สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 22 กรกฎาคม 2566

“สมุนไพรขันทองพยาบาท” ใช้รักษาโรคมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/10ezuko3k4n92


เปิดสินเชื่อรากฐาน ไม่ต้องค้ำประกัน โดย ธนาคารออมสิน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2k2lxpqy65m9y


กฟภ. ส่ง SMS แจ้งมาตรการคืนเงินค่าไฟฟ้าเกิน จากการประมวลผลผิดพลาด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3em9k4brl3bb9


 ฝนตกหนัก น้ำท่วมสวนนงนุช…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1p6jja1mhumyd


หากกลางคืนปัสสาวะบ่อย สัญญาณบอกไขมันสะสมในช่องท้อง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2p0ovjfhx8zb6


 ทุเรียนหมอนทองเป็นยารักษาโรคได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3sf0ash84w53n


หมดข้อกังวล รถหายในห้างฯ หลังฎีกาออกแล้ว พร้อมข้อแนะนำ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/q5koynu2drc9


มีผลแล้ว! ประกาศยกเลิกใช้สำเนาบัตรประชาชน – ทะเบียนบ้านเพื่อรองรับดิจิทัล

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3d4otrlvoawn


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 กรกฎาคม 2566

อาการขี้หนาวเป็นสัญญาณของไตขวาเสื่อม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3dxj6piojwfwz


สารฟอร์มาลีนใน “น้ำแข็งยูนิค” ทำคนไทยป่วยมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18y9oxwr4p60c


สระผมก่อนอาบน้ำอาจทำให้เส้นเลือดแตก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3s5o391gqmx0a


อากาศร้อนเพิ่มอุณหภูมิของลำไส้ดูดซึมเชื้อโรคเข้ากระแสเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3bapeamss4v6t


สัมผัสสารกันบูดในปลาทูนึ่ง ทำให้เป็นมะเร็งที่มือ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/29hl34cwpsa4x


สธ. เปิดตัวรถฟอกไตเคลื่อนที่นวัตกรรมต้นแบบคันแรกของไทย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/124g3ipop4lay


Easy Jet ขอผู้โดยสาร 19 คนลงจากเครื่อง เหตุน้ำหนักเกิน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2oweyxjjwbuat


นักวิทย์พบหลักฐานยืนยัน โลกเข้าสู่ยุคสมัย “แอนโทรโพซีน”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/27izhw4krmyqe


สารอันตราย เร่งไขมันพอกตับ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3mkj2sdru5ug9


สัญญาณอาการมะเร็งเต้านม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2alwygfc0s4fn


แจ้งเตือนภัยการโจมตีทางไซเบอร์ ถูกนำไปสร้างความเกลียดชังคนกัมพูชา

รายงานแจ้งเตือนการโจมตีทางไซเบอร์ที่เผยแพร่โดยศูนย์ประสานงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ด้านโทรคมนาคม (TTC-CERT) ถูกนำไปเติมแต่งเนื้อหาและสอดแทรกความคิดเห็นเพื่อสร้างความเกลียดชังคนกัมพูชา

TTC-CERT เผยแพร่รายงานการแจ้งเตือนหัวข้อ “แจ้งเตือนกรณีตรวจพบการโจมตีด้วยวิธีการ DDoS โดยมีเป้าหมายเป็นองค์การในหลายภาคส่วนของประเทศไทย” เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2566 ว่า ทางศูนย์ฯ ตรวจพบปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ภายใต้ชื่อ “OpThailand” ซึ่งคาดว่าเป็นปฏิบัติการของกลุ่มแฮกเกอร์จากประเทศกัมพูชา เช่น กลุ่ม “Anonymous Cambodia” “K0LzSec” “CYBER SKELETON” และ “NDT SEC” โดยอ้างเหตุความไม่พอใจกรณีการก่อสร้างวัดแห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ ที่มีรูปทรงคล้ายนครวัดของกัมพูชา

TTC-CERT ระบุว่า ปฏิบัติการนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ประมาณวันที่ 29 มิ.ย. 2566 มีเป้าหมายโจมตีเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐและเอกชนของไทยด้วยวิธีที่เรียกว่า Distributed Denial of Service (DDoS) และขู่ว่าจะขโมยข้อมูลต่าง ๆ ขององค์กรเป้าหมายมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ

TTC-CERT ระบุว่า ปฏิบัติการนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ประมาณวันที่ 29 มิ.ย. 2566 มีเป้าหมายโจมตีเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐและเอกชนของไทยด้วยวิธีที่เรียกว่า Distributed Denial of Service (DDoS) และขู่ว่าจะขโมยข้อมูลต่าง ๆ ขององค์กรเป้าหมายมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ

ภาพแสดงการประกาศปฏิบัติการ “OpThailand” ใน Telegram channel ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “Anonymous Cambodia” (ภาพจากรายงาน “แจ้งเตือนกรณีตรวจพบการโจมตีด้วยวิธีการ DDoS โดยมีเป้าหมายเป็นองค์การในหลายภาคส่วนของประเทศไทย”)

รู้จัก TTC-CERT: ศูนย์ประสานงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ด้านโทรคมนาคม หรือ ศูนย์ TTC-CERT จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2563 โดยความร่วมมือของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และเอกชนผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม 9 ราย เช่น กสท โทรคมนาคม, ทีโอที, ซีเอส ล็อกซอินโฟ, ดีแทค ไตรเน็ต, ทริปเปิลทีบรอดแบนด์, ทรู อินเทอร์เน็ต, แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมทั้งรับมือกับเหตุภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม

https://www.ttc-cert.or.th/

ต่อมาวันที่ 5 ก.ค. 2566 ช่องยูทูป “Thailand and The World” ได้นำรายงานแจ้งเตือนของ TTC-CERT มาเผยแพร่ต่อในรูปแบบของวิดีโอความยาวกว่า 8 นาที พาดหัวว่า “เขมรโจมตีไทย หน่วยงานรัฐไทยแจง…ทำเป็นขบวนการ เหตุไม่พอใจเลียนแบบเขมร” โดยผู้บรรยายได้สอดแทรกเนื้อหาและความคิดเห็นในลักษณะที่เป็นการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังคนกัมพูชา เช่น ระบุว่าปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์นี้ “เป็นการยืนยันอีกครั้งว่า โดยพื้นฐานแล้ว ชาวกัมพูชาไม่ได้รู้สึกที่เป็นบวกต่อคนไทยเลย จากการที่ได้เรียนรู้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์จากรัฐบาลเขมร ที่ได้สร้างแนวคิดให้มองไทยเป็นศัตรูมาโดยตลอด” และระบุว่าปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์นี้อาจเกี่ยวโยงกับการเข้าเมืองผิดกฎหมายของชาวกัมพูชาและปัญหาส่วยแรงงานผิดกฎหมาย 

เนื้อหาในวิดีโอดังกล่าวยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทย นายจ้าง ผู้ประกอบการ “ลดการสนับสนุนหรือใช้แรงงานจากกัมพูชา” และเฝ้าระวังและจับตาชาวกัมพูชาในไทยให้มากขึ้น

ณ วันที่ 12 ก.ค. 2566 วิดีโอที่เผยแพร่ทางช่องยูทูป Thailand and The World มีการเข้าชมแล้วกว่า 123,000 ครั้ง และมีผู้เข้ามาให้ความเห็นมากกว่า 1,400 ข้อความ ส่วนใหญ่มีแสดงความรู้สึกในทางลบต่อคนกัมพูชา

วิดีโอชิ้นนี้ยังถูกนำไปเผยแพร่ต่อในหลายช่องทาง ทั้งทวิตเตอร์ เฟซบุ๊กและติ๊กต็อก เช่น เพจเฟซบุ๊ก “ทัวร์ลง” ซึ่งมักโพสต์เนื้อหาเกี่ยวกับไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชา ในลักษณะที่ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตีไซเบอร์ “OpThailand” ที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียกลุ่มหนึ่งนำมาจุดประเด็นสร้างความเกลียดชังชาวกัมพูชา โดยอ้างอิงจากรายงานการแจ้งเตือนการโจมตีทางไซเบอร์ของ TTC-CERT และสัมภาษณ์นายพิศุทธิ์ ม่วงสมัย หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค (Technical Lead) ของ TTC-CERT เมื่อ 11 ก.ค. 2566 สรุปได้ดังนี้

แฮกเกอร์กลุ่มนี้เป็นใคร?

