ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่อง “ฟอกไต (ไม่) ฟรี” ที่นายกฯ อนุทินพูดวันแถลงนโยบาย

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบคำพูดของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ที่เขากล่าวถึงนโยบาย “ฟอกไตฟรี” ว่า “รัฐบาลชุดที่แล้วเอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เป็นฟอกไตฟรีบางส่วน” พบว่าเป็นคำพูดที่อาจทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดเกี่ยวกับนโยบายบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 

จากการตรวจสอบหลักเกณฑ์ของสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสัมภาษณ์ นพ. จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. โคแฟคพบว่ารัฐบาลชุดที่แล้วที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจริง คือ เปลี่ยนจากการให้ผู้ป่วยเลือกวิธีการฟอกไตได้เอง มาเป็นการใช้วิธีการล้างไตทางหน้าท้องเป็นทางเลือกแรก โดยสิทธิบัตรทองยังคงคุ้มครองการบำบัดทดแทนไตทั้ง 4 วิธีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ ปลูกถ่ายไต ล้างไตทางช่องท้อง ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และการดูแลแบบประคับประคอง

เนื้อหาที่ตรวจสอบ

นายอนุทินแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 ซึ่งในช่วงหนึ่งนายอนุทินได้ลุกขึ้นกล่าวตอบคำอภิปรายของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว จากพรรคเพื่อไทยในประเด็นที่เกี่ยวกับนโยบายสาธารณสุข

นายอนุทินกล่าวว่า “…ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในการทำงานของรัฐมนตรีหลายสิบท่านที่ผ่านมา…ผมได้ใช้เวลา 4 ปี ประสานงานกับสปสช. ทำเรื่องทั้งฟอกไตฟรีทั้งหมด ซึ่งก็เสียดายมากว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เป็นฟอกไตฟรีบางส่วน ผมจะเอากลับมาครับ ใน 4 เดือนนี้ ผมจะเอากลับมา แล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ รมว.สธ. จะต้องทำให้ผมเห็นภายใน 2 เดือน”

คำพูดของนายอนุทินทำให้พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลชุดที่แล้วโพสต์ชี้แจงทางเพจเฟซบุ๊กทางการของพรรคเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568 ว่า รัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้นำนโยบายฟอกไตฟรีออกไปตามที่นายอนุทินกล่าวและยืนยันว่า การให้บริการการล้างไตทั้ง 2 รูปแบบ (การล้างไตทางช่องท้องและการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม) ยังอยู่ในสิทธิการรักษา 30 บาท โดยมีนโยบายล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก”

โคแฟคตรวจสอบ

“รัฐบาลชุดที่แล้ว” ที่นายอนุทินกล่าวถึงคือคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่เข้ามาบริหารประเทศเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2567 โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน จากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจนกระทั่งคณะรัฐมนตรีชุดนี้พ้นจากตำแหน่งหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งถอดถอน น.ส.แพทองธาร เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568 จากกรณี “คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน” ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง 

“ฟอกไตฟรี” ภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ข้อมูลจาก สปสช. และมูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ระบุว่า การบำบัดทดแทนไตหรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ฟอกไต” หรือ “ล้างไต” มีอยู่ 2 วิธี คือ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis: HD) และการล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal dialysis: PD) ซึ่งในทางการแพทย์ทั้งสองวิธีมีประสิทธิภาพในการรักษาใกล้เคียงกัน แต่มีความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายต่างกันไปขึ้นกับสภาวะร่างกาย โรคร่วม และความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย

ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่เป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีสิทธิเข้ารับการฟอกไตได้ฟรี โดย สปสช. กำหนดให้ผู้ป่วยเลือกวิธีการล้างไตทางช่องท้องเป็นอันดับแรก (PD First) เว้นแต่จะมีข้อห้าม และได้รับการอนุมัติจาก สปสช. จึงจะสามารถเบิกค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) ได้ หากไม่ได้รับอนุมัติจาก สปสช. แต่ผู้ป่วยเลือกที่จะใช้วิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง

ปี 2565 ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีนายอนุทินเป็น รมว.สธ. และเป็นประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มีนโยบายให้ สปสช. ปรับแนวทางจากการให้ล้างไตทางช่องท้องเป็นอันดับแรกหรือ PD First เป็นการให้สิทธิผู้ป่วยเลือกได้เองว่าจะใช้วิธีล้างไตทางช่องท้องหรือการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Free Choice) มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2565  

ปี 2567 HITAP ได้ทำการวิจัยถึงผลกระทบของนโยบาย Free Choice ที่ให้ผู้ป่วยเลือกวิธีฟอกไตเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผลการวิจัย พบว่ามีผลด้านลบหลายประการ คือ

