คุยกับ 2 ผู้สมัคร ส.อบจ. เชียงใหม่-ลำพูน ว่าด้วยข่าวลวงช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

กองบรรณาธิการ Lanner

การเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้สมัครรับเลือกตั้งหลายคนผ่านประสบการณ์ถูกใส่ร้ายป้ายสี ปล่อยข่าวลวงเพื่อทำลายชื่อเสียงหรือสร้างความสับสน ผู้สมัครสมาชิกสภา อบจ. จังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ มาย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่าเขาและเธอพบเจออะไรกันมาบ้าง

ลำพูน: ความรุนแรงทางการเมืองหรือกลยุทธ์เรียกคะแนนเสียง?

19 มกราคม 2568 หรือก่อนวันเลือกตั้งราว 2 สัปดาห์ นายวีระเดช ภู่พิสิฐ ผู้สมัครนายก อบจ. ลำพูน พรรคประชาชน ได้โพสต์เฟซบุ๊กเล่าเหตุการณ์ว่ามีชายคนหนึ่งทำลายป้ายหาเสียงของ นนท์ณัฎฐ์ สุริยะจักร์ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.อบจ. เขต 7 อำเภอเมืองลำพูน พรรคประชาชน ซึ่งเป็นป้ายที่ติดอยู่กับรถหาเสียง พร้อมทั้งกระทืบรถ เมื่อผู้สมัครเข้าไปห้ามปรามชายคนดังกล่าวก็ปาหินใส่กระจกหน้ารถยนต์ส่วนตัวของผู้สมัคร กรณีนี้ผู้สมัครได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุแล้วแต่คดียังไม่มีความคืบหน้า

นอกจากภาพป้ายหาเสียงที่ถูกทำลายและรถยนต์ที่เสียหายจากการถูกปาหิน ที่นายวีระเดชนำมาเผยแพร่ในเฟซบุ๊กแล้ว ยังมีผู้ใช้ TikTok โพสต์คลิปวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมข้อความว่า รถผู้สมัคร ส.อบจ. พรรคประชาชนลำพูน โดนหินปากระจกและฉีกป้ายหาเสียง

แม้จะมีภาพเหตุการณ์ยืนยันและการแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจ แต่นนท์ณัฎฐ์และทีมงานผู้สมัครพรรคประชาชน กลับถูกกล่าวหาว่า “ปล่อยข่าวเท็จ” เพื่อสร้างกระแส โดยมีผู้เข้ามาให้ความเห็นและแชร์เนื้อหาไปในลักษณะที่ว่าพรรคประชาชนรู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุทำลายป้ายหาเสียงและทำลายรถยนต์เป็นการ “เล่นละคร” หรือ “สร้างคอนเทนต์” ให้คนสนใจเพื่อเรียกคะแนนสงสาร

ภาพป้ายหาเสียงของผู้สมัคร ส.อบจ. และนายก อบจ. ลำพูน พรรคประชาชนที่ถูกทำลาย
รถยนต์ส่วนตัวของผู้สมัคร ส.อบจ. ที่ถูกปาหินใส่กระจกหน้า

นอกจากในโลกออนไลน์แล้ว ในชุมชนก็ยังพูดกันลักษณะปากต่อปากว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอีกด้วย

นนท์ณัฎฐ์ ซึ่งชนะการเลือกตั้งเป็นว่าที่ ส.อบจ. เขต 7 อ.เมืองลำพูน ยืนยันว่าเหตุการณ์ทำลายป้ายหาเสียงและปาหินใส่รถยนต์ผู้สมัครพรรคประชาชนนั้นเกิดขึ้นจริง และเขาไม่รู้จักกับผู้ก่อเหตุ แต่ในโลกออนไลน์กลับมีการกล่าวหาว่าเขาสร้างกระแสหรือปล่อยข่าวเท็จเพื่อหวังคะแนนเสียง ซึ่งไม่เป็นความจริง

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่เคยมีความขัดแย้งส่วนตัวกับใครและเหตุการณ์นี้เพียงเหตุการณ์เดียวไม่ได้มีผลกระทบต่อคะแนนเสียง เพราะเขาลงพื้นที่หาเสียงมานานนับปีก่อนจะมีการเลือกตั้ง

กรณีนี้สะท้อนให้เห็นรูปแบบหนึ่งของการบิดเบือนข้อมูลทางการเมืองด้วยการกล่าวหาว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งปั้นแต่งเรื่องขึ้นเพื่อสร้างกระแสหรือเรียกคะแนนความเห็นใจ ข้อกล่าวหาเช่นนี้ ทำให้เหตุการณ์การทำลายป้ายหาเสียงและการปาหินใส่รถยนต์ ซึ่งนับเป็นการใช้ความรุนแรงในช่วงเลือกตั้ง ถูกมองข้ามไป

เชียงใหม่: ประชาชนสับสนหมายเลขผู้สมัคร จงใจหรือสุดวิสัย?

