การเรียกร้องระดับโลกเพื่อความจริงและความรับผิดชอบ ต่อการสังหารนักข่าวในความขัดแย้งกาซา

กรุงเทพฯ — กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและผู้สนับสนุนเสรีภาพสื่อได้ร่วมอภิปรายถึงสถานการณ์อันเลวร้ายที่นักข่าวกำลังเผชิญอยู่ในเขตสงครามกาซา ซึ่งนับเป็นความขัดแย้งที่คร่าชีวิตผู้สื่อข่าวมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “ความจริง” เนื่องในวันสันติภาพสากล เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568

Cofact Live Talk ซึ่งจัดโดยโคแฟคประเทศไทย โดยมีนักข่าวจาก ThaiPBS World กิติพัฒน์ ชื่นสุขจิต และแขกรับเชิญพิเศษ Arthur Rochereau
ผู้สื่อข่าวจากองค์กร นักข่าวไร้พรมแดน (RSF) (สำนักงานประเทศไต้หวัน) ได้ร่วมอภิปรายถึงต้นทุนชีวิตของการรายงานข่าวในเขตสงคราม บทบาทที่เป็นอันตรายของข้อมูลบิดเบือน และความสำคัญเชิงชีวิตของการบอกเล่าความจริง ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของการเสวนา “Dying for Truth in Gaza” ได้สะท้อนความจริงอันโหดร้ายว่า นักข่าวไม่ได้เพียงทำหน้าที่รายงานความขัดแย้ง—แต่กำลังกลายเป็นเหยื่อของมันด้วย
การเสวนามี คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟคประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ เริ่มต้นด้วยบรรยากาศที่ทั้งขมขื่นและเต็มไปด้วยความหวัง แม้จะเป็นการเฉลิมฉลองจิตวิญญาณแห่งสันติภาพ แต่ผู้ร่วมเสวนาก็ยอมรับถึงความจริงอันโหดร้ายของความขัดแย้ง โดยเฉพาะในกาซา ซึ่งการแสวงหาความจริงได้กลายเป็นภารกิจที่แลกด้วยชีวิต
- นับตั้งแต่ความขัดแย้งปะทุเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 RSF ได้บันทึกการเสียชีวิตของนักข่าวอย่างน้อย 220 คน ในกาซา ทำให้ที่นั่นเป็นสถานที่อันตรายที่สุดบนโลกสำหรับผู้ทำงานสื่อ “สถานการณ์ตอนนี้สำหรับนักข่าวในกาซาไม่ต่างอะไรจากหายนะโดยสิ้นเชิง” Arthur กล่าว พร้อมอธิบายว่านักข่าวถูกโจมตีด้วยการทิ้งระเบิด การยิงสไนเปอร์ และการยิงปืนใหญ่ แม้จะแสดงตัวชัดเจนด้วยเสื้อกั๊กที่มีสัญลักษณ์ PRESS
RSF ยังบันทึกกรณีที่นักข่าวถูกกองทัพอิสราเอลโจมตีโดยเจตนาอย่างน้อย 56 ครั้ง ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งArthur อธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือและหยุดยั้งการรายงานข่าวจากภาคสนาม เขายกกรณีของผู้สื่อข่าวอัลจาซีรา อนัส อัล-ชาริฟ ที่ถูกสังหารในการโจมตีใกล้โรงพยาบาล หลังจากกองทัพอิสราเอลกล่าวหาอย่างไร้มูลความจริงว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้าย
Arthur ยังเปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่ากังวลว่า อิสราเอลได้สั่งห้ามนักข่าวต่างชาติเดินทางเข้าสู่กาซาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 เป็นต้นมา ทำให้เกิด “การปิดกั้นสื่อโดยสิ้นเชิง” ทิ้งภาระการรายงานทั้งหมดไว้กับนักข่าวชาวปาเลสไตน์เพียงกลุ่มเดียว ซึ่งไม่เพียงต้องเผชิญความเสี่ยงต่อชีวิตอยู่ตลอดเวลา แต่ยังต้องทำงานภายใต้เงื่อนไขที่เลวร้ายที่สุด ทั้งการพลัดถิ่น การขาดแคลนไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมถึงขาดปัจจัยพื้นฐานอย่างอาหารและน้ำสะอาด สื่อมากกว่า 50 แห่งถูกทำลายเสียหายทั้งหมดหรือบางส่วน และนักข่าวปาเลสไตน์อีกจำนวนมากถูกคุมขัง บางรายมีรายงานว่าถูกทรมาน
ในประเด็นเรื่องความสำคัญของความจริงในเขตความขัดแย้ง กิติพัฒน์ย้ำว่า “การรายงานภาคสนามไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบความรับผิดชอบ และเป็นองค์ประกอบหลักของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม” Arthur เห็นด้วย โดยกล่าวว่านักข่าวคือ “ดวงตาและหูของโลก” ในยุคที่ข้อมูลบิดเบือนท่วมท้นบนโซเชียลมีเดีย การรายงานข่าวอย่างอิสระจึงเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลโฆษณาชวนเชื่อและข้อมูลที่บิดเบือนจากทุกฝ่ายในสงคราม หากปราศจากนักข่าว ต้นทุนที่แท้จริงของสงคราม—ความทุกข์ยากของพลเรือน การทำลายล้างโครงสร้างพื้นฐาน และการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ—ก็จะไม่มีใครมองเห็น
Arthur ยังเล่าถึงการสืบสวนของ RSF ที่พบว่ากองทัพอิสราเอลมีการทำ “แคมเปญ” มุ่งทำลายชื่อเสียงนักข่าวปาเลสไตน์ โดยใช้ภาพตัดต่อที่มีเป้ากำกับบนใบหน้านักข่าว พร้อมกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายโดยไร้หลักฐาน นี่ไม่ใช่เพียงการบิดเบือนข้อมูล แต่เป็นการยุยงให้เกิดความรุนแรงโดยตรง “ข้อมูลบิดเบือน ไม่ได้แค่ทำให้เข้าใจผิด แต่ยังฆ่านักข่าวโดยตรงด้วย” เขากล่าว พร้อมอธิบายว่าเป็นความพยายามทำให้การโจมตีนักข่าวถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ชอบธรรม ลดแรงกดดันจากสังคมโลก และบั่นทอนความเห็นใจจากสาธารณชน
ผู้ร่วมเสวนายอมรับว่าการแสวงหาความยุติธรรมในภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อนักข่าวต่างชาติถูกห้ามไม่ให้เข้าไป แต่ RSF กำลังดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งได้สรุปข้อเรียกร้องที่ชัดเจนขององค์กร ได้แก่ การคุ้มครองนักข่าวปาเลสไตน์ การเปิดโอกาสให้นักข่าวต่างชาติเข้าพื้นที่ได้อย่างอิสระ และการจัดทางเลือกให้กับนักข่าวที่ติดอยู่ในพื้นที่สามารถอพยพออกมาได้ นอกจากนี้ RSF ยังเดินหน้ารณรงค์สร้างการรับรู้ในระดับโลก เช่น แคมเปญที่ให้สื่อ 280 แห่งใน 50 ประเทศ ร่วมกันพิมพ์หน้ากระดาษสีดำ เพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงที่จะไม่มีใครเหลืออยู่เพื่อรายงานข่าวจากกาซาอีกต่อไป
ในเชิงสถาบัน RSF ยังได้ดำเนินการทางกฎหมาย โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ที่กรุงเฮกแล้ว 4 ครั้ง เกี่ยวกับการสังหารและการบาดเจ็บของนักข่าว โดยเรียกร้องให้มีการสอบสวนในฐานะอาชญากรรมสงครามที่กองทัพอิสราเอลก่อขึ้นต่อผู้สื่อข่าว อัยการของ ICC ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาล ถือเป็นแสงแห่งความหวังว่าผู้กระทำผิดอาจต้องรับผิดชอบในอนาคต
การสนทนายังกล่าวถึงบทบาทของสาธารณชนและบริษัทเทคโนโลยี โดยผู้ร่วมเสวนาเห็นพ้องว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ซึ่งมีฐานอยู่ในสหรัฐฯ ต้องถือว่ามีความรับผิดชอบต่อการแพร่กระจายของข้อมูลบิดเบือน เขาเรียกร้องให้มีกรอบกฎหมายใหม่ที่ยอมรับความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มต่อเนื้อหาที่พวกเขาเผยแพร่

