สานสัมพันธ์‘ออนไลน์-ออฟไลน์’ ข้อพึงตระหนักไว้ ลดเสี่ยงภัย-ไม่ตกเป็นเหยื่อ

กิจกรรม

รายการ “Cofact Live Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย)รับเทศกาล วันแห่งความรัก 14 ก.พ. 2568 ใน EP.3 ชวนพูดคุย ในหัวข้อ “Unlock Romance scam story! 18+ หลอกให้รักออนไลน์ บทเรียนสอนใจเช็กอย่างไรให้ชัวร์ กับ ปังปอนด์ – ณตภณ ดิษฐบรรจง ซึ่งที่ผ่านมาได้มาช่วยทาง Cofact เขียนบทความ Fact Check ข่าวลวงในประเด็น HIV/AIDS แต่ก็เป็นคนหนึ่งที่เคยมีประสบการณ์ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงประเภทนี้ด้วย

ณตภณ เล่าว่า ประมาณ 10 ปีก่อน ตนเคยมีช่วงเวลาบ้านแตกสาแหรกขาด ไม่ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว อีกทั้งยังเป็นช่วงวัยรุ่น จึงใช้เวลาไปกับสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ อีกทั้งยังใช้แพลตฟอร์มหาคู่ทางออนไลน์ แม้เวลานั้นจะยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ที่อนุญาตให้ใช้งานได้ก็ตาม จำได้ว่าเจอคนคนหนึ่ง คุยกันจนคุ้นเคยแล้วก็ยอมเดินทางด้วยรถไฟไปไกล จากหัวลำโพง กรุงเทพฯ ถึง จ.นครราชสีมา แต่รอที่สถานีรถไฟประมาณ 2 ชั่วโมง อีกฝ่ายก็ไม่มาตามนัดทั้งที่ตนโอนเงินให้ไปแล้ว และเมื่อตรวจสอบช่องทางออนไลน์ก็พบว่าโดยบล็อกทั้งหมด ครั้งนั้นเสียเงินไปเกือบ 3,000 บาท  นั่นคือประสบการณ์โดนหลอกครั้งแรก

เคสนี้เป็นเคสแรกที่รู้แล้วว่าเป็น Romance Scam อาจจะไม่เป๊ะๆ เหมือนชาวบ้านเขา แต่ผมก็รู้สึกว่านี่คือการหลอกให้เรารักก่อนแล้วก็หลอกให้เราควักสตางค์ให้เขา ใช้เวลา 3 เดือน แล้วนอกจากผม ก็เคยมีแม่ผมก็เคยโดน นานแล้ว แต่อันนั้นเขาเอ๊ะก่อนที่จะโอน แต่เคสที่แม่เจอจะเป็นชาวต่างชาติ คุยไป 3  4 วัน รู้แล้วนี่หลอกแน่นอน ก็เลยตัดการคุย แต่ของผมคือไปมากกว่านั้นแล้ว และคนไทยด้วยกันด้วย รุปลักษณ์เป็นคนไทย ถ้าเคสนั้นไม่เคยเห็นหน้าตา ไม่เคยวีดีโอคอลคุย เขาบอกโอนค่าโรงแรมไปให้ก่อน เดี๋ยวจ่ายส่วนต่างกลับมาให้ เจอกันแล้วค่อยจ่ายคืน

จากประสบการณ์ดังกล่าว มีคำแนะนำแรก 1.หากอยากเจอตัวให้เจอในที่สาธารณะ ไม่ใช่ที่ลับตา เช่น การนัดที่โรงแรม การนัดเจอในพื้นที่สาธารณะจะลดความเสี่ยงอย่างการถูกชิงทรัพย์หรือถูกลักพาตัวได้ 2.ชวนเพื่อนไปด้วย นอกจากเป็นการเผื่อไว้หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นจะได้มีคนช่วยแล้ว หรือแม้ไม่มีเหตุร้ายเกิดแต่อย่างน้อยเพื่อนก็รู้สถานะของเรา จะได้รู้ว่าคนคนนี้คุยกับเราอยู่ ควรระวังหรือไม่ระวังอะไรบ้าง

3.แม้จะเป็นแพลตฟอร์มหาคู่ที่มีชื่อเสียงเป็นทางการก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะหากอยากหลอกก็สามารถทำได้แม้จะมีเครื่องหมายรับรอง เช่น บางครั้งได้เครื่องหมายแล้วก็เปลี่ยนภาพโปรไฟล์ แต่สำหรับแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (ที่ไม่ใช่แพลตฟอร์มหาคู่โดยตรง) อย่างเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หรือ X หากสมัครขอใช้เครื่องหมายรับรองยืนยันตัวตน ทุกครั้งที่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์จะถูกตรวจสอบเสมอว่าใบหน้าตรงกับบัตรประชาชนที่เราใช้สมัครหรือไม่ ซึ่งช่วยกรองได้ระดับหนึ่งแม้จะไม่ 100% ก็ตาม 

4.จับจังหวะการคุย พึงระวังการสนทนาในลักษณะ เร่งเร้าให้โอนเงิน เพราะมีแนวโน้มอาจเป็นมิจฉาชีพ ดังตัวอย่างที่คลาสสิกที่สุด คือมิจฉาชีพจะบอกว่ารักคุณมาก แต่ก็จะบอกว่ามีเงินหรือของมีค่าติดอยู่ที่ศุลกากร ขอให้ช่วยโอนเงินมาเป็นค่าดำเนินการ เรื่องนี้เคยมีคนในครอบครัวเกือบตกเป็นเหยื่อมาแล้วแต่ยังดีที่ตนห้ามไว้ทันการโอนเงินหากจะทำก็ขอให้ทำกันต่อหน้า เช่น นัดเจอกัน กินข้าวแล้วจะหารจ่ายค่าอาหารก็ว่าไปกันให้จบตรงนั้น

5.อย่าส่งภาพโป๊เปลือยวาบหวิว เพราะอาจถูกนำไปทำเรื่องไม่ดี หรือแม้แต่เกิดภาพหลุดได้ และเมื่อหลุดมาแล้ว Digital Footprint จะอยู่ในอินเตอร์เน็ตไปอีกนานแสนนาน 6.สุดท้ายหากจะไปจบที่เรื่องบนเตียงจริงๆ ก็ต้องระมัดระวัง เช่น ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงระวังการถูกแอบถ่ายภาพหรือคลิปวีดีโอขณะมีเพศสัมพันธ์ 

เคยมีเพื่อนมีโทษเหยื่อ สุดท้ายเพื่อนคนนั้นโดนหลอก คือมันไม่ใช่ความโง่หรือฉลาด คนเราโดนหลอกเพราะเขามีอะไรบางอย่างที่ให้เชื่อได้ว่าเราจะได้สิ่งนั้น แค่นั้นเลยเราไม่ได้โง่หรือฉลาด มันคือการที่ ณ ตอนนั้นเราเห็นผลประโยชน์ข้างหน้าแค่นั้นเอง แล้วพอเราโดนหลอกก็แค่โดนหลอก เราต้องยอมรับว่าตัวเองโดนหลอกอยู่ ไม่ต้องอาย ไปแจ้งความ ไปดำเนินการ รู้ว่ามันช้า บางทีมันมีปัญหาอยู่ แต่การแจ้งความคือหนทางหนึ่งที่สามารถทำให้เราทวงความยุติธรรมกลับมาได้ แล้วคิดในมุมกลับกัน ถ้าเราไม่ฟ้องร้องดำเนินคดี เขาก็หลอกคนอื่นได้อยู่ดี แต่ถ้าเราฟ้องร้องดำเนินคดี เท่ากับเราตัดวงจรได้แล้ววงจรหนึ่ง