สงครามข้อมูลข่าวสารที่ กรรณิการ์ ลือชา ผู้สมัคร ส.อบจ.เชียงใหม่ พรรคประชาชน อ.สารภี เขต 1 เผชิญในช่วงหาเสียงเลือกตั้งคือ ความสับสนเรื่องหมายเลขและสังกัดพรรคการเมืองของผู้สมัคร ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าความสับสนนี้เกิดขึ้นโดยจงใจเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่

ผู้สมัคร ส.อบจ. อ.สารภี เขต 1 มีทั้งหมด 4 หมายเลข กรรณิการ์เป็นผู้สมัครเบอร์ 1 ราวหนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงวันเลือกตั้ง ผู้สมัครเบอร์ 2 คือ นุชรี  อุตสุภา ผู้สมัครอิสระ ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถอนชื่อจากการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 50 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ออกประกาศถอนชื่อนุชรีจากการเป็นผู้สมัครลงวันที่ 25 มกราคม 2568  

กรรณิการ์เล่าว่า ก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่ข้อมูลว่านุชรี ผู้สมัครเบอร์ 2 เป็นผู้สมัครสังกัดพรรคประชาชน ซึ่งไม่เป็นความจริง ทำให้เธอและทีมงานต้องแก้ไขความเข้าใจผิดว่าผู้สมัครสังกัดพรรคประชาชนคือเบอร์ 1 ไม่ใช่เบอร์ 2 และหลังจากมีการถอนชื่อผู้สมัครเบอร์ 2 ก็ยังมีการเผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดว่า ผู้สมัครที่ถูกตัดสิทธิเป็นผู้สมัครสังกัดพรรคประชาชน 

กรรณิการ์ซึ่งชนะการเลือกตั้งและได้เป็นว่าที่ ส.อบจ. อ.สารภี เขต 1 ระบุว่า เธอรับรู้ถึงความเข้าใจผิดของประชาชนจากการลงพื้นที่หาเสียงในตลาดและชุมชน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการหาเสียงของเธอมาก เพราะประชาชนเกิดความสับสน ทั้งในเรื่องหมายเลขและสังกัดของผู้สมัคร

“ต้องคอยแก้ไขข่าวลือที่บิดเบือน เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง” กรรณิการ์ระบุ

หลังการเลือกตั้ง นุชรี หรือ “เปีย” ผู้สมัครเบอร์ 2 ที่ถูกถอนชื่อได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “บัตรเสีย กว่า 2000 ใบที่มอบให้ด้วยใจ เปียขอขอบคุณ ทุกคะแนนเสียง จากความรัก” ซึ่งสื่อความหมายว่า ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ มีประชาชนที่ลงคะแนนให้ผู้สมัครเบอร์ 2 มากกว่า 2,000 คน จึงถือเป็นบัตรเสียเพราะผู้สมัครเบอร์ 2 ถูกถอนชื่อออกจากการเป็นผู้สมัครแล้ว

จากการตรวจสอบรายงานผลการนับคะแนนเลือกตั้ง ส.อบจ. อ.สารภี เขต 1 ที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ กกต. ระบุว่าเขตเลือกตั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด 23,738 คน จำนวนบัตรดี 17,502 บัตร และบัตรเสีย 3,762 บัตร ซึ่ง กกต. ไม่ได้ระบุว่าบัตรเสียนั้นเกิดจากการลงคะแนนให้ผู้สมัครเบอร์ 2 ที่ถูกถอนชื่อหรือไม่ ข้อความที่นุชรีโพสต์ในเฟซบุ๊กให้เกิดความเข้าใจว่า บัตรเสียกว่า 2,000 ใบ เป็นบัตรที่ลงคะแนนให้เบอร์ 2 นั้น จึงยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง

เหตุการณ์ที่ผู้สมัคร ส.อบจ. ในจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ บอกเล่าให้ฟังข้างต้น เป็นตัวอย่างของเนื้อหาที่สร้างความเข้าใจผิดและความสับสนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งพบได้ทั้งในพื้นที่ออนไลน์และออฟไลน์ คือ การพูดกันแบบปากต่อปากในตลาดหรือชุมชน เนื้อหาที่บิดเบือนหรือสร้างความสับสนนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และบั่นทอนบรรยากาศประชาธิปไตยได้ในระยะยาว

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