Soul Connect Festival : AI & Humanity: Towards Truth & Peace resolution”“ปัญญาประดิษฐ์กับมิติความเป็นมนุษย์ โจทย์สู่ความจริงและสันติภาพ

กิจกรรม

บันทึกเนื้อหาวงเสวนา “ปัญญาประดิษฐ์กับมิติความเป็นมนุษย์ โจทย์สู่ความจริงและสันติภาพ AI & Humanity: Towards Truth & Peace resolution” จัดโดยโคแฟค ประเทศไทย วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ 

คุณรณพงษ์ คำนวณทิพย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท Mind AI Southeast Asia ทบทวนความรู้เกี่ยวกับ Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์ว่าเป็นเทคโนโลยีที่เลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ซึ่งมีพัฒนาการมานาน 50-60 ปีแล้วก่อนที่โลกจะเข้าสู่ “ยุค AI” เต็มตัวในวันนี้ แต่ AI ที่ผู้คนใช้งานกันในปัจจุบันเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์และจากข้อมูลปริมาณมหาศาลที่ทำให้ AI คาดเดาได้ว่าผู้ใช้งานต้องการอะไรเป็นการคาดเดาและเรียนรู้จากพฤติกรรมของเราไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นที่มาของ generative AI อย่าง GPT, Gemini, Deep seek และ Glock

สำหรับสถานการณ์ AI ในประเทศไทย ในส่วนของการใช้งาน คนไทยตอบรับ AI ค่อนข้างเร็วมาก องค์กรที่นำ AI ไปใช้ก็มีไม่น้อย ในส่วนของการพัฒนา AI ในไทยก็มีบริษัทพัฒนา AI อยู่นับร้อยแห่งและทำงานได้ค่อนข้างดี เห็นได้ว่าเรามี AI โมเดลภาษาไทยแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าเราพึ่งพาข้อมูลและอัลกอริทึมของต่างประเทศอย่างเดียว ก็จะทำให้เกิดความลำเอียง (bias)หรือความลำเอียง

คุณรณพงษ์กล่าวว่า ในแง่ของความรู้และการใช้งาน AI ประเทศไทยน่าจะติดอันดับ Top 20 ของโลก แต่ประเด็นสำคัญคือประเทศไทยยังทิศทางว่าจะสร้างจุดแข็งเรื่องเทคโนโลยีในด้านไหน ถ้าเพียงแค่พัฒนาเพื่อเอาไปใช้งานนั้นไม่ยาก แต่ถ้าจะพัฒนาให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ที่สร้างความแตกต่างจริง ๆ ต้องใช้ทั้งเงินทุน ความทุ่มเท เอาจริงเอาจังและระยะเวลานาน

บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย กล่าวว่าจากวิดีทัศน์ที่เปิดก่อนเข้าสู่การเสวนา พบว่ามีคำสำคัญ 3 คำ คือ จิตวิญญาณ เพื่อนร่วมทุกข์และความหวัง ซึ่งทั้งสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่ AI ไม่มี แต่ศาสนจักรก็เห็นประโยชน์ของ AI เมื่อเร็ว ๆ นี้สมเด็จพระสันตะปาปาก็ทรงแนะนำว่าบรรดาผู้นำศาสนาต้องเห็นความสำคัญของ AI และหาทางใช้มันในทางที่ดี 

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงลงนามเอกสารเรื่อง “ความเก่าและความใหม่” ซึ่งนี่เนื้อหาเกี่ยวกับ AIเช่น AI คืออะไร และ AI ในมิติต่าง ๆ เช่น AI กับความสัมพันธ์ของมนุษย์เศรษฐกิจ การรักษาพยาบาล การศึกษา ข่าวลวงและเนื้อหาอันเป็นเท็จ การปกป้องสภาพแวดล้อมสวัสดิการ รวมทั้ง AI กับความสัมพันธ์กับพระเจ้าโดยสรุป เอกสารฉบับนี้ย้ำว่าเราสามารถใช้ AI ได้ แต่ต้องเข้าใจบริบทและยังคงต้องมีการพัฒนาต่อไป เอกสารที่พระสันตะปาปาทรงลงนามนี้ ร่วมจัดทำขึ้นอย่างรอบคอบโดยแผนกที่ดูแลด้านความเชื่อและแผนกที่ดูแลด้านการศึกษาและวัฒนธรรม