หมายเหตุ : รับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/1612639109353873/


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568

พะยูนไทยจะสูญพันธุ์ ใน 3 เดือน เกยตื้นตายไปแล้ว 29 ตัว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/uupztcaobnym


เช็กสุขภาพเลือดได้จากเส้นผม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3anfi93e9vlgw


งูกลัวหินเกล็ดเพราะผิวท้องบอบบาง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ukvl9rkmhaam


  ทุเรียน ลิ้นจี่ มะม่วง ลำไย และกล้วยสุก กินเยอะเสี่ยงเป็นเบาหวาน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/22iezypum51gq


 โครงการ 1 นักเรียน 1 แท็บเล็ต เตรียมแจกให้นักเรียน 6 แสนคน ในเดือน มิย. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3unwybglwhwli


 อินเดีย ขยายเวลา ฟรีค่าวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์ แก่นักท่องเที่ยวคนไทย ถึงสิ้นปี 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2jzny6j3no42m


 “ชาไทย ใส่สี” กินไม่ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/379l7bnspd19p


การอมเกลือทำความสะอาดฟันได้จริงหรือ?

    การอมเกลือเพื่อทำความสะอาดฟันอาจดูเหมือนเป็นวิธีธรรมชาติและปลอดภัย แต่ความจริงแล้ว เป็นวิธีที่อันตรายต่อฟันอย่างมาก เนื่องจากเกลือมีเนื้อสัมผัสที่หยาบ ทำให้ฟันสึกกร่อนได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีฟันบอบบางหรือมีปัญหาฟันผุอยู่แล้ว นอกจากนี้การอมเกลืออาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรืออักเสบที่เหงือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีเหงือกอักเสบอยู่แล้วอีกเด้วย 

      วิธีทำความสะอาดฟันที่ถูกต้องมีดังนี้

– แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 นาที โดยใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์

-ใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดซอกฟันที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง

– ตรวจสุขภาพฟันกับทันตแพทย์เป็นประจำ ทุกๆ 1 ปี หรือตามที่ทันตแพทย์แนะนำ

       สรุปการอมเกลือทำความสะอาดฟัน เป็นวิธีที่อันตรายและไม่แนะนำ ควรทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธีตามที่กล่าวข้างต้นเพื่อสุขภาพฟันที่ดี แข็งแรง และป้องกันปัญหาช่องปากต่าง ๆ

(ข้อมูลจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข)

Banner :

ลิ้งค์กระทู้ Cofact  : https://cofact.org/article/k36jywhr8ihu

‘โคแฟค’ร่วมเปิด2หัวข้อสนทนา ในงาน‘มหกรรมพบเพื่อนใจ Soul Connect Fest 2025’

กิจกรรม

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมวงเสวนา “Soul Connect : จิตวิญญาณ การร่วมทุกข์ และความหวัง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานแถลงข่าว มหกรรมพบเพื่อนใจ Soul Connect Fest 2025 ภายใต้แนวคิด HUMANICE : มาพบเพื่อนที่ดีต่อใจ พาคุณไป Connect หัวใจความเป็นมนุษย์ในตัวคุณ ซึ่งจัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาวะทางปัญญา 100 องค์กร ณ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กรุงเทพฯ และถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Soul Connect Fest”

Screenshot

โดย สุภิญญา เปิดเผยว่า มหกรรมพบเพื่อนใจ Soul Connect Fest 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 ก.พ.-2 มี.ค. 2568 โคแฟคได้รับเชิญให้จัดห้องย่อย2 เรื่อง คือ 1.พัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเชื่อมโยงกับมิติความเป็นมนุษย์ (AI & Humanity) โดยเน้นเป้าหมายเรื่องการสร้างสันติภาพและการเข้าถึงความจริง เหตุที่เลือกหยิบยกประเด็นนี้เนื่องจากความทุกข์ร่วมสมัยปัจจุบันเราอาจอยู่กับข้อมูลข่าวสารมากเกินไป และบางครั้งก็มีความรู้สึกลบๆ เข้ามา จากข้อมูลไม่จริงบ้าง หรือข้อมูลจริงแต่ทำให้เกิดความเครียดบ้าง เป็นต้น 

โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ยุค AI และเทคโนโลยี Deepfake ก็รู้สึกว่าน่ากลัวมากขึ้น ดังที่เห็นจากสภาเศรษฐกิจโลก (WEF) กำหนดให้ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ที่เป็นผลจากปัญญาประดิษฐ์ เป็นความเสี่ยงของโลก (Global Risk) อันดับ 1 ของโลกในช่วง 2-3 ปีล่าสุด จึงอยากเชื่อมโยงผลกระทบของเทคโนโลยีมาสู่ความเป็นมนุษย์ เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยเองก็พูดกันมากเรื่องการปรับตัวให้อยู่รอดในยุค AI เช่น การเพิ่มทักษะ (Upskill) หรือการเรียนรู้ใหม่ (Reskill) แต่ผลกระทบด้านสังคมและด้านจิตวิญญาณก็เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมตัวรับมือเช่นกัน

ทั้งนี้ ผลกระทบของ Deep Tech (เทคโนโลยีขั้นสูง) เมื่อก่อนอาจอยู่แค่เรารู้ไม่เท่าทันสื่อ อยู่ในเรื่องของความคิด แต่จากงานวิจัยบอกว่า Deep Tech ส่งผลกระทบตั้งแต่ระดับร่างกาย เช่น อีก 10 – 20 ปีข้างหน้า สรีระของคนเราอาจเปลี่ยนไปจากการที่เราใช้โทรศัพท์มือถือกันนานเกินไป กับผลผลกระทบต่อสมอง จิตใจและจิตวิญญาณ อย่างที่เราหลงเชื่อมิจฉาชีพ ซึ่งที่หลงเชื่อก็เป็นเพราะสารของมิจฉาชีพที่สื่อมาไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในความคิดหรือความรู้สึกของตัวเราหรือไม่ 