TTC-CERT “คาดว่า” ปฏิบัติการ OpThailand เป็นฝีมือของกลุ่มแฮกเกอร์กัมพูชา เพราะนอกจากชื่อกลุ่มอย่าง Anonymous Cambodia แล้ว แฮกเกอร์กลุ่มนี้ยังใช้ภาษาเขมรและภาษาอังกฤษสื่อสารกันในห้องสนทนาของแอปพลิเคชัน Telegram ที่ใช้เป็นที่สื่อสาร นัดหมายการโจมตี และแจ้งผลปฏิบัติการ อย่างไรก็ตาม TTC-CERT ยังไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่าแฮกเกอร์กลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่กลุ่มแฮกเกอร์ที่รัฐบาลกัมพูชาหนุนหลัง

นายพิศุทธิ์อธิบายเพิ่มเติมว่า ผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถยืนยันตำแหน่งที่อยู่ของแฮกเกอร์จากหมายเลขประจำอุปกรณ์หรือ IP Address ได้เพราะพวกเขาใช้อุปกรณ์ที่ถูก “แฮก” (hack) จากที่ต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้พบว่ามีมากกว่า 700 IP Address มาป้อนคำสั่งให้กลายเป็น “บอต” (bot) เข้าโจมตีเป้าหมายที่เป็นเว็บไซต์หน่วยงานรัฐและเอกชนของไทย ดังนั้นจึงไม่สามารถแกะรอยของผู้โจมตีจาก IP Address ของอุปกรณ์ได้   

ไม่ได้โจมตีแค่ประเทศไทย

TTC-CERT พบว่าแฮกเกอร์กลุ่มนี้ไม่ได้มุ่งโจมตีเว็บไซต์ของหน่วยงานในไทยเท่านั้น แต่เคยปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ในลักษณะเดียวกันนี้ในหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย อินเดีย โดยไม่เจาะจงองค์กรหรือหน่วยงาน เมื่อเลือกปฏิบัติการในประเทศใดก็จะหยิบยกประเด็นความขัดแย้งมารองรับปฏิบัติการโจมตี เช่น กรณีของไทย กลุ่มแฮกเกอร์อ้างความไม่พอใจกรณีการก่อสร้างวัดในไทยที่มีลักษณะคล้ายนครวัดของกัมพูชา

“เขาไม่ได้โจมตีประเทศไทยโดยเฉพาะ เขาโจมตีไปเรื่อย แต่ช่วงที่เราตรวจสอบเขาแค่เบนเข็มมาที่ประเทศไทย…เว็บไซต์ขององค์กรไหนที่มีช่องโหว่หรือเปิดโอกาสให้โจมตีได้ เขาโจมตีหมดไม่เลือก” นายพิศุทธิ์กล่าวกับโคแฟค

ทั้งนี้ วัดที่กลุ่มแฮกเกอร์อ้างถึงคือวัด “วัดภูม่านฟ้า” หรือ “วัดพระพุทธบาทศิลา” อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งก่อสร้างเมื่อปี 2562 และในปี 2564 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในกัมพูชาได้โพสต์เนื้อหาทำนองว่าวัดแห่งนี้สร้างเลียนแบบนครวัดของกัมพูชา ซึ่งต่อมาเจ้าอาวาสได้ชี้แจงผ่านสื่อมวลชนว่า รูปแบบการก่อสร้างเกิดจากจินตนาการและเป็นการนำจุดเด่นของโบราณสถานแต่ละแห่งมาประยุกต์    

ภาพเปรียบเทียบวัดภูม่านฟ้า จ.บุรีรัมย์ และปราสาทนครวัด จ.เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ที่มีการเผยแพร่กันในหมู่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียชาวกัมพูชา และกลุ่มแฮกเกอร์นำมาเป็นชนวนของปฏิบัติการ OpThailand

สถานะล่าสุดของปฏิบัติการ OpThailand  

TTC-CERT ตรวจพบเบื้องต้นว่ากลุ่มแฮกเกอร์ทำการโจมตีด้วยวิธีการ DDoS ต่อเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐและเอกชน เช่น กรมบัญชีกลาง กระทรวงการต่างประเทศ สถาบันพระบรมราชชนก บริษัท ท่าอากาศยานไทย ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารทิสโก และมีการนำข้อมูลจากเว็บไซต์ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งมาเผยแพร่ ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2566 ทางกลุ่มอ้างว่าโจมตีเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้สำเร็จ และประกาศว่าจะปฏิบัติการอีกครั้งในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2566 จนถึงขณะนี้ TTC-CERT ได้รับข้อมูลจากหน่วยงานที่ถูกโจมตีเว็บไซต์ เกี่ยวกับวิธีการโจมตีแบบ DDoS รวมถึง Traffic Log และ IP Addressต้องสงสัย ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในการเฝ้าระวังและป้องกันการโจมตีขององค์กรอื่น ๆ ต่อไป

ข้อสรุปโคแฟค

1) วิดีโอเรื่อง “เขมรโจมตีไทย หน่วยงานรัฐไทยแจง…ทำเป็นขบวนการ เหตุไม่พอใจเลียนแบบเขมร” ที่เผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียในขณะนี้ มีทั้งส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง คือ รายงานการแจ้งเตือนของศูนย์ TTC-CERT และส่วนที่เป็นความคิดเห็น การเชื่อมโยงและตีความเอาเองของผู้ผลิตเนื้อหา โดยใช้ถ้อยคำที่ปลุกเร้าให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อชาวกัมพูชา ผู้ชมควรแยกแยะส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงออกจากส่วนที่เป็นความคิดเห็น หากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ OpThailand ควรอ้างอิงจากรายงานต้นฉบับที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของ TTC-CERT เท่านั้น

2) รายงานการแจ้งเตือนของ TTC-CERT และข้อมูลเพิ่มเติมจากการให้สัมภาษณ์ของหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของ TTC-CERT เกี่ยวกับปฏิบัติการ OpThailand ชี้ให้เห็นว่า ปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ OpThailand เป็นการกระทำของแฮกเกอร์เพียงกลุ่มเดียว ที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนกัมพูชาทั้งหมด การนำเนื้อหาในรายงานของ TTC-CERT มาชี้นำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อคนกัมพูชาโดยรวมจึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง  

3) แฮกเกอร์กลุ่มนี้ปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ในหลายประเทศ ไม่ได้เจาะจงเฉพาะประเทศไทย และไม่ได้เจาะจงองค์กร แสดงว่าปฏิบัติการนี้ไม่ได้มีต้นตอมาจากความไม่พอใจเรื่องการสร้างวัดลอกเลียนแบบรูปทรงของนครวัดโดยเฉพาะ แต่ประเด็นนี้ถูกหยิบยกมาเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการโจมตีเท่านั้น 

4) ข้อเรียกร้องในวีดิโอของ Thailand and The World ที่ให้รัฐบาล ผู้ประกอบการและนายจ้างลดการจ้างแรงงานกัมพูชา และเพิ่มการเฝ้าระวังและจับตาชาวกัมพูชาในไทย อันเนื่องมาจากปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งนี้ เป็นการเชื่อมโยงที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าปฏิบัติการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับแรงงานกัมพูชาในไทย ความเห็นนี้น่าจะมีเจตนาขยายผลให้เกิดความรู้สึกในทางลบต่อชาวกัมพูชาในไทย ที่อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์อันดีของประชาชนทั้งสองประเทศในระยะยาว

เรื่องแนะนำ

อนาคตอันสดใสแต่ใช่จะไร้ความเสี่ยง

AI เข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจมากขึ้นทุกทีในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งมาพร้อมกับความกังวลด้านจริยธรรมที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

โดย
Christina Pazzanese

นักเขียนประจำของฮาร์วาร์ด

บทความแปลจาก Great promise but potential for peril

Ethical concerns mount as AI takes bigger decision-making role in more industries

วันที่ 26 ตุลาคม 2020

บทความชิ้นที่สองจากชุดบทความสี่ชิ้นที่ใช้ความเชี่ยวชาญของชุมชนฮาร์วาร์ดเพื่อพิจารณาความสำคัญและข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นของยุครุ่งเรืองแห่งปัญญาประดิษฐ์และแมชชีนเลิร์นนิง รวมถึงวิธีการใช้งานให้เหมือนการทำงานกับมนุษย์

หลายทศวรรษที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เป็นขุมพลังของการวิจัย STEM ระดับสูง  ผู้บริโภคส่วนใหญ่ตระหนักถึงพลังและศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ผ่านแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตเช่น Google และ Facebook และร้านค้าปลีกเช่น Amazon ทุกวันนี้ AI มีความสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งด้านการแพทย์ การธนาคาร การค้าปลีก และการผลิต