สำหรับสาธารณชน ข้อความคือการกระทำและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เขาเน้นย้ำว่าการโจมตีนักข่าวคือการโจมตีสิทธิของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลโดยตรง ประชาชนสามารถสนับสนุนเสรีภาพสื่อได้ด้วยการติดตามและขยายผลงานของนักข่าวอิสระ การสมัครสมาชิกสำนักข่าว และการแสดงออกคัดค้านการโจมตีเสรีภาพสื่อ กิติพัฒน์ชี้ว่าบทบาทของประชาชนมีสองด้าน คือ การแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับผู้ที่เสี่ยงชีวิต และการลงมือป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องความโปร่งใส การยืนกรานให้มีการคุ้มครอง และที่สำคัญที่สุดคือ “การไม่ยอมจำนนต่อความเงียบ”
การเสวนาปิดท้ายด้วยคำเรียกร้องอันทรงพลังและเป็นเอกภาพว่า “อย่าสังหารผู้ส่งสาร” เพราะสันติภาพไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากความจริง นักข่าวคือผู้ที่บันทึกอาชญากรรมสงครามและเปิดโปงการละเมิด ทำให้ต้นทุนชีวิตของความขัดแย้งปรากฏชัด การปกป้องนักข่าวและสิทธิในการรายงานข่าวจึงไม่ใช่เพียงการปกป้องพวกเขาเท่านั้น แต่คือการปกป้องสิทธิร่วมกันของมนุษยชาติที่จะได้รับรู้ และคือการวางรากฐานของความยุติธรรมและสันติภาพที่ยั่งยืน