หรือแม้แต่ไปถึงขั้นจิตไร้สำนึก ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหงุดหงิดเพราะอะไร เนื่องจากสมองก็ยังคิดว่าตนเองปกติดี แต่จิตไร้สำนึกที่สะสมความคิดมายาวนานมาก ตลอดชีวิตของเราก็ไม่รู้ว่าเก็บสะสมอะไรไว้บ้าง เพราะความทุกข์ของมนุษย์ก็มาจากการสะสมความคิดและความรู้สึกที่ฝังลึกลงไป โดยหากเป็นคนที่เคลียร์ตนเองได้ จะเหมือนกับโยนหินลงไปในน้ำ แม้จะเกิดรอยแต่ไม่นานรอยก็หายไป แต่หากเป็นคนที่ชอบสร้างอารมณ์ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็จะเหมือนกับศิลาจารึก ความทุกข์สมัยเด็กผ่านไปเป็นสิบปี หากไม่เคลียร์ออกก็ยังคงอยู่ ซึ่งการเคลียร์ออกที่ว่านี้แต่ละคนจะมีวิธีไม่เหมือนกัน ก็ขอเชิญชวนให้มาหาคำตอบกันที่งาน Soul Connect Fest

Screenshot

ในมุมของโคแฟค จริงๆ เรายังเล่นแค่ในระดับความคิดอยู่ ให้รู้เท่าทัน ให้มีสติ ไม่เชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่แชร์อะไรโดยไม่เช็ค แต่งานนี้เราโชคดีมากเลยที่ได้มาเชื่อมโยงกับภาคีสุขภาวะทางปัญญา เพราะผลกระทบของ Deep Tech ก็คงไม่ใช่แค่ระดับสมองหรือความคิดที่อยู่ๆ เราเผลอโอนไป แต่มันลึกซึ้งไปถึงจิตวิญญาณ แล้วเราจะรับมืออย่างไร? อันนี้ก็น่าจะเป็นการเชื่อมโยงกับภาคีสุขภาวะทางปัญญาและภาคีระบบสื่อ มันก็ต้องแก้ไป 2 อย่างด้วยกัน สุภิญญา กล่าว

สุภิญญา กล่าวต่อไปว่า ในขณะที่เราต้องกลับมาดูแลจิตใจตนเองในเชิงลึก เพื่อให้พร้อมกับการรับมือกับโลกที่ผันผวน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยปัญหามากมายซึ่งไม่ใช่แต่ในประเทศไทย แต่อีกด้านหนึ่ง การแก้ปัญหาเชิงระบบโครงสร้างก็ต้องทำด้วย เช่น จะออกแบบระบบนิเวศสื่อให้ดีขึ้นได้อย่างไร ทั้งความรับผิดชอบของแพลตฟอร์ม องค์กรสื่อ รวมถึงระดับปัจเจกอย่างบุคคลที่มีชื่อเสียง (Influencer) การที่โคแฟคซึ่งทำเรื่องระบบสื่อได้มาร่วมกับภาคีสุขภาวะทางปัญญา จึงเป็นโอกาสดี

ส่วนอีกหัวข้อที่โคแฟคจะร่วมจัดในงาน Soul Connect Fest 2025 คือ 2.ผลกระทบจากด้านลบของอินเตอร์เน็ต เช่น ความเกลียดชัง มีคำถามว่าเหตุใดในอินเตอร์เน็ตคนเราจึงเกลียดกันมาก แสดงความคิดเห็นกันแบบรุนแรงสุดโต่งจนอาจลุกลามออกจากโลกออนไลน์ไปสู่โลกจริง แต่ขณะเดียวกันเราก็ยังต้องทนอยู่ ซึ่งนอกจากการมีความรู้เท่าทัน มีทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) ยังต้องมีความเป็นมนุษย์ที่ใจเย็นๆ และใจดีต่อกัน

โดยในวงนี้จะมีผู้ได้รับผลกระทบจากความเกลียดชังบนโลกออนไลน์มาร่วมพูดคุย ยิ่งยุคหลังๆ เป็นยุค 4.0 มีการยกระดับ เช่น ใช้เทคโนโลยี Deepfake มีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operation – IO) ทำให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นและวนอยู่ไม่หายไปไหน แล้วจะหาทางออกกันอย่างไร ซึ่งหนึ่งในหัวข้อที่ตั้งไว้ในงานคือ ปัญญารวมหมู่ (Collective Wisdom)” รวมถึงมีความเป็นมนุษย์ ที่แม้การชอบหรือเกลียดเป็นสิทธิของบุคคล แต่การแสดงออกในพื้นที่สาธารณะควรจะต้องมีขอบเขต และต้องอยู่บนฐานของความเป็นจริงไม่ใช่บิดเบือน

เราจะใช้พลังปัญญารวมหมู่ เราจะสร้างความเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือการเคารพกันและกันแม้จะเห็นต่างกันในพื้นที่ออนไลน์ได้อย่างไร ซึ่งทุกวันนี้พื้นที่ออนไลน์ก็เป็นพื้นที่ของเราเกินครึ่งไปแล้ว ก็คือต้องสร้างวัฒนธรรมของความเป็นมนุษย์คู่กันไปด้วย อันนี้ก็น่าจะเป็นประเด็นที่เราได้คุยกัน สุภิญญา กล่าว 

สำหรับวงเสวนา “Soul Connect : จิตวิญญาณ การร่วมทุกข์ และความหวัง ในการแถลงข่าวมหกรรมพบเพื่อนใจ Soul Connect Fest 2025 ยังมีผู้ร่วมเสวนาอีก 3 ท่าน โดย จารุปภา วะสี ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้และประสานงานสุขภาวะทางปัญญากล่าวว่า การเฝ้ามองความเคลื่อนไหวทั้งในประเทศไทยและโลก มีสิ่งหนึ่งที่รายงานหลายฉบับกล่าวตรงกันคือ วิกฤติต่างๆ ที่ซับซ้อนหนักหนาแล้วเราหาทางออกไม่ได้ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือมนุษย์ไม่สามารถร่วมมือกันได้ หรือร่วมมือกันได้ยาก จึงเกิดคำถามว่าจะฝ่าเรื่องนี้ออกไปอย่างไร

Screenshot

ศ.(เกียรติคุณ) น.พ.ประเวศ วะสี  เคยกล่าวถึงคำหนึ่งที่สำคัญมาก คือ สันติภาพ  สันติภาวะ แต่สันติภาพหรือสันติภาวะของโลกหรือสังคมภายนอกนั้นเชื่อมโยงกับสันติภาพหรือสันติภาวะภายในจิตใจของเราแต่ละคนกับคนใกล้ตัว  ขณะที่คำว่าการร่วมทุกข์ จริงๆ คือการร่วมเข้าสู่ความเป็นมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะสถานการณ์ในโลกปัจจุบันการร่วมทุกข์ คือ เรื่องใหญ่ หากเข้าไปถึงตรงนั้นเชื่อได้ว่าเราจะเจอความหวัง

เคยสัมภาษณ์คนทำงานระดับสูงที่สุด กับคนทำงานกับคนรากหญ้าที่สุด พูดคำเดียวกัน ฟังแล้วน้ำตาไหล เขาบอกคุณรู้ไหม? เมื่อใดก็ตามที่เขาลงไปทำงานในพื้นที่แล้วเจอผู้คนที่ทำงานแบบนี้ด้วยกัน เขาไม่เคยหมดหวังเลย ฉะนั้นจากสันติภายในสู่สันติภาพสังคม สู่สันติภาพโลก จุดร่วมองเราคือเรากลับมาที่จิตวิญญาณ เชื่อมโยงกัน เราร่วมทุกข์ด้วยกันแล้วเราจะเจอความหวังแน่ๆ จารุปภากล่าว

