พาราเซตามอลทำทารกออทิสติก” จริงหรือ? ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงข้อเท็จจริงในโคแฟคสนทนา
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 รายการโคแฟคสนทนา: รวมพลคนเช็กข่าว EP.19 ออกอากาศเวลา 19:00–19:30 น. เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างที่ว่า “พาราเซตามอล” ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านอาจทำให้ทารกที่เกิดจากมารดาที่ใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์มีภาวะออทิสติกหรือพัฒนาการทางระบบประสาทล่าช้า หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ทรัมป์ ออกมาเตือนเมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมาสร้างความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และวงการเภสัชกรรม การสนทนาครั้งนี้นำโดย สุชัย เจริญมุขยนันท ดำเนินรายการ พร้อมด้วย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, รศ.ดร.ภญ.มยุรี ตั้งเกียรติกำจาย จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว. องครักษ์) และ เต ฐานันดร จากอีสานโคแฟค เครือข่ายตรวจสอบข่าวลวงภาคอีสาน
สุภิญญา กล่าวว่า ข่าวลือนี้สร้างความกังวลอย่างมากเนื่องจากพาราเซตามอลเป็นยาที่อยู่คู่ครัวเรือนทั่วโลกมานาน และมักใช้เป็นยาลดไข้และบรรเทาอาการปวดในหลายสถานการณ์ เธอตั้งข้อสังเกตว่า คำกล่าวอ้างดังกล่าวอาจมีแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งต้องตรวจสอบเจตนาเชิงลึกต่อไป แต่เน้นว่าการสนทนาครั้งนี้จะยึดข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก
รศ.ดร.ภญ.มยุรี อธิบายว่า ปัจจุบันไม่มีงานวิจัยใดยืนยันว่าพาราเซตามอลเป็นสาเหตุโดยตรงของภาวะออทิสติกหรือสมาธิสั้นในทารก งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเช่น การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งติดตามผลในกลุ่มตัวอย่างกว่า 2 ล้านคนในสวีเดนเป็นเวลา 10 ปี พบความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างการใช้พาราเซตามอลในหญิงตั้งครรภ์กับความผิดปกติในเด็ก แต่เมื่อควบคุมปัจจัยทางพันธุกรรมโดยเปรียบเทียบระหว่างพี่น้อง ความสัมพันธ์นี้หายไป ผลวิจัยระบุว่าปัจจัยทางพันธุกรรมมีผลมากกว่าพาราเซตามอล นอกจากนี้ งานวิจัยในนอร์เวย์ที่ควบคุมปัจจัยพันธุกรรมก็ให้ผลสอดคล้องกันว่า พาราเซตามอลไม่มีความสัมพันธ์กับภาวะดังกล่าว

อาจารย์มยุรี ย้ำว่า หน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลก รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของสหรัฐฯ และยุโรป ยังคงยืนยันว่าพาราเซตามอลเป็นยาตัวแรกที่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์ในการลดไข้และบรรเทาอาการปวดศีรษะหรือกล้ามเนื้อ โดยแนะนำให้ใช้ในปริมาณน้อยที่สุดและในระยะเวลาสั้นที่สุด เพื่อความปลอดภัยสูงสุด สำหรับขนาดยาที่เหมาะสมในผู้ใหญ่ ควรคำนวณตามน้ำหนักตัวที่ 10-15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อครั้ง ทุก 4-6 ชั่วโมง โดยพิจารณาอาการเป็นหลัก และไม่ควรเกิน 3 กรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป หรือ 4 กรัมในกรณีที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อตับ ส่วนเด็กต้องคำนวณตามน้ำหนักตัว โดยขนาดสูงสุดไม่เกิน 75 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน
เต ฐานันดร ถามถึงกรณีหญิงตั้งครรภ์ที่กังวลเกี่ยวกับการใช้ยา อาจารย์มยุรี ตอบว่า หากอาการปวดหรือไข้ไม่รุนแรง หญิงตั้งครรภ์ควรพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการใช้ยา แต่หากจำเป็น พาราเซตามอลยังเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่ายาทางเลือกอื่น เช่น สมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจร ซึ่งห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร เนื่องจากอาจส่งผลต่อทารกผ่านน้ำนม และสมุนไพรที่มีรสขม เช่น บอระเพ็ด หรือยาขมของจีน ก็ไม่แนะนำสำหรับกลุ่มนี้
อาจารย์มยุรี ยังเตือนถึงความเสี่ยงจากการใช้ยาหรือสมุนไพรเกินขนาด โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงเช่น ผู้ที่มีไขมันพอกตับ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ผู้ดื่มแอลกอฮอล์หนัก หรือผู้ใช้สมุนไพรที่มีรสขมเป็นประจำการใช้พาราเซตามอลเกิน 4 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเกิน7 วัน หรือใช้ร่วมกับยาอื่นที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอลโดยไม่รู้ตัว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อตับได้ เธอแนะนำให้อ่านฉลากยาให้ชัดเจน และปรึกษาเภสัชกรเพื่อใช้ยาในขนาดที่เหมาะสม
สำหรับฟ้าทะลายโจร ผู้ชมถามว่าสามารถใช้เป็นประจำได้หรือไม่ อาจารย์มยุรี อธิบายว่า ไม่ควรกินติดต่อกันทุกวันเกิน 1 เดือน เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อตับโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ใช้ยาลดไขมันร่วมด้วย ฟ้าทะลายโจรเหมาะสำหรับบรรเทาอาการเจ็บคอหรือร้อนในจากไวรัส แต่ฤทธิ์ลดไข้สู้พาราเซตามอลไม่ได้ และต้องใช้ตั้งแต่เริ่มมีอาการเพื่อให้ได้ผลดี
สุภิญญา สรุปว่า คำกล่าวอ้างของทรัมป์ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และประชาชนไม่ควรกังวลเกินเหตุพาราเซตามอลยังเป็นยาสามัญที่ปลอดภัยหากใช้อย่างถูกวิธี แต่ไม่ควรใช้พร่ำเพร่อหรืออดทนจนเกินไปโดยไม่ใช้ยาเมื่อจำเป็น เธอแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์หากมีข้อสงสัย เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือจากโซเชียลมีเดีย
ขอบคุณที่มา ubonconnect