แต่ความคาดหวังว่า AI จะเปลี่ยนการทำงานจากหน้ามือเป็นหลังมือ เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และผลักดันการวิจัยและพัฒนากลับถูกเคลือบแคลงด้วยข้อกังวลว่าระบบที่ซับซ้อนและคลุมเครือของ AI อาจเป็นอันตรายต่อสังคมมากกว่าให้ผลดีทางเศรษฐกิจ ด้วยความที่แทบไม่มีการกำกับดูแลจากรัฐบาลสหรัฐฯ บริษัทเอกชนจึงใช้ซอฟต์แวร์ AI กับการตัดสินใจด้านสุขภาพและการแพทย์ การจ้างงาน ความน่าเชื่อถือทางการเงิน และแม้แต่ด้านความยุติธรรมทางอาญาโดยไม่ต้องรับรองความมั่นใจให้ใครว่าโปรแกรมของพวกเขาปราศจากอคติเชิงโครงสร้าง (Structural Bias) ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า AI มีทั้งความน่าสนใจและประโยชน์ใช้สอยมากขึ้นทุกที คาดกันว่าการใช้จ่ายทางธุรกิจทั่วโลกเกี่ยวกับ AI จะมากถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้ และ 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีภายในปี 2024 แม้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำทั่วโลกจากการระบาดของ COVID -19 ตามการคาดการณ์ที่เผยแพร่ในเดือนสิงหาคมโดยบริษัทวิจัยเทคโนโลยี IDC อุตสาหกรรมการค้าปลีกและการธนาคารใช้จ่ายมากที่สุดในปีนี้ โดยใช้ไปมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่ออุตสาหกรรม บริษัทคาดว่าอุตสาหกรรมสื่อและรัฐบาลกลางจะลงทุนมากที่สุดในช่วงปี 2018 ถึง 2023 และคาดการณ์ว่า AI จะเป็น “สิ่งทรงอิทธิพลที่จะมาขัดขวางและเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรมในทศวรรษต่อไป”

“บริษัทยักษ์ใหญ่เกือบทุกแห่งในขณะนี้ใช้งาน AI อยู่หลายระบบ และพวกเขาถือว่าการใช้ AI เป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์” เป็นคำกล่าวของ Joseph Fuller อาจารย์ด้านการบริหารจัดการของ Harvard Business School และผู้นำร่วมของ “การจัดการอนาคตของการทำงาน” โครงการวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาและการนำ AI ไปใช้ รวมถึงแมชชีนเลิร์นนิง หุ่นยนต์ เซ็นเซอร์ และระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม ทั้งในโลกธุรกิจและโลกการทำงาน

ในช่วงต้น มีการสันนิษฐานกันอย่างแพร่หลายว่าอนาคตของ AI จะเป็นเพียงการเปลี่ยนงานง่ายๆ และซ้ำซากให้เป็นอัตโนมัติโดยใช้แค่การตัดสินใจในระดับต่ำ แต่ AI กลับมีความชาญฉลาดขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยผลจากคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงและการมีชุดข้อมูลขนาดใหญ่ สาขาหนึ่งของ AI อย่างแมชชีนเลิร์นนิงที่โดดเด่นด้วยความสามารถในการจัดเรียงและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลพร้อมกับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในหลายวงการ รวมถึงวงการการศึกษา

หลายบริษัทในตอนนี้ใช้ AI เพื่อจัดการการจัดหาวัสดุและผลิตภัณฑ์จากซัพพลายเออร์ และเพื่อบูรณาการข้อมูลจำนวนมากสำหรับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และเนื่องจากความสามารถในการประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เครื่องมือ AI จึงช่วยประหยัดเวลาอันมีค่าไม่ให้เสียไปกับการลองผิดลองถูกในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยาที่อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อผลิตยาชนิดใหม่ออกสู่ตลาด Fuller กล่าว

ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเห็นโอกาสในการใช้ AI มากมาย รวมถึงการเรียกเก็บเงินและการประมวลผลเอกสารที่จำเป็น และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์คาดหวังว่าผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและจะเกิดขึ้นได้ทันทีคือการวิเคราะห์ข้อมูล การถ่ายภาพ และการวินิจฉัยโรค ลองนึกภาพว่าถ้าเรามีความสามารถในการนำความรู้ทางการแพทย์ทั้งหมดที่มีอยู่เกี่ยวกับโรคนั้นๆ มาใช้ประกอบการตัดสินใจรักษาโรคดูสิ

ในการจ้างงาน ซอฟต์แวร์ AI จะคัดเลือกและประมวลผลเรซูเม่ และวิเคราะห์เสียงและการแสดงออกทางสีหน้าของผู้สมัครงานในขั้นตอนการสัมภาษณ์ และผลักดันการเติบโตของงานแบบ “ไฮบริด” แทนที่ AI จะเข้ามาแทนพนักงาน AI จะรับหน้าที่ทางเทคนิคที่สำคัญในเนื้องานไปแทน เช่น การกำหนดเส้นทางสำหรับรถขนส่งพัสดุ ซึ่งอาจช่วยให้พนักงานมีเวลาไปทำหน้าที่อื่นๆ และทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีคุณค่าต่อนายจ้างมากขึ้นในที่สุด 

“AI ช่วยให้พนักงานทำสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้นหรือทำให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยลง หรือช่วยให้ใช้ความเชี่ยวชาญของพนักงานในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” ฟูลเลอร์กล่าว จากผลการวิจัยผลกระทบและทัศนคติของคนงานที่สูญเสียหรือมีแนวโน้มที่จะสูญเสียงานให้กับ AI

“เครื่องจักรอัจฉริยะสามารถคิดได้ดีกว่าเราหรือไม่ หรือมีองค์ประกอบบางอย่างในการใช้วิจารณญาณของมนุษย์ที่ยังขาดไม่ได้สำหรับการตัดสินใจในเรื่องสำคัญของชีวิต?”- Michael Sandel นักปรัชญาการเมือง และ Anne T. และ Robert M. Bass อาจารย์ด้านการปกครอง

ถึงแม้ว่าเราจะใช้ระบบอัตโนมัติกันไปอีกนาน แต่การกำจัดงานทั้งหมวดหมู่เพราะนิยมใช้ AI มากกว่า เช่น งานพนักงานเก็บเงินค่าทางด่วนที่จะถูกแทนที่ด้วยเซ็นเซอร์นั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นไปอีกนานนัก Fuller กล่าวไว้

“สิ่งที่เราจะได้เห็นคืองานที่ต้องการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ ความเห็นอกเห็นใจ งานที่ต้องใช้การตัดสินใจในสิ่งที่เครื่องจักรกำลังสร้างขึ้น จะยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้น” เขากล่าว

ในขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่มีความก้าวหน้าด้านนี้ไปมากแล้ว ธุรกิจขนาดเล็กอาจได้รับการเปลี่ยนแปลงโดย AI ได้เช่นกัน Karen Mills ผู้เป็นนักศึกษาปี 1975 และ M.B.A. ปี 1977 ซึ่งเป็นผู้บริหารองค์กรบริหารธุรกิจขนาดเล็กของสหรัฐอเมริกา (SBA) ตั้งแต่ปี 2009 ถึง 2013 ได้กล่าวไว้ ความที่ประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศได้รับการจ้างงานโดยธุรกิจขนาดเล็กก่อนการระบาดของ COVID -19 อาจส่งผลกระทบสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

แทนที่จะขัดขวางธุรกิจขนาดเล็ก เทคโนโลยี AI อาจให้ข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ ด้านแนวโน้มการขาย กระแสเงินสด การสั่งซื้อ และข้อมูลทางการเงินที่สำคัญอื่นๆ แบบเรียลไทม์แก่เจ้าของ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจสถานะของธุรกิจได้ดีขึ้นและมองเห็นจุดที่เป็นปัญหาในธุรกิจโดยไม่ต้องจ้างใครเพิ่ม ไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเสียเอง หรือไม่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับตัวเลขในสมุดบัญชีอยู่ทุกสัปดาห์ Mills กล่าว

งานประเภทหนึ่งที่ AI อาจ “ทำได้ในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน” คืองานให้กู้ยืมเงิน ซึ่งเหตุผลหนึ่งที่การเข้าถึงเงินทุนเป็นเรื่องยากเพราะธนาคารมักจะแทบไม่สามารถหาข้อมูลสภาพคล่องและความน่าเชื่อถือของธุรกิจขนาดเล็กได้อย่างแม่นยำนัก