ในฐานะคนที่ทำงานด้านศาสนา บาทหลวงอนุชาจึงให้ความสนใจกับคุณธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดังนั้นจึงพยายามใช้ AI เพื่อส่งเสริมคุณธรรมและสร้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แนะนำการใช้ AI ในด้านจริยศาสตร์ คือทำอย่างไรให้คนใช้ AI แล้วเป็นคนที่ดีขึ้น

ศาสนาคริสต์มีศัพท์ใหม่คือ “ดิจิทัลมิชชันนารี” หมายถึงการเผยแผ่ธรรมสมัยใหม่ผ่านสื่อดิจิทัลโดยที่มิชชันนารีไม่ต้องเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ แต่เผยแผ่เรื่องราวที่ดีงามและมีคุณค่าผ่านโซเชียลมีเดียในรูปแบบที่น่าสนใจเพื่อให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ รวมถึงการสนับสนุนให้คาทอลิกทุกคนเป็น “อินฟลูเอนเซอร์” ที่บอกเล่าสิ่งดี ๆ ทางโซเชียลมีเดีย อินฟลูเอนเซอร์ทางศาสนาอาจจะไม่มียอดรับชมหรือผู้ติดตามมากมาย แต่สิ่งสำคัญต้องมีความน่าเชื่อถือ

นอกจากนี้พระสันตะปาปายังทรงออกสาส์นเนื่องในวันสื่อมวลชนในหัวข้อ “Share with Gentleness” คือเมื่อเราจะส่งต่อเนื้อหาใด ๆ ให้แชร์ด้วยจิตใจที่สุภาพอ่อนโยน และมีความหวังในหัวใจของเรา

ศาสนาคริสต์มีคำว่า wisdom แปลว่าปรีชาญาณ ซึ่งไม่ใช่ปัญญาความรู้ (knowledge/ intellectual) ปรีชาญาณคือความรู้ที่พาเราไปสู่สรวงสวรรค์และชีวิตนิรันดร ผู้ที่มีปรีชาญาณย่อมใช้ชีวิตได้อย่างดี เข้าใจ มีความสุข รู้จักใช้ AI เพื่อเข้าใจความจริงและไม่ปล่อยให้เทคโนโลยีมาลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเรา

คุณสุวิตา จรัญวงศ์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งTellscore แนะนำ Tellscore ว่าเป็นบริษัทด้านการตลาดที่ถ่ายทอดเรื่องราว (storytelling) เกี่ยวกับสินค้าต่าง ๆ ผ่าน content creator ซึ่งปัจจุบันมี content creator คนไทยที่เป็นเครือข่ายอยู่ประมาณ 8 หมื่นคน ซึ่งแนวทางการนำเสนอของบริษัทจะให้ความสำคัญกับเรื่องจริยธรรมในการนำเสนอ ไม่ปลุกปั่น ไม่ใช้เนื้อหาที่มีความรุนแรง ไม่หยาบคาย สุภาพ และนำเสนอเนื้อหาอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายวงการอินฟลูเอนเซอร์ ทั้งยังต้องเผชิญกับเนื้อหาที่สร้างโดย AI ซึ่งบางครั้งก็ยากที่จะแยกแยะว่าเป็นคนจริงหรือเป็น AI

“ในฐานะคนที่บอกต่อเรื่องราว เราต้องให้ความสำคัญในการผลิตเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่สร้างคอนเทนต์น้ำดี ที่ให้ความหวัง เพราะตอนนี้เราเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจไม่ดี มีปัญหารอบตัว…เทคโนโลยี AI อาจจะพาเราไปสุขหรือทุกข์ก็ได้” 

คุณฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters ร่วมเสวนาผ่านทางวิดีโดคอลเนื่องจากลงพื้นที่ทำข่าวอยู่ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เธอกล่าวว่าเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียช่วยให้สื่อมวลชนทำงานง่ายขึ้น เช่น สัมภาษณ์ออนไลน์ สื่อสารกับคนในพื้นที่ทำให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน รายงานข่าวได้แม่นยำและเหมือนรายงานอยู่ในสถานที่จริง สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นประโยชน์ของเทคโนโลยี