Screenshot

ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า สุขภาวะทางปัญญา หมายถึงความสุขที่เกิดจากการที่เราได้กลับมาใคร่ครวญ ได้รู้จักตนเองและเกิดการเชื่อมโยงกับผู้อื่น สังคมและธรรมชาติ เรื่องนี้เป็นฐานของงานสุขภาวะทางปัญญา ซึ่งปัญหาของโลกเราทุกวันนี้เรียกว่า บานี (BANI)” ที่ทั้งเปราะบางซับซ้อน คลุมเครือ  คาดเดาไม่ได้ ไม่เป็นเส้นตรง จึงสร้างความกังวลและความทุกข์ภายในใจให้กับผู้คนในสังคม 

เคยมีนักศึกษาไปถาม มาร์กาเร็ต มีด (Margaret Mead) นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ว่า อะไรคือจุดเริ่มต้นของอารยธรรมของมนุษย์ ซึ่งในชั้นเรียนนั้น นักศึกษาหลายคนมองไปที่เรื่องการก่อสร้างต่างๆ แต่นักมานุษยวิทยาผู้นี้กลับตอบว่า การค้นพบกระดูกโคนขาของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ในสมัยดึกดำบรรพ์จะอยู่รอดไม่ได้เลยหากร่างกายบาดเจ็บ เพราะไม่สามารถออกไปหาอาหาร แต่การที่กระดูกโคนขาดังกล่าวมีร่องรอยการได้รับการเยียวยา นั่นหมายถึงมีมนุษย์คนอื่นๆ ช่วยกันโอบอุ้มฟูมฟัก คอยดูแลกันจนกระดูกโคนขาหายเป็นปกติ นั่นคือจุดเริ่มต้นของอารยธรรมมนุษย์ 

Screenshot

เรามองว่าสุขภาวะทางปัญญาเป็นส่วนหนึ่ง เรียกว่าเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการคลี่คลายหรือเข้าไปแก้ไขหรือป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ในระยะยาว ดังนั้นเราจะเห็นการเคลื่อนไหวของประเด็นต่างๆ ที่เป็นประเด็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโลกเดือด ความมั่นคงทางอาหาร หรือแม้แต่สุขภาพจิตที่เริ่มเอามิติในการพัฒนาสุขภาวะทางปัญญา หรืออาจเรียกจิตวิญญาณหรือการพัฒนาภายใน เข้าไปร่วมขับเคลื่อนกับปัญหาหล่านั้น อันนี้เรียกว่าเป็นความหวังของสังคมแล้วก็มนุษยชาติผอ. สำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าว

Screenshot

สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า วิถีชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันไม่มีพื้นที่ทำให้เราได้พูดในสิ่งที่เป็นตัวเราเอง ไม่มีเวลาหรือความเงียบที่เพียงพอที่เราจะได้สำรวจหรือเปิดบทสนทนา เพราะเมื่อว่างกันเราก็มักจะใช้เวลาไปกับสื่อสังคมออนไลน์ เป็นการเบียดบังเวลาที่เราจะได้ทำความรู้จักจิตวิญญาณข้างใน ต้องเริ่มจากตรงนี้ก่อน เมื่อเราไม่รู้จักและเกิดการขัดแย้งกับความรู้สึกภายใน 

ซึ่งบางทีเราจะรู้สึกสับสน หงุดหงิด ไม่รู้จะจัดวางตนเองอย่างไร และตอบคำถามตนเองไมได้ด้วยว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะอะไร ในขณะที่คนคลี่คลายได้มักเป็นคนที่เปิดบทสนทนาแล้วเคลียร์ เปิดใจอย่างตรงไปตรงมาแล้วคุยกับจิตใจโดยมองว่าเป็นเพื่อน เพราะหากมองว่าเป็นคู่ต่อสู้รบไปก็ไม่ชนะ ส่วนคำว่าความทุกข์ก็คือความขัดแย้งหรือสิ่งที่ไม่เป็นไปตาม แม้กระทั่งความสุขของผู้อื่นก็ยังเป็นความทุกข์ของเราได้ อย่างยุคนี้ในสื่อสังคมออนไลน์ไปทางไหนก็เจอแต่คนโพสต์อะไรที่เป็นความสุข ทำให้เกิดคำถามว่าเหตุใดเราไม่สุขอย่างเขาบ้าง

อันนี้ก็ต้องกลับไปฝึกกันว่าเราจะเบิกบานกับความสุขของคนอื่นได้อย่างไร ยินดีกับคนอื่นที่มีความสุขได้อย่างไร แต่เป็นเรื่องที่ต้องฝึก ต้องเปลี่ยนวิธีคิดหรือวิธีการตอบสนองกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ภายหน้า หรือเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ ถ้าในมิติศาสนาก็มีผู้ค้นพบว่าปัญญาก็เกิดจากการที่คุณต้องผ่านช่วงเวลาของความทุกข์ให้ได้ คุณจะเกิดปัญญาได้อย่างไรว่าคุณไม่ผ่านความทุกข์ ถ้าเรามีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความทุกข์ ตีความมันอีกในมิติหนึ่ง เราก็อาจยินดีกับการที่เราจะต้องอยู่กับความทุกข์ เรายินดีได้จากความทุกข์ มีประโยชน์ได้จากความทุกข์ สมบัติ กล่าว

ในการแถลงข่าวครั้งนี้ ยังได้รับเกียรติจากคนดังในวงการบันเทิงย่าง “วู้ดดี้ – วุฒิธร มิลินทจินดา” และ “ชาย – ชาตโยดม หิรัญยัษฐิติ” ร่วมพูดคุยในหัวข้อ “2 คนบันเทิงกับการตกผลึกตัวตนและความคิด” ซึ่งผู้สนใจสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/SoulConnectFest/videos/834869462093916/?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

Screenshot
Screenshot

คลิปเก่าที่มีผู้โพสต์เมื่อ 3 ปีก่อน ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุกน้ำมันไปเมียวดี

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

คลิปวิดีโอเฮลิคอปเตอร์เคลื่อนย้ายรถบรรทุก ซึ่งผู้ใช้โซเชียลมีเดียนำมาโพสต์และ “ท็อปนิวส์ออนไลน์” นำไปเผยแพร่ต่อ โดยผู้โพสต์อ้างว่าเป็นภาพเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงไปที่เมืองเมียวดี สหภาพเมียนมา หลังจากที่ทางการไทยตัดไฟฟ้าเพื่อแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นคลิปวิดีโอเก่าที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอินโดนีเซียนำมาเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2564

อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่ได้ตรวจสอบในเชิงลึกว่า วิดีโอนี้ถ่ายจากเหตุการณ์จริงหรือไม่ หรือใช้เทคนิคการตัดต่อ/สร้างภาพด้วย AI และหากเป็นวิดีโอที่ถ่ายจากเหตุการณ์จริง นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในสถานที่ใดและเมื่อไหร่