“การมองเข้าไปในกระบวนการทำธุรกิจให้รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างเป็นเรื่องยากกว่ามาก” ยากกว่าการประเมินบุคคลมาก เธอกล่าว

ความคลุมเครือของข้อมูลทำให้กระบวนการให้กู้ยืมเงินมีความยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้ อีกทั้งกระบวนการสมัครยังถูกออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์บริษัทขนาดใหญ่หรือผู้ที่เคยกู้ยืมเงินไปแล้ว ซึ่งเป็นข้อเสียเปรียบตั้งแต่แรกเริ่มสำหรับธุรกิจบางประเภทและสำหรับผู้กู้ที่ด้อยโอกาสตามที่ทราบกันดี เช่น ผู้หญิง และเจ้าของธุรกิจชนกลุ่มน้อย Mills นักวิจัยอาวุโสของ HBS กล่าว

แต่ด้วยซอฟต์แวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ดึงข้อมูลจากบัญชีธนาคาร ภาษี และข้อมูลการทำบัญชีออนไลน์ของธุรกิจ แล้วนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลจากธุรกิจที่คล้ายคลึงกันหลายพันแห่ง ทำให้แม้แต่ธนาคารชุมชนขนาดเล็กก็สามารถประเมินผลให้ได้ภายในไม่กี่นาทีโดยไม่ต้องกังวลกับกองเอกสารและความล่าช้า และเช่นเดียวกับการออดิชั่นโดยไม่เห็นหน้าของนักดนตรี ไม่ต้องกลัวว่าจะมีความไม่เท่าเทียมใดๆ คืบคลานเข้ามากวนการตัดสินใจอีกด้วย

“เรื่องทั้งหมดนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว” เธอกล่าว

บรรทัดแห่งความเป็นกลาง

ใช่ว่าทุกคนจะเห็นแสงสว่างที่ปลายทางเหมือนกันหมด หลายคนกังวลว่ายุคของ AI ที่กำลังจะมาถึงจะนำมาซึ่งวิธีการใหม่ๆ ที่เร็วขึ้นโดยปราศจากแรงเสียดทานในการเลือกปฏิบัติและแบ่งแยกอย่างกว้างขวาง

“ส่วนหนึ่งที่น่าสนใจของการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึมคือดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีที่ไม่มีอคติเพื่อการเอาชนะอัตวิสัย อคติ และความลำเอียงของมนุษย์” Michael Sandel นักปรัชญาการเมือง, Anne T. และ Robert M. Bass อาจารย์ด้านการปกครองกล่าว “แต่เราพบว่าอัลกอริทึมจำนวนมากที่ตัดสินใจเรื่องอย่างเช่นว่าใครควรได้รับการปล่อยตัวแบบมีเงื่อนไข หรือใครควรได้รับโอกาสในการจ้างงาน หรือได้รับที่อยู่อาศัย… จะตัดสินใจซ้ำเดิมตามอคติที่ฝังแน่นอยู่แล้วในสังคมของเรา”

“ถ้าเราไม่รอบคอบและระมัดระวัง เราจะกลับมากระทำด้วยความลำเอียงอีกโดยไม่รู้ตัว”

— Karen Mills นักวิจัยอาวุโสแห่งโรงเรียนธุรกิจและผู้บริหารองค์กรบริหารธุรกิจขนาดเล็กของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2009 ถึง 2013

Sandel ผู้สอนหลักสูตรความสัมพันธ์เชิงศีลธรรม สังคม และการเมืองของเทคโนโลยีสมัยใหม่ กล่าวว่า AI เปิดสามประเด็นหลักด้านจริยธรรมที่ควรกังวลสำหรับสังคม ได้แก่ ความเป็นส่วนตัวและการเฝ้าระวัง อคติและการเลือกปฏิบัติ และบทบาทของการใช้วิจารณญาณของมนุษย์ ซึ่งประเด็นสุดท้ายเป็นคำถามที่ยากและลึกซึ้งที่สุดในยุคนี้

“การอภิปรายเกี่ยวกับการปกป้องความเป็นส่วนตัวและวิธีการเอาชนะอคติในการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึมในการตัดสินคดี การปล่อยตัวแบบมีเงื่อนไข และในกระบวนการจ้างงาน เป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยกันดีแล้ว” Sandel กล่าวโดยอ้างถึงความลำเอียงทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวของนักพัฒนาโปรแกรมและของชุดข้อมูลที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการฝึกซอฟต์แวร์ “แต่เรายังไม่ได้คำนึงถึงคำถามที่ยากที่สุดคือ เครื่องจักรอัจฉริยะสามารถคิดได้ดีกว่าเราหรือไม่ หรือมีองค์ประกอบบางอย่างในการใช้วิจารณญาณของมนุษย์ที่ยังขาดไม่ได้สำหรับการตัดสินใจในเรื่องสำคัญของชีวิต?”

ความตื่นตระหนกว่า AI จะทำให้เกิดอคติในชีวิตประจำวันอย่างมากนั้นเป็นเรื่องที่พูดกันเกินจริง Fuller กล่าว ประการแรก โลกธุรกิจและที่ทำงานที่เต็มไปด้วยการตัดสินใจของมนุษย์มักจะเต็มไปด้วยอคติ “ทุกประเภท” ที่คอยกีดกันข้อตกลงทางธุรกิจ หรือการทำสัญญา และการหางานอยู่แล้ว

เมื่อมีการปรับเทียบอย่างรอบคอบและปรับใช้ด้วยความระมัดระวัง ซอฟต์แวร์คัดกรองเรซูเม่จะช่วยให้สามารถพิจารณากลุ่มผู้สมัครได้กว้างขึ้นกว่าที่เคยทำได้ด้วยวิธีเดิม และยังช่วยลดโอกาสใช้ความลำเอียงที่มาพร้อมกับผู้คัดกรองที่เป็นมนุษย์อีกด้วย Fuller กล่าว

Sandel ไม่เห็นด้วย “AI ไม่เพียงแต่เลียนแบบอคติของมนุษย์เท่านั้น แต่ AI ยังนับว่าอคติเหล่านี้เป็นความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย AI ทำให้ดูเหมือนว่าการคาดการณ์และการตัดสินเหล่านี้มีสถานะที่เป็นกลาง” Sandel กล่าว

ในโลกของการให้กู้ยืมเงิน การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึมมี “ด้านมืด” ที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน Mills กล่าว เนื่องจากเครื่องจักรเรียนรู้จากชุดข้อมูลที่ได้รับ จึงมีโอกาส “ค่อนข้างสูง” ที่เครื่องจักรจะทำซ้ำความล้มเหลวในอดีตจำนวนมากของอุตสาหกรรมการธนาคารที่ส่งผลให้เกิดการปฏิบัติที่แตกต่างอย่างเป็นระบบต่อชาวแอฟริกันอเมริกันและผู้บริโภคชายขอบกลุ่มอื่นๆ

“ถ้าเราไม่รอบคอบและระมัดระวัง เราจะกลับมากระทำด้วยความลำเอียงอีกโดยไม่รู้ตัว” เธอกล่าว

อุตสาหกรรมที่มีการควบคุมสูงอย่างธนาคารจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายหากอัลกอริทึมที่พวกเขาใช้ในการประเมินการขอสินเชื่อกลายเป็นอัลกอริทึมที่เลือกปฏิบัติต่อกลุ่มผู้บริโภคบางกลุ่มอย่างไม่เหมาะสม ดังนั้นผู้ที่ “อยู่ในระดับสูงสุด” ในธุรกิจนี้จึง “ให้ความสำคัญอย่างมาก” กับประเด็นนี้ Mills กล่าวไว้จากการศึกษาอย่างใกล้ชิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีทางการเงินหรือ “ฟินเทค”

“พวกเขาไม่ต้องการที่จะเลือกปฏิบัติจริงๆ พวกเขาต้องการให้เงินทุนได้ไปถึงผู้กู้ที่น่าเชื่อถือที่สุด ”เธอกล่าว “เพราะนั่นดีสำหรับธุรกิจของพวกเขาเช่นกัน”

หลากหลายแนวคิดในการกำกับดูแล

ด้วยพลังและความแพร่หลายที่เห็นได้ชัดของ AI ทำให้มีคนเสนอว่าควรมีการควบคุมการใช้ AI อย่างเข้มงวด แต่มีฉันทามติเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเกี่ยวกับวิธีการควบคุมและใครควรสร้างกฎ

