มองโลกแล้วดูไทย! ‘ปั่นกระแสเกลียดชัง’ขาดกลไกรับมือ จี้แพลตฟอร์มต้องรับผิดชอบกว่าที่เป็นอยู่

1 มี.ค. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมจัดเสวนาหัวข้อ “รับมือความเกลียดชัง ข้อมูลลวงออนไลน์ยุค 4.0 ด้วยปัญญารวมหมู่ Collective wisdom vs. Digital Hate 4.0: Navigating the DeepTech Era” ดำเนินรายการโดยจัดการโครงการมูลนิธิ ฟรีดริช เนามัน (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “Soul Connect Fest 2025 มหกรรมพบเพื่อนใจ” จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาวะทางปัญญา ระหว่างวันที่ 27 ก.พ. – 2 มี.ค. 2568 ที่สามย่านมิตรทาวน์

สุนิตย์ เชรษฐา ผู้อำนวยการสถาบัน ChangeFusion เปิดเผยผลการสำรวจข้อมูลความเกลียดชังออนไลน์ โดยกล่าวว่า หากเป็นสถานการณ์ในระดับโลก ปัญหานี้ขยายวงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในอินเดีย หรือสหรัฐอเมริกาที่พบถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) พุ่งเป้าไปที่การต่อต้านชาวเอเชีย ขณะที่ความคาดหวังต่อแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ดูจะคาดหวังได้น้อยลงเพราะลดมาตรฐานลง ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Check) โดยให้ผู้ใช้งานมาให้ข้อมูล (Community Notes) หรือประเทศอย่างเยอรมนี แม้จะมีนโยบายควบคุมเนื้อหาสร้างความเกลียดชังที่เข้มแข็งมากแห่งหนึ่งในโลก แต่ผลเลือกตั้งที่เพิ่งออกมาน่าวิตกไม่น้อย ซึ่งในสังคมเยอรมัน Hate Speech จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองและความกังวลการสูญเสียอัตลักษณ์จากการมาของผู้อพยพจำนวนมาก โดยในปี 2560 เยอรมนีออกกฎหมาย NetzDG กำหนดให้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต้องมีช่องทางรับแจ้งและหากผิดจริงต้องนำออกภายใน 24 ชั่วโมง หากฝ่าฝืนอาจถูกปรับสูงถึง 50 ล้านยูโร มีการนำข้อความออกจากระบบไปร้อยละ 15 ส่วนใหญ่เป็นความเกลียดชังและความรุนแรง
แต่ด้วยความที่ต้องใช้เวลารวดเร็วและมีบทลงโทษที่รุนแรง ผลข้างเคียงคือเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Hate Speech อาจถูกลบไปด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก แต่กฎหมาย NetzDG กำลังจะถูกทดแทนด้วยกฎหมายที่ครอบคลุมทั้งยุโรปที่เรียกว่า EU Digital ServiceAct ขณะที่อังกฤษ มีการปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่ มีการทำงานกับสำนักงานอัยการสูงสุด ติดตามข้อมูลเป็นรายเดือนว่ามีเรื่องร้องเรียนและการดำเนินคดีมาก–น้อยเพียงใด มีการทำงานกับภาคประชาสังคมทั้งการแจ้งเหตุและการช่วยเหลือ โดยบริบทของอังกฤษจะเป็นความเกลียดชังเรื่องเชื้อชาติ ศาสนาหรืออัตลักษณ์ทางเพศ
ที่ประเทศญี่ปุ่น มีกฎหมาย Hate Speech Elimination Act ซึ่งมาจากปัญหาความเกลียดชังต่อชนชาติอื่นที่เข้ามาอยู่ในญี่ปุ่น (โดยเฉพาะชาวจีนและเกาหลี) กลุ่มขวาจัดนิยมจักรวรรดิกลับมามีบทบาทอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้ไม่ได้มีบทลงโทษเป็นการเฉพาะ เป็นเพียงการอธิบายหลักการว่าอะไรเข้าข่ายผิด และหน่วยงานราชการทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่อย่างไรบ้าง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถใช้กฎหมายนี้ในการไม่อนุญาตให้จัดกิจกรรมเดินขบวนได้ หรือศาลใช้กฎหมายนี้สั่งให้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ลบเนื้อหาได้
ขณะที่ประเทศไทย ในปี 2564 มีการทำข้อมูล Hate Speech ในบริบท 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยศึกษาเพจเฟซบุ๊กที่กล่าวถึงประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง มีการจัดระดับ Hate Speech ตั้งแต่ระดับน้อย เช่น การด่าทอ จนถึงระดับมากคือ ชวนกันออกไปใช้ความรุนแรงในโลกจริง ซึ่งแม้อย่างหลังนี้จะมีน้อยแต่ก็มีอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับช่วงเวลานั้นที่มีการชุมนุมแล้วมีการใช้ Hate Speech สร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายรัฐในการใช้กำลังจัดการกับผู้เห็นต่าง โดยพบทั้งคนทั่วไปและสื่อมวลชนที่ใช้ Hate Speech
ล่าสุดเรื่อง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ก็มีการสร้างความเข้าใจผิด มีการพยายามที่จะกล่าวหา –กล่าวโทษที่ไม่จริง ทำให้สุดท้ายที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรคว่ำหลายมาตรา เช่น มาตรา 27 ที่จะจัดการพื้นที่ตนเอง หรือคว่ำเรื่องชนเผ่าพื้นเมือง โดยอ้างว่าชนเผ่าเหล่านี้จะตั้งสภาพื้นเมือง มีเพลงชาติ – ธงชาติของตนเองและนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน ซึ่งล้วนเป็นเรื่องไม่จริงแต่ก็พูดกันทั่วไป
“บทเรียนใหญ่ๆ แต่ละที่จะแตกต่างกัน ทำอย่างไรที่จะเชื่อมโยงกับกฎหมายที่มีอยู่แล้ว จะรักษาความสมดุลระหว่างการกำกับดูแลและสิทธิเสรีภาพการแสดงออกได้อย่างไร แต่ถ้าดูภาพรวมจะเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดี และกฎหมาย ระเบียบต่างๆ มีข้อจำกัดมาก ดังนั้นกระดุมเม็ดแรกหรือขั้นแรกจะต้องกลับมาเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน สร้างความรู้ความเข้าใจ สร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญาให้กับชุมชนและชาวเน็ต” สุนิตย์ กล่าว

นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ประธานกรรมการวิสาหกิจเพื่อสังคมจิตวิทยาสติ กล่าวว่า การสร้างความเกลียดชังเป็นกระบวนการที่มีมาในวิถีชีวิต ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ซึ่งในทางจิตวิทยา การสร้างความเกลียดชังมีนัยยะ2 ประการคือ 1.นำไปสู่ความรุนแรง จากการแสดงออกทางคำพูดหรือการสื่อสารในโลกออนไลน์ จะนำไปสู่ความรุนแรงในโลกจริง ซึ่งหากย้อนมองประวัติศาสตร์ ก่อนจะเกิดความรุนแรงจะมีการโหมถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในเยอรมนีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม2519 ในไทย 2.การสร้างความเกลียดชังมีลำดับขั้น และเกิดขึ้นได้ทั้งที่รู้และไม่รู้ตัว เริ่มจาก 2.1 มองความต่างเป็นเรื่องถูก – ผิด 2.2 เมื่อแบ่งความต่างเป็นถูก – ผิด ได้แล้วก็จะตัดสินว่าดี –เลว และ 2.3 สิ่งใดที่ถูกตัดสินว่าเลว สิ่งนั้นไม่สมควรมีอยู่ เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็เตรียมยกระดับกลายเป็นความรุนแรง เช่น กีดกันออกไปจากการทำงาน หรือหนักที่สุดคือมองว่าสามารถเข่นฆ่าให้ตายได้
“กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ทำลายสังคมอย่างมาก คือทำให้เกิดความรุนแรง ดังนั้นสังคมที่มีวุฒิภาวะทั้งหลายจะต้องสร้างสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่จะต้องจัดการกับสิ่งนี้ ต้องไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิด อย่างกฎหมายที่เยอรมันก็เป็นตัวอย่างที่คลาสสิก ซึ่งตอนนี้ใช้ทั่วยุโรป ก่อนหน้านี้ในปี 2017 (2560) เยอรมันมีกฎหมายมานานแล้วว่าถ้าจะบอกว่าความเห็นนี้ด้วยเหตุผลไม่ดีอย่างไรพูดได้เต็มที่ แต่เมื่อใดที่พูดเนื้อหา Hate Speech ตอนนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ถือว่าผิดกฎหมาย”นพ.ยงยุทธ กล่าว