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 บัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ talkwiththepolice (ผู้ติดตาม 4.66 แสนบัญชี) โพสต์คลิปความยาว 13 วินาที เป็นภาพเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุกบินอยู่เหนือพื้นที่ป่า ขึ้นข้อความว่า “ขนส่งน้ำมันทาง ฮ.” และ “หลังจากที่ประเทศไทยตัดไฟฟ้าและเชื้อเพลิงไปที่เมืองเมียวดี เฮลิคอปเตอร์ Mi-26 ลึกลับก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและขนส่งรถบรรทุกเชื้อเพลิงไปที่เมืองเมียวดี” คลิปนี้มียอดเข้าชมกว่า 1.5 ล้านครั้ง ณ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 (ลิงก์บันทึก https://archive.ph/lh2bb)

วันเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก “เหยี่ยว ข่าวสายรถบรรทุก” (ผู้ติดตาม 8.6 หมื่นบัญชี) โพสต์วิดีโอและข้อความเดียวกัน มีผู้แชร์ต่อมากกว่า 200 ครั้ง

ต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ช่องยูทูป “TOP NEWS LIVE” นำคลิปวิดีโอนี้ไปเผยแพร่ในรายงานข่าวหัวข้อ “วิกฤติหนัก เมียวดี ราคาน้ำมันทะลุลิตรละ 100 แชร์ว่อนคลิป พม่าใช้ ฮ.ขนรถน้ำมัน” วิดีโอนี้มีผู้เข้าชมเกือบ 1 แสนครั้งในเวลา 20 ชั่วโมง

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคใช้ InVID-WeVerify ซึ่งเป็นเครื่องมือออนไลน์ที่ร่วมพัฒนาโดยสำนักข่าวเอเอฟพีเพื่อช่วยในการค้นหาที่มาของวิดีโอ โดยระบบจะแยกเฟรมภาพในวิดีโอเป็นภาพนิ่งและนำภาพนั้นไปค้นหาในเสิร์ชเอนจิน เมื่อนำ URL ของวิดีโอที่เผยแพร่บนเฟซบุ๊ก “เหยี่ยว ข่าวสายรถบรรทุก” ไปแยกเฟรมภาพและค้นหาใน Google และ Yandex พบว่าคลิปวิดีโอนี้เคยถูกเผยแพร่มาแล้วหลายครั้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2021 (พ.ศ. 2564) ส่วนใหญ่เป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอินโดนีเซีย

นอกจากนี้ยังพบว่า ระหว่างวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2021 เว็บไซต์รวมข่าวสารและเรื่องราวเบาสมองของอินโดนีเซีย เช่น Hops และ Saura.com รายงานว่า ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอินโดนีเซียได้แชร์ภาพและวิดีโอการเดินทางด้วยวิธีแปลก ๆ พร้อมด้วยข้อความเช่น “กลับบ้านอย่างไรไม่ให้ถูกจับได้” เพื่อเสียดสีคำสั่งของรัฐบาลอินโดนีเซียที่ห้ามประชาชนเดินทางกลับบ้านในช่วงเทศกาลอีด (Eid al-Fitr) ในเดือนพฤษภาคม 2021 เพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หนึ่งในภาพที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ คลิปวิดีโอเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุก ที่เผยแพร่โดยผู้ใช้อินสตาแกรมรายหนึ่ง ซึ่งเว็บไซต์ Hops และ Saura ระบุว่าไม่สามารถยืนยันต้นตอและสถานที่ในวิดีโอได้ แต่วิดีโอนี้ก็ได้ทำให้ชาวเน็ตสนทนากันอย่างสนุกสนาน

ขณะที่เว็บไซต์ Riau24 รายงานเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2021 ว่าคลิปวิดีโอเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุกที่โพสต์โดยบัญชีผู้ใช้อินสตาแกรมกำลังเป็นไวรัลในกลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียของอินโดนีเซีย โดยผู้โพสต์ระบุว่านี่เป็นภาพที่ถ่ายในจังหวัดปาปัว เว็บไซต์ Riau24 ระบุในรายงานเช่นกันว่าไม่สามารถยืนยันต้นตอของวิดีโอดังกล่าวได้

โคแฟครวบรวมตัวอย่างคลิปวิดีโอเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุกที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการขนรถบรรทุกน้ำมันไปที่เมียวดี ที่เคยมีการเผยแพร่มาก่อนหน้านี้โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอินโดนีเซีย

  • วันที่ 5 พฤษภาคม 2021 ช่องยูทูบ SEKITAR LABURA เผยแพร่วิดีโอนี้โดยเขียนคำบรรยายภาษาอินโดนีเซีย ใช้เครื่องมือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ไวรัล.!! รถบรรทุกขนส่งเฮลิคอปเตอร์ในปาปัว” 
  • วันที่ 7 พฤษภาคม 2021 โพสต์โดยบัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อก พร้อมกับข้อความภาษาอินโดนีเซีย ใช้เครื่องมือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า การขนย้ายรถบรรทุกด้วยวิธีนี้มีเฉพาะในปาปัวเท่านั้น
  • วันที่ 12 กรกฎาคม 2021 เพจเฟซบุ๊กชื่อ “Dika Mobil Towing/Derek Kota Jambi” โพสต์วิดีโอนี้ พร้อมคำบรรยายภาษาอินโดนีเซียเกี่ยวกับการให้บริการรถลาก-ขนย้ายพาหนะ
  • วันที่ 6 กรกฎาคม 2023 ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเดียวกันนี้ โดยไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ ประกอบ แต่มีการปักหมุดสถานที่ในวิดีโอว่า “Bangsring Breeze” ซึ่งเป็นชื่อของโรงแรมที่พักในจังหวัดชวาตะวันออกของอินโดนีเซีย โคแฟคไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นจุดที่ถ่ายวิดีโอนี้จริงหรือไม่

ข้อสรุปโคแฟค

วิดีโอนี้เป็นวิดีโอเก่าที่เคยมีการเผยแพร่มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอินโดนีเซีย ดังนั้นภาพเฮลิคอปเตอร์ขนรถบรรทุกในคลิปวิดีโอจึงไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ตามที่บัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ talkwiththepolice และเพจเฟซบุ๊ก “เหยี่ยว ข่าวสายรถบรรทุก” รวมทั้งท็อปนิวส์ออนไลน์ อ้างว่าเป็นการ “ขนส่งน้ำมันทาง ฮ.” ที่เกิดขึ้นหลังจากที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หยุดส่งกระแสไฟฟ้าให้กับประเทศเมียนมาตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568

ทั้งนี้ โคแฟคยังไม่ได้ตรวจสอบในเชิงลึกใน 2 ประเด็น คือ 1) วิดีโอนี้เป็นวิดีโอที่ถ่ายจากเหตุการณ์จริงหรือไม่ หรือเป็นวิดีโอที่ใช้เทคนิคการตัดต่อภาพหรือใช้เทคโนโลยี AI 2) หากเป็นวิดีโอที่ถ่ายจากเหตุการณ์จริง นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในสถานที่ใดและเมื่อไหร่ ซึ่งต้องใช้เวลานานในการตรวจสอบ แต่เนื่องจากคลิปวิดีโอนี้กำลังสร้างความเข้าใจผิด เป็นที่สนใจและถูกส่งต่ออย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย อีกทั้งมีสื่อมวลชนนำไปรายงานต่อ โคแฟคจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องเผยแพร่รายงานการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหานี้ในเบื้องต้น และหากมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิดีโอนี้ โคแฟคจะรายงานให้ทราบต่อไป

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

การทำ IF ทำให้เกิดเอฟเฟ็กต์น้ำหนักโยโย่จริงหรือไม่ ? 