จนถึงขณะนี้บริษัทที่พัฒนาหรือใช้ระบบ AI ส่วนใหญ่จะใช้วิธีตรวจสอบตนเองโดยอาศัยกฎหมายที่มีอยู่และพลังของตลาด เช่น ปฏิกิริยาเชิงลบจากผู้บริโภคและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือความต้องการของผู้มีความสามารถทางเทคนิค AI ค่าตัวแพงที่ต้องการรักษามาตรฐานของ AI

“ไม่มีนักธุรกิจในองค์กรใหญ่น้อยทั้งหลายคนใดบนโลกนี้ที่ไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทุกคนกำลังพยายามไตร่ตรองว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ทางการเมือง กฎหมาย การกำกับดูแล หรือทางจริยธรรม” Fuller กล่าว

หลายบริษัทคำนึงถึงความรับผิดที่จะเป็นไปได้ของตนจากการใช้งานในทางที่ผิดก่อนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดหวังให้บริษัทคาดการณ์และป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจได้ทั้งหมด เขากล่าว

มีน้อยคนที่คิดว่ารัฐบาลกลางสามารถทำได้ หรือจะมีวันทำได้

“หน่วยงานกำกับดูแลไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลหากไม่ได้มีความตั้งใจและการลงทุนอย่างจริงจัง” Fuller กล่าว โดยระบุว่าด้วยอัตราการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วหมายความว่าแม้แต่สมาชิกสภานิติบัญญัติที่มีความรอบรู้มากที่สุดก็ยังตามความรวดเร็วนี้ไม่ทัน การกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้ AI ทุกรายการต้องผ่านการคัดกรองล่วงหน้าสำหรับอันตรายทางสังคมที่อาจเกิดขึ้นไม่เพียงแต่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ แต่ยังส่งผลเสียต่อความก้าวหน้าทางนวัตกรรมอีกด้วย

“ผมจะไม่สร้างกลุ่ม AI กลางที่มีแผนกผลิตรถ แต่ผมจะให้กลุ่มคนผลิตรถสร้างแผนกสำหรับคนในกลุ่มที่เก่งเรื่อง AI จริงๆ”

— Jason Furman อาจารย์ด้านนโยบายเศรษฐกิจเชิงปฏิบัติแห่ง Kennedy School และอดีตที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระดับสูงของประธานาธิบดี Barack Obama

Jason Furman อาจารย์ด้านนโยบายเศรษฐกิจเชิงปฏิบัติแห่ง Harvard Kennedy School ยอมรับว่าหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐต้องการ “ความเข้าใจทางเทคนิคที่ดีกว่านี้เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์เพื่อให้ทำงานได้ดี” แต่กล่าวว่าพวกเขาสามารถทำได้

หน่วยงานที่มีอยู่เช่นสมาคมความปลอดภัยในการคมนาคมบนทางหลวงแห่งชาติซึ่งกำกับดูแลความปลอดภัยของยานพาหนะสามารถจัดการปัญหา AI ที่อาจเกิดขึ้นในยานพาหนะอัตโนมัติได้ แทนที่จะต้องมีหน่วยงานเฝ้าระวังเพียงหน่วยงานเดียว เขากล่าว

“ผมจะไม่สร้างกลุ่ม AI กลางที่มีแผนกผลิตรถ แต่ผมจะให้กลุ่มคนผลิตรถสร้างแผนกสำหรับคนในกลุ่มที่เก่งเรื่อง AI จริงๆ” Furman อดีตที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระดับสูงของประธานาธิบดี Barack Obama กล่าว

แม้ว่าการรักษากฎระเบียบ AI ภายในอุตสาหกรรมเองจะทำให้เสียโอกาสในการสร้างการบังคับใช้ร่วมกัน แต่ Furman กล่าวว่าคณะกรรมการเฉพาะอุตสาหกรรมจะมีความรู้มากกว่าเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ครอบคลุมหลากหลายในขณะที่ AI เป็นเพียงองค์ประกอบเดียวในเทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งจะทำให้การกำกับดูแลได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น

ในขณะที่สหภาพยุโรปมีกฎหมายว่าด้วยความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เข้มงวดบังคับใช้แล้ว และคณะกรรมาธิการยุโรปอยู่ระหว่างการพิจารณากรอบการกำกับดูแลอย่างเป็นทางการสำหรับการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม แต่รัฐบาลสหรัฐฯ มักจะทำเรื่องกฎระเบียบด้านเทคโนโลยีช้ากว่าภูมิภาคอื่นเสมอ

“ผมคิดว่าเราควรเริ่มต้นไปเมื่อสามทศวรรษที่แล้ว แต่ช้าก็ยังดีกว่าไม่ได้เริ่มทำ” Furman กล่าว ซึ่งเขาคิดว่าจำเป็นต้องมี “ความรู้สึกกดดันเร่งด่วนมากกว่านี้” เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติเริ่มขยับตัว

ผู้นำธุรกิจ “ไม่สามารถเลือกทั้งสองทางได้” ทั้งการปฏิเสธความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เป็นอันตรายของ AI หรือการต่อสู้กับการกำกับดูแลของรัฐบาล – Sandel ยืนยัน

“ปัญหาคือบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เหล่านี้ทั้งไม่ได้ควบคุมตนเองหรืออยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เหมาะสมของรัฐบาล ผมคิดว่าต้องมีทั้งสองอย่างมากกว่านี้” เขากล่าว และเสริมในภายหลังว่า “เราไม่สามารถทึกทักเอาเองได้ว่าพลังของตลาดจะจัดการได้ด้วยตัวมันเอง นั่นเป็นความผิดพลาดตามที่เราเคยเห็นแล้วกับ Facebook และบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่นๆ”

เมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา Sandel ได้สอนหลักสูตร “จริยธรรมเทคโนโลยี” ซึ่งเป็นหลักสูตรการศึกษาทั่วไปหลักสูตรใหม่ที่ได้รับความนิยม ร่วมกับ Doug Melton ผู้อำนวยการร่วมของสถาบันสเต็มเซลล์ของฮาร์วาร์ด เช่นเดียวกับในหลักสูตร “ความยุติธรรม” ในตำนานของเขา นักศึกษาจะครุ่นคิดและถกเถียงกันเกี่ยวกับคำถามสำคัญเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่การตัดต่อพันธุกรรม เรื่องหุ่นยนต์ ไปจนถึงเรื่องความเป็นส่วนตัวและการเฝ้าระวัง

“บริษัทต้องคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับมิติทางจริยธรรมของสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ และเราในฐานะพลเมืองประชาธิปไตยต้องหาความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและผลกระทบทางสังคมและจริยธรรมของเทคโนโลยี ไม่ใช่เพียงเพื่อใช้ตัดสินใจว่ากฎระเบียบควรเป็นอย่างไร แต่ยังเพื่อใช้ตัดสินใจว่าเราต้องการให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่และโซเชียลมีเดียมีบทบาทใดในชีวิตของเรา” Sandel กล่าว

Sandel ยังกล่าวอีกว่าการทำเช่นนั้นได้จะต้องใช้การปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ ทั้งในฮาร์วาร์ดและในการศึกษาระดับอุดมศึกษาในวงกว้างมากขึ้น

“เราต้องส่งเสริมให้นักศึกษาทุกคนได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและผลกระทบทางจริยธรรมของเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้มากพอ เพื่อที่ว่าเมื่อพวกเขาบริหารบริษัทหรือเมื่อพวกเขาทำหน้าที่เป็นพลเมืองประชาธิปไตย พวกเขาจะสามารถมั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีจะตอบสนองวัตถุประสงค์ของมนุษย์แทนที่จะบั่นทอนการใช้ชีวิตในฐานะพลเมืองที่ดี”


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 กรกฎาคม 2566

ครีมดูแลต่อมลูกหมาก รักษาภาวะนกเขาไม่ขัน  เห็นผลใน 2 วัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1df0z5u140sqi


 ยุงสามารถเเพร่เชื้อโควิด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1rhvlcnmr1ngm


รักษา “มะเร็งระยะสุดท้าย” ด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่าย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3hmmoh7hs36p2


ยาสมุนไพรจีนแผ่นแปะลดน้ำหนัก ผอมได้โดยไม่ต้องออกกำลังกาย เผาผลาญไขมัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3tzlq8q2pr6n2


โครงการ “ลานน้ำพุเต้นระบำ”แลนด์มาร์ก ทางการท่องเที่ยวของเมืองพัทยา ปิดการใช้งาน ไม่มีการบำรุงรักษา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1eykcsyirndbl


อดีตที่ถูกขุดของ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา อะไรจริง-ไม่จริง?