ณภัทร ชุ่มจิตตรี (คิง ก่อนบ่าย) นักแสดงรายการ สภาทอล์คช่องไทยรัฐทีวี กล่าวว่า เคยมีประสบการณ์ลงสนามการเมือง จากในตอนแรกที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เช่น เรื่องโควิด-19 ได้รับเสียงชื่นชม บอกเป็นดาราต้องอยู่ข้างประชาชน “เรียกร้องให้มาเล่นการเมือง” แต่เมื่อตัดสินใจไปลงสมัครรับเลือกตั้งในอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงในพรรคชอบบอกว่า “ไม่รู้ ไม่รู้” จากแฟนคลับที่เคยชื่นชมกลายเป็นเจอทัวร์ลงแทน ถูกถามว่า “เป็นตลกดีอยู่แล้วจะมาลงการเมืองทำไม?” เป็นต้น
โดยสรุปก็คือ “หากเราเป็นที่ถูกใจเขาก็ว่าดี”ได้เป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน “แต่หากเราไม่เป็นที่ถูกใจจะเจอทัวร์ลง” จะขยับอะไรก็เป็นประเด็นตลอด มีการใช้ถ้อยคำเหยียด (Bully) ว่าเอาความรู้ความสามารถอะไรมาเป็นนักการเมือง ซึ่งย้อนคิดว่า ในขณะที่ผู้คนมองนักแสดงตลกเป็นตัวตลก แต่ไม่เคยถามเลยว่านักแสดงตลกคนนั้นเรียนจบอะไรมา อย่างตนจบ ป.ตรี การบริหารจัดการ และ ป.โท ด้านการจัดการฟุตบอลอาชีพ แต่ไม่เคยมีใครตั้งคำถามนี้ มีแต่มองว่าเป็นตัวตลก
“พอคนเราเสพโซเชียลเยอะในสิ่งที่เราเจอ อย่างที่บอกว่าก็จิตตกไปพักหนึ่ง แต่ตอนหลังเรารู้เลยว่าวิธีการจะแก้ปัญหาในเรื่องการถูกเหยียดในสังคมออนไลน์ทำอย่างไร? 1.ไม่เติมเน็ต พอไม่เติมเน็ตเราก็เปิดหัวข้อนั้นไม่ได้ 2.เปิดเน็ตไปแล้วอ่านผ่านๆ เลือกอ่านความเห็นที่ดี ที่ส่งเสริมให้กำลังใจเรา และ 3.เรียนรู้ว่าโซเชียลคือที่ระบายออกทางความคิดของคนที่เล่นโซเชียล แต่คนที่มีความรู้ มีสติมีปัญญา เขาจะไม่มาคอมเมนต์ในทางลบ เพราะเขารู้สึกว่าจะเสียเวลาในเรื่องพวกนั้น เราก็รู้แล้วว่าคนที่เข้ามาเขาไม่มีที่ระบาย ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าระบายแล้วมีความสุขก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เราสร้างความสุขให้เขา ด้วยการสร้างเรื่องให้เขาด่านั่นเอง” ณภัทร กล่าว

ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ซาเวียร์, OSU ผู้อำนวยการศูนย์อบรมคริสตศาสนธรรมระดับชาติ กล่าวว่า ในทางศาสนาเห็นว่าเมื่อเกิดความเกลียดแล้วเราไปเกลียดตอบจะมีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ อย่างในเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งคนหนุ่ม – สาวมีวันวาเลนไทน์ ในพระคัมภีร์มีถ้อยคำที่อัครสาวกเปาโล กล่าวถึงความรักว่า ความรักอดทนนานและมีใจปราณี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักกล้าทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ
“ข้อความนี้เป็นเครื่องเตือนใจทำให้คิดว่าเราต้องไม่ตอบโต้คนในทางออนไลน์ว่าเขามาว่า ถ้าเรายิ่งไปเขียนต่อว่าเขากลับยิ่งเพิ่มความเกลียดต่อไป เราไม่ต้องไปตอบโต้ ให้อภัยเขาไปว่าสิ่งที่เขาทำนี้เพราะไม่รู้ ถ้าเรายิ่งแชร์ ยิ่งมีเรื่องแชร์ต่อๆ ไป ยิ่งเกลียด ถ้ามีความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น แม้แต่คนที่เรารักที่ทำผิดเราก็ยังต้องทน ยิ่งคนอื่นก็น่าจะทนง่ายเพราะเขาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เรา คิดว่าการมีขันติ มีความอดทนในเรื่องแบบนี้ เราก็สู้กับความเกลียดด้วยความรัก ที่จะไม่ทำร้ายคนต่อๆ ไป” ซิสเตอร์ศรีพิมพ์กล่าว

อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.)กล่าวว่า Hate Speech มีจุดเริ่มต้นมาจากความพยายามด้อยค่าเหยื่อและด้อยค่าคนทำงานเพื่อคนอื่น และในประเทศไทยไม่มีกลไกปกป้อง อย่างสมัยทำงานเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตนเองน่าจะเป็น กสม. ที่เจอ Hate Speech มากที่สุด ต่อมาเมื่อเปลี่ยนบทบาทไปทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ ซึ่งไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับประเทศไทย ก็เห็นว่ามี Hate Speech เข้ามาน้อยลง แต่เมื่อกลับมาเป็น สว. ก็ต้องมาเผชิญกับ Hate Speech อีกครั้ง
อนึ่ง เมื่อมีการใช้ Hate Speech หนึ่งในสิ่งที่พบคือ “เพศถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชัง” เช่น เมื่อพูดถึงประเด็นโทษประหารชีวิตหรือผู้ลี้ภัย ผู้พูดที่เป็นผู้หญิงมักถูกโจมตีว่าในข้อความที่หยาบคาย แต่เมื่อไปแจ้งความก็จะถูกถามว่าตรงไหนสร้างความเกลียดชังหรือลดทอนคุณค่า และการต้องใช้ปากกาขีดเส้นเน้นสีถ้อยคำนั้นก็เหมือนถูกกระทำซ้ำ ซึ่งตนก็ตั้งคำถามกับสังคมมาตลอดว่าอะไรคือเส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกับการใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง
“วันนี้มีนักกิจกรรมทางการเมืองผู้หญิงหลายคนที่ออกไปเลยจากวงการ ไม่มาพูดเรื่องการเมือง ไม่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอีก เพราะทนไม่ได้กับการที่รูปของตัวเองถูกเอาไปตัดต่อแปะกับภาพที่ไม่ใช่ตัวเอง เป็นภาพเปลือยบ้างอะไรบ้าง คิดว่าตรงนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่สังคมควรตั้งคำถามโดยเฉพาะกับบริษัทที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม หรือบริษัทเทคโนโลยี” สว. อังคณา กล่าว

ชมพูนุท เฉลียวบุญ ผู้จัดการโครงการภูมิภาค Westminster Foundation for Democracy (WFD) กล่าวว่า สื่อสังคมออนไลน์ถูกใช้ในทางการเมืองมากขึ้น อย่างนักการเมืองรุ่นใหม่ๆ ก็หันมาใช้เพราะเป็นช่องทางสื่อสารกับประชาชนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่คนไทยก็มีความลื่นไหลทางภาษา หาวิธีเลี่ยงระบบตรวจจับของแพลตฟอร์ม เช่น ใช้การสะกดคำผิด ใช้สัญลักษณ์แสดงอารมณ์ (Emoji) ใช้การบิดคำแต่อ่านแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นการสร้างความเกลียดชัง และการรายงานแพลตฟอร์มก็ใช้เวลานานกว่าจะมีการดำเนินการ ทำให้หลายคนเลือกปล่อยผ่าน
โดยรูปแบบ Hate Speech ที่พบได้บ่อยๆ คือการด้อยค่า แทนที่จะพูดคุยกันเรื่องนโยบายที่นำเสนอก็เบี่ยงให้ไปเป็นเรื่องอื่นแทน ส่วนการข่มขู่พบไม่มากแต่มีความรุนแรง เช่น บอกว่าจะเอาชีวิต ซึ่งสร้างความกังวลให้กับคนที่ต้องลงพื้นที่ อีกรูปแบบหนึ่งคือการนำข้อมูลส่วนบุคคลมาเปิดเผย อาทิ หมายเลขโทรศัพท์ สถานที่พักอาศัย สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้หญิงที่ปกติก็มีจำนวนน้อยในทางการเมืองอยู่แล้ว ยิ่งเจอความเสี่ยงเหล่านี้ก็ทำให้เกิดความกลัวและไม่อยากอยู่ต่อไปในพื้นที่ทางการเมือง แม้จะเป็นข้อมูลเท็จหรือภาพตัดต่อก็ต้องมาแก้ข่าวแทนที่จะไปมุ่งเน้นการทำงาน
“ผลกระทบทางจิตใจมันไม่ได้อยู่แค่ระยะเวลาสั้นๆ มันกระทบต่อยาว หลายคนเจอภาวะทางจิตใจต่อเนื่อง รวมถึงครอบครัวก็มีผลกระทบด้วย ทำให้กระบวนการเหล่านี้ถูกรับมือโดยส่วนตัว พรรคการเมือง รัฐสภา หน่วยงานแวดล้อมก็ไม่ได้มีกลไกรับมือ ซึ่งปัญหาเหล่านี้แพลตฟอร์มควรจะมีความรับผิดรับชอบที่มากกว่านี้ อย่างเช่นการเก็บข้อมูลให้ชัดเจนเลยว่ามีกรณีที่เข้าข่ายประเด็นเหล่านี้ การสร้างความเกลียดชัง การให้ข้อมูลที่ผิดในระยะเวลาต่อเนื่องมีเท่าไร แล้วแพลตฟอร์มดูแลอย่างไร เพื่อที่จะให้ภาพความรุนแรงเหล่านี้มันเห็นชัดเจนร่วมกันมากขึ้นว่าสังคมเราในแต่ละรอบช่วงเวลา ในแต่ละปีเจอกันเยอะแค่ไหน” ชมพูนุท กล่าว

วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า Hate Speech นำไปสู่ความโกรธ ความเกลียดและความรุนแรง หากคนเราส่งต่อความรักโลกก็จะมีแต่รอยยิ้มและสันติสุข แต่หากเต็มไปด้วยความเกลียดชังก็อยู่กันไม่ได้ มีความอึดอัดคับข้องใจ เห็นหน้ากันไม่อยากอยู่ด้วยกัน ถ้าเดินหนีไม่ได้บางทีก็ถึงขั้นใช้ความรุนแรงทำร้ายกันซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม แต่โลกปัจจุบันที่เป็นยุคออนไลน์ มีการสร้างความเกลียดชังทางออนไลน์เป็นจำนวนมากทั้งเรื่องเพศ เชื้อชาติ ศาสนาและอื่นๆ ซึ่งขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนเรื่องการไม่เลือกปฏิบัติ
“เราไม่ได้อยู่คนเดียว เราอยู่กันเป็นสังคม สังคมไทยก็เป็นพหุวัฒนธรรม จริงๆ ต้องเคารพความแตกต่างหลากหลายและอยู่ด้วยกันอย่างสันติ เข้าใจและให้อภัย ถ้าเต็มไปด้วยความโกรธ ความโลภ ความหลง ความเกลียด ชีวิตนี้ก็มีแต่ทุกข์ ประการหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญคือเราจะ Handle (รับมือ) เรื่องพวกนี้อย่างไร ที่สำคัญคือต้องมีสติ จริงๆ แล้วในโลกออนไลน์ทุกอย่างมันเคลื่อนไหวเร็วมาก ข่าวสารถาโถมเข้ามาจากทุกสารทิศ เราเองต้องมีสติและค่อยๆ คิดว่าเรื่องนี้จริง – ไม่จริง” วสันต์ กล่าว
ในช่วงท้าย พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ผอ.สถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.) กล่าวว่า ปัญญารวมหมู่ (Collective Wisdom) ในแง่ของสังคม จะเป็นในลักษณะที่แก้ไขสิ่งเลวร้ายให้กลับมาดีก็ได้ หรือหากสถานการณ์ดีอยู่แล้วแต่ไม่ทำอะไร ปล่อยให้อวิชชามหาชนเกิดขึ้น สังคมและบ้านเมืองก็จะไปอีกทางได้เช่นกัน

“ถามว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร? ขอทิ้งไว้ด้วยคำง่ายๆ คำว่าแคร์ แต่ไม่ใช่แคร์บางคน ต้องแคร์ทุกคน แคร์สิทธิมนุษยชน และแคร์ไปทั้งมนุษยชาติ นั่นคือสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้” พระมหานภันต์กล่าว
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-