การทำ IF (Intermittent Fasting) หรือ วิธีการจำกัดเวลาในการรับประทานอาหาร เป็นวิธีที่รู้จักกันในกลุ่มคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก และหากหยุดทำ IF จะทำให้น้ำหนักโยโย่หรือไม่

IF (Intermittent Fasting) เป็นวิธีลดน้ำหนักแบบจำกัดเวลารับประทานอาหาร เพื่อช่วยควบคุมปริมาณแคลอรี่หรือพลังงานที่ร่างกายได้รับ ซึ่งจะส่งผลในการควบคุมน้ำหนักตัว

การทำ IF แบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงเวลารับประทานอาหาร (Feeding/Eating) และช่วงเวลาอดอาหาร (Fasting) 

สูตรยอดนิยม สูตร 16/8 คือ การรับประทานอาหาร 8 ชั่วโมง และอดอาหาร 16 ชั่วโมง เช่น รับประทานอาหารเวลา 10.00 – 18.00 น. แต่หลังเวลา 18.00 น. จะเป็นช่วงอดอาหาร เหมาะสำหรับผู้เริ่มทำ IF เพราะทำได้ง่ายและไม่กระทบกับชีวิตประจำวันมากเกินไป 

ผลลัพธ์ที่ดีในการทำ IF 

  • ช่วยลดน้ำหนักและไขมันหน้าท้อง
  • ช่วยกระตุ้นการล้างสารพิษและลดความเครียด
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี
  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆและช่วยให้อายุยืนขึ้น

ดังนั้นการทำ IF ไม่ได้ทำให้เกิดเอฟเฟ็กต์โยโย่ของน้ำหนัก แต่อาจเกิดจากการทำ IF ที่ไม่ถูกวิธี จึงควรศึกษาวิธีการทำ IF ที่เหมาะสมกับตัวเองเพราะหากทำไม่ถูกวิธี อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ และควรออกกำลังควบคู่อย่างสม่ำเสมอ

(ข้อมูลจาก : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข /ผศ.(พิเศษ) พญ.พัชญา บุญชยาอนันต์ ฝ่ายอายุรศาสตร์)

กระทู้ https://cofact.org/article/3m2pl8xku686n

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568

การล็อกดาวน์ไม่ช่วยลดฝุ่น PM 2.5…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ryxrvcx18g0c


ป้าย Hollywood ถูกไฟป่าเผาในแอล.เอ….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/x434tumso5kz


ใส่ผ้าอนามัยระยะเวลานาน ทำให้เสี่ยง “มะเร็งปากมดลูก”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3pw67a6ue2mem


หลักฐานการใช้เลเซอร์ก่อไฟป่าแอล.เอ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2x3t6x44e9vh8


  เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/24o59eun7dun2


  กยศ. ปรับการคิดดอกเบี้ยสูตรใหม่ ส่ง SMS คืนเงินเข้าบัญชีลูกหนี้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/21qqswnkubq6w


 ใส่คอนแทคเลนส์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ตาดำเล็กลง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3mwsaikoi6d7n


 ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นช่วยลดอาการหน้าบวม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2bclyne1f1jrt


 รับประทานช็อกโกแลตทำให้เป็นสิว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/29ao24sylpaxn


 รับประทานไก่ทำให้เป็นโรคเกาต์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/ybhmot92owat


4 ปี รัฐประหารเมียนมา คลิปเก่า-เนื้อหาเท็จระบาด ปั่นความเกลียดชังแรงงานข้ามชาติ

Top Fact Checks Political

กองบรรณาธิการ HaRDstories: รายงาน

ผู้ใช้โซเชียลมีเดียและสื่อออนไลน์บางส่วนในไทยอาศัยช่วงครบรอบ 4 ปี รัฐประหารเมียนมา และการเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 กุมภาพันธ์ 2568 เผยแพร่เนื้อหาที่ปลุกปั่นความเกลียดชังแรงงานเมียนมา โดยนำภาพเหตุการณ์ในอดีตมาใส่บริบทใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจผิด และพาดพิงพรรคการเมือง ซึ่งอาจส่งผลต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่น

เนื้อหาที่บิดเบือนและสร้างความเข้าใจผิดต่อแรงงานเมียนมาที่เกิดขึ้นในระลอกนี้ มุ่งประเด็นไปที่การขอขึ้นค่าแรงของแรงงานเมียนมา โดยนำคลิปวิดีโอที่นายสุรัจ กีรี (รู้จักในชื่อไทย วีระ แสงทอง) ชาวเมียนมาที่เคลื่อนไหวเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิแรงงาน ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อ 2 ปีที่แล้วมาเผยแพร่ใหม่ในลักษณะที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน

จากการตรวจสอบพบว่าในช่วงเดือนมกราคม 2568 มีเนื้อหาที่สร้างความเข้าใจผิดและบิดเบือน ทำให้เกิดความไม่พอใจแรงงานเมียนมาอย่างน้อย 3 ชิ้น ที่ถูกแชร์ต่อในวงกว้าง ดังนี้

1.คลิปเก่าปี 2565 ถูกนำมาปั่นกระแสก่อนวันครบรอบ 4 ปีรัฐประหารเมียนมา

ช่วงวันที่ 5-8 มกราคม 2568 มีการแชร์คลิป “พม่าเรียกค่าแรง 600-700 บาท” อย่างกว้างขวางบนเฟซบุ๊กและติ๊กต็อก โดยเป็นคลิปที่นายสุรัจ กีรี นักเคลื่อนไหวเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิแรงงานชาวเมียนมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในเรื่องค่าแรง มีข้อความซ้อนในคลิปว่า “พม่าต้องการค่าแรง 600-700 บาท” ซึ่งบางคลิปมีการใส่โลโก้พรรคประชาชนด้านมุมขวาของคลิปด้วย 

เนื้อหาเดียวกันนี้ ถูกเผยแพร่ซ้ำบนเพจเฟซบุ๊กที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก เช่น TOP NEWS (ผู้ติดตาม 2.1 ล้านบัญชี), มุมมองเพื่อนบ้าน (ผู้ติดตาม 8.4 หมื่นบัญชี) และ ข่าวเฟสบุ๊ก (ผู้ติดตามกว่า 3 แสนบัญชี)

Fact-check: คลิปดังกล่าวเป็นการให้สัมภาษณ์ของนายสุรัจระหว่างการชุมนุมของกลุ่มแรงงานเมียนมา Bright Future เนื่องในวันแรงงานข้ามชาติสากล เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 บริเวณหน้าสถานทูตเมียนมาในกรุงเทพฯ การตรวจสอบพบว่าต้นฉบับคลิปเป็นข่าวที่เผยแพร่ทางยูทูป Voice TV เมื่อ 25 ธันวาคม 2565 พาดหัวข่าวว่า “ฟังเสียงคนสร้างกรุงเทพ ‘พวกเราไม่ได้เผากรุงศรี’ ขอค่าแรงขั้นต่ำ 600 เท่าเทียมกัน!”