Top Fact Checks Political

การถูก “ขุดอดีต” เป็นเรื่องที่นักการเมืองหลายคนต้องเผชิญเมื่อกำลังจะรับตำแหน่งสำคัญทางการเมือง แต่ในกรณีของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส. พิษณุโลก และว่าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ได้มีการนำภาพและข้อความจากเฟซบุ๊กของเขามาตัดทอนและบิดเบือน จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่านายปดิพัทธ์เคยสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ซึ่งมีจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างจากพรรคก้าวไกลที่เขาสังกัด

จากการตรวจสอบของโคแฟคเมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2566 พบว่า เนื้อหาจากเฟซบุ๊กของนายปดิพัทธ์ที่ถูกนำมาบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเขาเป็น “อดีต กปปส.” มีอยู่อย่างน้อย 3 โพสต์ คือ

  • 7 เม.ย. 2557 โพสต์ภาพยืนเล่นอูคูเลเลกับเพื่อนนักกิจกรรมในที่ชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ที่สีลม
  • 12 ม.ค. 2557 แชร์บทความวิจารณ์กลุ่มคนเสื้อแดงที่เผยแพร่ในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดยหยิบยกข้อความบางส่วนจากบทความมา และเขียนข้อความตั้งคำถามกับการทำหน้าที่สื่อมวลชนของแนวหน้าว่า “นี่มันหนังสือพิมพ์หรือคู่มือเสี้ยมครับ”
  • 12 ธ.ค. 2556 แชร์เนื้อหาจากเพจเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “กปปส” ว่าด้วยแนวทางการจัดตั้ง “สภาประชาชน” โดยนายปดิพัทธ์เขียนข้อความว่า “มาละครับ แนวทางสภาประชาชน”

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบเนื้อหาในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวข้องกับอดีตและประวัติของนายปดิพัทธ์ใน 4 ประเด็น ที่ถูก “ขุด” ขึ้นมาหลังจากพรรคก้าวไกลเสนอชื่อเขาเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร

1) ภาพยืนเล่นอูคูเลเลกับเพื่อนนักกิจกรรมในที่ชุมนุมของกลุ่ม กปปส.

ภาพนี้มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียนำไปบิดเบือนว่า นายปดิพัทธ์เข้าร่วมการชุมนุมกับ กปปส. ซึ่งนายปดิพัทธ์ได้ชี้แจงทางเฟซบุ๊กเมื่อ 7 เม.ย. 2564 ว่าเป็นภาพที่เขายืนเล่นดนตรีกลางที่ชุมนุม กปปส. ที่สีลมเพื่อรณรงค์ให้ยุติการสร้างเงื่อนไขที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง โดยยืนยันว่า “ไม่ได้ไปร่วมม็อบ”

นายปดิพัทธ์ชี้แจงภาพนี้อีกครั้งเมื่อ 13 ก.ย. 2564 ว่าเขาเข้าร่วมกิจกรรมร้องเพลงรณรงค์เพื่อสันติภาพจากการเชิญชวนของเพื่อนรุ่นน้อง เรียกร้องให้ผู้ชุมนุม กปปส. ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง

“ในเนื้อตัวเราไม่นกหวีด ไม่มีสัญลักษณ์ธงชาติ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ร้องเพลงกันบอกให้ใจเย็นๆ ไม่ฆ่ากัน ไม่เรียกร้องความรุนแรง” นายปดิพัทธ์ระบุในโพสต์พร้อมกับย้ำว่าเขาไม่ได้เป็น กปปส.

นายปดิพัทธ์โพสต์ภาพนี้เมื่อ โพสต์เมื่อ 7 เม.ย. 2557

ในการให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เมื่อ 3 ก.ค. 2566 นายปดิพัทธ์ยืนยันข้อมูลที่ชี้แจงตามโพสต์ข้างต้น และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองทั้งของ กปปส. และของกลุ่มคนเสื้อแดง เขามักเดินทางไปสังเกตการณ์การในที่ชุมนุม แต่ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมในฐานะผู้สนับสนุนของกลุ่มใด

โคแฟคได้รับข้อมูลจากอดีตนักกิจกรรมทางสังคมที่เป็นผู้ริเริ่มแคมเปญร้องเพลงเพื่อสันติภาพว่า ในช่วงปี 2557 สังคมไทยเผชิญความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง กลุ่มของเธอจึงคิดกิจกรรมที่จะทำให้คนที่เห็นต่างกันอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เกิดเป็นกิจกรรมที่ชื่อว่า “Fill Love in the Blank: เติมรักลงในช่องว่าง” ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิลที่พูดถึงความสำคัญของความรักในการเชื่อมผู้คนที่มีความคิดความเชื่อต่างกัน โดยนายปดิพัทธ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเลขาธิการสมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทยได้มาร่วมกิจกรรมด้วย

“เราคือกลุ่มคนที่ไม่อยากเห็นความรุนแรงที่ประชาชนทำต่อกัน…จริงๆ วางแผนว่าหลังจาก กปปส. เราจะไปร้องเพลงในที่ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่สถานการณ์มันเริ่มแรงขึ้น ก็เลยไม่ได้ไป” เธอระบุ 

2) แชร์บทความวิจารณ์กลุ่มคนเสื้อแดงที่เผยแพร่ในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์แนวหน้า

12 ม.ค. 2557 นายปดิพัทธ์แชร์บทความจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์แนวหน้าซึ่งมีเนื้อหาวิจารณ์กลุ่มคนเสื้อแดง โดยเขาได้คัดลอกข้อความบางส่วนจากบทความนั้นมา และเขียนข้อความว่า “นี่มันหนังสือพิมพ์หรือคู่มือเสี้ยมครับ” ซึ่งเป็นการวิจารณ์การทำหน้าที่สื่อมวลชนของหนังสือพิมพ์แนวหน้าที่นำเสนอบทความชิ้นนี้

ข้อความจากบทความที่นายปดิพัทธ์หยิบยกมาระบุว่า “การ ‘ตอแหล’ เปลี่ยนเสื้อแดงเป็นเสื้อขาว เปลี่ยนจากจุดไฟเผา เป็นจุดเทียนสันติภาพ มันก็แค่ปฏิบัติการกอบกู้ระบอบทักษิณก่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะมาถึง แล้วเห็บหมัดจะไม่มีหมาให้สูบเลือดกินเท่านั้นกระมัง”  

วันที่ 2 ก.ค. 2566 น.ส.ลักขณา ปันวิชัย นักวิจารณ์การเมืองและพิธีกรสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ได้นำโพสต์ของนายปดิพัทธ์มาเผยแพร่ในทวิตเตอร์ @kamphaka โดยตัดส่วนที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการแชร์บทความของแนวหน้าออกไป พร้อมกับเขียนข้อความว่า “นี่คืออดีตที่จะปฏิเสธว่าไม่จริงคงไม่ได้ ส่วนปัจจุบัน ถ้าเสียงส่วนใหญ่มีฉันทามติว่า ‘รับได้’ เพราะเขา ‘กลับใจ’ แล้ว เราก็ฝืนฉันทามตินั้นไม่ได้ That’s it!” ทำให้หลายคนเข้าใจว่าข้อความวิจารณ์คนเสื้อแดงเป็นความเห็นของนายปดิพัทธ์ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นข้อความที่เขาคัดลอกมาจากบทความในหนังสือพิมพ์แนวหน้า

เนื้อหาในทวิตเตอร์ @kamphaka (ซ้าย) ไม่มีภาพของบทความจากแนวหน้าที่นายปดิพัทธ์แชร์ในเฟซบุ๊ก Padipat Ong

ต่อมาเมื่อถูกทักท้วงว่าโพสต์ของเธอทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อนายปดิพัทธ์ น.ส.ลักขณาจึงขยายความว่าข้อความที่เธอทวิตนั้นหมายถึง “เป็นหรือไม่เป็น กปปส. คืออดีต ต่อให้เคยเป็น แต่ถ้าปัจจุบันเสียงฉันทามติของประชาชนยอมรับคุณ เราก็ต้องเคารพ”

3) แชร์เนื้อหาว่าด้วยข้อเสนอการจัดตั้ง “สภาประชาชน” ของ กปปส.