สำหรับบทบาทของ AI นั้น ในฐานะที่เป็นนักข่าวมองว่านำมาใช้ประโยชน์ได้ในบางกรณี เช่น การผลิตอินโฟกราฟิก หรือการอธิบายข้อมูลที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน แต่โดยส่วนตัวแล้ว คุณฐปณีย์บอกว่า “แทบไม่ได้ใช้ AI” ในกระบวนการทำข่าว เพราะนักข่าวต้องเป็นคนไปหาข่าว ไปทำข่าวจากสถานที่จริง สัมภาษณ์จริง

“เรายังต้องลงพื้นที่จริง ลงมาหาข่าวจริง มาเฝ้าที่ชายแดนเอง ข้ามไปเมียวดีเอง เพราะว่าการที่เราเป็นนักข่าว เราต้องไปเห็นด้วยตา ไปถ่ายภาพ ไปรายงานสิ่งที่เราเห็น สัมภาษณ์ผู้เสียหายสัมภาษณ์เหยื่อด้วยตัวเอง…มันคือความน่าเชื่อถือ คนที่ติดตามข่าวเราก็จะเชื่อถือว่าเราทำข่าวจริง เราไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นหรือใช้เทคโนโลยี”

“ต่อให้ใช้ผู้ประกาศข่าว AI มาอ่านข่าว แต่ถามว่าคนดูจะเชื่อใคร เชื่อ AI ที่อ่านข่าวในสตูดิโอหรือเชื่อฐปนีย์ที่ยืนอยู่ริมน้ำเมย ในเมืองชเวกกโกหรือเคเคปาร์คที่เป็นเมืองสแกมเมอร์ คนจะเชื่อฐปนีย์ที่ยืนคุยอยู่กับเหยื่อการค้ามนุษย์” คุณฐปนีย์ตั้งคำถาม 

แม้จะไม่ได้ใช้ AI ในงานข่าวมากนัก แต่คุณฐปณีย์บอกว่านักข่าวต้องศึกษาและเข้าใจ AI ให้มาก เพราะข่าวที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มักเกี่ยวข้องกับ AI อย่างเช่นกรณีแกงค์คอลเซ็นเตอร์หรือมิจฉาชีพที่หลอกลวงทางออนไลน์ที่ใช้ AI ในการดัดแปลงเสียง ดัดแปลงใบหน้า และใช้มัลแวร์เพื่อหลอกลวงคนอื่น

​เธอเรียกร้องให้สังคมเห็นคุณค่าของคนที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้สื่อข่าว ช่างภาพ ผู้ช่วยช่างภาพและทีมงานเบื้องหลังทุกคนที่ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเป็นจริง 

​หลังจากผู้ร่วมเสวนาทุกท่านพูดจบในรอบแรก มีคำถามจากผู้ฟังว่า ทำอย่างไรไม่ให้ AI เข้ามาแย่งงานมนุษย์?

ณรณพงศ์ ตอบว่าขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของคนนำเทคโนโลยีไปใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือที่สามารถช่วยให้มนุษย์ทำงานได้ดีขึ้นเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง AI และมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่เรียกว่า AI & Human Collaboration หรือพัฒนาระบบ hybrid systemคือให้ AI ทำงานบางอย่างเช่น ติดต่อนัดหมาย แจ้งซ่อม ปิดการขาย แต่ถ้าลูกค้าต้องการคุยกับพนักงานก็ต้องเข้ามาตอบทันที

“ปฏิเสธไม่ได้ว่างานบางอย่างจะถูกแทนที่ด้วย AI  AI ไม่ได้แทนที่คน แต่แทนที่งาน เพราะฉะนั้นคนต้องพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ต้องทำอะไรที่สร้างคุณค่า โดยเฉพาะเรื่องที่ดีต่อจิตใจและจิตวิญญาณ”

