลอเชื่อไป เพราะสิ่งนั้นตรงกับความโลภหรือความกลัวของเรา 

แต่ในเรื่องข้อมูลข่าวสาร ข่าวลวง ข้อมูลบิดเบือน ที่เป็นปัญหาใหญ่ของโลกในเวลานี้ หลายอย่างที่ทำให้ปัญหาดังกล่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งคือการที่เราไม่รู้จริงๆ ทำให้เชื่อและส่งต่อด้วยความหวังดี หรือ Misinformation หมายถึงการส่งต่อข้อมูลคลาดเคลื่อนโดยไม่มีเจตนาร้าย แต่ส่วนใหญ่ข่าวลวงคือ Disinformation หมายถึงการส่งต่อข้อมูลบิดเบือนโดยมีเจตนาร้าย ภายใต้แรงจูงใจไม่ว่าทางการเมือง ทางธุรกิจ ทางชื่อเสียง ฯลฯ ซึ่งในฐานะผู้รับสาร การไม่นำหลักคิดเรื่อง MIDL มาจับก็จะทำให้เราเป็นคนเชื่อง่าย เพราะสอดคล้องกับอคติของเรา 

ทุกครั้งก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์ เราจะต้องไม่ใช่แค่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเดียว ยุคนี้เราต้องตรวจสอบอารมณ์ด้วย เพราะงานวิจัยหลายชิ้น ข่าวลวงหลายข่าวมันไม่ใช่แค่ข้อเท็จจริงอย่างเดียว มันสัมพันธ์กับอารณ์ความรู้สึก พูดง่ายๆ ต่อให้มันจริงฉันก็อยากจะเชื่ออย่างนี้ เพราะมันตรงกับจริตความชอบ – ความชัง หรืออคติยืนยันของเรา ตรงนี้มันก็ทำให้ องค์ซี้ซั้ว จะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก เพราะว่าฉันก็ไม่สนใจอะไรแล้วไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่เพราะมันตรงกับอารมณ์ความรู้สึกเรา มันก็พร้อมทำให้เราเชื่อหรือแชร์ข่าวปลอมไป ซึ่งมันไม่ใช่แค่ส่งผลกระทบกับตัวเราเองที่ดูไม่น่าเชื่อถือ แต่มันกระทบต่อสังคมภาพรวมด้วย สุภิญญากล่าว