ในคลิปให้สัมภาษณ์ต้นฉบับนั้น สุรัจกล่าวว่า “ค่าแรงตอนนี้ 335 หรือ 350 บาท คนพม่าได้ร้อยกว่าบาท บางคนได้ 200 แน่นอนคนที่ได้เต็ม 350 มันก็มี แต่ส่วนน้อย ส่วนมากก็คือโดนหักค่าประกันสังคม แต่เจ้านายไม่ส่งเงินสมทบให้ประกันสังคม ผมเจอ 2-3 เคส มันจะมีค่ารถ ค่าห้อง ค่ากิน 350 ยังไงก็ไม่พออยู่แล้ว ยังไงก็อยากได้มากกว่า 350 บาท 600 หรือ 700 ก็ว่าไป ถ้าได้ราคานั้น เราก็อาจจะอยู่อย่างสบายระยะหนึ่งหน่อย อาจจะนะ เพราะอย่าลืมว่าคนที่จะหาประโยชน์จากเรื่องนี้ก็มีเยอะ ไม่ว่าจะนายหน้าทั้งหลาย คนก็จะหาประโยชน์จากไอ้พวกนี้เยอะ เราต้องจัดการเรื่องนายหน้า […] อย่าลืมนะครับ กรรมกร งานสร้างตึกคนไทยไม่ทำ เราทำ เราทำให้ประเทศไทยสวยงามมากขึ้น ผมว่าลุงก็น่าจะดูแลพวกผมบ้างนะครับ อยากจะบอกว่า พม่าไม่ได้เผากรุงศรี แต่พม่าสร้างกรุงเทพ” 

เห็นได้ว่า คลิปที่ถูกนำมาเผยแพร่ใหม่ในช่วงเดือนมกราคม 2568 นั้น ไม่มีการให้ข้อมูลหรือบริบทใด ๆ ว่าเป็นการให้สัมภาษณ์เมื่อกว่า 2 ปีที่แล้ว ทำให้คนเข้าใจว่าเป็นการชุมนุมที่เพิ่งเกิดขึ้น อีกทั้งยังตัดคำพูดให้สั้นลง และบางคลิปได้นำโลโกพรรคประชาชนมาใส่ ทำให้เข้าใจว่าการชุมนุมนี้เกี่ยวข้องหรือได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาชน เช่น มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นในเพจเฟซบุ๊ก “มุมมองเพื่อนบ้าน” ว่า “ข้างหลังนั้นป้ายอะไรสีส้มๆ บอกตรงๆ เสียใจที่ลงคะแนนให้ แล้วประเทศจะไปทางไหนต่อในเมื่อพรรคที่หวังไว้กลับมาสนับสนุนคนพวกนี้ให้มาบ่อนทำลายประเทศ”

เปรียบเทียบภาพจากคลิปที่เผยแพร่ทางยูทูป VOICE TV เมื่อปี 2565 และภาพที่เผยแพร่ทางติ๊กต็อกในช่วงเดือนมกราคม 2568 ซึ่งมีการใส่โลโกพรรคประชาชน

การค้นหาด้วยเครื่องมือออนไลน์ Who Posted What พบว่าผู้ที่นำคลิปให้สัมภาษณ์ของนายสุรัจมาเผยแพร่ใหม่พร้อมกับใส่โลโกพรรคประชาชนคือบัญชีผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ @jiraya3115 ซึ่งโพสต์คลิปนี้เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568  

บัญชีผู้ใช้งานติ๊กต็อก @jiraya3115 มีผู้ติดตาม 7,077 ราย และ 253,700 ไลก์ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 เผยแพร่คลิปทั้งหมด 309 คลิป เนื้อหาเกือบทั้งหมดสื่อสารแง่ลบเกี่ยวกับผู้อพยพในไทย

คลิปคำให้สัมภาษณ์เรื่องเรียกร้องการขึ้นค่าแรงของนายสุรัจที่ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำในช่วงก่อนวันครบรอบ 4 ปีรัฐประหารเมียนมา ถูกใช้เป็นเหตุผลในการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน นำโดยนายทรงชัย เนียมหอม ที่เดินทางไปยื่นหนังสือต่อผู้อำนวยการฝ่ายกิจการความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไทยห้ามชาวเมียนมาในไทยเคลื่อนไหว นอกจากนี้ “ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน” ยังได้นัดรวมตัวที่หน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนินนอก เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อคัดค้านการเคลื่อนไหวของชาวเมียนมาเช่นกัน โดยมีการปราศรัยโจมตีชาวเมียนมาด้วยถ้อยคำรุนแรง

สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มแรงงานเมียนมาที่นำโดยนายสุรัจและกลุ่ม Bright Future ในวาระครบรอบ 4 ปีรัฐประหารเมียนมาในปีนี้ มีเพียงการเดินทางไปยื่นหนังสือที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย หนึ่งในข้อเรียกร้องเกี่ยวกับแรงงานคือ ขอให้ปรับกระบวนการขึ้นทะเบียนแรงงงานข้ามชาติ (บัตรชมพู) ในไทยให้สะดวกกับแรงงานและนายจ้างมากขึ้น

2.คลิปการชุมนุมของแรงงานเมียนมาที่ จ.เพชรบูรณ์ ถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นการเรียกร้องขึ้นค่าแรง

วันที่ 31 มกราคม 2568 บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งเผยแพร่คลิปความยาว 33.5 วินาที เป็นภาพการชุมนุมของชาวเมียนมาพร้อมเสียงภาษาเมียนมาที่แปลเป็นไทยว่า “เราจะไม่กลับ จนกว่าจะได้ตามที่เรียกร้อง” คลิปนี้มีการใส่ข้อความว่า “พม่าขอขึ้นค่าแรงเป็น 700 บาท” และคำบรรยายว่า “คนไทยได้ 350 พม่าจะเอา 700” มียอดเข้าชมกว่า 1.8 ล้านและถูกแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง

Fact-check: คลิปดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่แรงงานชาวเมียนมารวมตัวกันภายในบริษัทการเกษตร ต.กันจุ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ซึ่ง Manager Online รายงานว่า​แรงงานชาวเมียนมาประมาณ 1,000 คน รวมตัวเรียกร้องให้บริษัทลดค่าใช้จ่ายในการต่อพาสปอร์ตและวีซา ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องการขึ้นค่าแรงเป็น 700 บาทตามข้อความที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวโพสต์

3.ภาพเก่าปี 2564 และ 2567 ถูกนำมาประกอบเนื้อหาเท็จเรื่องการเคลื่อนไหวของชาวเมียนมา