โพสต์นี้ถูกนำไปเผยแพร่ต่อในลักษณะที่ว่า นายปดิพัทธ์สนับสนุนข้อเสนอเรื่องการจัดตั้ง “สภาประชาชน” ซึ่งในครั้งนั้น กปปส. เสนอว่าให้จัดตั้งสภาที่มีสมาชิก 400 คน ที่ไม่เป็นสมาชิกหรือกรรมการบริหารพรรคการเมือง มาจากการเลือกตั้งของกลุ่มวิชาชีพต่าง ๆ 300 คน และมาจากการสรรหา 100 คน

นายปดิพัทธ์ชี้แจงกับโคแฟคว่า เขาไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของ กปปส. รวมถึงข้อเสนอเรื่องการจัดตั้ง “สภาประชาชน” แต่ในตอนนั้นไม่ได้เขียนอธิบายความคิดเห็นประกอบ โพสต์ดังกล่าวจึงถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นการแชร์โพสต์เพราะเห็นด้วยกับ กปปส.

ต่อมาเขาได้โพสต์ข้อความวิจารณ์ข้อเสนอสภาประชาชนของ กปปส. โดยระบุว่าเขาเคารพการชุมนุมอย่างสันติของ กปปส. แต่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งสภาประชาชน

4) ไม่ได้เป็นสัตวแพทย์? งดออกเสียง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม?

นอกจากประเด็นที่เกี่ยวกับ กปปส. แล้ว ยังมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียโพสต์เนื้อหาทำนองว่า นายปดิพัทธ์ไม่ได้เป็นสัตวแพทย์จริง เนื่องจากเมื่อนำชื่อไปค้นหาในระบบตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ของสำนักงานสัตวแพทยสภาแล้ว ไม่พบว่ามีชื่ออยู่ในระบบ

กรณีนี้นายปดิพัทธ์ให้ข้อมูลกับโคแฟคว่า หลังจากจบปริญญาตรีจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาไม่ประสงค์จะทำอาชีพสัตวแพทย์หรือเปิดคลินิกรักษาสัตว์ จึงไม่ได้ขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ จึงไม่มีชื่อของเขาอยู่ในระบบของสัตวแพทยสภา

โคแฟคสอบถามไปที่สัตวแพทยสภาได้รับคำอธิบายว่า ผู้ที่จะมีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ต้องเป็นผู้ที่ขอขึ้นทะเบียนกับสัตวแพทยสภาเท่านั้น

อดีตอีกเรื่องหนึ่งของนายปดิพัทธ์ที่ถูก “ขุด” มาคือการที่เขางดออกเสียง ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือ “ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม” ซึ่งพรรคก้าวไกลเป็นผู้นำเสนอ

ในการลงมติร่างกฎหมายฉบับนี้ในวาระที่ 1 เมื่อ 17 มิ.ย. 2565 นายปดิพัทธ์งดออกเสียงจริง ซึ่งต่อมาเขาได้ชี้แจงทางเฟซบุ๊กไลฟ์ว่า เหตุผลที่งดออกเสียงเพราะเห็นว่ามีเนื้อหาที่กระทบความเชื่อทางศาสนา เนื่องจากเขานับถือศาสนาคริสต์และเห็นว่าชุมชนชาวคริสเตียนมีความกังวลเรื่องการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน เขาจึงเลือกที่จะสงวนความเห็นต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ในฐานะคริสเตียนคนหนึ่ง

“จุดยืนของคริสเตียนในเรื่องนี้ยังไม่ลงตัว ผมจึงยังอยากสงวนความเห็นไว้ว่ากฎหมายนี้กระทบความเชื่อทางศาสนา แต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ริดรอนสิทธิของผู้นับถือศาสนาใดๆ ผมก็จะโหวตสนับสนุนแน่นอน” นายปดิพัทธ์ให้สัมภาษณ์โคแฟค   

ข้อสรุปโคแฟค

การ “ขุดอดีต” ของบุคคลสาธารณะจากรอยเท้าดิจิทัล (digital footprint) มักเกิดขึ้นควบคู่กับการให้บริบทที่ผิด ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือบิดเบือนเพื่อสร้างความเข้าใจผิดต่อบุคคลนั้น กรณีของนายปดิพัทธ์ มีการนำโพสต์ในเฟซบุ๊กที่ตั้งค่าเป็นสาธารณะมาบิดเบือนข้อเท็จจริง ตัดทอนเนื้อหาเพื่อชักนำให้เข้าใจว่าเขาเป็นผู้สนับสนุนและเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.

ส่วนประเด็นเรื่องการไม่พบชื่อในฐานข้อมูลผู้ประกอบวิชาชีพสัตวแพทย์และการงดออกเสียงร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมนั้น แม้จะเป็นข้อเท็จจริง แต่ขาดบริบทและข้อมูลที่จำเป็น ทำให้เกิดการตีความที่อาจสร้างความเสียหายต่อบุคคลได้

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 2 กรกฎาคม 2566

กระทรวงแรงงานเปิดโควตาไปนิวซีแลนด์ ทำงานนวดและงานฟาร์มแกะ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1v1e403o2ni2n#_=_


กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบ จะถูกดูดน้ำย่อยในลำไส้ ทำให้ร่างกายขาดน้ำ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/30hs4h408c7r0#_=_


 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนลงทุนหุ้น รับปันผล 30,000 บาทต่อเดือน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2bqavjsl3q4wm#_=_


คนชรากินปาท่องโก๋ที่ใส่แอมโมเนียมไบคาร์บอเนต ทำให้ไตทำงานหนัก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2i03c6tgqnrfw#_=_


สะพานไทย-เบลเยียม ชำรุด …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1w5ef85uwkxfs


กรุงไทยปล่อยเงินกู้ฉุกเฉิน ใช้แค่บัตรประชาชน ผ่านเพจธนาคาร กรุงไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/35fg0arus6eld


กรมการแพทย์ เผยใช้น้ำปัสสาวะหยอดจมูก รักษาโรคไซนัสได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1yv39m8f0fbx4


พบกระดูกมนุษย์ “โฮโม เซเปียนส์” อายุกว่า 86,000 ปี ในลาว

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/23n871w1m1ej9


อย. เตือนแล้วเตือนอีก ไม่มีครีม – เซรั่ม ทาแล้วจมูกโด่งภายใน 7 วันได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/309e22st4xg8a


ม.จ.จุลเจิม โพสต์ภาพนักวอลเลย์บอลทีมชาติ “ชูสามนิ้ว” ผิดทั้งบริบทและข้อเท็จจริง

Top Fact Checks Political

พลเอก หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล นายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “จุลเจิม ยุคล” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 140,000 บัญชี ตัดสินใจลบโพสต์ที่เขากล่าวหาอัจฉราพร คงยศ นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ว่าแสดงออกทางการเมืองด้วยการ “ชูสามนิ้ว” ในสนามแข่ง และประกาศขอโทษที่สร้างความเข้าใจผิด หลังจากอัจฉราพรออกมายืนยันผ่านสื่อมวลชนว่าสัญลักษณ์ดังกล่าวเป็นรหัสมือสื่อสารแผนการเล่นกับเพื่อนร่วมทีม ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง

ล่าสุด โคแฟคได้รับการยืนยันจาก Volleyball World ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ดำเนินการจัดการแข่งขันวอลเลย์บอล เนชันส์ลีก 2023 ว่า ภาพดังกล่าวถ่ายโดยช่างภาพของ Volleyball World ในการแข่งขันระหว่างทีมชาติไทยกับโครเอเชีย ที่ประเทศบราซิลเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2566 และไม่ได้มีนัยทางการเมืองแต่อย่างใด

วันที่ 30 มิ.ย. 2566 ม.จ.จุลเจิมได้โพสต์ภาพของอัจฉราพรขณะชูสามนิ้ว พร้อมเขียนวิจารณ์ว่านักกีฬาทีมชาติไม่ควรแสดงออกทางการเมืองในขณะทำหน้าที่เป็นตัวแทนประเทศ เขาระบุว่าด้วยว่าผู้ที่กระทำเช่นนี้มีส่วนในการสร้างความแตกแยกในสังคม และ “ไม่สมควรจะเป็นตัวแทนของชาติไทยอีกต่อไป”