คุณสุวิตากล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการ ได้สัมผัสความกังวลของพนักงานว่าจะถูก AI มาแทนที่ แต่ Tellscore ให้ความสำคัญกับพนักงาน เช่น ตำแหน่งโปรแกรมเมอร์มีการปรับjob description ให้เป็นผู้ควบคุมและตรวจสอบการทำงานที่ใช้ AI เพราะ AI อาจมีความลำเอียง (bias) ส่วนตำแหน่งอื่นเช่นพนักงานขาย AI ทำงาแทนได้ยากเพราะต้องสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า  

​คุณสุภิญญาปิดท้ายวงเสวนาด้วยประเด็นคำถามว่า ปัจเจกบุคคลและสังคมจะรับมือกับความจริงความลวงในโลกที่เทคโนโลยีไปไกลแบบนี้ได้อย่างไร ซึ่งวิทยากรผู้เข้าร่วมเสวนาให้ความเห็นตามลำดับ ดังนี้

คุณรณพงศ์ กล่าวว่ามนุษย์จะต้องพัฒนาความรู้ความเชี่ยวชาญที่ลึกกว่า AI เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบได้ว่า AI ทำงานนั้นถูกหรือผิดอย่างไร ส่วนเรื่องการแยกแยะความเท็จ-ความจริงในยุค AI นั้น เราทุกคนจะต้องมีวิจารณญาณการรู้เท่าทัน ฝึกตั้งคำถามว่าเนื้อหานั้นมันจริงหรือไม่ หาความจริงร่วมเพราะแต่ละเรื่องมีหลายมุมมอง เราต้องหาข้อมูลประกอบให้เยอะที่สุดแล้วก็มาตัดสินด้วยวิจารณญาณของตัวเอง อย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่าย ๆ

คุณรณพงศ์ฝากประเด็นให้คิดในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI ที่คาดว่าจะซับซ้อนลึกซึ้งขึ้นแต่ขณะนี้ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เป็นไปได้สูงว่ามนุษย์จะต้องกลับมาหาที่พึ่งทางจิตใจมากขึ้น ซึ่งเป็นโจทย์เรื่องสุขภาวะ ความสงบสุขในจิตใจเพราะผู้คนอาจจะเหนื่อยหนักกับการใช้เทคโนโลยี เมื่อถึงตอนนั้น AI จะช่วยให้เรามีสันติภาพทั้งภายในและสร้างสันติภาพโลกได้หรือไม่ อย่างไร

เมื่อ AI ถูกสร้างขึ้นมาโดยมนุษย์ เพราะฉะนั้นมนุษย์จะต้องมีมนุษยธรรมก่อนถึงจะสร้าง AI ที่มีมนุษยธรรมหรือจริยธรรม หรือเลียนแบบความดีได้ ทุกอย่างอยู่ที่วัตถุประสงค์ในการใช้งานและจุดมุ่งหมายของคนสร้าง AI ซึ่งถ้ามีการนำไปใช้ผิดทาง ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และมนุษยธรรมในใจของผู้คนให้ได้ก่อน

บาทหลวงอนุชา แนะนำให้ทุกคนรับข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ และใช่หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วเราไปให้ค่าให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเอง เช่น เวลาสมาชิกในครอบครัวกินอาหารด้วยกัน ทุกคนก็หยิบสมาร์ตโฟนหรือไอแพดมาดู ทำให้ไม่ได้พูดคุยกัน ความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงหายไป

บาทหลวงอนุชาตั้งข้อสังเกตว่าจริง ๆ แล้วในปัจจุบันนี้ คนที่เข้าถึง AI อาจจะเป็นคนในเมืองเป็นส่วนใหญ่ แต่โลกใบนี้ยังมีผู้คนอีกหลายกลุ่ม ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือคนกลุ่มน้อยที่เข้าไม่ถึงข้อมูล คนที่ถูกกีดกัน ดังนั้นจึงไม่ควรมองแต่เฉพาะเรื่อง AI แต่ควรมองทุกเรื่องที่ทำลายศักดิ์ศรีของมนุษย์ และปกป้องช่วยเหลือคนที่อ่อนแอ

เพราะฉะนั้นใด ๆ ก็ตามครับที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้จะให้มันทำลายศักดิ์ศรีของมนุษย์ ต้องช่วยส่งเสริมศักดิ์ศรี ต้องดึงคนที่เขาอ่อนแอขึ้นมาเพราะมนุษยชาติบนโลกใบเดียวกันต้องดูแลกัน