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพการเดินขบวนและการชุมนุมที่มีการชูธงชาติเมียนมาทั้งหมด 3 ภาพ พร้อมกับข้อความว่า “…วันนี้แรงงานพม่าในไทยเหิมเกริมมากเกินทำการเดินขบวนชุมนุมที่หน้าสนง.ยูเอ็น ใครรับได้. ผมรับไม่ได้ ผมมีความรู้สึกที่ดีกับแรงงานต่างด้าวแต่กับเรื่องนี้ รับไม่ได้ จะมาเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่ได้ หากอยากเรียกร้องกลับไปพม่าให้หมดจะไปต่อสู้เรียกร้องรัฐบาลเมียนม่าเรื่องสิทธิ เรื่องการเมือง ประชาธิปไตยเชิญกลับประเทศไปให้หมด จะมาปิดถนนเดินขบวนอย่างนี้ไม่ได้คนไทยจะได้มีงานทำเพิ่มมากขึ้น ไทยช่วยเหลือผู้หนีภัยสู้รบนานพอแล้ว มากกว่านี้ รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมา จะตอบคนไทยที่ยากไร้ยังไง ส่วนที่แรงงานพม่าเรียกร้อง 700 บาท เอกชนคนไหนรวยเชิญตามสบาย ไปหา สส.ที่เชียร์แรงงานพม่าน่าจ่ายไหว คนไทย 400 บาทยังยากเลย…”

โพสต์นี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 1.5 หมื่นครั้ง มีผู้กดแสดงรีแอคชันกว่า 1 หมื่นครั้ง ในจำนวนนี้มีผู้กด “ถูกใจ” 6 พันครั้ง และกด “โกรธ” 3.6 พันครั้ง

Fact-check: วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 มีการจัดกิจกรรมเนื่องในวาระครบรอบ 4 ปี รัฐประหารเมียนมา โดยกลุ่ม Milk Tea Alliance ในเวลา 16.00 น. ที่หน้าสถานทูตเมียนมาในกรุงเทพฯ โดยมีชาวเมียนมาและคนไทยเข้าร่วมจำนวนหนึ่ง ซึ่งจากการตรวจสอบทั้ง 3 ภาพที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวนำมาเผยแพร่พบว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2564 และ 2567 ดังนี้

ภาพที่ 1 เป็นภาพจากการชุมนุมที่จัดโดยกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งมีชาวเมียนมาในไทยร่วมกิจกรรมด้วยเพื่อต่อต้านรัฐประหารในไทยและเมียนมา โดยผู้ชุมนุมเดินขบวนจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปยังบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ภาพต้นฉบับมาจากบัญชี X ของกลุ่มพันธมิตรชานม ประเทศไทย (Milk Tea Alliance Thailand)

ภาพที่ 2 เป็นภาพจากการชุมนุมที่จัดโดยกลุ่ม “ทะลุฟ้า” เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2564 เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ และต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทั้งในไทยและเมียนมา ภาพต้นฉบับมาจากเพจเฟซบุ๊ก “MTAT – Milk Tea Alliance Thailand – พันธมิตรชานม”

ภาพที่ 3 เป็นภาพขบวนพาเหรดเนื่องในเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศ Bangkok Pride Festival 2024 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2567 จากสนามกีฬาแห่งชาติ มุ่งหน้าสู่แยกราชประสงค์ โดยในขบวนพาเหรดมีกลุ่มนักกิจกรรมมาร่วมแสดงออกในหลายประเด็นรวมทั้งการเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมาและยุติสงครามในกาซา ภาพนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางเพจเฟซบุ๊ก “MTAT – Milk Tea Alliance Thailand – พันธมิตรชานม” เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2567   

ข้อสังเกตจาก 3 กรณี

  • เนื้อหาที่หยิบยกมาล้วนเป็นการสร้างความเข้าใจผิดและปลุกปั่นความเกลียดชังแรงงานเมียนมาในไทยด้วยการใช้ภาพและคลิปเก่าเผยแพร่ใหม่ ในบริบทใหม่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เนื้อหาทั้งหมดถูกเผยแพร่ช่วงเดือนมกราคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงก่อนครบรอบ 4 ปีรัฐประหารเมียนมา 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งที่ผ่านมาชาวเมียนมาในไทยจะใช้โอกาสนี้จัดกิจกรรมเรียกร้องประชาธิปไตย
  • เนื้อหาและการแสดงความคิดเห็นเป็นไปในทางที่ทำให้เกิดความเข้าใจว่ามีพรรคการเมืองในไทยสนับสนุนการเคลื่อนไหวของชาวเมียนมา ซึ่งเป็นการเผยแพร่ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งนายกและสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568
  • ปัจจุบันเนื้อหาเหล่านี้ยังคงเผยแพร่อยู่ในโซเชียลมีเดีย แม้จะมีประชาชนทักท้วงจำนวนมาก โดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์มไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เช่น การขึ้นข้อความแจ้งเตือนเนื้อหาเท็จ 

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

การไม่รับประทานไขมันดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่?

สำหรับคนที่กำลังเริ่มดูแลสุภาพน่าจะเคยได้ยินถึงการงดไขมัน  งดการรับประทานของที่มีความมัน ซึ่งจะทำให้เราอ้วน ลดน้ำหนักยาก ไขมันอุดตัน จริงหรือไม่ถ้าเราไม่รับประทานไขมันเลยจะทำให้สุขภาพดีขึ้น

“ไขมัน” เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย มีส่วนสำคัญต่อการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะการทำงานของระบบสมอง รวมถึงการสร้างฮอร์โมน และผิวพรรณ กรดไขมันดีส่งผลดีต่อการทำงานของระบบหัวใจ 

ร่างกายควรได้รับแคลลอรี่ประมาณ 20-35% ของปริมาณไขมันที่ร่างกายต้องการ หรือไม่เกิน 7 ช้อนชาต่อวัน และที่สำคัญควรเน้นไปที่ “ไขมันดี”  (HDL) หรือ High Density Lipoprotein คือไขมันไม่อิ่มตัว ที่มีความหนาแน่นของไขมันสูงเป็นไขมันที่ดีสำหรับหลอดเลือดแดง และยังช่วยป้องกันไม่ให้  “ไขมันไม่ดี” (LDL) หรือ Low Density Lipoprotein ที่สะสมอยู่ตามหลอดเลือดส่งไปที่ตับ เพื่อกำจัดออกจากร่างกาย 

หากระดับไขมันดีในเลือดต่ำ จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวและเกิดาการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือ NCDs ต่างๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคไตวาย โรคอัมพฤกษ์ โรคอัมพาต เป็นต้น 

ดังนั้น การไม่รับประทานไขมันเลยถือเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะไขมันยังมีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่ควรรับประทานไขมันดี เพื่อให้กำจัดไขมันไม่ดีออกจากหลอดเลือดและควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน

(ข้อมูลจาก : สำนักโภชนาการ / โรงพยาบาลรามาธิบดี / คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล)

กระทู้  https://cofact.org/article/3lj99zzgji6of