แม้จะมีผู้เข้ามาเขียนคอมเมนต์ทักท้วงว่า ท่าดังกล่าวเป็นรหัสมือที่นักกีฬาใช้สื่อสารกัน อีกทั้งไม่ได้เป็นภาพจากการแข่งขันวันที่ 29 มิ.ย. ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไปเชียร์ข้างสนาม แต่ ม.จ.จุลเจิมก็ยังไม่ลบโพสต์ จนกระทั่งเพจเฟซบุ๊ก “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” โพสต์ข้อความอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของอัจฉราพรที่ยืนยันว่าภาพดังกล่าวถ่ายในการแข่งขันแมตช์ก่อนหน้าที่ประเทศบราซิลและรหัสมือที่เธอสื่อสารแผนการเล่นกับเพื่อนร่วมทีม ม.จ.จุลเจิมจึงได้ลบโพสต์และเขียนข้อความยอมรับว่า “เป็นความผิดพลาดของผมเองที่มิได้ตรวจสอบภาพให้ถี่ถ้วน” พร้อมกับขออภัยอัจฉราพร ที่สร้างความเข้าใจผิด    

ต่อมาสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงว่าภาพดังกล่าว “เป็นภาพจากการแข่งขันวอลเลย์บอลเนชั่นลีกที่ประเทศบราซิลเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2566 ที่อัจฉราพร คงยศ นักกีฬาทีมชาติไทย แสดงสัญลักษณ์เพื่อให้เพื่อนร่วมทีมรู้ว่าคู่ต่อสู้จะเล่นในลักษณะใด ทีมเราควรจะเตรียมพร้อมตั้งรับตามแผนที่ผู้ฝึกสอนวางไว้อย่างไร”

ขณะที่นายสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ได้ส่งจดหมายถึงบริษัท เทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบจัดการแข่งขันวอลเลย์บอล เนชันส์ลีก ในประเทศไทย กรณีที่นายพิธาลงไปถ่ายภาพร่วมกับนักกีฬาทีมชาติในสนามหลังการแข่งขัน โดยนายสมพรระบุว่า ภาพดังกล่าวได้ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการนำการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับกีฬา

“จึงขอให้กำชับเจ้าหน้าที่และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอให้ระมัดระวังอย่าให้เกิดกรณีที่จะนำไปสู่มติติทางการเมือง และทางที่อาจจะเกิดความเสียหายต่อสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลฯ ผู้ฝึกสอน และนักกีฬา” นายสมพรระบุในจดหมายถึง บริษัท เทโรฯ ลงวันที่ 30 มิ.ย. 2566  

Volleyball World ยืนยัน ภาพอัจฉราพร “ไม่เกี่ยวการเมือง”

วันที่ 30 มิ.ย. 2566 โคแฟคส่งอีเมลสอบถาม Volleyball World ซึ่งเป็นผู้จัดการแข่งขันวอลเลย์บอล เนชันส์ลีก 2023 เกี่ยวกับภาพที่ ม.จ.จุลเจิมนำมาเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก ซึ่งทาง Volleyball World ได้ส่งอีเมลตอบกลับเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2566 โดยให้ข้อมูลว่า ภาพนี้ถ่ายโดยช่างภาพของ Volleyball World ในแมตช์การแข่งขันระหว่างไทยกับโครเอเชียเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2566 พร้อมกับระบุว่า “เราไม่เห็นว่าภาพนี้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับบริบททางการเมือง”

ข้อสังเกตโคแฟค

ภาพจริงแต่ผิดบริบท (false context)

แม้ว่า ม.จ.จุลเจิมจะไม่ได้ระบุชัดเจนว่าภาพดังกล่าวถ่ายเมื่อไหร่และเกิดขึ้นในบริบทไหน แต่ด้วยจังหวะเวลาที่เขาโพสต์ภาพและข้อความนี้เพียงหนึ่งวันหลังจากนายพิธาเดินทางไปเชียร์นักกีฬาทีมชาติไทยลงแข่งขันกับทีมชาติตุรกีในศึกวอลเลย์บอลเนชันลีก 2023 ที่อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า อัจฉราพรกำลังแสดงท่าทีสนับสนุนนายพิธาที่เดินทางมาชมการแข่งขัน เนื่องจากหัวหน้าพรรคก้าวไกลเคยชูสามนิ้วเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยของเยาวชนและนักศึกษาในช่วงปี 2563  

โพสต์ของ ม.จ.จุลเจิม เป็นตัวอย่างของข้อมูลที่บิดเบือนด้วยการให้บริบทที่ผิด (false context) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 กลยุทธ์ที่พบบ่อยในการสร้างและเผยแพร่ข่าวลวง

สื่อมวลชนหยิบไปเสนอต่อโดยไม่ตรวจสอบ

หลังจากที่ ม.จ.จุลเจิมโพสต์ภาพและเนื้อหาดังกล่าว มีสื่อมวลชนหลายสำนักนำความเห็นของ ม.จ.จุลเจิม ไปเสนอต่อทั้งในเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย โดยไม่ได้ตรวจสอบว่าภาพดังกล่าวนั้นเป็นภาพที่ถ่ายเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2566 ที่ประเทศบราซิล และสัญลักษณ์มือไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง แม้ว่าจะมีการอัพเดทเนื้อหาภายหลัง แต่การนำเนื้อหาไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ตรวจสอบกับผู้ที่เกี่ยวข้องก็มีส่วนทำให้เนื้อหาที่บิดเบือนนี้แพร่กระจายมากขึ้นและมีผู้ที่เขียนข้อความโจมตีอัจฉราพรและวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้โคแฟคยังพบว่าเนื้อหานี้ยังคงปรากฏอยู่ในโซเชียลมีเดียของสื่อบางสำนัก หลังจากที่ได้มีการชี้แจงข้อเท็จจริงและ ม.จ.จุลเจิมจะลบโพสต์ไปแล้วก็ตาม

ข่าวสด โพสต์ข้อความนี้ตั้งแต่เวลา 13.29 น. วันที่ 30 มิ.ย.2566 ยังคงเข้าถึงได้ ณ เวลา 22.40 น.

ต้นทางลบโพสต์ แต่เนื้อหายังอยู่

แม้ ม.จ.จุลเจิมจะลบโพสต์ดังกล่าวไปแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเนื้อหาที่บิดเบือนนี้จะหายไปจากโซเชียลมีเดีย เนื่องจากมีผู้ที่นำภาพและข้อความไปโพสต์ในบัญชีโซเชียลมีเดียของตัวเอง แสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากการโพสต์ข้อมูลเท็จหรือข้อมูลบิดเบือนที่มีต่อผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายนั้นจะยังคงอยู่และแพร่กระจายต่อไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ แม้เจ้าของโพสต์ต้นทางจะนำออกจากระบบคอมพิวเตอร์แล้วก็ตาม 

เฟซบุ๊ก “เฮียเม้ง ซอยสี่” แคปเจอร์โพสต์ของ ม.จ.จุลเจิม มาเผยแพร่ต่อ เนื้อหานี้ยังคงเข้าถึงได้เมื่อเวลา 22.40 น. วันที่ 30 มิ.ย. 2566 หลังจาก ม.จ.จุลเจิมลบโพสต์ต้นทางแล้วหลายชั่วโมง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 24 มิถุนายน 2566

เตือนโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ใหม่ BA4.5 ร้ายกว่าเดลต้า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1e6fwy5erhx63


นำเล็บมือทั้งสองข้างมาถูกัน จะช่วยลดผมขาดหลุดร่วง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/31ev8agdw92rp


ปตท. เปิดลงทุนหุ้นน้ำมัน ธุรกิจพลังงาน รับกำไร 28%…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3l9mwe6m3oa9a


เพจ NBKC CPT 335 ปล่อยสินเชื่อออมสิน วงเงินสูงสุด 1,000,000 บาท …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/rhj1sjssrv1a


พายุขนาบไทย 4 ลูกใหญ่ มรสุมฝนรุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1kvdn8cpst2vf#_=_


ถอดโคเคน มอร์ฟีน ฝิ่น ออกจากยาเสพติดให้โทษ ประชาชนครอบครองได้ ถูกกฎหมาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2x2xgpsjlqje6


“ปลากระเบน” เครื่องมืออวตาร ส่ง SMS หลอกดูดเงิน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/zsmn0atsq7uo


แก๊สระเบิดในร้านบาร์บีคิวของจีน ตายอย่างน้อย 31 คน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3bck6qcphsfhd#_=_


พบชิ้นส่วน ‘เรือดําน้ำไททัน’ ใกล้ซากเรือไททานิกแล้ว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/10wqrrhwadoww#_=_


เอาอาหารร้อนจัด เข้าตู้เย็น อาจจะทำให้ตู้เย็นมีปัญหาได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/ysvn2vvatnm9