คุณสุวิตา ย้ำว่าหากนำ AI มาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ก็ย่อมเป็นเรื่องดี ทั้งในเรื่องของการพัฒนาผลิตภาพหรือการนำ AI มาช่วยในการทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเชื่อมั่นว่าหลายองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ไม่ได้นิ่งดูดายถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในอนาคตผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง AI จะมีมากกว่านี้ เพราะขณะนี้ AI ส่วนหนึ่งยังให้ใช้งานได้ฟรีหรือราคาไม่แพง แต่ถ้าวันหนึ่งที่บริษัทพัฒนา AI เหล่านี้คิดค่าบริการในราคาแพง โลกเราจะเกิดความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในประวัติการณ์ ระหว่างคนที่เข้าถึง AI กับคนที่เข้าไม่ถึง ซึ่งเป็นประเด็นที่ฝากไว้ให้คิด

ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยกล่าวเป็นคนสุดท้ายโดยเล่าประสบการณ์ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทที่พัฒนา AI เพื่อมาทำงานแทนนักบัญชีและการบริหารจัดการเอกสารบัญชีก่อนเข้าระบบบัญชี

ดร.พณชิตตอบคำถามผู้ฟังก่อนหน้านี้ว่า “AI ทดแทนการทำงานของคนได้และทดแทนได้เยอะด้วย” แต่อย่างไรก็ตาม AI คือสถิติ ไม่ใช่ความฉลาด ข้อมูลทุกอย่างที่ AI บอกมาล้วนมาจากการสถิติ ซึ่งไม่มีอะไรแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่สมบูรณ์แบบ

“ผมพูดได้ว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของคนที่ทำงาน จะต้องเปลี่ยนไปทำงานอื่น นี่คือความจริงที่ AI ส่งผลอยู่ในปัจจุบัน”

ดร.พณชิตกล่าวว่า เขาศึกษาและทำงานด้าน AI มาเป็นเวลานาน ในช่วงแรก ๆ มีตำราเรียนที่ตั้งคำถามว่านักพัฒนา AI กำลังสร้างสัตว์ประหลาดกันอยู่หรือเปล่า ซึ่งเป็นคำถามที่น่าขบคิดแม้ว่าในเวลานั้น AI จะยังไม่มีพลังมากเท่านี้

เขายอมรับว่าเทคโนโลยี AI “มาไวกว่าที่คิด” และจากการทำวิจัยเรื่องอนาคตของ AI เขาคาดการณ์ในปี 2030 AI จะเก่งเท่ามนุษย์ และมนุษย์จะต้องทำงานร่วมกับ AI แต่ถึงอย่างนั้นมนุษย์ก็จะต้องใช้ชุดทักษะ (skill set) บางอย่างในการทำงานที่ AI ไม่มี เช่น ความคิดและความรู้ ซึ่งความคิดเป็นเสมือนเครื่องมือในการปรุงความรู้ออกมาซึ่งแต่ละคนย่อมปรุงออกมาได้ไม่เหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งที่ AI ไม่มีเหมือนมนุษย์คือทักษระในการดูแลจิตใจหรือความเห็นอกเห็นใจต่อกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากที่มนุษย์พึงมีต่อกัน และมนุษย์ควรจะมีเพื่อดูแลตัวเอง

“ในฐานะคนที่ทำ AI อยากจะฝากไว้ว่า AI มันทำให้คุณได้ทุกอย่างแหละครับ  มันเป็นเครื่องมือที่คุณใช้ในการค้นคว้าข้อมูลหรือขอความคิดเห็น แต่คนที่จะดูแลจิตใจและชีวิตของคุณได้คือตัวคุณเอง…ไม่ว่า AI จะพัฒนาไปไกลถึงไหน มันก็เป็นเครื่องมือหนึ่ง และมันจะสร้างความท้าทายในเรื่องของการดูแลจิตใจมากขึ้น”

********************

ขอบคุณรูปจาก จากงานประชุมวิชาการสุขภาวะทางปัญญา’ 68  #SoulConnectFest2025 #Humanicec