  • จำนวนผู้ป่วยที่เลือกรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ และพบว่าจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากการฟอกเลือดสูงขึ้นมาก
  • มีปัญหาคอขวดในการเตรียมเส้นเลือดถาวรก่อนการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ทำให้ผู้ป่วยจํานวนมากต้องใช้สายสวนหลอดเลือดดําชนิดชั่วคราวในระยะแรก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง และประสิทธิภาพในการฟอกเลือดตํ่ากว่าเส้นเลือดชนิดถาวร
  • ค่าบริการรักษาทดแทนไตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตํ่ากว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี เป็น 16,000 ล้านบาทในปี 2567 นอกจากนี้ค่ารักษาภาวะแทรกซ้อนจากการล้างไตก็เพิ่มขึ้นจาก 2,900 ล้านบาทต่อปี เป็น 3,900 ล้านบาทในปี 2566
  • ขีดความสามารถในการให้บริการล้างไตทางช่องท้อง (PD) ลดลงอย่างรวดเร็วจากการที่มีผู้ป่วยเข้ารับบริการลดลงจนถึงจุดที่หน่วยบริการ PD อาจต้องปิดตัวลง ในที่สุดการบริการ PD จะหายไปจากระบบบริการสุขภาพ ส่งผลให้ประเทศสูญเสียขีดความสามารถและทางเลือกในการรักษาบําบัดทดแทนไต

นโยบายฟอกไตฟรียุครัฐบาลแพทองธาร

ในสมัยรัฐบาลแพทองธารที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทินเป็น รมว.สธ. (4 ก.ย. 2567-29 ส.ค. 2568) เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายบําบัดทดแทนไตอีกครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผลกระทบทางลบของนโยบาย Free Choice ที่ให้สิทธิผู้ป่วยเลือกวิธีฟอกไตเองที่ปรากฏในงานวิจัยของ HITAP

วันที่ 4 พ.ย. 2567 บอร์ด สปสช. ที่มีนายสมศักดิ์เป็นประธาน มีมติให้นำนโยบายล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก (PD First) กลับมาใช้ แต่หากมีความจำเป็น แพทย์สามารถเลือกใช้วิธีอื่นที่เหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วย ได้แก่ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การปลูกถ่ายไต และการดูแลด้วยวิธีประคับคอง โดยทั้ง 4 วิธีนี้ ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย  

หลังจากใช้เวลาเตรียมการและออกประกาศที่เกี่ยวข้องอยู่นานหลายเดือน สปสช. ก็เริ่มดำเนินการตามนโยบาย PD First รอบใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2568 ซึ่งในช่วงนี้เองที่มีการเผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยสิทธิบัตรทองรายใหม่ที่เริ่มฟอกไตหลังจากวันที่ 1 เม.ย. 2568 จะต้องจ่ายค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเอง ซึ่ง สปสช. ได้ชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง สิทธิบัตรทองคุ้มครองค่ารักษาผู้ป่วยไตทั้งหมด

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. อธิบายในการแถลงข่าวร่วมกับนายสมศักดิ์ รมว.สธ. เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2568 ว่า ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายรายเก่าทุกคนจะได้รับสิทธิบริการทดแทนไตด้วยวิธีเดิมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนผู้ป่วยรายใหม่จะมีระบบตรวจสอบเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการบำบัดทดแทนไตด้วยวิธีที่เหมาะสม โดยวิธีการล้างไตทางช่องท้องจะเป็นทางเลือกแรก 

นพ.จเด็จยืนยันว่าปัจจุบันหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมการบำบัดทดแทนไตทุกวิธี และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าขณะนี้มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่รับการบำบัดทดแทนไตในระบบจำนวน 84,750 ราย เป็นผู้ป่วยรับการฟอกเลือดผ่านเครื่องไตเทียมจำนวน 64,515 ราย และผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้องจำนวน 20,235 ราย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สธ. ในขณะนั้นแถลงข่าวชี้แจงนโยบาย PD First ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2568 (ภาพ: สปสช.)

ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองบางรายถูกเรียกเก็บเงินค่าฟอกไตจริง จากปัญหาของระบบให้บริการ

ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2568 ซึ่งนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สธ. และประธานบอร์ด สปสช. คนใหม่เข้าร่วมประชุมด้วยเป็นครั้งแรก น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ผู้แทนองค์กรเอกชน รายงานว่าได้รับข้อร้องเรียนจากผู้ป่วยสิทธิบัตรทองว่าต้องจ่ายค่าฟอกไตเองเนื่องจากโรงพยาบาลตามสิทธิมีศักยภาพจำกัดในการให้บริการฟอกไตหรือคิวยาวมาก จึงส่งตัวผู้ป่วยให้ไปฟอกไตที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งมีการเรียกเก็บเงินผู้ป่วย

นพ.จเด็จ เลขาธิการ สปสช. ยอมรับว่ามีกรณีที่ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองบางคนถูกเรียกเก็บเงินค่าบำบัดทดแทนไตจริงจากหลายสาเหตุ เช่น การที่ผู้ป่วยมีจำนวนเกินศักยภาพที่โรงพยาบาลรับไหวจึงส่งตัวไปฟอกไตที่โรงพยาบาลเอกชนที่มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วย 

“เราจะไปดูรายละเอียดว่าเกิดเหตุ (ผู้ป่วยถูกเรียกเงิน) มากขนาดไหน ถ้าจำเป็นก็จะดำเนินการทางกฎหมาย ขอประชาสัมพันธ์ไปยังหน่วยบริการในระบบด้วยว่าให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และไม่เรียกเก็บเงินจากผู้ป่วย” นพ.จเด็จให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังการประชุม

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. (ซ้าย) และนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สธ. ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังการประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อ 6 ต.ค. 2568

เลขาธิการ สปสช. ยืนยันไม่มีการ “เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป”

โคแฟคสอบถาม นพ.จเด็จถึงกรณีที่นายอนุทินกล่าวในที่ประชุมรัฐสภาว่า “รัฐบาลชุดที่แล้ว เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เป็นฟอกไตฟรีบางส่วน” เลขาธิการ สปสช. อธิบายว่า “ไม่ได้เอา (ฟอกไตฟรี) ออกไป แต่เป็นเรื่องของการปรับระบบการให้บริการที่แตกต่างจากเดิม…ตอนนี้ระบบสิทธิบัตรทองยังให้บริการทั้งฟอกเลือด ล้างไตทางหน้าท้องและการปลูกถ่ายอวัยวะโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่เราจะไปดูว่าส่วนไหนของระบบที่เป็นจุดอ่อนทำให้มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วย เราจะไปปิดจุดอ่อนเพราะเป็นนโยบายที่ต้องให้การรักษาฟรี”

ข้อสรุปโคแฟค

  • รัฐบาลชุดที่แล้วที่มี น.ส.แพทองธารเป็นนายกฯ และนายสมศักดิ์เป็น รมว.สธ. และประธานบอร์ดหลักประกันสุขภาพ ได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจริง คือ เปลี่ยนจากการให้ผู้ป่วยเลือกวิธีการฟอกไตได้เอง (Free Choice) มาเป็นวิธีการล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก (PD First) โดยบอร์ด สปสช. มีมติเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2567 และเริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2568 ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนมาเป็นการเรียกเก็บเงินค่าฟอกไต
  • ตามประกาศประกาศสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเรื่องการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีบริการผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังด้วยการบำบัดทดแทนไต พ.ศ. 2568 สิทธิบัตรทองยังคงคุ้มครองบำบัดทดแทนไตทั้ง 4 วิธีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ ปลูกถ่ายไต ล้างไตทางช่องท้อง ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และการดูแลแบบประคับประคอง ซึ่งจะมีคณะกรรมการไตระดับเขตและระดับประเทศพิจารณาวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยให้วิธีการล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก ในกรณีที่คณะกรรมการไตเห็นว่าผู้ป่วยสามารถใช้วิธีล้างไตทางหน้าท้องได้ แต่ผู้ป่วยเลือกที่จะใช้วิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเองและจะได้รับสิทธิรักษาฟรีเฉพาะบริการที่จำเป็น เช่น ยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ถูกนำไปบิดเบือนว่าเป็นการยกเลิกการฟอกไตฟรี
  • ช่วงที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้มีผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ถูกเรียกเก็บค่าฟอกไตจริง ซึ่งเป็นปัญหาของระบบบริการที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ สปสช. เช่น โรงพยาบาลของรัฐมีศักยภาพจำกัดจึงส่งผู้ป่วยไปฟอกไตที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งเรียกเก็บเงินผู้ป่วย ซึ่งบอร์ด สปสช. มีมติให้แก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนแล้ว

จากข้อมูลของ สปสช. งานวิจัยของ HITAP และการสัมภาษณ์ นพ.จเด็จ เลขาธิการ สปสช. ที่โคแฟครวบรวมและประมวลมานี้ทำให้สรุปได้ว่า คำพูดของนายอนุทินที่ระบุว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว “เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เป็นฟอกไตฟรีบางส่วน” เป็นข้อความที่ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อแนวทางการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังของระบบหลักประกันสุขภาพหรือสิทธิบัตรทอง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